ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #49 : สูญจักรทะลวงขีดจำกัด พลังอสุรเทพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 317
      0
      3 ส.ค. 49

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๔๙ สูญจักรทะลวงขีดจำกัด พลังอสุรเทพ

                    เปมิกา นั่งอยู่บนที่นอนในกระโจมค่ายที่พักของนาง เพ่งพินิจ ดูคัมภีร์อสุรมาร ที่แย่งมาได้จาก อังกลาตู โดยบังเอิญ ทีแรกเสด็จพ่อของนางจะเก็บไว้เอง แต่เนื่องจากต้องพา พยัคฆ์วารี กลับไปพักรักษาตัวที่นครอัญจารีด้วยพระองค์เอง จึงมอบคืนให้กับ เปมิกา เก็บเอาไว้ชั่วคราว

    'คัมภีร์นี้มีประโยชน์อะไรต่อ อังกลาตู หนักหนามันถึงห่วงคัมภีร์เล่มนี้มากกว่าตัวมันเองอีก'

    ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจหากแต่ อังกลาตู ก็ใช่ว่าจะห่วงคัมภีร์เล่มนี้เท่านั้นอีกเล่มที่อยู่ในมือก็คงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน  เปมิกา พลิกเปิดดูคัมภีร์เล่มนี้ เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดที่ผิดปกติหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย

    "หนังสือบ้าอะไรกัน??? ตัวหนังสือซักตัวก็ยังไม่มี เจ้าอังกลาตูถ้าไม่บ้าก็โง่เต็มที ถึงได้เก็บหนังสือเล่มนี้เอาไว้จนป่านนี้ เฮ้อ...."

    เปมิกา ขี้เกียจที่จะสนใจในคัมภีร์เล่มนี้อีก โยนคัมภีร์ลงบนโต๊ะข้างๆที่นอน ก่อนล้มตัวลงไปนอน

    "พรุ่งนี้ยังต้องมีเรื่องวุ่นวายอีกมาก รีบนอนพักตั้งแต่หัวค่ำจะดีกว่า อย่างน้อยก็โชคดีที่กองทัพอสูรยังไม่บุกมาในตอนนี้"

    หากไม่ได้หญิงสาวลึกลับ ทำลายค่ายที่ตั้งอสูร เปมิกา คงไม่ได้นอนหลับสบายเช่นนี้เป็นแน่  ความเหนื่อยล้าจากการสู้รบทำให้นางหลับไปอย่างรวดเร็ว เวลาล่วงเลยมาจนค่อนคืน ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดมัวปราศจากแสงจันทร์เพราะเมฆบดบัง ในกระโจมของ เปมิกา นางยังคงนอนหลับเช่นเดิม หากแต่จู่ๆก็บังเกิดมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

    "วูบๆๆๆๆ"

    คัมภีร์อสุรมาร เกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เปล่งแสงสีเขียวขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะก่อเกิดลำแสงสีดำก่อรูปเป็นคน คนหนึ่งขึ้นมา ลักษณะเหมือนพวกโยคีทั่วไป หากแต่นุ่งดำห่มดำทั้งชุด ส่วนคัมภีร์เล่มอสุรมารก็ลอยขึ้นมาอยู่ที่หน้าคน คนนั้น

    "เช้งงงงงงงงง"

    ดาบปราบลิขิตฟ้า รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น กระชากตัวเองออกจากฝัก เข้าคุ้มกันให้กับ เปมิกา ในทันที ปลายดาบลอยอยู่เบื้องหน้าผู้บุกรุก

    "พระธิดา ทรงตื่นบรรทมเถอะ"

    เสียงแหบเพร่าและเยือกเย็น ทำเอาผู้ที่ได้ยินยังต้องขนลุก แต่เพียงแค่ประโยคเดียวไม่น่าเชื่อว่าจะบุกให้ เปมิกา ตื่นขึ้นมาได้

    "หะ"

    เปมิกา ตกใจ เมื่อตื่นขึ้นมามองเห็นคนแปลกหน้าอยู่ใกล้ที่นอนของนาง รีบกระโดดถอนห่างออกมา แต่ไม่ลืมคว้าดาบปราบลิขิตฟ้าที่ลอยอยู่มาใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว

    "เจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไรถึงเข้ามาในกระโจมของข้า   อ๊ะ...คัมภีร์อสุรมาร!!!!......."  เปมิกา มองเห็นคัมภีร์อสุรมาร จึงคิดว่าคนผู้นี้คงเข้ามาขโมยคัมภีร์อสุรมารเป็นแน่

    "ข้าชื่อธุลี เป็นศิษย์แห่งท่านอาจารย์มหาสะปะโยคีดำ"

    "พวกโยคีดำ!!!!!"  เปมิกา อุทานด้วยความตกใจ

    เหล่าโยคีดำล่มหายตายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว แล้วเหตุใดเหล่าสาวกโยคีดำ ยังคงหลงเหลืออยู่

