ลำดับตอนที่ #46
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : พยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๔๖ พยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก
    เปมิกา รู้สึกอายไม่น้อยถึงแม้นางจะรู้ว่าที่ หัสกัณฐ์ กอดนางเอาไว้นั้นก็เพื่อป้องกันนางไม่ให้ได้รับอันตรายจากพลังของดาบมารเปลี่ยนแสงแต่ถึงกระนั้นก็มิอาจห้ามความรู้สึกเอาไว้ได้
‘ ถึงขนาดใช้เกราะพลังป้องกันเลยอย่างนั้นหรือ? แสดงผู้หญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญกับมันมาก ’
แม้นเกราะพลังจะเลือนลางมากแต่ แสงฤทธิ์ ก็ยังมองเห็นได้ว่าพลังคุ้มกายของ หัสกัณฐ์ แผ่ออกมาห่อหุ้มตัวเขาและหญิงสาวคนนั้นเอาไว้
‘ เจ็บชะมัด ’
แผลที่ขุนพลมารแสงฤทธิ์ได้รับ แม้เป็นบาดแผลเล็กๆและไม่บาดลึกแต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ ย๊าก ”
ขุนพลมารเปล่งพลังเวทย์ทั่วร่างปรากฏแสงเรืองรอง พริบตาเดียวบาดแผลก็สมานกันจนเกือบหายเป็นปกติ
‘ นอกจากกระบวนดาบแล้วเวทย์รักษาตัวของมันก็ไม่ใช่ธรรมดาคิดจะฆ่ามันให้ตายภายใน ๑๐๐ กระบวน ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ ’
เมื่อเห็นศัตรูกำลังเริ่มหายจากอาการบาดเจ็บ หัสกัณฐ์ ก็อดถาม เปมิกา ไม่ได้
“ เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า? ”
เปมิกา ยิ้มและบอกว่า
“ หม่อมฉันไม่รับบาดเจ็บเพคะ ขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงเป็นห่วงเพคะ ”
“ เป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว ”
ดูไปแล้วคล้ายกับทั้งสองจะลืมไปว่าเวลานี้ทั้งเขาและนางอยู่ในสมรภูมิรบมิใช่ภายในตำหนักหรือวังแต่อย่างใด
“ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”  แสงฤทธิ์ เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น
เสียงหัวเราะของเขา ทำให้ทั้งสองคนต้องหันมามอง
“ เจ้าหัวเราะอะไร? ”
“ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ ”
คำตอบช่างไม่ตรงกับคำถามหรือไม่ก็ไม่คิดจะตอบ
“ พวกเจ้าสองคนนี้รักกันดีจริงๆ จนข้านึกอิจฉาขึ้นมา ”
“ ข้ากับนางรักกันแล้วเจ้าจะทำไม? ” หัสกัณฐ์ ถาม
แววตาของ แสงฤทธิ์ ทอประกายเหมือนได้พบเรื่องอะไรที่ถูกใจ
“ ข้าจะแย่งนางมา ”
“ อะไรนะ? ”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันต่างไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าแสงฤทธิ์ คิดจะมาไม้ไหน
“ ไม่ต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นหรอก ”
แสงฤทธิ์ พาดดาบไว้ที่บ่าพลางพูดว่า
“ เป็นธรรมดาในการทำสงคราม ผู้ที่เฉพาะย่อมได้ทุกสิ่ง ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ต้องยอมมอบข้าวของและเครื่องบรรณาการแม้กระทั่งลูกเมียก็ต้องถูกริบ ”
หัสกัณฐ์ แค่นเสียงหัวเราะเล็กน้อย
“ กฎนั้นมีไว้ใช้กับการรบเยี่ยงกษัตริย์ แต่กับพวกอสูรที่ทำตัวเยี่ยงโจรถ่อยเช่นพวกเจ้า ทำไมต้องทำตามกฎนั้นด้วย ”
“ ก็ไม่เห็นเป็นไรข้าพูดให้เจ้าฟังเพื่อจะได้เข้าใจง่ายๆเท่านั้นเอง กฎเกณฑ์ใดๆ ในโลกนี้ สำหรับข้า แสงฤทธิ์ ไม่เคยคิดที่จะยึดถืออยู่แล้ว เพราะข้าเกิดขึ้นมาเพื่อแหกกฎเกณฑ์ทั้งหลายโดยเฉพาะ ”
นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ไม่ว่าจะยึดถือหรือไม่ สำหรับคนที่ชั่วร้ายย่อมทำตามใจตนเองเป็นธรรมดา
“ ถ้าเช่นนั้นข้าคงปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจไม่ได้ซะแล้ว ”
หัสกัณฐ์ ปล่อย เปมิกา พลางเดินขึ้นมาข้างหน้า
“ สมควรส่งเจ้าไปอยู่ในปรโลกในดาบนี้ ” หัสกัณฐ์ ชี้ดาบไปข้างหน้าเตรียมฟาดฟันอีกครั้ง
แสงฤทธิ์ ยกดาบขวางลำตัว ตั้งท่ารับมือ
“ เก็บคำพูดนี้ไว้ให้ตัวเองจะดีกว่ามั๊ง ”
ไม่ว่าเรื่องที่พูดมาจะจริงเท็จแค่ไหนก็ตามแต่ เปมิกา ก็เตรียมพร้อมสู้รบอยู่ข้าง หัสกัณฐ์ เพราะว่าศึกนี้พวกนางจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
------------------------------------
    .. พยัคฆ์วารี นำกำลังกองรบพยัคฆ์สวรรค์ จำนวน ๑,๐๐๐ แอบลอบเข้ามาภายในค่ายอสูรหวังช่วยเหลือผู้คนที่ถูกจับเป็นเชลย กำลังที่มีถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่งแยกย้ายกันบุกเข้าไปในที่คุมขังทั้งสองแห่งที่อยู่ภายในค่าย  แต่เนื่องจากมีเวรยามตรวจตราอย่างหนาแน่น พยัคฆ์วารี จึงยังไม่ลงมือกลับเปลี่ยนใจรอดูสถานการณ์ภายในค่ายอสูรก่อน
‘ เวรยามของพวกมันมีจำนวนไม่น้อย แสดงว่าภายในค่ายยังคงมีคนบังคับบัญชาอยู่ ’
จากการคาดเดาของ พยัคฆ์วารี เขาค่อนข้างแน่ใจว่าความคิดของตนเองไม่น่าจะผิดพลาด
‘ รอดูท่าทีของพวกมันก่อน หากเป็นไปได้ก็ขอให้ใครก็ตามที่บังคับบัญชาอยู่ภายในค่ายออกไปนอกค่ายเป็นดีที่สุด ’
พยัคฆ์วารี ไม่ประมาทสั่งให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์ คอยดูท่าทีก่อน เพราะหน้าที่ของเขาคือการนำตัวเชลยออกจากค่ายอสูร หากเป็นไปได้เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอยู่ในค่ายอสูรนานนักหากจะต้องลงมือ พยัคฆ์วารี แอบซุ่มดูการเคลื่อนไหวเป็นเวลาเกือบเทียน ๑ เล่มดับ ก็ได้ยินเสียงการสู้รบดังมาแต่ไกล
“ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ โฮกกกกกกกกก ”
เสียงการต่อสู้นี้เขารู้ดีว่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์หน่วยแรก เปิดฉากต่อสู้กับกองทัพอสูรแล้ว ทางทหารอสูรที่อยู่ในค่ายเมื่อได้ยินเสียงการสู้รบต่างพากันมายืนชะเง้อมองดูการต่อสู้จากบนกำแพงค่ายของพวกตัวเอง
‘ รอช้าไม่ได้แล้วไม่ว่าใครจะอยู่ในค่ายก็ตามหากพวกมันยกเรื่องเชลยขึ้นมาข่มขู่หรือสั่งให้พวกเชลยออกรบด้วยต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ’
