ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    l'Amour รักของฉันมีแค่เธอ

    ลำดับตอนที่ #2 : Intro (updated!)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 146
      2
      27 พ.ค. 57


    Intro

     

    สองอาทิตย์ก่อน คริสต์มาสอีฟ

         ‘ไม่นะ!’ เสียงกรีดร้องของเทเลอร์ทำให้ฉันต้องวิ่งร่าตามลูกพี่ลูกน้องเข้าไปในบ้าน เศษแก้วเรียงรายกระจัดกระจายบนพื้นทำให้ฉันขนลุกไปหมดทั้งตัว รองเท้าที่เคยอยู่ในตู้ถูกใครบางคนดึงออกมาสะเปะสะปะขวางทางเดิน ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางกวาดตาไปมองรอบๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเต็มไปด้วยเลือด เลือดใครกัน...ไม่นานคำถามนั้นก็ถูกเฉลยจากเสียงกรี้ดของเทเลอร์ทำให้ฉันต้องวิ่งเข้าไปข้างในห้องรับแขก หัวใจฉันเต้นแรงแถบจะหลุดออกมาเพราะสิ่งที่เห็นคือ แม่ พ่อ และน้องชายของฉันนอนเรียงอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพเลือดสีแดงอาบทั้งตัวพวกเขา ฉันทรุดเขาลงกับพื้นพร้อมกับหัวใจที่หล่นไปอยู่แทบเท้า หัวใจแทบจะหยุดเต้น เจ็บเหลือเกิน ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ฉันภาวนาขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน ครอบครัวฉัน..เกิดอะไรขึ้นกับพวกขา...

                “เฮือก!” ฉันสะดุ้งตื่นพร้อมกับความรู้สึกจากในฝัน นี่...ฉันฝันไปงั้นเหรอ ฉันกระพริบตาถี่ๆ มองสิ่งตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น พลางไล่สายตามองสิ่งรอบกาย โล่งอกไปทีโชคดีที่ภาพตรงหน้าของฉันคือปัจจุบัน ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไป..เพราะที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนของฉัน บ้าจริง อยู่ๆ หัวก็หนักอึ้งขึ้นมาดื้อๆ ฉันขยี้ตาแรงๆ และลืมตามองภาพตรงหน้าอีกครั้งพลางย้อนคิดกลับไปเมื่อคืน ก่อนที่จะพลันคิดไปไกลสายตากลับจดจ้องที่ใครอีกคนที่อยู่ในห้องนอนนี้ ไม่นานความทรงจำทั้งหมดก็ถลาเข้ามาจนฉันแถบรับไม่ไหว...

                ผู้ชายคนหนึ่ง ที่ซึ่งฉันไม่เคยแม้จะเห็นหน้าของเขามาก่อน ใบหน้าคมคายหลับตาพริ้มอย่างไร้กังวล ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงชี้โด่ชี้เด่ไร้ทิศทางเข้ากับใบหน้าสีน้ำผึ้ง หนวดเคราบางๆ จากโหนกแก้มไปถึงคาง ร่างกายเปลือยเปล่าที่ไร้สิ่งปกคลุมใดๆ เผยให้เห็นรอยสักเต็มช่วงแขนและหลังของเขาจนถึงไปเนินสะโพก โชคดีที่ช่วงล่างถูกคลุมด้วยผ้าห่มสีขาวผืนเดียวกับฉัน ก้อนเนื้อใต้หน้าอกซ้ายฉันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันค่อยๆ หันกลับมามองตัวเองที่อยู่ภายใต้ผ้าปูที่นอนสีขาว ทว่าสิ่งที่ฉันเฝ้าภาวนาในใจกลับแตกสลายไป เพราะภายใต้ผ้าสีขาวนั้นร่างกายฉันเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งปกคลุม..

                ไม่มีอะไรเหลือนอกจากร่างกายเย็นๆ ที่กระทบกับลมหนาวที่ลอดมาจากหน้าต่างที่เปิดร่ารับอากาศเย็นด้านนอก ความรู้สึกหนักอึ้งเกิดขึ้นพร้อมกับความละอายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจฉันทันที ฉันกระชับผ้าคอตตอนสีขาวเพียงชิ้นเดียวที่เหลือติดอยู่มัดเป็นปมที่หน้าอก โดยไม่สนใจว่าคนข้างกายจะเป็นอย่างไร ฉันขยับตัวให้มั่นใจว่าผ้าโอบคลุมร่ายกายโดยที่มันจะไม่หลุด และนั่นเองทำให้คนตรงหน้าฉันเริ่มขยับตัว...ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งเฉย พลางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อหวังจะรับมือกับสิ่งตรงหน้า

                     ตึกตัก..

