ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #8 : ......๘ เทพแยกกันรบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 340
      2
      21 เม.ย. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๘ ……๘ เทพแยกกันรบ



        …..จะกล่าวถึงประสาทเทพปักษา ที่ตั้งอยู่ในขุนเขาไกรลาศ ในตำหนักที่ประทับของ สุบรรณ ขณะนี้กองสอดแหนมสืบหาข่าวของ เผ่าพันธุ์วิหค กำลังรายงานข่าวที่ได้รับให้กับ สุบรรณ ทรงทราบ



    “ เรียนท่านสุบรรณ ขณะนี้  เราได้รับแจ้งข่าวจากกองแสดแหนมว่า มีค่ายหนึ่งของ กองทัพประตูมนุษย์ ถูกตีแตก โดยฝีมือของ ๗ เทพ พระเจ้าข้า “



    สุบรรณ ยังคงนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยา หากแต่สีหน้ามีความยินดีปรากฏให้เห็น



    “คิดไม่ถึงว่า พวกเหล่าเทพและนกยูง หลานข้าจะทำงานกันได้เร็วขนาดนี้ ค่ายที่ว่าคือค่ายอะไร ? “



    “ ค่ายโครงกระดูก พระเจ้า “



    นิลบุตรปักษี ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สุบรรณ แอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อรู้ข่าวคราวของหญิงที่ตนแอบหลงรัก



    “ นกยูง ข้าดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าเจ้ายังปลอดภัยดี “



    ฝ่าย นิลกาฬหัสดายุ ถามข่าวจากทหารวิหคต่อ



    “ แล้วพวกทหารอสูรในค่าย หนีรอดไปได้บ้างหรือเปล่า ? “



    “ พวกทหารอสูร ไม่ไม่ใครหนีรอดไปได้เลยท่าน นิลกาฬหัสดายุ แต่…. “



    เห็นทหารวิหค หยุดพูดไป  นิลบุตรปักษี ก็เลยเอ่ยถามขึ้นแทน



    “ แต่อะไร ? “



    “ แต่.. ขุนพลมาร ของค่ายโครงกระดูก หนีไปได้ “



    ประกายตาของ สุบรรณ แข็งกร้าวขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดจากปากของ ทหารวิหค



    “ รู้หรือเปล่าว่ามันเป็นใคร ? “



    “ ขุนพลมาร พลาสูร ๑ ใน ๓ ขุนพลมารของ กองทัพประตูมนุษย์ พระเจ้าข้า “



    ผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์วิหค กดริมฝีปากแน่นก่อนออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด



    “ หาข่าวให้ได้ว่ามันอยู่ที่ไหน ? ถ้ารู้แล้วรีบแจ้งข่าวไปให้ นกยูง หลานข้ารู้โดยด่วน “



    “ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “



    ทหารวิหค ตนนั้น รีบออกจากตำหนัก ออกไปสืบหาข่าวในทันที แต่ในขณะเดียวกัน ที่หน้าประตูตำหนักกลับมีทหารวิหค อีกตนหนึ่งวิ่งเข้ามายังภายในตำหนัก



    “ เรียนท่านสุบรรณ ขณะนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พระเจ้าข้า “



    นิลบุตรปักษี เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ถามทหารวิหคกลับไป



    “ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? รีบบอกมาสิ “



    ทหารวิหค รีบรายงานให้ฟังในทันที



    “ ตอนนี้ กองทัพประตูนรกภูมิ เริ่มบุกเข้าโจมตี ปรภพ ( นรกภูมิ ) แล้ว กองกำลังจากเหล่าเทพในสรวงสวรรค์ที่ถูกส่งมาช่วย กำลังปะทะกับกองทัพประตูนรกภูมิ ส่วนทางด้าน นครจักรวรรดิ นครวิบูลย์ไพศาล และเหล่านครพันธมิตรของเหล่าเทพ ต่างก็ถูกโจมตีจากกองทัพประตูสวรรค์ เช่นกัน พระเจ้าข้า “



    “ แล้วพวกกองทัพประตูสวรรค์ บุกเข้ามายังเขาไกรลาศแล้วหรือยัง ? “



    ทหารวิหค ปฎิเสธ



    “ พวกมันยังไม่บุกเข้ามาเลย ท่าน นิลกาฬหัสดายุ แต่ทางนครบาดาล กำลังถูกทัพประตูนรกภูมิและทัพประตูสวรรค์ที่เคลื่อนพลแยกออกมาจากกองทัพหลักบุกอยู่ ขณะนี้เกิดการต่อสู้ที่ริมชายหาดเส้นทางเข้าสู่นครบาดาล “



    สุบรรณ รู้เข้าเช่นนั้น ก็รีบสั่งการ นิลบุตรปักษี ในทันที



    “ นิลบุตรปักษี เจ้ารีบพากำลังทหารวิหค ๓๐๐,๐๐๐ ตน รีบไปสมทบช่วยทาง นครบาดาล โดยด่วน ส่วนเจ้า นิลกาฬหัสดายุ เจ้านำกองกำลังของพวกเราทั้งหมด ตั้งรับศึกโดยรอบเขาไกรลาศ หากไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามถอนกำลังโดยเด็ดขาด “



    “  พระเจ้าข้า “



    ทั้งสองได้ยินคำสั่งจาก สุบรรณ รีบแยกย้ายกันปฏิบัติงาน กองกำลังทหารวิหค ที่มี นิลบุตรปักษี เป็นผู้นำ ทะยานเหาะขึ้นสู่ฟ้ารีบนำพลไปช่วยเหลือนครบาดาล ฝ่าย นิลกาฬหัสดายุ นำกองกำลังทหารวิหค สร้างค่ายอยู่รอบเขาไกรลาศ ตึงกำลังป้องกันการจู่โจมของทัพต่าง ๆ ที่จะบุกเข้ามา สถานการณ์ทั้ง ๓ โลกในขณะนี้วุ่นวายอย่างยิ่ง



    …๑ วันให้หลังจากทำลายค่ายโครงกระดูกสำเร็จ ๘ เทพ กำลังรวมตัวกันอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ห่างจากป่าโครงกระดูกไม่มากเท่าไร ทั้งหมดกำลังนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่ ตรัยสูร พูดค้างไว้ก่อนออกจากค่ายโครงกระดูก



    “ ตรัยสูร เจ้าจะบอกพวกข้าได้หรือยังว่า ที่เจ้าพูดก่อนออกจากค่ายโครงกระดูกหมายถึงอะไร ? “



    ตรัยสูร มองดูบริเวณรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบดักฟัง ก่อนพยักหน้ารับและเริ่มเล่าเรื่องที่ค้างไว้ให้พวก เปมิกา ฟัง



    “ พวกเจ้าฟังให้ดีนะ ตอนที่ข้ายิงลูกธนูออกไปถูก พลาสูร ข้าแอบส่งแมลงสื่อสารติดไปกับตัวของมันด้วย “