    "เจ้าเป็นพวกเดียวกับอังกลาตู อย่างนั้นหรือ? งั้นก็จงตายซะ"

    เปมิกา แทงดาบเข้าที่หน้าอกของ ธุลี ในทันที เพราะไม่ต้องการให้คัมภีร์อสุรมาร ตกไปอยู่ในมือของ อังกลาตู อีก แต่จู่ๆพลันเกิดมิติที่ประหลาดขึ้น เปมิกา กับ ธุลี หายเข้าไปในอีกห้วงมิติหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่านางอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั้นมีอาศมของเหล่าฤษีอยู่ มากมายหลายหลังจนละลานตา

    "ที่นี้คือที่ไหนกัน?"

    เปมิกา จ้องมองบริเวณโดยรอบ ไม่เห็นผู้คนแต่อย่างใด มีเพียงนางและธุลี ยืนอยู่เท่านั้น ส่วน คัมภีร์อสุรมาร ก็ลอยคว้างอยู่เช่นเดิม ธุลี ไม่ยื่นมือเข้าไปหยิบจับแม้แต่น้อย

    "เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ถึงพาข้ามาที่นี้ อย่านึกว่าทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ข้ากลัววิชาอาถรรพ์ของเจ้าได้"

    เปมิกา ตั้งท่าสู้อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมประมาทแม้แต่เพียงเสี้ยวเวลาเดียว เพราะรู้ถึงความร้ายกาจของพลังอสุรมารดี

    "ที่นี้เคยเป็นที่อยู่ของข้าและท่านอาจารย์ แต่มันเป็นอดีตที่นานมาแล้ว" แววตาของ ธุลี ดูเศร้าและหม่นหมองเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต

    "พระธิดาอย่าได้ทรงกลัวข้าไปเลย เวลานี้สังขารของข้าได้สูญสลายไปนานแล้วไม่มีประโยชน์อันใดที่พระธิดาจะต้องสังหารข้าหรอก ที่เห็นอยู่ตรงหน้าพระธิดาในเวลานี้ เป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณของข้าเท่านั้นเอง ข้าใช้พลังที่มีอยู่น้อยนิดนำพาพระธิดามาในห้วงเวลานี้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์บางอย่างให้ทรงทราบ"

    "นี้เจ้ากำลังจะเล่นตลกอะไร?" เปมิกา ยังไม่เชื่อและไว้ใจในตัว ธุลี แต่ ธุลี เอง ก็ไม่ได้คิดที่จะพูดแก้ตัวแต่อย่างใด เพราะเมื่อนางได้รับรู้สิ่งที่เขากำลังจะบอกเล่าก็จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเอง

    "เชิญเถอะพระธิดา เชิญทอดพระเนตรภาพอดีตในครั้งกระโน้นเถอะ"

    หลังสิ้นเสียงของ ธุลี ภาพในห้วงมิติเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ปรากฏภาพของเหล่าโยคีดำมากมายรวมทั้งภาพของคนผู้หนึ่งที่สำคัญยิ่งต่อเหล่าสาวก

    "มหาสะปะโยคีดำ!!!!"

    "นี้มันเรื่องจริงหรือว่าความฝันกันแน่" เปมิกา เบิกตามองและพูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตัวเอง

    ภาพต่างๆเหล่านั้นดำเนินไปอย่างช้าๆและต่อเนื่องให้เปมิกาได้เห็น..............นานแล้วนานมามาก จนทุกคนลืมเลื่อน  ในช่วงนั้นลิทธิโยคีดำ รุ่งเรืองอย่างยิ่งยวดเป็นคู่อริกับเหล่าโยคีทั้งหลาย  มหาสะปะโยคีดำ เป็นอัจฉริยะของเหล่าโยคีดำ ในเวลานั้น ก้าวขึ้นสู่ผู้นำของเหล่าโยคีดำทั้งมวล มหาสะปะโยคีดำ คึกคะนองในเดชพระเวทย์มนตราของตน กระทำการอันหยาบช้า ระรานโลกไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่ง เหล่าเทพ มนุษย์ และอสูร กระทั่งเหล่าโยคีทั่วไปก็ได้รับความเดือนร้อนเช่นกัน มหาสะปะโยคีดำ สั่งสอนเหล่าสานุศิษย์ให้กระทำแต่ความชั่วร้าย  แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดแล้ว พันวจี กับ ธุลี เป็นศิษย์ที่ มหาสะปะโยคีดำ ให้ความเอ็นดูมากและรักมากที่สุด ด้วยความฉลาดของเขา ต่อมาได้บัญญัติ วิชาพลังอสุรมารขึ้นมา สร้างความเคารพและศรัทธาให้กับเหล่าศิษย์เป็นอย่างมาก  หลังจากบัญญัติวิชาสำเร็จ มหาสะปะโยคีดำ ก็ใช้พลังอสุรมารก่อกรรมทำเข็ญไม่มีที่สิ้นสุด ความอหังการของ มหาสะปะโยคีดำ สร้างความเดือนร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบกับโยคีรูปหนึ่งโดยบังเอิญ