พยัคฆ์วารี ตัดสินใจส่งสัญญาณมือสั่งให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์เข้าจู่โจม
“ โจมตีได้ ”
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ทะยานออกมาที่ซ่อนแยกกันจู่โจมตามแผนพยายามสร้างสถานการณ์ที่วุ่นวายแต่เป้าหมายหลักยังคงอยู่ที่ ที่คุมขังของเหล่าเชลยทั้งสองที่
“ พวกนี้มันมาได้ยังไง? ”
กองรบมารที่อยู่เฝ้าดูแลค่ายต่างตกใจเมื่อจู่ๆ มีเสือมีปีกจำนวนหลายร้อยเหาะเข้ามาภายในค่าย ทหารอสูรที่เฝ้ายามเป็นกลุ่มแรกที่เข้าปะทะกับศัตรูหรืออีกในหนึ่งก็คือกลุ่มแรกที่โดนจู่โจม
“ บับๆๆๆ ”
“ อ๊ากกกกกกกกกกก ”
กรงเล็บของเหล่าพยัคฆ์ ตะปบเข้าที่หน้าและลำตัว ยังผลให้เพียงเวลาไม่กี่วินาทีพวกอสูรล้มตายลงหลายสิบตน
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ โจมตีอย่างสะเปะสะปะ เพื่อสร้างความวุ่นวายในค่ายในให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทำตามแผนบุกเข้าไปยังที่คุมขังเชลยเพื่อช่วยเหลือ และแล้ว พยัคฆ์วารี ก็มาถึงที่คุมขังเชลยกลุ่มแรกที่เป็นเด็กและก็ผู้หญิง
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ฆ่าทหารยามที่เฝ้าคุมอยู่หน้าประตู ก่อน พยัคฆ์วารี จะเข้าทำลายโซ่ตรวน
“ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ”
“ พวกท่านไม่ต้องกลัว ข้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกท่านออกไป ”
ทุกคนต่างพากันกรูออกเมื่อได้รับอิสรภาพ แต่ทว่า.....
“ เหอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
ผู้คนที่ พยัคฆ์วารี ช่วยออกมานั้น ขณะที่กรูกันออกมากลับกลายร่างเป็นอสูรไปทั้งหมด
“ แย่แล้ว หลงกลพวกมันแล้ว ”
“ ฉึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่อยู่ใกล้ โดนอาวุธก่อนเป็นกลุ่มแรก ก่อนจะล้มลงสิ้นใจตาย เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ถูกเตรียมการมาอย่างดี
“ ถอยก่อนเร็วเข้า ” 
พยัคฆ์วารี รีบสั่งการเวลานี้พวกเขาเสียท่าพวกอสูรแล้ว
“ จะหนีไปไหน วันนี้พวกเจ้าไม่รอดแน่ ” เสียงของเหล่านายกองอสูร ดังขึ้นพร้อมกับกองรบมารจำนวนนับไม่ถ้วนที่โผล่มาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากที่ถูกล้อม พยัคฆ์วารี ถึงได้รู้ตัวว่า ตนเอง หลงกลฝ่ายตรงข้ามเต็มเปา
‘ ถูกล้อมจนได้.......ทีนี้จะทำอย่างไรดี? ’ ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหนก็เห็นเงาของพวกอสูรอยู่เต็มไปหมด
“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ”  เสียงคำรามของเสือมีปีก พยายามข่มขู่พวกอสูรแต่หาได้ผลอะไรไม่เพราะเวลานี้สถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเป็นต่อเป็นอย่างมา
ขณะที่ลูกพยัคฆ์กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ เจ้าหนู เจ้ากล้ามากที่บุกเข้ามาภายในค่ายอสูรของข้า ”
ไม่รู้ว่าขุนพลมาร อังกลาตู โผล่เมื่อไรแต่เวลานี้เจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่บนกำแพงค่ายทั้งยังแผ่ซ่านพลังความชั่วร้ายออกมาจน พยัคฆ์วารี รู้สึกได้
“ เจ้าคือใคร? ”
“ บังอาจ .....กล้าพูดจาสามหาวกับท่านขุนพลมารเช่นนี้เชียวหรือ? ”
เหล่านายกองทหารกองรบมารต่างพากันชักอาวุธเข้ามาใกล้หมายจะสับ พยัคฆ์วารี ให้สิ้น
“ เจ้านั้นนะหรือขุนพลมาร? อย่าพูดตลกไปหน่อยเลย อย่างมากก็แค่อสูรถ่อยๆตนหนึ่งเท่านั้นเอง ” น้ำเสียงของ พยัคฆ์วารี มีความรู้สึกดูถูกปนอยู่
“ หนอย เจ้านี้วอนซะแล้ว ” ลูกน้องโมโหแทนเจ้านาย แต่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงกลับนั่งพูดอยู่ข้างบนอย่างใจเย็น
“ หึๆๆ เจ้าหนูปากดีมากไปแล้ว ข้านี้แหละขุนพลมาร อังกลาตู ผู้ดูแลค่ายอสูรแห่งนี้ ดูท่าเจ้าจะมีความเกี่ยวข้องกับเทพพยัคฆ์กระมัง ถึงมีความสามารถบ่งการกองรบพยัคฆ์สวรรค์ได้ จะว่าไปนิสัยของเจ้าก็คล้ายๆมันเหมือนกัน นิสัยที่อวดดีแบบนี้หามีใครเหมือนได้น้อยเต็มที ”
“ เจ้ารู้จักเสด็จพ่อของข้าด้วยหรือ? ” ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ ที่แท้เจ้าเป็นลูกเทพพยัคฆ์เองหรอกหรือ ”
อังกลาตู ดีดนิ้วเคาะเป็นเสียงก่อนพูดว่า
“ ข้ากับพ่อของเจ้าเคยพบกันมาครั้งหนึ่งแต่นานมาแล้ว ช่างน่าสมเพชเสียจริงๆเทพพยัคฆ์ ออกจะฉลาด แต่กลับมีลูกที่โง่เง่าแบบนี้หากเป็นลูกของข้าคงไม่งี่เง่าถึงขนาดพาตัวเองและลูกน้องเข้ามาติดกับเป็นนี้หรอก ”
พยัคฆ์วารี โมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่พูดไม่จาอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าหา อังกลาตู พร้อมทั้งชัก ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ ออกจากฝัก
“ ก่อนที่จะสมเพชใคร หัดสมเพช ตัวเองก่อนดีกว่ามั๊ง ”
ดาบคู่ทั้งสอง เหมือนมีชีวิต เปล่งทั้งแสงและเสียงออกมา
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม ”
“ กรรรรรรรรรรรรรรร โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
อานุภาพการทำลายที่เปล่งออกจากดาบคู่ สุดที่ใครจะต้านได้
“ เหวออออออออออออออ ”
“ ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ”
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
เพียงกระบวนเดียวก็ทลายกำแพงค่ายที่อยู่ตรงหน้าลงจนหมด ทั้งยังสังหารเหล่าอสูรล้มตายลงไปถึงครึ่งร้อย เพียงแค่ พยัคฆ์วารี ลงมือ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ก็เข้าตะลุ่มบอนกับกองรบมารในทันที
“ ฆ่ามัน ”
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
การสู้รบภายในค่ายก็ดุเดือดไม่น้อยไปกว่าการสู้รบที่ทุ่งราบเลยแม้แต่น้อย