    มยุราเทวี ได้ยินที่ ตรัยสูร พูด รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง



    “  อย่างนั้น ก็หมายความว่า …“



    “ ถ้า พลาสูร ยังไม่ตายมันต้องซมซานกลับไปที่รังของมันแน่ ที่นี้แหละ พวกเราจะได้จัดการ ถล่ม พวกมันไม่ให้เหลือแม้แต่ซากเลย “



    ตรัยสูร พูดถึงแผนการที่เขาวางไว้ให้เหล่าเพื่อน ๆ ฟัง พลางเอนตัวไปข้างหลังนอนผิงยังต้นไม้ต้นหนึ่ง



    “ ไม่เลวนี้ ตรัยสูร เวลาแบบนั้นเจ้ายังคิดแผนแบบนี้ออกมาได้อีก ฉลาดไม่เบาเลยนะเนี้ย “



    นันทาเทพธิดา เอ่ยชม ตรัยสูร ฝ่าย ตรัยสูร ได้รับคำชมยิ้มจนหน้าบาน



    “ ข้าว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก “



    น้ำทิพย์ที่สาม พูดขัดออกมา น้ำเสียงคล้ายมีความกังวล หรือว่าแผนของ ตรัยสูร มีอะไรผิดพลาด ?



    “ หมายความว่าไง น้ำทิพย์ที่สาม ทำไมเจ้าถึงพูดออกมาแบบนี้ ? “



    อสูรหนุ่ม ถาม ขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของชายหนุ่ม



    “ กัลย์ปาอสูร มันไม่กระจอกอย่างที่เจ้าคิดหรอก ถึงแม้พวกเราจะรู้ที่ตั้งของ ภูผาอสูร แต่ข้าว่า กัลย์ปาอสูร คงจะตั้งด่านป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปได้ง่าย ๆ ไม่แน่ว่ากว่าพวกเราจะบุกเข้าไปได้ อาจจะได้เป็นหนูทดลองของ ๖ อาวุธฝ่ายมารที่ กัลย์ปาอสูร ชุบสำเร็จแล้ว “



    “ ๖ อาวุธ ฝ่ายมารแล้วไง กัลย์ปาอสูร ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินหรอกน่า ข้าไม่เชื่อว่ากะอีกแค่ เศษเหล็ก ๖ ชิ้นนั้น จะมีอานุภาพถล่มฟ้าทลายดินได้ “



    เปมิกา พูดอย่างเดือดดาลนางรู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดของ น้ำทิพย์ที่สาม



    “ ๖ อาวุธฝ่ายมารไม่ใช่ ธรรมดา นะ ดวงใจมาร มันทำมาจากโลหะที่แกร่งที่สุดในโลก แถมยังใช้ชีวิตของ ราชาอสูร ๖ ตน เพื่อทำให้อาวุธทั้ง ๖ ถึงมีชีวิตจิตใจขึ้นมา “



    อนันตวาโย บอกต่อ เปมิกา ให้ได้รู้ถึงความร้ายกาจของ ๖ อาวุธฝ่ายมาร



    “ เรื่องมันเป็นอย่างไร ? ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังสิ “



    อสูรสาวเริ่มสนใจในคำพูดของ อนันตวาโย ฝ่ายคนอื่น ๆ ก็นั่งฟังเทพหนุ่มผมยาวเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ๖ อาวุธฝ่ายมาร



    “ เท่าที่ข้ารู้มา จ้าวอสูร ตนก่อนใฝ่ฝันที่จะได้อาวุธที่ไร้เทียมทานที่สุดในโลก แต่ข้อเสียของอาวุธที่เหล่าพวกอสูรทั้งหลายมีอยู่ก็คือ มันไม่มีชีวิตจิตใจ เหมือนกับอาวุธของเหล่าเทพ ไม่สามารถใช้อาวุธที่มีอยู่ต่อสู้กับใครได้ดังใจต้องการ จ้าวอสูร จึงเสาะแสวงหาโลหะที่แกร่งที่สุดในโลก คือ อันตราโลหะ เพื่อนำมาสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิ์ฤทธิ์ร้ายแรงที่สุด “



    “ แล้วไงต่อล่ะ ถึงแม้จะได้อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงแต่ก็ใช่ว่าจะใช้ออกได้ดังใจต้องการไม่ใช่หรือ ? “



    อนันตวาโย พยักหน้ารับกับคำถามของ มยุราเทวี พลางเล่าต่อไป



    “ ถูกแล้ว นกยูง ถึงแม้ จ้าวอสูร จะสามารถสร้างอาวุธที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ถึง ๖ อย่างแต่มันก็ไม่มีชีวิตจิตใจรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้เป็นเจ้าของ จ้าวอสูร จึงทำการไล่ล่า ราชาอสูร ๖ ตนที่มีฝีมือไม่ด้อยกว่า จ้าวอสูร เลย มาเป็นเครื่องสังเวยทำพิธีชุบ ๖ อาวุธให้มีชีวิตขึ้นมา “



    อัคคีนาคา ได้ยินที่ อนันตวาโย เล่าให้ฟังถึงกับตาโต



    “ โอ้โห้ เอางั้นเลยเหรอ !!!!   ก็ไหนเจ้าบอกว่า ราชาอสูรทั้ง ๖ มีฝีมือ ไม่ด้อยกว่า จ้าวอสูร เลยไงล่ะ แล้วทำไมจ้าวอสูรถึงชนะพวก ราชาอสูร ๖ ตน นั้นได้ ? “



    อนันตวาโย ได้ยินคำถามจากนาคสาว ก็เล่าต่อไปอีก



    “ ก็เพราะว่า จ้าวอสูร มี ๖ อาวุธฝ่ายมารนะสิ ถึงสยบพวก ราชาอสูร ทั้ง ๖ ได้ แม้ตอนนั้นอานุภาพของมันยังไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังทำให้พวก ราชาอสูร ทั้ง ๖ ไม่มีชีวิตรอดแม้แต่ตนเดียว จ้าวอสูร จึงนำร่างและวิญญาณของพวก ราชาอสูรทั้ง ๖ ตนมาเป็นเครื่องสังเวยในการประกอบพิธีจน ๖ อาวุธฝ่ายมารมีชิวิตจิตใจขึ้นมา ในตอนนั้น จ้าวอสูร คิดว่าทุกอย่างพร้อมหมดแล้วจึงตัดสินใจนำพลมารอสูรบุกเข้าสวรรค์หมายยึดครองสวรรค์ให้ได้แต่ทว่า …… “