    "หนึ่งในห้าเบญจมหาโยคี นันทสีดาบส"

    มหาสะปะโยคีดำ ดีใจยิ่งนักหากสามารถกำจัด นันทสีดาบส ได้ ก็เท่ากับว่าเขาเองก็ขึ้นอยู่ในทำเนียบ ปรมาจารย์เช่นกันและต่อไปอาจจะเหนือกว่าโยคีที่เหลืออีกทั้งสี่อีกด้วย

    "นันทสีดาบส หากเจ้ายอมคุกเข่าขอร้องข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า"

    นันทสีดาบส ไม่ได้โมโหหรือโกรธในคำพูดของ มหาสะปะโยคีดำ แต่อย่างใด กลับพูดขึ้นว่า

    "มหาสะปะ เจ้ายังสามารถกลับตัวกลับใจได้ วิถีทางธรรมยังเปิดรอเจ้าอยู่ หากยังรู้จักผิดชอบชั่วดี จงประพฤติตนเสียใหม่เถอะ"

    มหาสะปะโยคีดำ หาฟังไม่

    "ชิชะ คิดมาเทศนาข้าอย่างนั้นหรือ?  นันทสีดาบล ในเมื่อเจ้ารักวิถีทางธรรมนักข้าจะส่งเจ้าขึ้นสู่แดนสุขาวดีเอง"

    มหาสะปะโยคีดำ เร่งพลังอสุรมารหมายสังหาร นันทะสีดาบส ในคราเดียว

    "ฟ้าววววววววววววว เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง"

    "อ๊อคคคคคคคคคคคคคค"

    เพียงแค่การปะทะเพียงครั้งเดียว มหาสะปะโยคีดำ ก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป มิหนำซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย แทนที่ นันทสีดาบส จะสังหารเขาเพื่อขจัดภัย กลับเทศนาธรรมสั่งสอนแทน ไม่รู้คำเทศนาของ นันทสีดาบส จะลึกซึ้งถึงเพียงไหน แต่ มหาสะปะโยคีดำ เหมือนถูกใครเอาค้อนทุบเข้าที่หัวใจอย่างแรง  สภาพเหมือนกับคนที่ไร้วิญญาณ  หลังจากเทศนาสั่งสอนแล้ว นันทสีดาบส ก็จากไป พันวจี และ ธุลี นำอาจารย์กลับมาที่อาศม ด้วยความเป็นห่วง และเฝ้าดูแล รักษาอาจารย์อยู่ตลอดเวลาไม่ยอมห่าง

    "ไม่ ไม่ อย่า....... ข้าไม่เอา ข้าไม่ทำอีกแล้ว"

    มหาสะปะโยคีดำคล้ายเสียสติ พร่ำเพ้ออยู่ตลอดเวลา แม้แต่คัมภีร์อสุรมารที่เขาเขียนไว้ ก็ถูกทำลายนับครั้งไม่ถ้วนแต่อนิจจา เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง คัมภีร์อสุรมาร ซึมซัมความชั่วร้ายเอาไว้มากเกินกว่าที่จะทำลายได้  มหาสะปะโยคีดำ ปิดกั้นตัวเองไม่ยอมให้ใครเข้าพบ ไม่ยอมดื่มกินน้ำและอาหาร นั่งมองคัมภีร์อสุรมาร คิ้วขมวดจรดเช้าจรดเย็น  ข่าวการพ่ายแพ้และเสียสติของ มหาสะปะโยคีดำ แพร่สะพัดไปทั่วสร้างความไม่พอใจให้กับเหล่าลูกศิษย์ที่เหลือเป็นอย่างมาก และแล้ววันหนึ่ง พันวจี และ ธุลี ก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องของ อาจารย์ ดังขึ้นมาว่า

    "ข้ารู้แล้ว ฮะๆๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว ฮะๆๆๆ"

    "ปังงงๆๆๆๆ"

    "ท่านอาจารย์ ตอบด้วยขอรับ ท่านอาจารย์"

    ไม่มีเสียงตอบใดๆอีกจาก มหาสะปะโยคีดำ  ทั้งสองจึงได้แต่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู  มหาสะปะโยคีดำ ถึงแม้เหมือนจะบ้าแต่ความอัจฉริยะในตัวไม่ได้เหือดหายไป เขาตั้งหน้าตั้งตา หาทางทำลายวิชาอสุรมารของตนเองมาโดยตลอด จนในที่สุด มหาสะปะโยคีดำ ก็ทำสำเร็จ พลังอสุรมาร เป็นแก่นแท้พลังของเหล่ามารที่มากมายเหนือนับคณาไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอนันตตลอดกาล  หากต้องการทำลายมีเพียงวิถีธรรมและขอบเขตแห่งการสูญสิ้นเท่านั้น  และแล้วในที่สุด มหาสะปะโยคีดำ ก็ได้บัญญัติวิชาใหม่ขึ้นมาเรียกว่า พลังอสุรเทพ เพื่อมาลบล้างความผิดที่เคยทำในอดีต  แต่น่าเสียดาย วาระสุดท้าย ของชีวิตก็มาถึงเสียก่อน  มหาสะปะโยคีดำ เหลือเวลาเพียงน้อยนิด เท่านั้น เรียก พันวจี กับ ธุลี เข้ามาในห้อง ก่อนสั่งเสียว่า