               ตึกตัก..

                ...

                “อื้อ~”

                “....”

                “อืม.. เช้าแล้วหรอวะไอ้ราช....”

                “....”

                “อืม..ปวดหัวเป็นบ้า เมื่อคืนอะไรเข้าสิงวะ...” คนตรงหน้าขยับตัวพร้อมกับค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามอง ฉันสบตาเข้ากับเขาด้วยสายตาอย่างนิ่งงัน ดวงตายาวเบิกกว้างพร้อมกับเสียงที่ค่อยๆ เหือดหายไปทันที ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาเป็นยังไงเพราะนั่นทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ เหมือนว่าเขาจะไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราทั้งคู่ เขาจ้องฉันที่กำผ้าปูที่นอนสีขาวไว้ที่หน้าอกไม่นานริมฝีปากเรียวก็ปริปากพูด..

                “เธอ..เป็น...ใครวะ” คนตรงหน้าเปล่งเสียงออกมาช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงจ้องฉันไม่เลิก “อะ เออ ไม่ใช่สิ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

                คำถามจากคนแปลกหน้าทำให้หัวใจฉันกระตุกเต้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ความรู้สึกที่ทำให้ฉันแน่นไปทั้งหน้าอก ความรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง พรั่งพรูขึ้นมาอย่างฉันไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ฉันนอนกับใครก็ไม่รู้ แถมคนตรงหน้าดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น..

                “ไม่เป็นไร” ฉันว่าแล้วกระชับผ้าไว้ข้างตัวแน่นๆ พร้อมพาตัวเองลุกจากเตียงไปยังเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

                “... ฉัน..เอ่อ เมื่อคืนฉันเมามาก ฉันเอ่อ..จำเธอไม่ได้”

                “...”

                “ว่าแต่..เธอต้องการให้ฉันรับผิดชอบหรือเปล่า?”

                “...” ฉันเงียบ

                “ไม่สิ โอ้ย ปวดหัวว่ะ พูดอะไรสักอย่างสิ” เขาพูดแล้วกุมหัวตัวเองไปด้วย พลางหันมามองฉันที่ซึ่งกำลังเก็บเสื้อตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

                ...

                พลั่ก!           

                ฉันเบิกตากว้างและหันไปเผชิญกับผู้ชายตรงหน้าเมื่อเขาใช้ลำแขนแข็งแรงกันฉันไว้  คิ้วทั้งสองข้างเขาขมวดเป็นปมพร้อมกับดวงตาคมกริบที่จ้องเข้ามา ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะตอบคำถามของเขา ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันเป็นเรื่องเล็ก มันเป็นเรื่องที่ฉันแทบจะรับมือกับตัวเองไม่ไหว เพราะฉันไม่อยากจะรู้จักเขา ฉันแค่ไม่อยากจะพูดกับเขา ฉันอายจะแย่อยู่แล้ว..

                “เธอมีเซ็กส์กับฉัน” คนตรงหน้าพูดขึ้นมาอย่างไม่กระดากอาย หนำซ้ำยังใช้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเข้ามาเพื่อค้นหาคำตอบให้ได้

                “ช่างเถอะ” ฉันผลักแขนเขาออกจากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องน้ำอย่างไม่สนใจเสียงที่ตะโกนไล่จากด้านหลัง

                “เธอไม่ต้องการความรับผิดชอบ?” เขาเปร่งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกาจ “เธอเป็นผู้หญิงประเภทไหนกัน?” สิ้นเสียงร้ายกาจนั่น ฉันก็หันกลับไปมองเขาอย่างเหลืออด

                เฮอะ ฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหนงั้นเหรอ..

                “แล้วนายเป็นคนประเภทไหนกัน ?” ฉันถามเขาบ้าง ในตาสีน้ำตาลสั่นไหวอย่างประหลาด ฉันมองกลับอย่างไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่นานเขาก็ละสายตาจากฉันพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับมันหนักหนามากกับการพูดกับฉัน

                “เธอต่างหาก” เขาแล้วปรายตามองฉันและไล่สายตาจากหัวจรดเท้า นัยน์ตาร้อนแรงนั่นทำให้ร่ายกายฉันร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “เธอไม่เหมือนผู้หญิงที่ฉันเคยเจอ” ว่าแล้วเขาว่าแล้วขยับใบคมเข้มเข้ามาใกล้

                “นี่นาย!”