    “ แต่ทว่าอะไร ? “



    พยัคฆ์วารี ที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง



    “ แต่ทว่า จ้าวอสูร คิดผิดพลาดไป ถึงแม้ ๖ อาวุธฝ่ายมารจะชีวิตขึ้นมาแต่มันกลับไม่ยอมเชื่อฟังผู้เป็นเจ้าของ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เป็นความเคียดแค้นของพวก ราชาอสูรทั้ง ๖ ที่มีต่อ จ้าวอสูร ตนก่อนยังฝังลึกอยู่ในใจแม้กระทั่งร่างและวิญญาณถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ๖ อาวุธฝ่ายมารแล้ว แต่ความเคียดแค้นนั้นยังคงมีอยู่ เมื่อ ๖ อาวุธ ไม่ยอมฟังคำสั่งของเจ้านาย ศึกครั้งนั้น จ้าวอสูร จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน “



    ตรัยสูร ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ



    “ สมน้ำหน้า นี้แหละให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ไป ๆ มา ๆ ข้าว่า กัลย์ปาอสูร คงจะมีความฉลาดไม่ต่างจาก จ้าวอสูร ตนก่อนซักเท่าไร ร่างแฝงกับร่างหลักก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอก “



    อนันตวาโย ยิ้มรับกับความคิดของ ตรัยสูร แต่ก็ยังคงพูดต่อไป



    “ อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือว่า กัลย์ปาอสูร คงนำบทเรียนจากจ้าวอสูร ตนก่อนมาใช้ ที่มันกำลังทำพิธีชุบ ๖ อาวุธฝ่ายมารอยู่ก็คงเพื่อเสริมส่งอานุภาพของอาวุธทั้ง ๖ และหาวิธีหยุดความเคียดแค้นของ ราชาอสูร ที่ฝังลึกรวมอยู่ใน ๖ อาวุธฝ่ายมาร ถ้ามันทำสำเร็จก็เท่ากับว่า ๖ อาวุธฝ่ายมารจะไม่มีจุดอ่อนใด ๆ อีกแล้ว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงขึ้นมา อย่างว่าแต่โลกนี้เลย แม้แต่จักรวาล ก็อาจจะถูก กัลย์ปาอสูร ทำลายจนไม่เหลือ “



    เมื่อฟังเรื่องราวจากปากของ อนันตวาโย จบ สีหน้าของทุกคนต่าง ปรากฏแววกังวล อย่างชัดเจน



    “ แล้วนี้เราจะต้องทำอย่างไรกันดีล่ะ ?  ถ้าขืนชักช้าไปกว่านี้ไม่แน่ว่า ๖ อาวุธฝ่ายมารอาจจะชุบสำเร็จก่อน ถ้าเกิดชุบสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ พวกเราจะมีปัญญาต่อกรกับ ๖ อาวุธฝ่ายมาร นั้นได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? “



    นันทาเทพธิดา พูดออกมด้วยความกังวล ในใจเริ่มเป็นห่วงและหวาดกลัวในสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่



    “ มีแค่ทางเดียว เราต้องรอ รอจนกว่า พลาสูร จะเคลื่อนตัว “



    พยัคฆ์วารี บอกความเห็นของเขาต่อทุกคน



    “ งั้นลองมาดูกันสิว่า ตอนนี้ พลาสูร มันอยู่ที่ไหน ? “



    ตรัยสูร หยิบแมลงสื่อสารออกมา ภาพและเสียงปรากฏออกมาให้พวกเขาทั้งหมดได้เห็น ในตอนนี้ พลาสูร นอนหลับอยู่บนเตียงในห้อง ห้องหนึ่ง ตามตัวมีผ้าพันแผลปิดพันไว้อยู่ ที่ใบหน้าก็มีผ้าพันแผลพันไว้เช่นกันแต่พันไว้แค่เพียงครึ่งเดียว เจ้าของร่างยังนอนหลับสนิทไม่ไหวติง ในห้องไม่ได้มีแค่ พลาสูร เท่านั้นยังมีอสูร อีก ๒ ตน นั่งพูดจาคุยกันอยู่ และรอบ ๆ ยังมีนายกองอสูรอีกหลายตนรวมอยู่ด้วย



    “ ที่ค่ายโครงกระดูก เป็นอย่างไรบ้าง ? “



    อสูรที่สวมใส่อาภรณ์ผ้าสีดำแถบทอง บนหัวมีเขาอยู่ ๒ เขา ถาม อสูรอีกตนหนึ่ง ที่ตามตัวมีเกล็ดหนา สวมใส่อาภรณ์ผ้าสีเหลืองเขียว



    “ รายงานข่าวจากกองลาดตะเวนบอกมาว่าไม่มีใครรอดชีวิตเลย “



    อสูร ๒ เขา เอามือทุบโต๊ะอย่างแรง ท่าทางโมโหยิ่ง



    “ พวกมันเป็นใครกัน ? ถึงกล้าบังอาจเล่นงานค่ายโครงกระดูกซะพังยับเยินขนาดนี้  “



    “ จะมีใครซะอีกล่ะ มหิสูร ถ้าไม่ใช่พวกเหล่าเทพทั้ง ๗ “



    อสูรเกล็ดหนา เอ่ยบอก มหิสูร ขณะพูดสีหน้าก็มีความโกรธแค้น



    “ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่แล้วพวกเจ้าไปพบ พลาสูร ที่ไหนกัน ? “



    “ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ท่านขุนพลมาร มหิงสูร พวกข้าลาดตะเวนไปยังทางค่ายป่าโครงกระดูก ก็เลยคิดแวะเข้าไปในค่ายเผื่อจะได้ข่าวการเคลื่อนไหวของพวกเหล่าเทพ พอพวกข้าไปถึงค่ายโครงกระดูก ก็พบว่า ค่ายโครงกระดูกถูกทำลายเสียหายจนหมด เหล่าทหารอสูรของพวกเรานอนตายกันเกลื่อนอยู่ในค่ายและรอบ ๆ ค่าย พวกข้าจึงตัดสินใจกระจายกำลังกันออกค้นหาดูเผื่อว่าจะมีใครรอดชีวิตบ้าง พวกข้าค้นหาอยู่นานก็พบท่านขุนมาร พลาสูร นอนหมดสติอยู่เกือบสุดชายป่าที่ห่างจากป่าโครงกระดูกไปเกือบ ๒ โยชน์ ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกข้าจึงนำท่านขุนพลมาร พลาสูร มาที่นี้ “



    หนึ่งในเหล่านายกองอสูรของกองทัพประตูมนุษย์ตอบคำถามของ มหิงสูร



    “ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึง จ้าวอสูร พวกเราต้องแย่แน่ ๆ “



    มหิสูร เริ่มนึกหวั่นเกรงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหน้า



    “ เรื่องนั้นว่ากันทีหลังดีกว่า มหิงสูร ในตอนนี้เราต้องรีบรักษา พลาสูร ให้หายเสียก่อน บาดเจ็บหนักขนาดนี้ถ้าไม่รีบรักษาอาจจะตายก็ได้ “