    "พวกเจ้านำคัมภีร์สองเล่มนี้หนีออกไป อย่าให้มันตกอยู่ในมือคนที่ชั่วร้ายเป็นอันขาด พวกเจ้ารีบฝึกวิชาในคัมภีร์พลังอสุรเทพ แล้วทำลายคัมภีร์พลังอสุรมารให้ได้ อย่าทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง"

    สุดท้าย มหาสะปะโยคีดำ ก็จากไปอย่างสงบ

    "ท่านอาจารย์!!!!"

    "ฮือๆๆๆ ท่านอาจารย์"

    พันวจี และ ธุลี รู้ว่าไม่มีเวลาอีกแล้วกราบลาศพอาจารย์ รีบนำคัมภีร์ทั้งสองเล่มหลบหนีไป แต่โชคร้ายเหล่าศิษย์อื่นๆที่เหลือต่างรู้ว่า มหาสะปะโยคีดำ บัญญัติ วิชาใหม่สำเร็จและต้องการยึดครอง ต่างออกไล่ล่าทั้งสองคน แม้กระทั่งฆ่าฟันกันเองก็มี  พันวจี และ ธุลี หนีตายไปด้วยความยากลำบาก ระหว่างหลบหนี พันวจี ได้รับบาดเจ็บสาหัส รู้ตัวว่าอยู่ได้อีกไม่นาน จึงตัดสินใจให้ ธุลี นำคัมภีร์ทั้งสองเล่มหนีไปแต่เพียงผู้เดียว

    "ย๊ากกกกกกกกกกกก"

    "อ๊าคคคคคคคคคคคคคค"

    "พันวจี!!!!"

    "อย่าห่วงข้ารีบหนีไป"

    "แต่ว่า..................."

    "รีบหนีไปซะ อย่าทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง รีบหนีไปซะ ธุลี"

    "ขอโทษด้วย พันวจี  ข้าขอลาก่อนหากชาติหน้ามีจริงเราคงได้กลับมาเป็นเพื่อนตายกันอีก"  ธุลี หลบหนีไปปล่อยให้ พันวจี ต่อสู้แต่เพียงลำพัง

    พันวจี ต่อสู้กับเหล่าศิษย์คนอื่นอย่างกล้าหาญแต่สุดท้ายก็จบชีวิตลง

    "อ๊ออคคคคคคคคคคคคคค"

    ธุลี นำคัมภีร์ทั้งสองหนีมาอย่างสุดแรงและสุดกำลังแต่ก็ไปไม่รอด ระหว่างหลบหนีก็ถูกหอกเล่มหนึ่งปักเข้าที่กลางหลัง บาดเจ็บใกล้จะเจียดตาย และหลงเข้าไปยังในถ้ำแห่งหนึ่ง

    "ท่านอา.....จารย์  ศิษย์ขออภัยด้วย ที่ไม่อาจสามารถทำความประสงค์ของท่านอาจารย์ได้"

    ธุลี รู้ตัวดีว่าตัวเองก็คงไม่รอดเช่นกัน จึงตัดสินใจ  กระทำการสิ่งหนึ่งที่เสียสละตัวเองอย่างยิ่ง

    "ข้าจะไม่มีวันให้คัมภีร์อสุรเทพต้องแปดเปื้อนความชั่วร้ายเป็นอันขาด ความหวังของท่านอาจารย์ต้องไม่สูญสลายไปพร้อมกับข้า"

    ธุลี ตัดสินใจใช้เลือดเนื้อของตนเอง สลายร่างปกปิดตัวอักษรทั้งหมด พร้อมผนึกวิญญาณปกป้องคัมภีร์อสุรเทพเอาไว้ 

    "อ๊ากกกกกกกกกกกกกก"

    เสียงร้องของ ธุลี นำพาให้เหล่าศิษย์ที่เหลือเข้ามาเปิดฉากฆ่าฟันเพื่อแย่งชิง คัมภีร์ ทั้งสองเล่มภายในถ้ำแห่งนั้น สุดท้ายเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่มีอยู่ต่างฆ่าฟันกันเหลืออยู่เพียงคนเดียวที่ได้คัมภีร์ไปครอบครอง

    "ฮะๆๆๆ ในที่สุดคัมภีร์ทั้งสองเล่มก็ตกเป็นของข้า"

    แสงที่ไล่ผ่านลอดถ้ำมาส่องให้เห็นโฉมหน้าของผู้ได้ชัย

    "อังกลาตู!!!!!"