                “ทำไม?” คนตรงหน้าตอบกลับอย่างเอาเรื่อง แววตานั่นมันมีพลังบางอย่างทำให้ฉันหลบสายตาอย่างไม่ตั้งใจและเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ว่าภาพตรงหน้าทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าทันควัน

                “นาย!” เขาแสะยิ้มขึ้นมาอย่างไม่แยแสเมื่อสายตาฉันพลันไปเห็นบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วที่เขาสวมอยู่

                “ฮึ อายทำไม ไหนๆ เราก็เห็นกันถึงไหนต่อไหนแล้ว เธอไม่ถือไม่ใช่เหรอ” คำพูดแดกดันจากเขาทำให้ฉันผงะและถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ

                ทว่าใบหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับไล้สันจมูกไปทั่วแก้มฉัน ฉันรู้สึกแขยงจนแถบอยากอ้วก ฉันที่อยากจะผลักเขาออกแต่ว่าแรงทั้งหมดมันหายไปพร้อมกับความรู้สึกแน่นที่หน้าอก อยู่ๆ ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา น้ำตาแห่งความละอายใจที่ฉันกลั้นอยู่ไม่นานก็ไหลรินออกมาเป็นทางยาว เขาชะงักและมองฉันด้วยสายตานิ่งๆ ฉันไม่อยากมองว่าเขารู้สึกยังไง คงจะสมเพชคนอย่างฉันมากสินะ ไม่นานนักเขาก็ผละตัวออกจากฉัน

                “ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง รู้สึกยังไง จะเอายังไง เธอก็ไม่พูด” ว่าแล้วเขาก็หันหน้ามามองฉัน ทว่าสายตาที่ส่งออกมาครั้งนี้ กลับเป็นสายตาอ่อนโยนอย่างประหลาด ฉันหลบตาเพราะไม่อยากมองใบหน้าเขานัก ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ สงสาร หรือ สมเพช อีกอย่างคำพูดนั่นทำให้น้ำตาที่ฉันกลั้นไว้ไหนออกมาไม่หยุด 

    “เอาเป็นว่า ฉันขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ฉันเองก็จำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง” เขาว่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ฉันพยามกลั้นน้ำตาลที่ไหลออกมา ไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าทำไมน้ำตาลฉันถึงไหลไม่หยุดแบบนี้

    คนตรงหน้าเดินเข้าใกล้อีกครั้ง นั่นทำให้ฉันชะงักและขยับเท้าหนีแต่ก็ถูกมือหนาวคว้าไว้ก่อน

                “วันนี้ฉันคงพูดกับเธอไม่รู้เรื่อง” เขาว่าแล้วใช้มือปาดน้ำตาที่แก้มของฉัน ฉันพยายามปัดมือคนตรงหน้าออกทว่าเขากลับรวบมือทั้งสองข้างฉันไว้

                “ฮึก..ปล่อยมือฉันได้แล้ว” ฉันพยายามควบคุมเสียงสั่นเครือของตัวเอง ไม่รู้ว่าฉันอ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทั้งสายตา ใบหน้า ความรู้สึกของเขาที่ส่งผ่านออก มันทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก

                เขาขมวดคิ้วหนามองฉันอย่างครุ่นคิด

                “เอาหล่ะ..” เขาปล่อยมือที่พันธนาการฉันไว้ และพูดอย่างใจเย็น “ฉันคิดว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะคุย ไว้เธอหยุดร้องไห้... แล้วเราค่อยมาคุยกัน”

     

                “....”

     

     

     

    สองอาทิตย์ต่อมา

     

                “เอ็ม รับนี่ด้วย!”

                เสียงของโซอีจากฝั่งบาร์เทนเดอร์ ทำให้ฉันหันกลับไปรับผ้าเช็ดโต๊ะจากเธออย่างทันควัน ‘โซ’ ที่ว่าคือ ‘โซอี’เพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดของฉันตั้งแต่ย้ายมีอยู่ที่ปารีส เดิมฉันอยู่ที่บ้านเกิดของฉันที่แคว้นเบรอตาญ พอย้ายมาอยู่ที่ปารีสคนเดียว ฉันไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นนอกจากทำงานพาร์ทไทม์ กับจ่ายค่าอพาร์ทเม้นท์ที่ฉันอยู่ แต่มูลค่ามันไม่น้อยเลย สองปีที่ผ่านมาฉันใช้เวลาทั้งหมด เก็บเงินเพื่อทำตามความฝันของฉัน ความฝันที่ต้องใช้เงินมหาศาล..