    “ เฮอะ พลาสูร ตายไปข้าไม่ว่าอะไรหรอก แต่จะพาพวกเราซวยไปด้วยนะสิ ตอนนี้กองทัพประตูสวรรค์และกองทัพประตูนรกภูมิก็เริ่มบุกเข้าโจมตีนครพันธมิตรเหล่าเทพแล้ว แต่ทางพวกเราจะไม่ไปถึงไหนกันเลย เจ้าคิดหรือว่า จ้าวอสูร จะทรงพอพระทัย เรื่องนี้ยังจะมีเวลามาคุยกันทีหลังอีกเหรอ ? “



    มหิงสูร ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด ฝ่ายอสูรเกล็ดหนา ยังเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ



    “ เจ้าก็คิดมากไปได้ นี้เป็นแค่ความผิดครั้งแรก อีกอย่างกองทัพประตูมนุษย์ของพวกเรานอกจากมีหน้าที่บุกโจมตีโลกมนุษย์แล้ว ยังมีหน้าที่หาเสบียงอาหารให้กับอีก ๒ กองทัพที่เหลือ อย่างมาก จ้าวอสูร ก็แค่ทรงคาดโทษไว้เท่านั้น “



    “ แต่ความผิดครั้งนี้มันใหญ่หลวงมากนะ  ชาเรกัณฐ์ เจ้าคิดไว้บ้างหรือเปล่าจะหาวิธีไหนลบล้างความผิดนี้ได้ ? “



    ชาเรกัณฐ์ ยังทันไม่ตอบ แต่กลับได้ยินเสียงตะกุกตะกักของ อสูรหน้าบากตอบแทน



    “ พวกเจ้า….ก็ต้องยึด ๔ นคร ในโลกมนุษย์ ….ลบล้างความผิดซิ มหิงสูร “



    มหิงสูร และ ชาเรกัณฐ์ ได้ยินเสียงของ พลาสูร ลุกขึ้นจากที่นั่ง รีบเดินเข้าไปหา พลาสูร ที่เตียง



    “ เจ้าฟื้นแล้วหรือ พลาสูร ตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง ? “



    ชาเรกัณฐ์ ถาม พลาสูร ฝ่าย พลาสูร ฝืนใจตอบกลับไปว่า



    “ ข้าไม่เป็นไร …. พวกเจ้ารีบหาทางบุกยึด ๔ นคร ในโลกมนุษย์ ซะ จะได้ลบล้างความผิดที่ข้าทำไว้ได้ “



    มหิงสูร ได้ยิน พลาสูร บอกดังนั้น ก็รู้สึกไม่สบายใจ พลางพูดเสียงอ่อนลง



    “ เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ พลาสูร ข้าแค่หงุดหงิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง นิสัยข้าก็เป็นแบบนี้แหละ เจ้าก็รู้ดีนิ “



    พลาสูร พยักหน้ารับและไม่เอ่ยพูดใด ๆ อีก หลับตานอนหลับต่อไป



    “ ๔ นครในโลกมนุษย์ งั้นเหรอ ? “



    ชาเรกัณฐ์ ทวนคำพูดของ พลาสูร พลางหันมาถาม นายกองอสูรของกองทัพประตูมนุษย์ที่อยู่ในห้อง



    “ พวกเจ้า รู้ไหมว่า ๔ นคร ที่  พลาสูร พูด หมายถึงอะไรนครอะไร ? “



    นายกองอสูรทั้งหลาย ที่อยู่ในห้อง มองหน้ากันก่อนมีนายกองอสูร ตนหนึ่งเอ่ยตอบ



    “ ข้าแต่ท่านขุนพลมาร ชาเรกัณฐ์ เท่าที่พวกข้ารู้มา ๔ นครที่ว่า คงหมายถึง นครเตมินทร์ นครอัญจารี นครศรีบุรีรมย์ และ นครตรีสุวรรณ พวกข้าเคยได้ยินพวกนายกองอสูรของค่ายโครงกระดูก พูดว่ากำลังวางแผนยึด ๔ นครที่ว่าเพื่อใช้เป็นที่ตั้งทำศึกและเป็นแหล่งเสบียงอาหาร “



    มหิงสูร ได้ยินนายกองอสูรของตนพูดเช่นนั้น เดินเข้าไปหา ชาเรกัณฐ์ เหมือนมีเรื่องขอความคิดเห็น



    “ พลาสูร ตื่นขึ้นมา ก็บอกให้พวกเราบุก ๔ นครในโลกมนุษย์ แสดงว่านครทั้ง ๔ ต้องมีความสำคัญมาก ข้าว่าพวกเรารีบบุกยึดนครทั้ง ๔ เลยดีกว่า ก่อนที่พวกเหล่าเทพจะรู้ตัวไปตั้งทัพรับศึกอยู่ที่ ๔ นครนั้น เจ้าเห็นว่าไง ชาเรกัณฐ์ ? “



    “ ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยอาจจะเป็นข้อแก้ตัวกับการที่ค่ายโครงกระดูกแตก ต่อ จ้าวอสูร ได้ “



    ชาเรกัณฐ์ หันกลับมาจ้อง นายกองอสูร ก่อนเริ่มบัญชาการศึก



    “ ทีมุน เจ้านำกองทหาร ๕๐๐,๐๐๐  บุกยึดนครเตมินทร์  เชวา เจ้านำกองทหาร ๕๐๐,๐๐๐ บุกยึดนครอัญจารี จงคละ เจ้านำกองทหาร ๕๐๐,๐๐๐ บุกยึดนครศรีบุรีรมย์ วัลวากี เจ้านำทหาร ๕๐๐,๐๐๐ บุกยึดนครตรีสุวรรณ พวกเจ้าทั้งหมดรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด “



    เหล่านายกองอสูรต่างรับคำสั่ง ขุนพลมาร



    “ พวกเราจะรีบดำเนินการเดี๋ยวนี้ “



    เหล่านายกองอสูรทั้ง ๔ เมื่อได้รับคำสั่งต่างแยกย้ายกันไปจัดเตรียมกองกำลังเตรียมบุก ๔ นครโลกมนุษย์ ฝ่าย มหิงสูร หันมามองดู พลาสูร ที่นอนหลับอยู่



    “ พลาสูร ยังต้องรักษาตัวอีกนานก็จะออกไปทำศึกได้ ถ้าหายดีแล้วคงต้องรีบกลับไปยัง ภูผาอสูร รายงานเรื่องที่ค่ายโครงกระดูกแตกด้วยตนเอง “



    “ ยังไงเจ้ากับข้าต้องไปกับ พลาสูร ด้วย เพื่อจะได้ขอลดหย่อนโทษให้ พลาสูร ได้ อย่างไรพวกเราก็ตกที่นั่งเดี๋ยวกันอยู่แล้ว “



    ชาเรกัณฐ์ มองดู พลาสูร สีหน้ายังกังวลกับอาการบาดเจ็บของ พลาสูร อยู่



    “ หึ นี้เจ้า อังกลาตู คงตั้งท่าเล่นงานพวกเราอยู่แน่ เจ้านี้มันยิ่งประจบประแจงเก่งอยู่ด้วย “