    และแล้วในเวลาต่อมาเหล่าโยคีดำ ก็ได้หายไปจากโลกนี้จนถูกผู้คนลืมเลือน

    "นี้เจ้า!!!"  เปมิกาเหลียวมองธุลี ที่ยืนอยู่กับนาง และธุลีที่อยู่ในภาพห้วงแห่งกาลเวลา

    "นั้นคือภาพในอดีตของข้า ข้าเสี่ยงตายอุตสาห์นำคัมภีร์ทั้งสองหนีมา สุดท้ายก็ทำตามความต้องการของท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ"

    พูดจบ ธุลี ก็ร้องไห้ออกมา เปมิกา เองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางเองก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ ธุลี เล่ามาจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่

    "พระธิดา โปรดช่วยข้าด้วย โปรดช่วยทำความฝันของอาจารย์ข้าให้สำเร็จด้วยเถอะ"

    "เจ้าจะให้เราทำอะไร?"

    "ช่วยฝึกวิชาในคัมภีร์พลังอสุรเทพแล้วทำลายคัมภีร์พลังอสุรมารแทนข้าด้วย"

    เปมิกา ตกใจ

    "พูดบ้าๆ เราจะฝึกได้อย่างไร เราไม่ใช่พวกโยคีดำเช่นเจ้าจะได้ฝึกวิชาอย่างนั้นได้?"

    ธุลี ตอบว่า

    "พระธิดาทรงมีจิตใจที่งดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความดี ย่อมจะฝึกมันได้แน่นอน หากพระธิดาไม่ทรงยอมช่วยข้า ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะฝึกมันได้"

    เปมิกา ไม่รู้ว่าจะรับปากดีหรือไม่

    "ได้โปรดเถอะ พระธิดา โปรดได้ทำตามคำขอร้องของข้าด้วยเถอะ ข้าเองก็เฝ้าปกป้องคัมภีร์มานานมาแล้วเหลือพลังอีกไม่มาก จากนี้ไปหากข้าสูญสลายไป ก็จะไม่มีใครปกป้องคัมภีร์นี้ได้อีกแล้ว"

    "ตกลง เรารับปากเจ้า" เปมิกา ตัดสินใจรับปาก ธุลี แล้ว

    สีหน้าของ ธุลี แช่มชื่นและมีความสุขจนไม่อาจบรรยายได้ ความหวังที่เคยสูญสลายมานานบัดนี้ เริ่มก่อขึ้นมาใหม่แล้ว

    "ขอบพระทัยพระธิดา  ที่ช่วยเหลือ วิญญาณของท่านอาจารย์คงจะได้เป็นสุขแล้ว"

    คัมภีร์อสุรเทพ ลอยอยู่เบื้อง ตัวหนังสือค่อยๆปรากฏทีละนิดจนครบ

    "ข้าต้องลาแล้วพระธิดา  ข้าดีใจที่ได้พบพระธิดาแม้จะเป็นเสี้ยวเวลาเพียงเล็กน้อยก็ตาม"

    และแล้วร่างของ ธุลี ก็จางหายไป  ห้วงมิติกาลเวลา พลันสูญสลาย เปมิกา ยังคงยืนอยู่ที่เดิมใน กระโจมของนางเอง เปมิกา ยืนมือหยิบ คัมภีร์อสุรเทพ ที่ลอยอยู่ ก่อนนั่งลงบนที่นอน พลิกเปิดอ่านที่หน้าแรก อย่างละเอียด จนถึงหน้าสุดท้าย

    "ยอดจริงๆ ยอดเยี่ยมมาก"

    เปมิกา ไม่คาดคิดเลยว่า คัมภีร์ ที่บัญญัติ โดยคนที่ชั่วร้ายอย่าง มหาสะปะโยคีดำ จะบริสุทธิ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีทางคุณธรรมถึงเพียงนี้

    "มหาสะปะโยคีดำ เป็นอัจฉริยะบุคคลจริงๆ"

    หากเพราะเขาไม่หลงเดินทางผิด เจ้าของวิชาคงไม่สบชะตากรรมที่โชคร้ายเช่นนี้ได้

    "ไหนๆก็ไหนแล้ว ลองออกไปข้างนอกดีกว่า"

     เปมิกา  แอบออกจากค่าย ก่อนเหาะขึ้นสู่บนท้องฟ้าในยามราตี  เปมิกา นับว่าเป็นสตรีที่ฉลาดผู้หนึ่งนอกจากจะมีความจำเป็นเลิศแล้วยังเข้าใจแก่นวิชาได้โดยง่ายอีกด้วย