                ฉันทำงานอยู่ร้านอาหารในตัวเมืองปารีส เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสเล็กๆ ถึงแม่จะเล็กแต่ว่าร้านก็ไม่เคยว่างให้ฉันได้อยู่เฉยๆ สักครั้ง ฉันทำงาน 7/24 ชั่วโมง ช่วงเวลาว่างก็จะเป็นช่วงหลังจากทำงานพาร์ทไทม์ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ช่วงเวลาว่างก็จะไปปาร์ตี้กับเพื่อนที่ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยกัน ตอนอยู่ที่เบรอตาญฉันทำงานอยู่ที่ซูเปอร์มาร์กเก็ตแถวบ้าน ทำให้การมาอยู่คนเดียวมันไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันเลย แต่ทุกครั้งที่ฉันอยู่คนเดียว จะย้อยกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ความรู้เจ็บปวดอย่างไร้สาเหตุถาโถมเข้าหามาหาฉันอย่างไม่ได้ตั้งตัว..

                อ้อ ฉันชื่อเอ็มมี่ เป็นลูกครึ่ง ไทย-ฝรั่งเศส แม่ฉันเป็นคนไทยแต่ว่าฉันแถบไม่เคยรู้จักประเทศเกิดของตัวเองสักครั้ง แย่ใช่มั้ยล่ะ ฉันหวังว่าสักครั้งในชีวิตฉันอาจจะย้ายกลับไปอยู่ประเทศไทย แม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าประเทศไทยน่าอยู่แค่ไหน ครั้งหนึ่งมันทำให้ฉันอยากหนีไปจากที่นี่ แต่ว่าทุกอย่างมันต้องใช้เงิน ซึ่งฉันคงมีไม่พอ.. ครอบครัวฉันไม่ได้เป็นครอบครัวยากจนมากเท่าไร เรามีทุกอย่างถือว่าอยู่ในถานะปานกลาง ทว่า..เหตุการณ์ครั้งนั้นในชีวิตทำให้ฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เปลี่ยนให้ฉันเป็นคน ‘ไม่มีอะไรเลย’ ฉันไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าก่อนหน้านี้ ชีวิตฉันเป็นอย่างไร พนันได้ว่าไม่มีใครอยากรู้เรื่องน่าเศร้า อีกอย่างทุกคนที่มาอยู่ที่นี่ล้วนมีเหตุผลบางอย่างอยู่แล้ว..

                “เอ็ม ช่วงนี้เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงไม่ออกมาปาร์ตี้ด้วยกันบ้างเลย” โซอีโพล่งถามขณะที่กำลังทำความสะอาดแก้วกาแฟในมือ

                คำถามนั้นทำให้เงียบไปชั่วขณะ ที่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะเล่าความจริงให้โซอีฟังหรือไม่ โซอีอายุมากกว่าฉันสองปี แต่นั่นไม่ได้ให้ฉันรู้สึกว่าเธอแก่กว่าฉันเลย แต่..จะให้ฉันบอกเธองั้นเหรอว่าฉันไม่อยากเจอใครบางคน ปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เดี๋ยวเขาก็ลืม อีกอย่างและถ้าต้องให้เล่าเหตุผล มันคงจะยืดยาวมากและเป็นเรื่องใหญ่

                “เปล่านี่.. ช่วงนี้ฉันแค่เหนื่อยๆ” ฉันว่าพลางปั้นหน้ายิ้มให้เธอ

                แต่ว่า..ใช่สินะ... ฉันกำลังหนีใครบางคน สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นมันให้ฉันไม่อยากพบเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกต่อไป ปารีสไม่ใช่เมืองเล็กผู้คนมากมายเดินชนกัน มันคงยากถ้าจะพบเจอคนเดิมๆ ฉันเลยไม่ทุกข์ร้อนมากเท่าไร แต่ว่าที่ต้องเลี่ยงที่ต้องไปปาร์ตี้สักพัก เพราะช่วงนี้แอบรู้สึกเอียน

                “งั้นเหรอ...เมื่อคืนมีคนมาถามหาเธอด้วยล่ะ” สิ่งที่โซอีพูดทำให้ฉันหันหน้าควับไปมองเธอทันที “มีอะไรเหรอ” โชอีถามอย่างสงสัย

                “ไม่มี...ว่าแต่ใครเหรอที่ถามน่ะ”

                “ฉันไม่รู้ว่าใคร แต่ว่าเขาแค่ถามว่ารู้จักเธอไหม”

                “แล้วเธอตอบว่ายังไง” ฉันหันกลับไปมองหน้าโซอีกครั้ง คราวนี้โซหรี่ตามองฉันเหมือนจะผิดบางอย่าง มันทำให้ฉันกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

                “อืม... ก็บอกว่าฉันรู้จักเธอ แล้วก็...”