    ชาเรกัณฐ์ นึกถึง อังกลาตู แล้ว คิดว่าน่าจะไม่เป็นอย่างที่ มหิงสูร คิด



    “ ข้าว่าเจ้านั้นคงต้อง ออกหน้าช่วยพวกเรามากกว่า “



    “ ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ? ชาเรกัณฐ์ เจ้า อังกลาตู นอกจากตัวมันเองแล้วเคยสนใจคนอื่นซะที่ไหน  “



    มหิงสูร พูดขึ้นพลาง แสดงสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ ชาเรกัณฐ์ เอ่ยบอก



    “ ก็เพราะมันชอบเสนอหน้ารับความดีความชอบนะสิ มันถึงต้องช่วยพวกเรา เจ้าก็รู้ว่า ค่ายโครงกระดูกเป็นค่ายที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นค่ายฝึกหน่วยบุกทะลวงในการรบของพวกเราเหล่าอสูร การที่ค่ายโครงกระดูกถูกตีแตก จึงเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับ ๓ กองทัพ  หาก จ้าวอสูร ทรงสั่งให้พวกขุนพลเงาออกมาบัญชาการกองทัพทั้ง ๓ แทนพวกเรา พวกเราทั้ง ๙ ตนไม่ต้องถูกลดระดับไปเป็นแค่ ทหารเลว หรอกเหรอ ? เทียบผลได้ผลเสียยังไงเจ้า อังกลาตู ก็ยังต้องเข้าข้างพวกเราที่ตกอยู่ที่นั่งเดียวกันมากกว่าที่จะมาคิดตั้งแง่เล่นงานกันในเวลานี้ “



    มหิงสูร คิดตามคำพูดของ ชาเรกัณฐ์ เริ่มมีความคิดเห็นคล้อยตาม



    “ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็นับว่าเจ้าตัวทุเรศนี้ยังพอคบกันได้อยู่บ้าง ระหว่างนี้ก็คงต้องหาทางรักษา พลาสูร ให้หายโดยเร็วก่อนจะได้มาช่วยพวกเราทำศึกอีกแรงหนึ่ง “



    ชาเรกัณฐ์ และ มหิงสูร เดินออกไปนอกห้องต่างพากันครุ่นคิดวิธี รักษาอาการบาดเจ็บของ พลาสูร    



    …..แมงสื่อสารหยุดส่งข่าว ตรัยสูร เก็บแมลงสื่อสารไว้ในเสื้อของตน พลางบ่นออกมาอย่างหัวเสีย



    “ ให้ตายสิ ผิดคาดเสียนี้ พลาสูร มันยังไม่กลับไปที่ ภูผาอสูร ดันมารักษาตัวอยู่ในกองทัพประตูมนุษย์แทน “



    “ ที่แย่กว่านั้นพวกมันเริ่มบุกโจมตีนครพันธมิตรเหล่าเทพแล้ว นครบาดาลของข้าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ? “



    ในใจของ อัคคีนาคา ร้อนรุ่มเหมือนมีไฟเผา ห่วงความปลอดภัยของทุกคนในนครบาดาล สีหน้าพลันขาวซีดลง



    “ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก อัคคีนาคา เสด็จพ่อของเจ้าต้องไม่เป็นอะไรแน่ อย่าลืมสิว่าพวกเรามีกองกำลังเหล่าเทพในสรวงสวรรค์ที่ถูกส่งช่วยรบกับกองทัพของ กัลย์ปาอสูร ด้วย “



    มยุราเทวี พยายามพูดไม่ให้ อัคคีนาคา กังวล ท่าทางดูเหมือนจะได้ผล สีหน้าของนางดูดีขึ้น



    “ แล้วที่พวกมันคิดบุกยึดนครทั้ง ๔ ในโลกมนุษย์ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไรดี ? “



    พยัคฆ์วารี ถามเหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ของตน ซึ่งต่างฝ่ายก็ครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปัญหานี้



    “ พวกเราจะปล่อยให้ ๔ นครนั้น ตกอยู่ในมือของพวก กัลย์ปาอสูร ไม่ได้เป็นอันขาด แต่จะให้พวกเราทั้งหมดไปช่วยแต่ละนคร ก็คงจะไม่ทัน “



    อนันตวาโย บอกต่อทุกคนขณะที่ยังหาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้



    “ ยังมีเรื่องของพวกขุนพลเงาอีก พวกมันเป็นใครกันแน่ ? ดูท่าทางเจ้าพวกขุนพลมารนี้ออกจะเกรงกลัวขุนพลเงานั้นไม่น้อยทีเดียว “



    เปมิกา คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะวุ่นวายถึงขนาดนี้  ดูไปดูมาการไล่ล่า กัลย์ปาอสูร ของพวกนางเหมือนไล่หาเงาที่ไร้ร่าง



    “ ทำไมพวกเราไม่บุกเข้าไปถล่มกองทัพประตูมนุษย์ซะเลยล่ะ ? “



    นันทาเทพธิดา ออกความคิดเห็น



    “ ไม่ได้ ถ้าบุกเข้าไปกว่าจะจัดการพวกมันได้หมด ดีไม่ดีผู้คนใน ๔ นครนั้น จะตายกันหมดเสียก่อน อีกอย่าง ถ้าเกิดบุกเข้าไปแล้วพวกมันแลกชีวิตกับพวกเราขึ้นมา แผนที่วางไว้ก็จบหมด เมื่อวานเจ้าจำไม่ได้หรือว่า ถ้า ดวงใจมาร ผนึกพลังไม่ทัน พวกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง ? “



    พยัคฆ์วารี เอ่ยค้านนาง  ขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม เอ่ยพูดขึ้น



    “ พวกเราต้องแยกกัน “



    “ แยกกัน เจ้าหมายความว่าไง น้ำทิพย์ที่สาม ? “



    พยัคฆ์วารี ถามเจ้าของเสียง ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็ลุกขึ้นมาอธิบายสิ่งที่พูด



    “ พวกเราต้องแยกย้ายกันไปที่นครทั้ง ๔ ตั้งรับศึกที่จะเกิดขึ้น ยังไงซะตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่า ภูผาอสูร อยู่ที่ไหน ก็ต้องจัดการเรื่องเฉพาะหน้าไปก่อนพวกเจ้าเห็นว่าไงบ้าง ? “



    วิหคสาว มีความเห็นพ้องกับ ชายหนุ่ม จึงพูดสนับสนุน



    “ น้ำทิพย์ที่สาม พูดถูกในระหว่างที่เรายังไม่รู้ว่า ภูผาอสูรอยู่ที่ไหน ก็ต้องจัดการกับกองทัพประตูมนุษย์ ก่อน ยังไงถ้า พลาสูร ไม่ตายมันต้องกลับไปหา กัลย์ปาอสูร อยู่ดี ดีกว่าพวกเราเฝ้ารอหาข่าว กัลย์ปาอสูร อยู่อย่างนี้ อีกอย่างถ้าเราจัดการกองทัพประตูมนุษย์ได้ กำลังของ กัลย์ปาอสูร ก็จะลดลงไปถึง ๑ ใน ๓ “