“ ฝีมือดีใช้ได้ แต่ว่าเจ้าเล็งไปที่ไหนกัน? ”
อังกลาตู กระโดดหลบและพลิ้วตัวเข้ามาหาด้วยความเร็วที่เกิดคาดคิด
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ  พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม ” พยัคฆ์วารี รีบตวัดดาบกลับคืนคิดอาศัยพลังจากดาบปิดสกัดท่าร่างของ อังกลาตู เอาไว้
แววตาของ อังกลาตู ไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ซัดหมัดเข้าหาดาบเขี้ยวพยัคฆ์ อย่างแม่นยำ
“ พลังอสุรมาร  โลกีย์ญาณปรปักษ์ ”
“ เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงง ”
เสียงดาบกระทบกับหมัดดังคล้ายกับเสียงโลหะกระทบกัน ดาบเขี้ยวพยัคฆ์เล่มที่ปะทะด้วยสั่นสะท้านจนชาไปถึงแขนของ พยัคฆ์วารี
‘ ฝีมือมันร้ายกาจจริงๆ ’ ตอนนี้ พยัคฆ์วารี ถึงได้รู้ความน่ากลัวของ อังกลาตู
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วมือสองนิ้วของ อังกลาตู ก็พุ่งเข้ามาที่ตาของเขาแล้ว
“ อย่าเพิ่งได้ใจ ” พยัคฆ์วารี รีบข่มความหวาดกลัวเปล่งเสียงคำรามอีกครั้ง
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์คำรามแปดทิศ ”
ปรากฏภาพมายาของเสือร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนอ้าปากสกัดนิ้วทั้งสองที่พุ่งเข้ามาหาทั้งรุมล้อมเข้าขย้ำ อังกลาตู
“ วิชาหลอกเด็กกลับเอาไว้ใช้ในนรกเถอะ ”
อังกลาตู  ปรับเปลี่ยนกระบวนพลิกหงายข้อมือเข้าจู่โจมภาพมายาที่หน้าอก
“ พลังอสุรมาร  ปุณฑริกสราญรมย์ ”
พลังที่แฝงอยู่ในกรงเล็บที่เตรียมขยุ้มนั้นเปล่งประกายลำแสงสีดำออกมา
‘ กระบวนท่าของมันช่างอำมหิตนัก ’
นอกจากต้านทานพลังที่เข้ามาหาแล้วไม่มีทางเลือกอื่นอีก
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ลำพองยอดขุนเขา ”
ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ เปล่งพลังต้านทานพร้อมเสียงคำราม ปรากฏรูปพยัคฆ์กำลังกางกรงเล็บเตรียมตะปบ
“ ฮะๆๆๆๆ ใช้ได้ ”
อังกลาตู หัวเราะชอบใจ เร่งพลังอสุรมาร ขึ้นอีกเท่าตัว
“ พลังอสุรมาร โลกีย์ญาณล่องลอย ”
ดั่งปรากฏเทวะรูปมารออกมาจากร่าง ทำลายร่างพยัคฆ์จนแหลกเหลว ก่อนที่พลังอันมหาศาล จะกระแทกถูกร่างของ พยัคฆ์วารี กระเด็นไปไกล
“ อ๊อคคคคคค ” พยัคฆ์วารี กระอักเลือด พลังในร่างถูกกดลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังหายใจติดขัด
“ สู้ได้ดี แต่ครั้งนี้เจ้าไปตายได้แล้ว ”
พลังอสุรมาร ในร่างของ อังกลาตู เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งพลังมาปรากฏเป็นก้อนพลังอยู่ที่ฝ่ามือ ก่อนที่จะขยายใหญ่ขึ้น
“ พลังอสุรมาร มหาภูมิมารทำลายโลก ”
“ ตายซะเจ้าหนู ”
ก้อนพลังหลุดออกจากมือ พุ่งเข้ามาหา พยัคฆ์วารี
“ ย๊ากกกกกกกกกกกกกก ”
พยัคฆ์วารี ไม่ยอมแพ้ สลายพลังอสุรมารที่อยู่ในร่างเท่าที่ทำได้ เร่งพลังโต้กลับ
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ทลายไตรภูมิ ”
ปรากฏร่างราชาพยัคฆ์ตัวใหญ่มหึมา กลืนกินลูกพลังก่อนกลืนกิน อังกลาตู ที่ลอยอยู่กลางอากาศเข้าไปด้วย
“ สำเร็จ ”  พยัคฆ์วารี มีสีหน้าดีใจที่กำจัดศัตรูได้
แต่ทว่า......
“ เปรี๊ยะๆๆๆๆ ”
จู่ๆที่ท้องของ  ราชาพยัคฆ์  เกิดขยายใหญ่ขึ้นก่อนระเบิดออกมา
“ ตูมมมมมมมมมมมมมมมม ”
ร่างของ  ราชาพยัคฆ์สูญสลาย แทนที่ด้วยร่างของ  อังกลาตู ก่อนดูดเศษพลังเข้ามาเป็นกลุ่มก้อน
“ ไม่จริง...... ”  พยัคฆ์วารี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ เอากลับคืนไปซะ ”
“ พลังอสุรมาร ศรมหามารนฤบดี ”
พลังอสุรมาร ที่รวมกับพลังของ พยัคฆ์วารี พุ่งเข้ามาดุจศรออกจากคันธนูพุ่งทะลุร่างไปอย่างแรง
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
พยัคฆ์วารี นอนกองอยู่ตรงนั้น เจ็ดปวดเกินบรรยาย ขยับตัวแทบไม่ได้
“ โอรส!!!! ” กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่มองเห็นต่างตกใจ รีบพากันเข้ามาช่วยคุ้มกันแต่ไม่มีใครต้านทานพลังอสุรมารได้ซักคนเดียว
“ เปรี้ยงงงงงงงงงง  ”
“ อ๊ากกกกกกกกกก ”
“ ยังไม่ตายอีกหรือ? ”
อังกลาตู ลอยลงมายืนอยู่ที่พื้นก่อนเดินเข้าไปหา พยัคฆ์วารี
“ กรอดดดดดดดดดดดดดด ”  พยัคฆ์วารี กัดฟัดด้วยความเครียดแค้นจน อังกลาตู สังเกตเห็น
“ โฮ่ๆๆ  อย่างนี้ๆเองเจ้าเองก็มีจิตใจที่แค้นเคืองอย่างนั้นด้วยหรือ? น่าสนุกๆ จริงๆ หึๆๆ ”
“ จะฆ่าข้าก็รีบฆ่าข้าซะ มัวชักช้าอยู่ทำไม ” พยัคฆ์วารี รู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาที่จะตอบโต้อะไรได้
“ จุ๊ๆๆ อย่าพูดอย่างนั้นสิ ฆ่าเจ้ามันก็น่าเสียดาย ข้าว่าเรามาเล่นอะไรสนุกๆกันหน่อยดีกว่า ”
อังกลาตู ยืนมือทั้งสองออกมา ก่อนปล่อยพลังอสุรมารเข้าสู่ร่างของ พยัคฆ์วารี
“ เจ้าจะทำอะไรข้า โอ๊ย..... ”
“ ก็บอกแล้วไง ทำอะไรที่มันสนุกๆ อย่างไรเล่า ฮะๆๆๆ ”
“ พลังอสุรมาร ภูติจุติแดนมาร ”
พยัคฆ์วารี ถูกพลังของ อังกลาตู เข้าแทรกซึม รู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิด
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก  เจ็บเหลือเกิน อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ”
“ โอรส!!! ” เหล่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์ที่เหลืออยู่ ต่างพยายามเข้าไปช่วยเหลือแต่มิอาจฝ่าวงล้อมของเหล่าอสูรเข้าไปหาได้
“ จะปลดปล่อยออกมา ปล่อยชั่วร้ายที่อยู่ภายในจิตใจออกมา ”
“ อ๊ากกกกกกก ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ จะเก็บมันเอาไว้ทำไมจงปลดปล่อยมันออกมา  ......ออกมาซิ ”
“ อ๊ากกกกกกกกกก  ”
พยัคฆ์วารี กลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด เวลานี้จิตมารเริ่มเข้าควบคุมเขา บังเกิดภาพหลอนที่ไม่เป็นจริง