                “แล้วก็..”

                “อยู่ๆ เขาก็หายไปกับเพื่อนเขาทันที” ฉันถอนหายใจ

                “ผู้ชายเหรอ”

                “ใช่ สูงๆ เซอร์ๆ แต่ว่าหน้าตาดีใช่เล่นเลยนะ แฟนเธอเหรอ?”

                แฟนเฟินอะไร ชื่อเขาฉันยังไม่รู้จัก แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว..

                “ไม่ใช้สักหน่อย....” ฉันหยุดหายใจชั่วครู่ “โซวันหลังถ้า ‘ใคร’ มาถามหาฉันอีก อย่าบอกพวกเขานะว่าเธอรู้จักฉัน” โซอีมองหน้าฉันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ถามอะไร

                “อืมได้สิ” จากนั้นก็เดินเข้าไปหลังร้าน อย่างที่บอกฉันโซอีสนิทกันที่สุด ที่เธอไม่ถามเพราะรู้ว่าฉันมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่บอก เราสนิทกันจนรู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะเรื่องส่วนตัวขอโซอีฉันก็ไม่เคยไปถามเธอเช่นกัน ฉันถือว่านั่นเป็นข้อตกลงลับๆ ของเรา

                พูดถึงวันนั้นแล้ว..ระหว่างที่หมอนั่นเข้าไปใส่เสื้อผ้า ฉันก็รีบแจ้นออกจากที่นั่นทันที นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เขาถึงได้ตามหาฉันให้ควัก ฉันออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ของใครซักคน โชคดีว่ายังไม่มีใครตื่นขึ้นมา คืนนั้นมีปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนโซอีสักคน ฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่าแก้วเบียร์ที่ถืออยู่ถูกใส่อะไรลงไป สิ่งนั้นทำให้ฉันมึนมากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ฉันเลยเผลอตัวไปสนิทชิดเชื้อกับคนแปลกหน้า หนำซ้ำยังตื่นขึ้นมาพร้อมเขาอีก  ทว่าที่แย่มากที่สุด ฉันจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันทุกอย่างในคืนนั้น ทุกความทรงจำ ทุกความรู้สึก..นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่อยากเจอเขา

                เพราะ..ฉันกระดากอายต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไป นึกไม่ถึงว่ามันจะแย่ถึงขนาดนี้..ความจริงแล้วหมอนั่นไม่น่าจะติดใจอะไรฉันมากมาย ฉันแค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งของเขา

                วันนี้ผู้คนมากมายกว่าปกติ อาจจะเพระวันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ ตั้งแต่เช้าคนเข้ามามากมายจนฉันแทบไม่ได้พักเลย ฉันเริ่มงานตั้งแต่ 6 โมง เปิดร้าน เตรียมพร้อมของจากนั้นก็รอให้คนทยอยข้ามา จากนั้นก็รับออเดอร์และเสิร์ฟ นั่นเป็นหน้าที่ของฉัน.. มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ชอบเข้ามาวุ่นวายกับฉันเขาเป็นคนอเมริกัน ผิวขาวสูงหน้าตาดี ชื่อ ไมค์ แต่ว่าหมอนี่ค่อนข้างเจ้าชู้ เขาจีบผู้หญิงทุกคนในร้าน ตายยากจริงๆ

                “วันนี้เลิกงานแล้วเธอไปไหน” ไมค์เข้ามากระซิบหูฉันขณะที่ฉันกำลังรับออเดอร์จากลูกค้า

                “ไม่ไปไหน” ฉันตอบกลับอย่างไม่สนใจ ฉันไม่เข้าใจหมอนี่สักเท่าไร ทั้งที่ก็เขาก็มีแฟนอยู่แล้วทำไมยังจะมายุ่งย่ามอะไรกับฉันอีก