    พระธิดาแห่งอสูรวงค์พรหม นั่งขัดสามาธิ ลอยอยู่กลางเวหา รวมรวมกระแสจิต เพื่อเข้าสู่จุดสูงสุดของวิชาพลังอสุรเทพ  พลังอสุรเทพมีส่วนคล้ายกับพลังอสุรมาร แต่เป็นในทางตรงกันข้ามกัน พลังอสุรมาร เน้นพลังจากอบายทั้ง ๕ อันได้แก่ รัก โลภ โกรธ หลง  โมหะ สะท้อนสู่จุดศูนย์รวมพลังก่อเกิดความชั่วร้ายที่ไม่สิ้น  แต่พลังอสุรเทพกลับเน้นพลังที่ตรงกันข้าม คือ พลังจากจิตพิสุทธิ์ อันได้แก่ ธรรม เมตตา กรุณา ปัญเจก และ วัฎ สร้างศูนย์พลังดูดกลืนเข้าสู่สูญจักรเพื่อทำลายอนันตมาร ให้สิ้น และนับฟ้าประทานสวรรค์ต้องการ แนวทางพื้นฐานของพลังอสุรเทพในด้านจิต สอดคล้องกับ  พลังวิชาปราณจิตของอารยะดาบส โดยบังเอิญ ทำให้ เปมิกา ข้ามขั้นตอนการฝึกขั้นพื้นฐาน เข้าสู่ขั้นตอนระดับกลางและระดับสูงในทันที

    " ธรรม๕  เมตตา๕  กรุณา๕  ปัญเจก๕ วัฏ๕"

    มีจุดสัมพันธ์อีก ๓ จุดเหมือนกับวิชาพลังปราณจิต โคจรพลังผ่านกระหม่อมลงสู่ที่ท้องและกระจายไปทั่วร่างลงที่ฝ่าเท้าทั้งสอง โดยใช้ จิต สมาธิ และ แกนกลาง ในวิชาพลังปราณจิต เป็นตัวผันแปรพลังไม่ให้หลุดออกนอกการบังคับและควบคุม

    "ฟ้าวววววววววววววววว"

    "ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"

    เปมิกา รวมจิตสู่ศูนย์ พลังอสุรเทพ เดินตามแนวเดียวกับวิถีทางของ อารายะดาบส สายพลังนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นตามจิตสำนัก เข้าสู่ในจิตที่ลึกกว่า รวมหลอมเป็นหนึ่ง ทะลวงขีดจำกัด พลังที่ก่อเกิดใหม่ปรากฏขึ้นในร่างของนางอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    "สูญจักรเปล่งแสง  พลังอสุรเทพ"

    "ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ฟ้าวววววววววววววววววว"

    เปมิกา ใช้มือแทนดาบกวาดวาดพลังตามใจนึก เหนือขอบเขตที่เคยมีมา

    "พลังอสุรเทพ   เทวะปลิดชีพ    อัสนีทลายมาร  เทพสว่างแดนกระจ่าง สูญจักรกลืนหาย"

    พลังที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด ทำเอาทั้งสามโลกถึงกับสั่นสะเทือน

    "ครืนนนนนนนนนนน"

    "นี้มันเกิดอะไรขึ้น!!!"

    เหล่าเทพที่อยู่บนสวรรค์ ถึงกับตกตะลึง กับเหตุการณ์ประหลาดในครั้งนี้ วิมานของพวกเขาถูกแรงกระทบจากสนามพลังที่แผ่ออกมาจนสั่นสะเทือน

    เนื่องจาก เปมิกา เป็นนางเนรมิต แม้จะเฉลียวฉลาดเพียงใด ก็ไม่มีทางฝึกพลังถึงขั้นสูงสุดได้  โชคดีที่ได้อารยะดาบสเป็นอาจารย์และได้รับพรจากพระอิศวรทำให้มีความก้าวหน้าอย่างรวด  ถึงแม้สายพลังจากกว้างสักเท่าใดแต่หากขาดต้นกำเนิดแห่งพลังแล้ว ย่อมต้องไม่เพียงพอและเหือดหาย  พลังอสุรเทพมาชดเชยจุดที่สูญเสียทะลวงขีดจำกัดที่ปิดกั้นจนหมดสิ้น  นางจึงเป็นนางเนรมิตคนแรก ที่มีฝีมือก้าวขั้นขอบเขตที่เคยมีมาทั้งมวล

    แสงทองเริ่มจับขอบฟ้า  เริ่มร้องดังระงมให้ได้ยิน เปมิกา ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้า  นางสัมผัสพลังที่เกิดขึ้นใหม่ภายในร่างได้อย่างชัดเจน เปมิกา ในวันนี้ แตกจาก เปมิกา ในเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง

    "ธุลี ข้าจะทำให้เจ้าสมความปรารถนาให้ได้"

    ความฝันของธุลี บัดนี้มี เปมิกา เป็นผู้สานฝันให้แล้ว

    -------------------------------

    ภายในตำหนักแห่งหนึ่งในนครอัญจารี  ท้าววัลนุราช พา พยัคฆ์วารี มาพักรักษาตัว พร้อมทั้งจัดคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