“ เจ้าพี่ เจ้าพี่ พระเจ้าข้า ”
“ .....เพชรพยัคฆ์ ” ภาพของน้องชายที่ยืนเคียงคอกับคนที่เขารักกำลังผุดขึ้นในหัวสมอง
“ เพชรพยัคฆ์ ช่วยด้วย .......ช่วยพี่ด้วย ”  พยัคฆ์วารี ยื่นมือไขว้คว้าของความช่วยเหลือ
“ ได้สิพระเจ้าข้า น้องจะช่วย  จะช่วยเจ้าพี่ ” ทั้งสีหน้าและแววตาของ เพชรพยัคฆ์เต็มไปด้วยความน่ากลัว
ไม่รู้ว่า เพชรพยัคฆ์ หยิบดาบขึ้นมาจากไหน ก่อนที่จะกระหน่ำแทงไปที่ร่างของ พยัคฆ์วารี
“ ฉึกๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ อ๊ากกกกกกกกก  ......เพชรพยัคฆ์  ” สีหน้าของ พยัคฆ์วารี ทั้งเจ็ดปวดและไม่เชื่อ
“ ตายซะ ตายไปซะเถอะเจ้าพี่  ฮะๆๆๆๆ ”
ด้านเกลียวสวรรค์ เดินเข้ามาจูบกับเพชรพยัคฆ์พลางพูดว่า
“ เสด็จพี่ ผ่าเอาหัวใจของโอรสออกมาให้น้องดูหน่อยสิเพคะ น้องอยากเห็นเหลือเกิน ”
“ ได้สิ ถ้าเจ้าต้องการ ”
“ ไม่ อย่า.......... อ๊ากกกกกกกกกกกกก ”
“ นี้ไงล่ะ หัวใจของเจ้าพี่ ฮะๆๆๆ ”
พยัคฆ์วารี ส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนก่อนที่ หัวใจ ของเขาจะถูกกระชากออกมา เกลียวสวรรค์ รับหัวใจ ของ พยัคฆ์วารี มาถือ ก่อนบีบจนแหลกคามือท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสอง พยัคฆ์วารี มองดูทั้งสองด้วยความเครียดแค้นและเจ็บปวด
“ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ โอรส!!!! ”
เหล่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์ ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพของ พยัคฆ์วารี ที่กระตุกตัว อย่างแรง
“ ไม่.....ไม่..... ” พยัคฆ์วารี พูดเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนแน่นิ่งไป
แต่เพียงแค่ครู่เดียว พยัคฆ์วารี ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ทั้งๆยังได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก
“ โอรส ”
ในทีแรกทุกคนต่างดีใจที่เขาลุกขึ้นมาได้ทำให้กำลังใจฮึดสู้กลับมาอีกครั้งแต่ก็ต้องต่างพากันถอยกรูเมื่อเห็นพยัคฆ์วารี มีท่าทีแปลกๆไป
“ เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร? เจ้าจำได้หรือเปล่า? ”
เสียงของ อังกลาตู เอ่ยถาม ด้วยสีหน้าที่สุดแสนเจ้าเล่ห์
“ ข้าเป็นใคร? ” พยัคฆ์วารี ทวนคำอย่างช้าๆ ก่อนส่ายหน้าด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงหันไปมองพวกนั้นซิ ”
พยัคฆ์วารี เหมือนกลายเป็นหุ่นเชิดไม่ว่า อังกลาตู จะสั่งอะไรก็ทำตามเสียทุกอย่าง
“ เจ้าเห็นอะไรไหม? ”
“ เห็น...... ข้าเห็นเสือ ” พยัคฆ์วารี ตอบอย่างช้าๆ
“ ดี เสือพวกนั้นแหละคือศัตรู ของเจ้า จงฆ่า ฆ่า พวกมันสิ ฆ่า พวกมันให้หมด ”
“ ศัตรู ”
พยัคฆ์วารี ค่อยๆ เดินเข้าหากองรบพยัคฆ์สวรรค์
“ โอรส!!! ไม่พระเจ้าข้า ทรงเข้มแข็งไว้ ”
“ ศัตรู? ”
“ ฆ่า  ต้องฆ่าให้หมด ”
“ โอรส!!!! ” ยิ่ง พยัคฆ์วารี เข้ามาใกล้ พวกเขายิ่งถอย
“ ศัตรู ต้องฆ่า ฆ่า ฆ่าให้หมด ”
ทั้งสีหน้าและแววตาของ พยัคฆ์วารี มีแต่รังสีที่เข่นฆ่าอย่างรุนแรง
“ ฆ่า ฆ่าให้หมด ”
“  ฮะๆๆ ดี  ...ใช่แล้ว ฆ่า จงฆ่า พวกมันซะ ”
“ ไม่พระเจ้าข้า โอรส!!!!!!!!!!! ”
“ ฉับบบบบบบบบบบบ ”
ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากของ พยัคฆ์วารี นอกจากเสียงของดาบต้องกับอากาศเท่านั้น
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ”  กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกสังหารตายภายในดาบเดียว เลือดพุ่งกระฉูดออกจากร่างเหมือนเขื่อนที่พังทลาย
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ตัดสินใจถอยหนีรีบเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า พยัคฆ์วารี ที่ได้รับบาดเจ็บภายในเมื่อออกแรงถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น
“ ไปซะ ไปฆ่าพวกมัน ข้าสั่งเจ้าได้ยินไหม? ”
พยัคฆ์วารี ที่ตอนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้บาดเจ็บหนักแต่ก็ทำตาม อังกลาตู สั่ง ยิ่งเขาขยับตัวอาการก็ยิ่งทรุดแต่กลับไม่แสดงสีหน้าความเจ็ดปวดใดๆออกมา
“ ดีมาก ”
อังกลาตู หันมาสั่งกองรบมาร
“ พวกเจ้าอยู่เฝ้าค่ายที่นี้แค่ ๒,๐๐๐ ก็พอ ที่เหลือตามข้ามา เราจะไปร่วมกำลังกับแสงฤทธิ์ และถล่มนครอัญจารีให้ราบเป็นหน้ากลอง ”
“ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” กองรบมารโห่ร้องด้วยความยินดี ท่ามกลางแววตาที่เลื่อนลอยของ พยัคฆ์วารี
จบตอนที่ ๔๖ ครับ
ตอนที่ ๔๖ พยัคฆ์ตกที่นั่งลำบาก
    เปมิกา รู้สึกอายไม่น้อยถึงแม้นางจะรู้ว่าที่ หัสกัณฐ์ กอดนางเอาไว้นั้นก็เพื่อป้องกันนางไม่ให้ได้รับอันตรายจากพลังของดาบมารเปลี่ยนแสงแต่ถึงกระนั้นก็มิอาจห้ามความรู้สึกเอาไว้ได้
‘ ถึงขนาดใช้เกราะพลังป้องกันเลยอย่างนั้นหรือ? แสดงผู้หญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญกับมันมาก ’
แม้นเกราะพลังจะเลือนลางมากแต่ แสงฤทธิ์ ก็ยังมองเห็นได้ว่าพลังคุ้มกายของ หัสกัณฐ์ แผ่ออกมาห่อหุ้มตัวเขาและหญิงสาวคนนั้นเอาไว้
‘ เจ็บชะมัด ’
แผลที่ขุนพลมารแสงฤทธิ์ได้รับ แม้เป็นบาดแผลเล็กๆและไม่บาดลึกแต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ ย๊าก ”
ขุนพลมารเปล่งพลังเวทย์ทั่วร่างปรากฏแสงเรืองรอง พริบตาเดียวบาดแผลก็สมานกันจนเกือบหายเป็นปกติ
‘ นอกจากกระบวนดาบแล้วเวทย์รักษาตัวของมันก็ไม่ใช่ธรรมดาคิดจะฆ่ามันให้ตายภายใน ๑๐๐ กระบวน ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ ’
เมื่อเห็นศัตรูกำลังเริ่มหายจากอาการบาดเจ็บ หัสกัณฐ์ ก็อดถาม เปมิกา ไม่ได้
“ เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า? ”
เปมิกา ยิ้มและบอกว่า