                “โธ่เอ็ม... พรุ่งนี้ก็คริสต์มาส แล้วนะ เธอกะจะไม่ไปฉลองที่ไหนเลยหรอ” เขาว่าแล้วเดินตามฉันขณะที่กำลังเอาออเดอร์ไปส่ง

                “ก็ฉันไม่ว่างนี่ไมค์” ฉันหยุดมองเขาเพราะเริ่มจะรำคาญ

                “ฉันไม่เห็นเธอออกไปไหนสักหน่อย”

                “ไม่ล่ะ” ฉันตอบปัดๆ เสียงกระดิ่งดัง ทำให้ฉันวิ่งร่าเข้าไปหยิบอาหารไปเสริฟที่โต๊ะ คนแล้วคนเล่ายกมือเรียกออเดอร์จนตาฉันลายไปหมอ พวกเขาควรจะอยู่ที่บ้านกันไม่ใช่เหรอยะ

                “เลิกทำหน้าหงิกสักทีย่ะ” โชอีว่าพลางถือจานขนมปังบาเกตไว้ในมือขณะเดินไปเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ เธอก็เอ่ยปากแซวฉันเสียก่อน

                “ฉันยิ้มจนปากฉีกแล้วต่างหาก” ฉันเบ้หน้า

                วันนี้เป็นอีกวันที่ร้านอาหารคนเยอะเป็นพิเศษ และก็เป็นอีกวันที่ฉันก็เหนื่อยสุดๆ เพราะคนเยอะกว่าปกติ พรุ่งนี้เป็นวันคริสต์มาสคนก็คงจะมากกว่านี้ แต่ว่าฉันได้หยุดหนึ่งวัน นั่นเป็นเรื่องดี... ฉันพาตัวเองไปนั่งหลังร้านและถอกชุดยูนิฟอร์มออก ทว่าไม่ได้สังเกตว่ามีใครยืนอยู่ด้านหลัง

                “ไมค์!” ฉันร้องเสียงหลงขณะหยิบเสื้อมาบดบังร่างกายที่เหลือแต่เสื้อชั้นในทันที

                “Je suis désolé! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบดูเธอนะ” เขาว่าพลางขอโทษขอโพยและเดินออกไป เฮ้อ~ เกือบไปแล้วไง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จฉันก็เดินออกไปนอกร้าน วันนี้อากาศค่อยข้างหนาวเลกกิ้งกับสเวตเตอร์มันคงไม่พอสินะ นับวันอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ที่ปารีสคงจะ 8 องศา ฉันเช็คอุณหะภูมิ App Weather ใน iPhone 5s ที่ใช้อยู่ เป็นเรื่องดีที่ฝรั่งเศสเวลาจะซื้อมือถือทีจะมีระบบผ่อน และอีกอย่างราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมาก 

                “เฮ้!” ไมค์ที่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ จนฉันต้องยกมือกุมที่หน้าอกตัวเอง พอเห็นไมค์ก็ยกมือตีเขาทันที

                “ตาบ้า! มาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง” ฉันย่นจมูก “ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะ”

                “ก็รอเธอ” ไมค์ว่าพลางฉีดยิ้มกว้าง

                “รอทำไม ฉันกลับเองได้”

                “ฝนลงเม็ดขนาดนี้” พูดจบเขาก็กางล่มที่อยู่ในมือแล้วเดินมายืนอยู่ข้างฉัน ฉันที่ไม่ทันสังเกตว่าฝนกำลังตกลงมา แปลกจริง นี่มันหน้าหนาวหรือว่าฝนกันแน่..

                “ขอบคุณ”

                โชคดีอพาร์ทเมนท์ที่ฉันอยู่ไม่ได้ไกลจากร้านอาหารมากมาย เดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงแต่ทว่าตอนนี้มีฝนตกหนักขึ้น จึงทำให้ฉันต้องหยุดหลบฝนก่อนที่ร้านมินิมาร์ทเสียก่อน

                “ถ้าเธอไม่มีฉัน ป่านนี้คงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแล้วนะเอ็ม”

                “ทำมาเป็นห่วง” ฉันเบ้ปากใส่เขา “เอาเวลาไปดูแลแฟนนายไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันว่าแล้วเสมอหน้ามองทางอื่น คำพูดฉันทำให้เขากระอึกกระอ่วนทันที สมน้ำหน้า

                “ก็แฟนฉันไม่อยู่นี่” เขาว่าอย่างช่วยไม่ได เรานั่งคุยกันสัพเพเหระ ไม่นานฝนก็เริ่มซาลง และหยุดตกในที่สุด