    "หม่อมฉัน ทำให้พระองค์ต้องทรงลำบากแท้ๆ"

    พยัคฆ์วารี กราบทูลด้วยความเสียใจ

    "เจ้าอย่าได้คิดมาก พยัคฆ์วารี ควรรีบรักษาตัวให้หาย อีกไม่นานกองทัพอสูรก็จะยกทัพมาบุกอีก"

    ท้าววัลนุราชทรงหยิบโอสถขึ้นมา

    "ยานี้เราได้จากเทพสรรยา จะช่วยทำให้อาการหายเจ็บเร็วขึ้น"

    "เป็นพระมหากรุณาธิคุณ พระเจ้าข้า"

    พยัคฆ์วารี รับยาจากพระหัตถ์ และดื่มเข้าไป

    "เจ้าถูกพลังอสุรมาร ควบคุมได้อย่างไร พอจะบอกเราได้ไหม?"

    ใจจริง พยัคฆ์วารี ก็อยากจะบอก แต่เรื่องแบบนี้พูดไปแล้วก็เหมือนจะเจ็บตัวซะเปล่าๆ ท้าววัลนุราช ก็ทรงมองออกว่า คงเป็นเรื่องที่ พยัคฆ์วารี ไม่อยากบอกใคร จึงไม่คิดที่จะคาดคั้นเอาความจริง

    "เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่พรุ่งนี้เราจะให้เจ้านั่งสมาธิ ฝึกจิตให้เข้มแข็งขึ้น จำไว้ว่า พลังอสุรมาร จะทำอะไรเจ้าไม่ได้ หากจิตใจของเจ้าเข้มแข็งพอ

    "พระเจ้าข้า"

    "เข้าใจก็ดีแล้ว"

    ในขณะนั้นเอง เกิดคลื่นพลังบนท้องฟ้าอย่างรุนแรงและแผ่ซ่านไปทั่ว

    "ครืนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน"

    "เกิดอะไรขึ้นพระเจ้าข้า"

    พยัคฆ์วารี ได้ยินเสียงและการสั่นสะเทือนของฟ้าดิน

    "มีใครบางคนกำลังฝึกวิชาบางอย่างอยู่" พระองค์ทรงตรัสบอก

    "เจ้าอยู่ในห้องไม่ต้องออกไปไหน เราจะออกไปดูเอง"

    "พระเจ้าข้า"

    ท้าววัลนุราช เสด็จออกไปแล้ว ถึงแม้ พยัคฆ์วารี จะออกไปจากห้องไม่ได้ แต่ก็แอบมองเหตุการณ์อยู่ที่ริมหน้าต่าง

    "ใครกันที่มีพลังรุนแรงมากขนาดนี้   พลังนั้นอยู่เหนือขึ้นไปใกล้ๆกับที่ตั้งค่ายของพวกเราด้วย"

    พยัคฆ์วารี เป็นห่วงจะเกิดเหตุร้าย เพ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่วางตา

    "ในที่สุดนางก็สำเร็จวิชาแล้วหรือนี้"

    มีเสียงของอิสตรี ดังมาจากทางเบื้องหลัง พยัคฆ์วารี รีบหันหลังกลับไปมองในทันที หากแต่ทว่า พบแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น

    "นั้นใครนะ ออกมาเดี๋ยวนี้"

    ทหารที่เฝ้าหน้าตำหนักรีบเข้ามาภายในห้อง

    "ขอเดชะ ไม่ทราบว่าพระโอรส ทรงเรียกข้าสองคนมีเรื่องอันใดหรือ? พระเจ้าข้า"

    "เจ้าสองคนเห็นใครเข้ามาภายในห้องหรือเปล่า?"

    "ข้าสองคน เฝ้าอยู่หน้าตำหนักตลอดเวลา นอกจาก ท้าววัลนุราช ที่เสด็จมากับพระโอรสแล้ว ไม่มีใครเข้ามาอีกเลยพระเจ้าข้า"

    หรือว่า พยัคฆ์วารี จะหูฝาดไปเอง

    "เจ้าสองคนออกไปได้แล้ว"

    "พระเจ้าข้า"

    ทหารทั้งสอง กราบบังคม ก่อนออกไป  พยัคฆ์วารี เฝ้ามองดูเหตุการณ์อีกพักหนึ่ง แต่เมื่อไม่เห็นมีอะไรแล้ว จึงมานั่งที่โต๊ะ พร้อมกับครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์ ตอนที่ถูก อังกลาตู ใช้วิชาเข้าครอบงำ

    "เกลียวสวรรค์ นี้ข้ายังไม่ลืมเจ้าไปจากใจจริงๆหรือนี้"

    หากต้องเผชิญหน้ากับ อังกลาตู อีกครั้ง พยัคฆ์วารี เอง ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถต่อกร กับ อสูรที่ชั่วร้ายเช่นนั้นได้หรือไม่

    "เฮ้อ!!!!....."