“ หม่อมฉันไม่รับบาดเจ็บเพคะ ขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงเป็นห่วงเพคะ ”
“ เป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว ”
ดูไปแล้วคล้ายกับทั้งสองจะลืมไปว่าเวลานี้ทั้งเขาและนางอยู่ในสมรภูมิรบมิใช่ภายในตำหนักหรือวังแต่อย่างใด
“ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”  แสงฤทธิ์ เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น
เสียงหัวเราะของเขา ทำให้ทั้งสองคนต้องหันมามอง
“ เจ้าหัวเราะอะไร? ”
“ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริงๆ ”
คำตอบช่างไม่ตรงกับคำถามหรือไม่ก็ไม่คิดจะตอบ
“ พวกเจ้าสองคนนี้รักกันดีจริงๆ จนข้านึกอิจฉาขึ้นมา ”
“ ข้ากับนางรักกันแล้วเจ้าจะทำไม? ” หัสกัณฐ์ ถาม
แววตาของ แสงฤทธิ์ ทอประกายเหมือนได้พบเรื่องอะไรที่ถูกใจ
“ ข้าจะแย่งนางมา ”
“ อะไรนะ? ”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันต่างไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าแสงฤทธิ์ คิดจะมาไม้ไหน
“ ไม่ต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นหรอก ”
แสงฤทธิ์ พาดดาบไว้ที่บ่าพลางพูดว่า
“ เป็นธรรมดาในการทำสงคราม ผู้ที่เฉพาะย่อมได้ทุกสิ่ง ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ต้องยอมมอบข้าวของและเครื่องบรรณาการแม้กระทั่งลูกเมียก็ต้องถูกริบ ”
หัสกัณฐ์ แค่นเสียงหัวเราะเล็กน้อย
“ กฎนั้นมีไว้ใช้กับการรบเยี่ยงกษัตริย์ แต่กับพวกอสูรที่ทำตัวเยี่ยงโจรถ่อยเช่นพวกเจ้า ทำไมต้องทำตามกฎนั้นด้วย ”
“ ก็ไม่เห็นเป็นไรข้าพูดให้เจ้าฟังเพื่อจะได้เข้าใจง่ายๆเท่านั้นเอง กฎเกณฑ์ใดๆ ในโลกนี้ สำหรับข้า แสงฤทธิ์ ไม่เคยคิดที่จะยึดถืออยู่แล้ว เพราะข้าเกิดขึ้นมาเพื่อแหกกฎเกณฑ์ทั้งหลายโดยเฉพาะ ”
นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ไม่ว่าจะยึดถือหรือไม่ สำหรับคนที่ชั่วร้ายย่อมทำตามใจตนเองเป็นธรรมดา
“ ถ้าเช่นนั้นข้าคงปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจไม่ได้ซะแล้ว ”
หัสกัณฐ์ ปล่อย เปมิกา พลางเดินขึ้นมาข้างหน้า
“ สมควรส่งเจ้าไปอยู่ในปรโลกในดาบนี้ ” หัสกัณฐ์ ชี้ดาบไปข้างหน้าเตรียมฟาดฟันอีกครั้ง
แสงฤทธิ์ ยกดาบขวางลำตัว ตั้งท่ารับมือ
“ เก็บคำพูดนี้ไว้ให้ตัวเองจะดีกว่ามั๊ง ”
ไม่ว่าเรื่องที่พูดมาจะจริงเท็จแค่ไหนก็ตามแต่ เปมิกา ก็เตรียมพร้อมสู้รบอยู่ข้าง หัสกัณฐ์ เพราะว่าศึกนี้พวกนางจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
------------------------------------
    .. พยัคฆ์วารี นำกำลังกองรบพยัคฆ์สวรรค์ จำนวน ๑,๐๐๐ แอบลอบเข้ามาภายในค่ายอสูรหวังช่วยเหลือผู้คนที่ถูกจับเป็นเชลย กำลังที่มีถูกแบ่งออกครึ่งหนึ่งแยกย้ายกันบุกเข้าไปในที่คุมขังทั้งสองแห่งที่อยู่ภายในค่าย  แต่เนื่องจากมีเวรยามตรวจตราอย่างหนาแน่น พยัคฆ์วารี จึงยังไม่ลงมือกลับเปลี่ยนใจรอดูสถานการณ์ภายในค่ายอสูรก่อน
‘ เวรยามของพวกมันมีจำนวนไม่น้อย แสดงว่าภายในค่ายยังคงมีคนบังคับบัญชาอยู่ ’
จากการคาดเดาของ พยัคฆ์วารี เขาค่อนข้างแน่ใจว่าความคิดของตนเองไม่น่าจะผิดพลาด
‘ รอดูท่าทีของพวกมันก่อน หากเป็นไปได้ก็ขอให้ใครก็ตามที่บังคับบัญชาอยู่ภายในค่ายออกไปนอกค่ายเป็นดีที่สุด ’
พยัคฆ์วารี ไม่ประมาทสั่งให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์ คอยดูท่าทีก่อน เพราะหน้าที่ของเขาคือการนำตัวเชลยออกจากค่ายอสูร หากเป็นไปได้เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอยู่ในค่ายอสูรนานนักหากจะต้องลงมือ พยัคฆ์วารี แอบซุ่มดูการเคลื่อนไหวเป็นเวลาเกือบเทียน ๑ เล่มดับ ก็ได้ยินเสียงการสู้รบดังมาแต่ไกล
“ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ โฮกกกกกกกกก ”
เสียงการต่อสู้นี้เขารู้ดีว่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์หน่วยแรก เปิดฉากต่อสู้กับกองทัพอสูรแล้ว ทางทหารอสูรที่อยู่ในค่ายเมื่อได้ยินเสียงการสู้รบต่างพากันมายืนชะเง้อมองดูการต่อสู้จากบนกำแพงค่ายของพวกตัวเอง
‘ รอช้าไม่ได้แล้วไม่ว่าใครจะอยู่ในค่ายก็ตามหากพวกมันยกเรื่องเชลยขึ้นมาข่มขู่หรือสั่งให้พวกเชลยออกรบด้วยต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ’
พยัคฆ์วารี ตัดสินใจส่งสัญญาณมือสั่งให้กองรบพยัคฆ์สวรรค์เข้าจู่โจม
“ โจมตีได้ ”
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ทะยานออกมาที่ซ่อนแยกกันจู่โจมตามแผนพยายามสร้างสถานการณ์ที่วุ่นวายแต่เป้าหมายหลักยังคงอยู่ที่ ที่คุมขังของเหล่าเชลยทั้งสองที่
“ พวกนี้มันมาได้ยังไง? ”
กองรบมารที่อยู่เฝ้าดูแลค่ายต่างตกใจเมื่อจู่ๆ มีเสือมีปีกจำนวนหลายร้อยเหาะเข้ามาภายในค่าย ทหารอสูรที่เฝ้ายามเป็นกลุ่มแรกที่เข้าปะทะกับศัตรูหรืออีกในหนึ่งก็คือกลุ่มแรกที่โดนจู่โจม
“ บับๆๆๆ ”
“ อ๊ากกกกกกกกกกก ”
กรงเล็บของเหล่าพยัคฆ์ ตะปบเข้าที่หน้าและลำตัว ยังผลให้เพียงเวลาไม่กี่วินาทีพวกอสูรล้มตายลงหลายสิบตน
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ โจมตีอย่างสะเปะสะปะ เพื่อสร้างความวุ่นวายในค่ายในให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทำตามแผนบุกเข้าไปยังที่คุมขังเชลยเพื่อช่วยเหลือ และแล้ว พยัคฆ์วารี ก็มาถึงที่คุมขังเชลยกลุ่มแรกที่เป็นเด็กและก็ผู้หญิง
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ฆ่าทหารยามที่เฝ้าคุมอยู่หน้าประตู ก่อน พยัคฆ์วารี จะเข้าทำลายโซ่ตรวน
“ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ”
“ พวกท่านไม่ต้องกลัว ข้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกท่านออกไป ”
ทุกคนต่างพากันกรูออกเมื่อได้รับอิสรภาพ แต่ทว่า.....
“ เหอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
ผู้คนที่ พยัคฆ์วารี ช่วยออกมานั้น ขณะที่กรูกันออกมากลับกลายร่างเป็นอสูรไปทั้งหมด
“ แย่แล้ว หลงกลพวกมันแล้ว ”
“ ฉึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ”
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่อยู่ใกล้ โดนอาวุธก่อนเป็นกลุ่มแรก ก่อนจะล้มลงสิ้นใจตาย เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ถูกเตรียมการมาอย่างดี
“ ถอยก่อนเร็วเข้า ” 
พยัคฆ์วารี รีบสั่งการเวลานี้พวกเขาเสียท่าพวกอสูรแล้ว
“ จะหนีไปไหน วันนี้พวกเจ้าไม่รอดแน่ ” เสียงของเหล่านายกองอสูร ดังขึ้นพร้อมกับกองรบมารจำนวนนับไม่ถ้วนที่โผล่มาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากที่ถูกล้อม พยัคฆ์วารี ถึงได้รู้ตัวว่า ตนเอง หลงกลฝ่ายตรงข้ามเต็มเปา
‘ ถูกล้อมจนได้.......ทีนี้จะทำอย่างไรดี? ’ ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหนก็เห็นเงาของพวกอสูรอยู่เต็มไปหมด
“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ”  เสียงคำรามของเสือมีปีก พยายามข่มขู่พวกอสูรแต่หาได้ผลอะไรไม่เพราะเวลานี้สถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามเป็นต่อเป็นอย่างมา
ขณะที่ลูกพยัคฆ์กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ เจ้าหนู เจ้ากล้ามากที่บุกเข้ามาภายในค่ายอสูรของข้า ”
ไม่รู้ว่าขุนพลมาร อังกลาตู โผล่เมื่อไรแต่เวลานี้เจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่บนกำแพงค่ายทั้งยังแผ่ซ่านพลังความชั่วร้ายออกมาจน พยัคฆ์วารี รู้สึกได้
“ เจ้าคือใคร? ”
“ บังอาจ .....กล้าพูดจาสามหาวกับท่านขุนพลมารเช่นนี้เชียวหรือ? ”
เหล่านายกองทหารกองรบมารต่างพากันชักอาวุธเข้ามาใกล้หมายจะสับ พยัคฆ์วารี ให้สิ้น
“ เจ้านั้นนะหรือขุนพลมาร? อย่าพูดตลกไปหน่อยเลย อย่างมากก็แค่อสูรถ่อยๆตนหนึ่งเท่านั้นเอง ” น้ำเสียงของ พยัคฆ์วารี มีความรู้สึกดูถูกปนอยู่
“ หนอย เจ้านี้วอนซะแล้ว ” ลูกน้องโมโหแทนเจ้านาย แต่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงกลับนั่งพูดอยู่ข้างบนอย่างใจเย็น
“ หึๆๆ เจ้าหนูปากดีมากไปแล้ว ข้านี้แหละขุนพลมาร อังกลาตู ผู้ดูแลค่ายอสูรแห่งนี้ ดูท่าเจ้าจะมีความเกี่ยวข้องกับเทพพยัคฆ์กระมัง ถึงมีความสามารถบ่งการกองรบพยัคฆ์สวรรค์ได้ จะว่าไปนิสัยของเจ้าก็คล้ายๆมันเหมือนกัน นิสัยที่อวดดีแบบนี้หามีใครเหมือนได้น้อยเต็มที ”
“ เจ้ารู้จักเสด็จพ่อของข้าด้วยหรือ? ” ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ ที่แท้เจ้าเป็นลูกเทพพยัคฆ์เองหรอกหรือ ”
อังกลาตู ดีดนิ้วเคาะเป็นเสียงก่อนพูดว่า
“ ข้ากับพ่อของเจ้าเคยพบกันมาครั้งหนึ่งแต่นานมาแล้ว ช่างน่าสมเพชเสียจริงๆเทพพยัคฆ์ ออกจะฉลาด แต่กลับมีลูกที่โง่เง่าแบบนี้หากเป็นลูกของข้าคงไม่งี่เง่าถึงขนาดพาตัวเองและลูกน้องเข้ามาติดกับเป็นนี้หรอก ”
พยัคฆ์วารี โมโหจนเลือดขึ้นหน้าไม่พูดไม่จาอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าหา อังกลาตู พร้อมทั้งชัก ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ ออกจากฝัก
“ ก่อนที่จะสมเพชใคร หัดสมเพช ตัวเองก่อนดีกว่ามั๊ง ”
ดาบคู่ทั้งสอง เหมือนมีชีวิต เปล่งทั้งแสงและเสียงออกมา
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม ”
“ กรรรรรรรรรรรรรรร โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
อานุภาพการทำลายที่เปล่งออกจากดาบคู่ สุดที่ใครจะต้านได้
“ เหวออออออออออออออ ”
“ ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ”
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
เพียงกระบวนเดียวก็ทลายกำแพงค่ายที่อยู่ตรงหน้าลงจนหมด ทั้งยังสังหารเหล่าอสูรล้มตายลงไปถึงครึ่งร้อย เพียงแค่ พยัคฆ์วารี ลงมือ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ก็เข้าตะลุ่มบอนกับกองรบมารในทันที
“ ฆ่ามัน ”
“ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
การสู้รบภายในค่ายก็ดุเดือดไม่น้อยไปกว่าการสู้รบที่ทุ่งราบเลยแม้แต่น้อย
“ ฝีมือดีใช้ได้ แต่ว่าเจ้าเล็งไปที่ไหนกัน? ”
อังกลาตู กระโดดหลบและพลิ้วตัวเข้ามาหาด้วยความเร็วที่เกิดคาดคิด
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ  พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม ” พยัคฆ์วารี รีบตวัดดาบกลับคืนคิดอาศัยพลังจากดาบปิดสกัดท่าร่างของ อังกลาตู เอาไว้
แววตาของ อังกลาตู ไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ซัดหมัดเข้าหาดาบเขี้ยวพยัคฆ์ อย่างแม่นยำ
“ พลังอสุรมาร  โลกีย์ญาณปรปักษ์ ”
“ เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงง ”