    อสูรสาว จึงรีบถามความเห็นของทุกคน



    “ ถ้าอย่างนั้น จะมีใครคัดค้าน ความคิดของ น้ำทิพย์ที่สาม บ้างไหม ? “



    ทุกคนเงียบไม่มีใครเอ่ยขัดค้านแต่อย่างใด



    “ งั้นก็ตกลงตามนี้ พวกเราแยกกันไป ๔ ทาง ป้องกันนครทั้ง ๔ ไว้ให้ได้  ทางนครเตมินทร์ ให้ น้ำทิพย์ที่สาม กับ อนันตวาโย เป็นคนจัดการ นครศรีบุรีรมย์ ให้ ตรัยสูร กับ นันทาเทพธิดา เป็นคนจัดการ นครตรีสุวรรณให้ นกยูง กับ อัคคีนาคา เป็นคนจัดการ ส่วนทางนครอัญจารี ข้ากับ พยัคฆ์วารี จะจัดการเอง มีใครขัดข้องไหม ? “



    เทพหนุ่มผมยาว ยักไหล่ให้กับอสูรสาว พลางพูดขึ้น



    “ สำหรับข้ายังไงก็ได้  พวกเจ้าล่ะ มีใครมีปัญหาบ้าง ? “



    ทุกคนต่างส่ายหน้า แต่ทางตรัยสูร นึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เลยถามทุกคนขึ้น



    “ เฮ พวกเจ้าลืมอะไรกันไปหรือเปล่า ? “



    “ ลืม พวกข้าอะไร ? “



    เปมิกา ถาม ตรัยสูร ในขณะที่นางเองก็พยายามนึกอยู่ว่า พวกนางลืมอะไรไป



    “ ก็ พวกเราทั้งหมดนี้มีใครรู้บ้างว่า ๔ นครที่ว่า นั้นอยู่ไหน ? นะสิ “



    ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันก่อนบอกขึ้นพร้อมกันว่า



    “ ข้าไม่รู้ “



    อสูรหนุ่ม ถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้



    “ มีแบบนี้กะเขาด้วย วางแผนเสียดิบดี แต่ไม่มีใครรู้เส้นทางไป นครที่ว่านั้นสักคน “



    “ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนั้นปล่อยไว้เป็นหน้าที่ของข้าเอง “



    มยุราเทวี บอกต่อพวกเขา นางเริ่มผิวปาก ส่งสัญญาณเป็นเสียงนกขึ้นมา นางส่งสัญญาณได้ไม่นาน ก็มีทหารวิหคตนหนึ่ง ร่อนลงมายังที่พวกเขาทั้งหมดนั่งพักอยู่ สีหน้าของทหารวิหคตนนั้น ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบเจอนาง



    “ พระธิดา พระเจ้าข้า หม่อมฉันกำลังตามหาพระองค์อยู่พอดี “



    “ ตามหาข้า ? เจ้าตามหาข้าทำไม ? “



    ทหารวิหคตน บอกต่อนางว่า



    “ หม่อมฉัน ได้รับคำสั่งจากท่านสุบรรณ ให้ออกหาข่าวของ ขุนพลมาร พลาสูร และพระองค์ยังรับสั่งว่าถ้ารู้ข่าวแล้วให้รีบแจ้งให้พระธิดาทราบด้วย พระเจ้าข้า “



    มยุราเทวี รับรู้แล้ว จึงพูดต่อไป



    “ เอาละ เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรายงานหรอก พวกข้ารู้แล้วว่าตอนนี้ พลาสูร อยู่ที่ไหน แต่ในตอนนี้พวกข้าอยากจะรู้เส้นทางไปยังนคร ๔ นคร เจ้าพอจะรู้ไหมว่า นครเตมินทร์ นครอัญจารี นครศรีบุรีรมย์ และนครตรีสุวรรณ จะต้องเดินทางไปทางไหน ? “



    เมื่อทหารวิหครู้ความประสงค์ของ พระธิดาแล้ว จึงทูลถวายให้ทรงทราบถึงเส้นทางที่จะไปยังนครทั้ง ๔ พร้อม เขียนแผนที่ให้กับพระธิดาอีกด้วย ระหว่างนั้นทหารวิหครู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ มีใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาจากผู้ถูกคัดเลือกให้ปราบ กัลย์ปาอสูร ทำให้ทหารวิหคตนนั้นอดมองชายหนุ่มที่สวมใส่ สังวาล อัญมณีสีเหลือง มิได้แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามพระธิดามยุราเทวีแต่อย่างใด



    “ นครบาดาลของข้าตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ? “



    “ เท่าที่หม่อมฉันทราบ ขณะนี้ กองกำลังทหารวิหคจากประสาทเทพปักษา ได้เข้าไปสมทบกับกองกำลังของนครบาดาลเพื่อต้านทานการบุกของกองกำลังที่แยกตัวมาจาก กองทัพประตูนรกภูมิและกองทัพประตูสวรรค์ ท่านแม่ทัพนครบาดาล จามนาคราช และคนอื่น ๆ กำลังปักหลักรับศึกอยู่ที่ริมชายหาด ส่วนในนครบาดาลมีท่านอานนทนาคราช ท่านอินทรนาคราช ตั้งรับศึกอยู่บนกำแพงเมืองนครบาดาล พระเจ้าข้า “



    อัคคีนาคา รู้สึกดีใจ ที่ทุกคนยังปลอดภัยดี ในใจของนางขณะนี้ คิดถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่เหลือเกิน



    “ เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพคะ ถ้าเรื่องนี้จบลงแล้ว หม่อมฉันจะรีบกลับไปหาเสด็จพ่อ เสด็จแม่ให้เร็วที่สุด เพคะ “



    “ เอาละ ข้าขอบใจเจ้ามาก เจ้ากลับไปทูลเสด็จลุงเราด้วยว่า ข้ากับ อัคคีนาคา จะไปรับศึกอยู่ที่ นครตรีสุวรรณ ถ้าเสด็จลุงมีข่าวอะไรมาถึงข้า พวกเจ้าก็ไปพบข้าที่ นครตรีสุวรรณ ก็แล้วกัน “



    “ พระเจ้าข้า “



    ทหารวิหค ทูลลาพระธิดา มยุราเทวี แล้วก็พาตัวเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้ากลับไปยังประสาทเทพปักษา  เปมิกา เสกแมลงสื่อสาร ขึ้นมามอบให้กับพวกเขาทุกคน เพื่อใช้ในการสื่อสารขณะอยู่ต่างนคร และไว้สำหรับดูการเคลื่อนไหวของ พลาสูร ด้วย พวกเขาทั้ง ๘ เดินเข้ามาหากัน ต่างฝ่ายต่างยื่นมือออกมาประสานกันไว้อย่างแนบแน่น