                “ฝนหยุดตกแล้ว ฉันเดินกลับเองได้” ฉันยื่นร่มคืนให้ไมค์ “ขอบคุณที่นายมาส่ง”

                พอพูดจบฉันก็ย่างเท้าออกมา ไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้เอ่ยร้อง ฉันก็เดินข้ามถนนจากเขาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันตัดพ้อหรืออะไร ฉันไม่อยากให้ความหวังเขาด้วย หมอนั่น มีแฟนแล้ว ฉันไม่อยากไปยุ่งเกี่ยว อีกอย่างใครๆ ก็รู้ว่าเขาจีบผู้หญิงทุกคน คนอเมริกันเจ้าชู้แบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ ฉันก้าวฉับๆ อย่างรวดเร็ว เพราะอากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว ทั้งลมทั้งฝน ในที่สุดฉันก็พาตัวเองมาอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง เสียงปาร์ตี้ของหลายๆ ห้องทำให้ฉันหันไปมอง อาพาร์ทเม้นท์ที่ฉันอยู่เป็นเพียงตึก 3 ชั้น แต่ทว่ามีห้องมากมายเรียงกันอยู่ อีกอย่างผู้คนที่นี่แถบจะไม่สนใจกันด้วยซ้ำว่าทำอะไรกันอยู่.. บ้างก็ทะเลาะกัน เปิดเพลง แต่พอเข้าไปอยู่ในห้องตัวเองยังดีที่ไม่เสียงอะไรเล็ดลอดเข้ามา

                ฉันไขกุญแจเข้าไปนั่งห้องพลางเปิดมิเตอร์เพื่อช่วยทำให้อุณหภูมิในห้องอุ่นขึ้น จากนั้นก็กางโน้ตบุกขึ้นมานั่งเล่นบนฟูกสีขาวพร้อมกับผ้าห่มผ้าสีขาวผืนใหญ่ไว้รอบตัว ห้องฉันเป็นเพียงห้องสี่เหลือจัตุรัสเล็กๆ พร้อมกับห้องน้ำในตัว ฉันพึ่งย้ายมีอยู่ที่นี่ปีที่แล้วนี่เอง ก่อนหน้านี้ฉันอยู่กับแฟนเก่า เราเลิกกันค่อยข้างรุนแรง ฉันเลยตัดสินใจย้ายออกมาจากเขาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาด จะว่าไปหนึ่งปีฉันแถบจะสามารถลืมเรื่องราวต่างๆ ได้หมดแล้ว พูดถึงห้องนี้ ราคาถูกกว่าห้องที่เคยอยู่กับ ‘หลุยส์’ ชาตินี้ฉันไม่หวังจะเจอเขาอีก ฉันไม่ได้โกรธที่เราเลิกกันหรอกนะ มันก็แค่เป็นอารมณ์หนึ่ง แต่ก่อนเคยอยู่กับใครหลายๆ คน ตอนนี้ฉันต้องมาอยู่คนเดียวเนี้ยนะ พระเจ้าไม่เห็นใจกันบ้างเลย...

                น่าเศร้าที่ฉันไม่ได้ติดใครในครอบครัวอีกเลย... อันที่จริง ฉันไม่เหลือใครให้คิดถึงอยู่ๆ น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างหยุดไม่อยู่ ฉันพยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้น แต่ทว่าถึงแม้ไม่คิดความรู้สึกก็สามารถนำเราไปยังสิ่งเหล่านั้นได้ ฉันไม่สามารถห้ามมันได้... ฉันเข้า Tumblr เพื่อเข้าไปอัพเดต หรือเรียกง่ายๆ มันคือ Daily ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคน ฟอลโล่ฉันเกือบพันแล้ว เรื่องราวของฉันถูกส่งผ่านเล่าแบบ Non-fiction มันก็เหมือนการเขียนนิยายทว่าทำให้มันดูน่าสนใจมากกว่าเดิมนี่เอง... อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ก็คงจะเป็น Christmas แล้วสินะ ฉันเดินไปหยิบถุงเท้ามาแขวนไว้ที่หัวเตียง หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ โอเค นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย ฉันน่าจะพาตัวเองออกมาจากจิตการอันงี่เง่า แต่เอาเถอะ แขวนไว้ก็ไม่เสียงหายอะไร ฉันเดินไปแขวนถุงเท้าไว้ที่ปลายเตียงอีครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าตื่นเช้ามามันจะไม่มีอะไร ฉันเดินออกไปเปิดหน้าต่างตามสเต็ป ตรงข้ามห้องฉันเป็นตึกล้าง มันค่อยข้างหน้ากลัวเวลาเปิดกระจกแล้วเห็นเงาตัวเองสะท้อน ถึงยังไงก็ตาม ฉันชักจะเริ่มชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว ท้องฟ้าในเมืองปารีสสว่างจดแทบจะไม่เห็นดาว มีเพียงแค่ท้องฟ้าสว่างๆ สาดส่องเข้ามาในห้องยามค่ำคืน...