เสียงดาบกระทบกับหมัดดังคล้ายกับเสียงโลหะกระทบกัน ดาบเขี้ยวพยัคฆ์เล่มที่ปะทะด้วยสั่นสะท้านจนชาไปถึงแขนของ พยัคฆ์วารี
‘ ฝีมือมันร้ายกาจจริงๆ ’ ตอนนี้ พยัคฆ์วารี ถึงได้รู้ความน่ากลัวของ อังกลาตู
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วมือสองนิ้วของ อังกลาตู ก็พุ่งเข้ามาที่ตาของเขาแล้ว
“ อย่าเพิ่งได้ใจ ” พยัคฆ์วารี รีบข่มความหวาดกลัวเปล่งเสียงคำรามอีกครั้ง
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์คำรามแปดทิศ ”
ปรากฏภาพมายาของเสือร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนอ้าปากสกัดนิ้วทั้งสองที่พุ่งเข้ามาหาทั้งรุมล้อมเข้าขย้ำ อังกลาตู
“ วิชาหลอกเด็กกลับเอาไว้ใช้ในนรกเถอะ ”
อังกลาตู  ปรับเปลี่ยนกระบวนพลิกหงายข้อมือเข้าจู่โจมภาพมายาที่หน้าอก
“ พลังอสุรมาร  ปุณฑริกสราญรมย์ ”
พลังที่แฝงอยู่ในกรงเล็บที่เตรียมขยุ้มนั้นเปล่งประกายลำแสงสีดำออกมา
‘ กระบวนท่าของมันช่างอำมหิตนัก ’
นอกจากต้านทานพลังที่เข้ามาหาแล้วไม่มีทางเลือกอื่นอีก
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ลำพองยอดขุนเขา ”
ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ เปล่งพลังต้านทานพร้อมเสียงคำราม ปรากฏรูปพยัคฆ์กำลังกางกรงเล็บเตรียมตะปบ
“ ฮะๆๆๆๆ ใช้ได้ ”
อังกลาตู หัวเราะชอบใจ เร่งพลังอสุรมาร ขึ้นอีกเท่าตัว
“ พลังอสุรมาร โลกีย์ญาณล่องลอย ”
ดั่งปรากฏเทวะรูปมารออกมาจากร่าง ทำลายร่างพยัคฆ์จนแหลกเหลว ก่อนที่พลังอันมหาศาล จะกระแทกถูกร่างของ พยัคฆ์วารี กระเด็นไปไกล
“ อ๊อคคคคคค ” พยัคฆ์วารี กระอักเลือด พลังในร่างถูกกดลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังหายใจติดขัด
“ สู้ได้ดี แต่ครั้งนี้เจ้าไปตายได้แล้ว ”
พลังอสุรมาร ในร่างของ อังกลาตู เกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งพลังมาปรากฏเป็นก้อนพลังอยู่ที่ฝ่ามือ ก่อนที่จะขยายใหญ่ขึ้น
“ พลังอสุรมาร มหาภูมิมารทำลายโลก ”
“ ตายซะเจ้าหนู ”
ก้อนพลังหลุดออกจากมือ พุ่งเข้ามาหา พยัคฆ์วารี
“ ย๊ากกกกกกกกกกกกกก ”
พยัคฆ์วารี ไม่ยอมแพ้ สลายพลังอสุรมารที่อยู่ในร่างเท่าที่ทำได้ เร่งพลังโต้กลับ
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ทลายไตรภูมิ ”
ปรากฏร่างราชาพยัคฆ์ตัวใหญ่มหึมา กลืนกินลูกพลังก่อนกลืนกิน อังกลาตู ที่ลอยอยู่กลางอากาศเข้าไปด้วย
“ สำเร็จ ”  พยัคฆ์วารี มีสีหน้าดีใจที่กำจัดศัตรูได้
แต่ทว่า......
“ เปรี๊ยะๆๆๆๆ ”
จู่ๆที่ท้องของ  ราชาพยัคฆ์  เกิดขยายใหญ่ขึ้นก่อนระเบิดออกมา
“ ตูมมมมมมมมมมมมมมมม ”
ร่างของ  ราชาพยัคฆ์สูญสลาย แทนที่ด้วยร่างของ  อังกลาตู ก่อนดูดเศษพลังเข้ามาเป็นกลุ่มก้อน
“ ไม่จริง...... ”  พยัคฆ์วารี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ เอากลับคืนไปซะ ”
“ พลังอสุรมาร ศรมหามารนฤบดี ”
พลังอสุรมาร ที่รวมกับพลังของ พยัคฆ์วารี พุ่งเข้ามาดุจศรออกจากคันธนูพุ่งทะลุร่างไปอย่างแรง
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก ”
พยัคฆ์วารี นอนกองอยู่ตรงนั้น เจ็ดปวดเกินบรรยาย ขยับตัวแทบไม่ได้
“ โอรส!!!! ” กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่มองเห็นต่างตกใจ รีบพากันเข้ามาช่วยคุ้มกันแต่ไม่มีใครต้านทานพลังอสุรมารได้ซักคนเดียว
“ เปรี้ยงงงงงงงงงง  ”
“ อ๊ากกกกกกกกกก ”
“ ยังไม่ตายอีกหรือ? ”
อังกลาตู ลอยลงมายืนอยู่ที่พื้นก่อนเดินเข้าไปหา พยัคฆ์วารี
“ กรอดดดดดดดดดดดดดด ”  พยัคฆ์วารี กัดฟัดด้วยความเครียดแค้นจน อังกลาตู สังเกตเห็น
“ โฮ่ๆๆ  อย่างนี้ๆเองเจ้าเองก็มีจิตใจที่แค้นเคืองอย่างนั้นด้วยหรือ? น่าสนุกๆ จริงๆ หึๆๆ ”
“ จะฆ่าข้าก็รีบฆ่าข้าซะ มัวชักช้าอยู่ทำไม ” พยัคฆ์วารี รู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาที่จะตอบโต้อะไรได้
“ จุ๊ๆๆ อย่าพูดอย่างนั้นสิ ฆ่าเจ้ามันก็น่าเสียดาย ข้าว่าเรามาเล่นอะไรสนุกๆกันหน่อยดีกว่า ”
อังกลาตู ยืนมือทั้งสองออกมา ก่อนปล่อยพลังอสุรมารเข้าสู่ร่างของ พยัคฆ์วารี
“ เจ้าจะทำอะไรข้า โอ๊ย..... ”
“ ก็บอกแล้วไง ทำอะไรที่มันสนุกๆ อย่างไรเล่า ฮะๆๆๆ ”
“ พลังอสุรมาร ภูติจุติแดนมาร ”
พยัคฆ์วารี ถูกพลังของ อังกลาตู เข้าแทรกซึม รู้สึกปวดหัวเหมือนจะระเบิด
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก  เจ็บเหลือเกิน อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ”
“ โอรส!!! ” เหล่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์ที่เหลืออยู่ ต่างพยายามเข้าไปช่วยเหลือแต่มิอาจฝ่าวงล้อมของเหล่าอสูรเข้าไปหาได้
“ จะปลดปล่อยออกมา ปล่อยชั่วร้ายที่อยู่ภายในจิตใจออกมา ”