    “ พวกเจ้า ระวังตัวกันด้วยนะ อีกนานกว่าพวกเราจะได้มาพบกันอีก “



    อนันตวาโย บอกต่อเหล่าเพื่อนของตน ตั้งแต่เริ่มรับหน้าที่การปราบ กัลย์ปาอสูร ครั้งนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งหมดจะต้องแยกจากกัน



    “ ไม่ต้องห่วงหรอก อนันตวาโย พวกข้าจะระวังตัวไว้ เจ้าเองก็เหมือนกัน อย่าเผลอไปจีบสาว ๆ จนลืมงานเสียล่ะ “



    อนันตวาโย ยิ้มรับกับคำพูด ของ นันทาเทพธิดา ที่พูดกึ่งเล่นกึ่งจริงกับเขา



    “ ข้าเชื่อเจ้าจริง ๆ เลย นันทาเทพธิดา เวลานี้เจ้ายังมีแก่ใจมาแขวะข้าอีกหรือนี้ ? “



    “ แน่นอน นี้ถือเจ้าต้องชดใช้ให้ข้าในฐานะที่ข้าอุตสาห์ สับรางให้กับบรรดาสาว ๆ ของอยู่เจ้าทุกวี่ทุกวัน อย่าลืมสิ ถ้าไม่มีข้าวิมานของเจ้าคงเละไม่มีชิ้นดีแน่ “



    เจอไม้นี้เข้า อนันตวาโย ก็ยังไม่ยอมแพ้



    “ งั้นก็ได้ ถือว่าข้ายอมเจ้าครั้งหนึ่ง เพราะยังมีอีกหลายงานที่เจ้ายังจะต้องช่วยสับรางให้ข้าอีก “



    อนันตวาโย ย้อนคืนกลับไปให้นางได้ยิน ฝ่าย เปมิกา เป็นผู้เริ่มบอกลาต่อพวกเขาทั้งหมด



    “ พวกเจ้าระวังตัวด้วย โชคดีนะ แล้วพบกันใหม่ “



    ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเกิดขึ้นต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันเหมือนกับว่าจะจดจำกันและกันไว้ในใจ พร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกัน



    “ แล้วพบกันใหม่ “



    พูดจบแล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือ มุ่งสู่เป้าหมายนครเตมินทร์  ตรัยสูร และ นันทาเทพธิดา มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือเช่นกันแต่เส้นทางช่วงหลังเฉียงไปยังทิศตะวันออก มุ่งสู่เป้าหมายนครศรีบุรีรมย์  มยุราเทวี และ อัคคีนาคา มุ่งหน้าลงไปยังทิศใต้ มุ่งสู่เป้าหมายนครตรีสุวรรณ ส่วน พยัคฆ์วารี และ เปมิกา มุ่งหน้าลงไปทิศใต้เฉียงไปทางด้านทิศตะวันตก มุ่งสู่เป้าหมายนครอัญจารี บัดนี้เทพทั้ง ๘ แยกทางกันเพื่อมุ่งหน้าไปยังนครทั้ง ๔ ป้องกันไม่ให้กองทัพประตูมนุษย์ของ กัลย์ปาอสูร บุกยึดนครทั้ง ๔ ได้



        …… หลังจากแยกทางเพื่อน ๆ ของ ตน อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม รีบเร่งเดินทางตลอดวันตลอดคืนโดยไม่หยุดพักเพื่อให้ไปถึงยังนครเตมินทร์ ก่อน นายกองอสูร ทีมุน ซึ่งในตอนนี้ ยกกำลังทหารอสูร ๕๐๐,๐๐๐ ตน บุกยึดนครเตมินทร์ตามคำสั่งของ ขุนพลมาร ชาเรกัณฐ์ หลังจากเดินทางมาได้หลายวัน จึงหยุดพักอยู่ที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง



    “ อีกนานเท่าไรพวกเราจะถึงนครเตมินทร์ ? “



    เทพหนุ่มผมยาว ถาม น้ำทิพย์ที่สาม ฝ่ายผู้ถูกถามหยิบแผนที่ที่ได้จาก ทหารวิหค ขึ้นมาดูก่อนบอกต่อเขาว่า



    “ ดูจากแผนที่ใช้เวลาอีกไม่เกิน ๓ วันเราน่าจะเข้าเขตนครเตมินทร์แล้ว “



    รู้ดังนั้นแล้ว อนันตวาโย ก็คลายความกังวลลงได้บ้าง เพราะระหว่างที่ทางที่พวกเขาเดินทางมายังไม่มีวี่แววของการเดินทัพของกองทัพอสูรเลย



    “ ตั้งแต่เดินทางมายังไม่เห็นร่องรอยของพวกอสูรเลย เราน่าจะเดินทางมาถึงก่อนพวกมัน “



    “ อาจจะใช่อย่างที่เจ้าว่าก็ได้ อนันตวาโย แต่พอถึงที่นั้นแล้วเราต้องหาทางกำจัดกองทัพอสูรที่ยกมาให้ได้เสียก่อนถึงจะหมดห่วงได้ “



    อนันตวาโย เองก็เห็นด้วยกับ น้ำทิพย์ที่สาม แต่ใช่ว่าทุกสิ่งที่คิดไว้จะราบรื่น



    “ เรื่องรบกับกองทัพอสูร ข้าไม่หวั่นหรอก แต่ผู้คนในนครเตมินทร์ นี้สิจะทำอย่างไรดี ? ถึงแม้พวกเขาจะมีกองกำลังทหารรักษานคร แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา พวกเราอาจสู้รบกับพวกอสูรได้ไม่เป็นอะไร แต่คนพวกนั้นแค่ถูกพวกอสูรชกเบา ๆ อาจเจ็บปางตายก็ได้ “



    สิ่งที่ อนันตวาโย พูด ก็เป็นสิ่งที่หนักใจ น้ำทิพย์ที่สาม เหมือนกัน จะให้รบด้วยและดูแลผู้คนในนครเตมินทร์ด้วย ถ้าให้ทำถึง ๒ หน้าที่ในขณะเดียวกัน พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่า จะมีปัญญาปกป้องนครเตมินทร์ได้หรือไม่ ?



    “ ไม่มีทางหรอก อนันตวาโย ถ้าจะพวกเขาออกไปสู้รบกับพวกอสูรนั้น เกรงว่าจะตายกันหมดเสียเปล่า ๆ เจ้าพอจะมีวิธีไหนรับมือพวกมันได้บ้างไหม ? “



    “ เราอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากเทพพิทักษ์นคร “



    “ เทพพิกษ์นคร ?