                 สองปีมาแล้วที่ฉันไม่เคยฉลองคริสต์มาส ปีนี้คงจะเป็นปีที่สาม ฉันไม่เคยออกไปฉลอง แม้แต่กับโซอีฉันก็ไม่เคยไป..เหมือนเคยวันพรุ่งนี้คงจะเป็นวันไม่มีความหมายสำหรับฉัน ฉันไม่หวังอะไรกับซานต้าทั้งนั้นแหล่ะ ยังไงซะมันก็เรื่องหลอกเด็กที่ผู้ใหญ่แต่งขึ้นมา
                 ลมหนาวพัดมากระทบกับเท้าที่เปลือยเปล่าของฉัน...

                “หนาวชะมัด..”

                ฉันกระชับผ้านวมที่คลุมร่างกายและพาตัวเองเดินมาที่เตียงนอนของตัวเอง บรรยากาศแบบนนี้มันทำให้ฉันรู้สึกเหงาชอบกล ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะเป็นยังไง..เหอะ นี่ฉันจะคิดถึงเขาทำไมเนี่ย เขาจะเป็นยังไงก็ช่างมันไม่เกี่ยวกับฉันสักนิดเดียว การที่ฉันหนีมาแบบนี้มันถูกแล้ว การที่ไม่เจอกับเขา ไม่ผูกมัด มันดีกับฉันและนายนั่น ดูก็รู้ว่าเขาก็ไม่ใช่พวกรักเดียวใจเดียว

     

    I Don't Want A Lot For Christmas, There Is Just One Thing I Need ~

    (ฉันไม่ต้องการอะไรมากมายสำหรับคริสต์มาสนี้, แต่มีอย่างเดียวที่ฉันต้องการ)

    I Don't Care About The Presents, Underneath The Christmas Tree~

    (ฉันไม่สนใจว่าจะมีของขวัญมากมาย, ใต้ต้นคริสต์มาส)

    I Don't Need To Hang My Stocking ~

    (ฉันไม่จำเป็นต้องแขวนถุงเท้า)

    There Upon The Fireplace, Santa Claus Won't Make Me Happy ~

    (บนเตาผิง, ซานตาคลอสทำให้ฉันมีความสุขไม่ได้ )

     

                เสียงเพลงดังลอดเข้ามาในห้อง ทำให้ฉันต้องเดินออกไปตรงหน้าต่างอีกครั้ง... ในที่สุดสัญญาณบอกถึงวันคริสต์มาสก็มาถึง วันที่แสดงถึงแห่งความปิติยินดี ความโอบอ้อมอารี และความรัก มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันหรอก ฉันไม่มีคนที่รักอยู่ด้วยนี่นา ก็อย่างที่เพลงบอก Le père noël ne me rendra pas heureuse...

     

     

    ______________________________________________________________________

    * เพลง All i want from Christmas is you
    ** Le père noël ne me rendra pas heureuse = Santa claus won’t make me happy


    ♥ ♥ ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥  ♥  ♥  ♥   ♥  ♥  ♥  ♥ ♥  ♥ 

    ท็อกทูมีนิดโหน่ย


    ขอบคุณสำหรับการอ่านะค้า ไรท์เตอร์แก้คำผิดและปรับเปลี่ยนบท
    และเนื้อหานิดหน่อย ถือว่าตอนนี้เป็น 
    Official เลยแล้วกัน อิอิ

    ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อไป ก็โหวตก็เม้นเป็นกำลังใจนักเขียนด้วยน้า
    ขอบคุณค่า รักนักอ่านทุกคน <3
    Ps. ถ้ายังมีคำผิดก็ขอโทษด้วยนะฮัฟ

    By anbna

    ♥ ♥ ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥ ♥ ♥  ♥  ♥  ♥  ♥  ♥   ♥  ♥  ♥  ♥ ♥  ♥

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×