“ อ๊ากกกกกกก ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ จะเก็บมันเอาไว้ทำไมจงปลดปล่อยมันออกมา  ......ออกมาซิ ”
“ อ๊ากกกกกกกกกก  ”
พยัคฆ์วารี กลิ้งตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด เวลานี้จิตมารเริ่มเข้าควบคุมเขา บังเกิดภาพหลอนที่ไม่เป็นจริง
“ เจ้าพี่ เจ้าพี่ พระเจ้าข้า ”
“ .....เพชรพยัคฆ์ ” ภาพของน้องชายที่ยืนเคียงคอกับคนที่เขารักกำลังผุดขึ้นในหัวสมอง
“ เพชรพยัคฆ์ ช่วยด้วย .......ช่วยพี่ด้วย ”  พยัคฆ์วารี ยื่นมือไขว้คว้าของความช่วยเหลือ
“ ได้สิพระเจ้าข้า น้องจะช่วย  จะช่วยเจ้าพี่ ” ทั้งสีหน้าและแววตาของ เพชรพยัคฆ์เต็มไปด้วยความน่ากลัว
ไม่รู้ว่า เพชรพยัคฆ์ หยิบดาบขึ้นมาจากไหน ก่อนที่จะกระหน่ำแทงไปที่ร่างของ พยัคฆ์วารี
“ ฉึกๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ อ๊ากกกกกกกกก  ......เพชรพยัคฆ์  ” สีหน้าของ พยัคฆ์วารี ทั้งเจ็ดปวดและไม่เชื่อ
“ ตายซะ ตายไปซะเถอะเจ้าพี่  ฮะๆๆๆๆ ”
ด้านเกลียวสวรรค์ เดินเข้ามาจูบกับเพชรพยัคฆ์พลางพูดว่า
“ เสด็จพี่ ผ่าเอาหัวใจของโอรสออกมาให้น้องดูหน่อยสิเพคะ น้องอยากเห็นเหลือเกิน ”
“ ได้สิ ถ้าเจ้าต้องการ ”
“ ไม่ อย่า.......... อ๊ากกกกกกกกกกกกก ”
“ นี้ไงล่ะ หัวใจของเจ้าพี่ ฮะๆๆๆ ”
พยัคฆ์วารี ส่งเสียงร้องอย่างโหยหวนก่อนที่ หัวใจ ของเขาจะถูกกระชากออกมา เกลียวสวรรค์ รับหัวใจ ของ พยัคฆ์วารี มาถือ ก่อนบีบจนแหลกคามือท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสอง พยัคฆ์วารี มองดูทั้งสองด้วยความเครียดแค้นและเจ็บปวด
“ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
“ โอรส!!!! ”
เหล่ากองรบพยัคฆ์สวรรค์ ส่งเสียงร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพของ พยัคฆ์วารี ที่กระตุกตัว อย่างแรง
“ ไม่.....ไม่..... ” พยัคฆ์วารี พูดเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนแน่นิ่งไป
แต่เพียงแค่ครู่เดียว พยัคฆ์วารี ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ทั้งๆยังได้รับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก
“ โอรส ”
ในทีแรกทุกคนต่างดีใจที่เขาลุกขึ้นมาได้ทำให้กำลังใจฮึดสู้กลับมาอีกครั้งแต่ก็ต้องต่างพากันถอยกรูเมื่อเห็นพยัคฆ์วารี มีท่าทีแปลกๆไป
“ เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร? เจ้าจำได้หรือเปล่า? ”
เสียงของ อังกลาตู เอ่ยถาม ด้วยสีหน้าที่สุดแสนเจ้าเล่ห์
“ ข้าเป็นใคร? ” พยัคฆ์วารี ทวนคำอย่างช้าๆ ก่อนส่ายหน้าด้วยดวงตาที่เหม่อลอย
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงหันไปมองพวกนั้นซิ ”
พยัคฆ์วารี เหมือนกลายเป็นหุ่นเชิดไม่ว่า อังกลาตู จะสั่งอะไรก็ทำตามเสียทุกอย่าง
“ เจ้าเห็นอะไรไหม? ”
“ เห็น...... ข้าเห็นเสือ ” พยัคฆ์วารี ตอบอย่างช้าๆ
“ ดี เสือพวกนั้นแหละคือศัตรู ของเจ้า จงฆ่า ฆ่า พวกมันสิ ฆ่า พวกมันให้หมด ”
“ ศัตรู ”
พยัคฆ์วารี ค่อยๆ เดินเข้าหากองรบพยัคฆ์สวรรค์
“ โอรส!!! ไม่พระเจ้าข้า ทรงเข้มแข็งไว้ ”
“ ศัตรู? ”
“ ฆ่า  ต้องฆ่าให้หมด ”
“ โอรส!!!! ” ยิ่ง พยัคฆ์วารี เข้ามาใกล้ พวกเขายิ่งถอย
“ ศัตรู ต้องฆ่า ฆ่า ฆ่าให้หมด ”
ทั้งสีหน้าและแววตาของ พยัคฆ์วารี มีแต่รังสีที่เข่นฆ่าอย่างรุนแรง
“ ฆ่า ฆ่าให้หมด ”
“  ฮะๆๆ ดี  ...ใช่แล้ว ฆ่า จงฆ่า พวกมันซะ ”
“ ไม่พระเจ้าข้า โอรส!!!!!!!!!!! ”
“ ฉับบบบบบบบบบบบ ”
ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากของ พยัคฆ์วารี นอกจากเสียงของดาบต้องกับอากาศเท่านั้น
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ”  กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกสังหารตายภายในดาบเดียว เลือดพุ่งกระฉูดออกจากร่างเหมือนเขื่อนที่พังทลาย
กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ตัดสินใจถอยหนีรีบเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า พยัคฆ์วารี ที่ได้รับบาดเจ็บภายในเมื่อออกแรงถึงกับทรุดตัวลงกับพื้น
“ ไปซะ ไปฆ่าพวกมัน ข้าสั่งเจ้าได้ยินไหม? ”
พยัคฆ์วารี ที่ตอนนี้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แม้บาดเจ็บหนักแต่ก็ทำตาม อังกลาตู สั่ง ยิ่งเขาขยับตัวอาการก็ยิ่งทรุดแต่กลับไม่แสดงสีหน้าความเจ็ดปวดใดๆออกมา
“ ดีมาก ”
อังกลาตู หันมาสั่งกองรบมาร
“ พวกเจ้าอยู่เฝ้าค่ายที่นี้แค่ ๒,๐๐๐ ก็พอ ที่เหลือตามข้ามา เราจะไปร่วมกำลังกับแสงฤทธิ์ และถล่มนครอัญจารีให้ราบเป็นหน้ากลอง ”
“ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ” กองรบมารโห่ร้องด้วยความยินดี ท่ามกลางแววตาที่เลื่อนลอยของ พยัคฆ์วารี
จบตอนที่ ๔๖ ครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น