    น้ำทิพย์ที่สาม ทวนคำพูดของ อนันตวาโย พลางคิดไปด้วย



    “ แต่ละนครก็มีเทพพิทักษ์ไม่เกิน ๔ องค์ เท่านั้น พวกเขาจะช่วยอะไรพวกเราได้หรือ ? “



    “ คงต้องรอถามพวกเขาดูก่อนว่าพอจะมีทางช่วยพวกเราได้บ้างหรือเปล่า ? อย่างน้อยพวกเขาก็ดูแลรักษานครเตมินทร์มานานน่าจะมีวิธีช่วยเราได้บ้าง “



    น้ำทิพย์ที่สาม นิ่งเงียบไม่มีคำพูดใดออกมาอีก ทุกวิธีที่พวกเขาคิดได้ในตอนนี้ ก็คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พอจะมีความหวังอยู่บ้าง  หลังจากที่ทั้ง ๒ นั่งพักได้ครู่ใหญ่ ก็เริ่มคิดออกเดินทางต่อกลับรู้สึกถึง พลังประหลาดอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ กับพวกเขาทั้ง ๒



    “ ข้าว่าสงสัยเราจะเจอขาใหญ่ที่คุ้มอยู่แถบนี้อยู่ซะแล้วละมั่ง “



    อนันตวาโย พูดคล้ายขบขันแต่สีหน้าและท่าทางไม่ได้เป็นอย่างที่พูดออกมาเลย



    “ ระวังตัวให้ดีนะ อนันตวาโย ไม่รู้ว่ามันจะซุ่มเล่นงานพวกเราอยู่ตรงไหน ? “



    ความคิดของ น้ำทิพย์ที่สาม ผิดพลาด เจ้าของพลังไม่ได้แอบซุ่มโจมตีพวกเขาอย่างที่คิด กลับเดินเข้ามาหาอย่างสง่าผ่าเผย แววตามีความดุร้ายซ่อนอยู่



    “  ข้าขอถามพวกเจ้าข้อหนึ่งก่อน พวกเจ้าคือคนที่เล่นงาน พลาสูร ใช่หรือเปล่า ?”



    น้ำทิพย์ที่สาม จ้องหน้าอสูร ที่ยืนขวางทางอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมเอ่ยตอบกลับไป



    “ ถ้าใช่แล้วจะทำไม ? “



    อสูรตนนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว ดูไปดูมาหน้าตามีส่วนคล้าย พลาสูร อยู่ไม่น้อย



    “ ข้าก็จะเอาหัวของพวกเจ้า ไปเป็นของขวัญให้น้องข้านะสิ “



    “ น้องข้าอย่างนั้นหรือ ? งั้นพี่ชายอย่างท่านจะไม่บอกชื่อให้พวกข้ารู้บ้างหรือไง ? “



    อนันตวาโย ขยับตัวเข้ามาใกล้กับ น้ำทิพย์ที่สาม เตรียมพร้อมรับการบุกของอีกฝ่าย



    “ เฮอะ จะตายอยู่แล้ว ยังอยากรู้ชื่อข้าอีก ก็ได้ ถือว่าข้าเมตตาให้พวกเจ้ารู้ชื่อข้าก่อนตายก็แล้วกัน ข้าชื่อ พิณตะลาสูร จงจำไว้ให้ขึ้นใจด้วยละ “



    พิณตะลาสูร แผ่พลังพุ่งออกมากดดันพวกเขาทั้ง ๒ คน ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม ขับพลังออกมาต้าน พลังที่ไร้รูปปะทะกันอย่างแรง จนเกิดลมพัดอยู่รอบ ๆ ตัวทั้ง ๓ คน ดูไปแล้วคล้ายกับพายุใหญ่ที่กำลังจะก่อตัวขึ้น



    “ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้านี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง เจ้ายืนดูอยู่เฉย ๆ ก็พอ “



    เมื่อ อนันตวาโย บอกเช่นนั้น น้ำทิพย์ที่สาม ก็คลายพลังลง ส่วน อนันตวาโย เริ่มเรียกพลังแห่งลมมาประจุไว้ภายในร่างเตรียมพร้อมรับมือกับศัตรู



    “ ไม่ว่าใครจะมาก่อนหรือมาหลังก็ไม่สำคัญ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าทั้ง ๒ คน ก็ต้องตายกันหมดอยู่แล้ว “



    น้ำทิพย์ที่สาม ได้ยิน พิณตะลาสูร กล่าวเช่นนั้นออกมา ตอบกลับอย่างไม่ลดละ



    “ เจ้ามีปัญญาฆ่าพวกข้าหรือ ? “



    ดวงตา พิณตะลาสูร เปล่งประกาย พลางจู่โจมใส่ น้ำทิพย์ที่สาม



    “ มีไม่มีก็ลองรับหมัดนี้ให้ได้ก่อนเถอะ ไอ้หนู “



    ช่วงเวลาที่ พิณตะลาสูร บุกเข้ามา หมายเล่นงาน น้ำทิพย์ที่สาม อนันตวาโย ก็พุ่งร่างเข้าสกัดการบุกของ พิณตะลาสูร แทน น้ำทิพย์ที่สาม เทพหนุ่มผมยาว เร่งพลังแห่งลมที่รวมอยู่ในร่างไปไว้ที่หมัดพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับ พิณตะลาสูร



    “ เปรี้ยง “



    สองหมัดปะทะ กันเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า พลังแห่งลมของ อนันตวาโย ถูกกดสลายไปสิ้น พลังของ พิณตะลาสูร ร้ายกาจกว่า พลาสูร ผู้เป็นน้องเสียอีก ร่างของ อนันตวาโย ลอยกระเด็นไปทางด้านหลัง เทพหนุ่มผมยาว ยืมแรงเหวี่ยงจากการปะทะ ตีลังกากลับหลังลงพื้นอย่างเร็ว เท้าทั้งสองกระแทกลงสู่พื้นจึงยั้งตัวไว้ได้ แต่พื้นที่เหยียบอยู่ก็แตกร้าวไปหมด



    “ หมัดเมื่อกี้ไม่เลวเลยพี่ชาย ถ้าข้าไม่เอาคืนเสียบ้างจะเป็นการเสียมารยาท “



    พูดจบ อนันตวาโย ก็บุกเข้าหา พิณตะลาสูร  ร่างพลิ้วไหวเหมือนสายลม อ้อมเข้าไปจัดการกับ พิณตะลาสูร ทางด้านหลัง



    “ ไอ้หนูผมยาว อยากตายเร็วขนาดนี้ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง  “



    พิณตะลาสูร เหมือนรู้ว่า อนันตวาโย จะทำอะไร กลับตัวไปทางด้านหลังของตนผนึกพลังที่กรงเล็บทั้งสองข้าง เหมือนมีอสูรร้ายอ้าปาก รอกลืนกินผู้ที่พุ่งเข้ามา ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ยังคงยืนนิ่งจ้องมองดูการต่อสู้ของทั้งสอง





    จบตอนที่ ๘ ครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×