    พยัคฆ์วารี ถอนหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้น

    "กังวลไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้เราต้องฝึกวิชากับท้าววัลนุราช ตั้งแต่เช้า"

    ระหว่างนั้นเอง พยัคฆ์วารี ก็สังเกต เห็นอะไรบางอย่าง

    "อ๊ะ......"

    กระจกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ สะท้อนของหญิงสาว ผู้หนึ่ง กำลังยิ้มอยู่ นางเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แม้ไม่เขาไม่ค่อยเหลียวมองดูผู้หญิงก็ยังดูออก

    "เฮ้ย!!!!!"

    พยัคฆ์วารี เอามือขยี้ตา ก่อนมองไปที่กระจกอีกครั้ง ภาพนั้นไม่ได้หายไปแต่อย่างใด พยัคฆ์วารี รีบหันหลังไปมองดูนาง

    ".................."

    แต่ทว่าไม่มีหญิงสาวคนนั้นอีกแล้ว ภาพสะท้อนในกระจกก็ได้หายไป

    "นางเป็นใครกันแน่?"

    พยัคฆ์วารี ต้องไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน

    "เจ้าเป็นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้นะ"

    ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกอย่างไร ก็ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น

    "เจ้าแน่มาก อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน"

    ในเมื่อนางไม่ยอมออกมา พยัคฆ์วารี จึงเดินไปยังที่เตียง ก่อนล้มตัวลงนอน

    "อสูรทั้งกองทัพข้ายังไม่กลัว ภูตผีปีศาจแค่ตนเดียวอย่างเจ้ามีหรือข้าจะกลัว"

    ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาแต่อย่างใด  โอรสแห่งเทพพยัคฆ์  มองดูรอบๆห้องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลง ระหว่างนั้นมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาเล็กน้อย เพียงได้กลิ่น พยัคฆ์วารี ก็เคลิ้มหลับไปในทันที

    "วูบบ"

    หญิงสาวที่ พยัคฆ์วารี เห็นปรากฏอยู่ที่ข้างตัวบนที่นอน

    "รู้มากจริงนะ เจ้าแมวเหมียว"

    หญิงสาว ยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู พร้อมกับหายตัวไป หลงเหลือไว้ก็แต่เพียง กลิ่นหอม ของนางที่ยังคงอบอวลอยู่ในห้อง

    จบตอนที่ ๔๙ ครับ

    ตัวละครหลักๆ มีดังนี้ครับ

    ตัวละครเทพ

    ฝ่ายนาค

    1. อินทรานาคราช(พ่อของมยุราเทวี)

    2. อัคคีนาคา

    3. เมธาวดี

    4. กุสุมาวดี

    5. กรรณิการ์นาคี

    ฝ่ายเทพอสูร

    1. ตรัยสูร

    2. เปมิกา

    3. หัสกัณฐ์

    4. ท้าววัลนุราช

    ฝ่ายเทพธิดา

    1. วรมณีเนตร(เพื่อนเก่าของกัลย์ปาอสูร)

    2. นันทาเทพธิดา

    ฝ่ายเทพวายุ

    1. อนันตวาโย

    2. รังมานุ

    3. นิลสาร

    ฝ่ายวิหค

    1. สุบรรณ

    2. มยุราเทวี

    3. โภคินันท์

    4. นิลบุตรปักษี

    5. แก้วกุสุมาลย์(แม่ของมยุราเทวี)

    ฝ่ายพยัคฆ์

    1. เทพพยัคฆ์(พ่อ)

    2. องค์หญิงหิมะ(แม่)

    3. พยัคฆ์วารี(ลูก)

    ฝ่ายเทวะ

    1. ไอยสวรรคราช

    2. อัมภาวดี

    3. น้ำทิพย์ที่สาม

    4. อัญชันสีม่วง

    ฝ่ายเทพธิดาดอกไม้สวรรค์

    1. ชมพูมรกต (มณีมรกต+ชมพูมุกดา)

    2. ผกากรอง(น้องสาว)

    ตัวละครฝ่ายอสูร

    1. กัลย์ปาอสูร(จ้าวอสูร)

    2. ทมิฬดำ(กุนซืออสูร)

    กลุ่มขุนพลเงา

    3. อสูรน้ำ

    4. อสูรโลกันย์

    5.โกมายูร

    6. ลัมไพรี

    7. ดอกไม้ป่า

    กลุ่มขุนพลมาร

    8. พลาสูร(บาดเจ็ดสาหัส)

    9. มหิงสูร(ตาย)

    10. ชาเรกัณฐ์(ตาย)

    11. แสงฤทธิ์

    12. อังกลาตู

    13. มันจาปา

    14. บาลมารอสูร

    15. เทวิณา

    16. มายาวี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×