คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : ภาคผนวก : ปัญหานักเขียน และวิธีขจัดปัญหา
ภาคผนวก : ปัญหานักเขียน และวิธีขจัดปัญหา
โอ้ว! ห่างหายไปเสียนานอยู่ๆ
ก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากเขียนเพิ่ม ดังคำกล่าวที่ว่าความรู้ไม่มีวันสิ้นสุด
ไอ้เจ้าปัญหาก็ไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน
ปัญหาที่พี่อัญเจอโคตรบ่อยกับคำถามทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่เพิ่งเริ่มต้นเขียนนิยายก็คือ
‘จะใช้คำบรรยายมุมมองบุรุษที่เท่าไหร่ดี?
เอาตามตรงนะเจ้าคะ
ไม่มีสรรพบทใดกล่าวหรือนิยามสอนว่าแนวไหนต้องบรรยายแบบไหน มุมมองอะไร
มันขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้เขียนล้วนๆ ซึ่งสิ่งที่พี่สาวต้องการจะสื่อก็คือ
ถ้าชอบแบบไหนให้เขียนมุมมองแบบนั้นไปเลย อะไรที่ชอบตัวเราเองมักจะทำได้ดีเสมอ
มันจะทำให้เราใส่ใจในการปรุงแต่งอาหารจานนิยายของเราได้อร่อยขึ้น
มือใหม่ควรเขียนบรรยายตามมุมมองที่เราถนัดเป็นสิ่งแรกเริ่ม(มันจะดีแน่นอน)
แน่นอน! มันก็เหมือนเราถนัดเล่าเรื่องแบบไหนให้เพื่อนเราฟังนั่นแหละ
พึงระลึกถึงการเม้ามอยที่เราๆ ท่านๆ เคยชินกัน บางเรื่องมีแค่
เพื่อนของเราไปเหยียบขี้หมา ไอ้เราดันฮา
เลยอยากไปเล่าต่อให้คนอื่นรับรู้ว่าเพื่อนเรามันเหยียบขี้หมา
แต่จะเล่ายังไงให้มันน่าฟังล่ะ
ถ้าเป็น รุ่นพี่ของพี่อัญ แกแก่มากแล้ว
แกก็จะเดินหลังงอๆ มาบอกพี่อัญว่า “ไอ้โจ้....เหยียบขี้หมา” พระเจ้า
พี่อัญเข้าใจนะว่ารุ่นพี่ของเราอยากให้เราฮา แต่มันโคตรไร้จริตอรรถรสเสียนี่กระไร
แต่ถ้าเป็นเพื่อนพี่สาวที่ถนัดในการนินทาชาวบ้านล่ะก็
มันจะพร้อมฟีลลิ่งที่เป็นเอกลักษณ์
โดยมันจะเริ่มเล่าว่า... “เมื่อเช้าถนนโล่ง
รถไม่มีจอดสักคัน ไอ้โจ้ก็ไปจอดรถข้างทางเท้าตามระเบียบ พร้อมกับเปิดประตูลงมา....
(คนเล่ามันจะเว้นอารมณ์ช่วงหนึ่ง ในขณะที่พี่สาวหันหน้าไปทางมัน เพื่อจะฟังต่อ)
เท้าของมันข้างหนึ่งก้าวลงเหยียบที่พื้น
ไม่นานนักไอ้โจ้ก็ชักตีนกลับขึ้นรถ สักพักมันก็โยนรองเท้าของมันลงมาจากรถ..
(พี่สาวเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้นพอถึงประโยคนี้)
ไอ้โจ้ตะโกน WTF สุดเสียง
พร้อมกับอุทานว่า “ขี้หมาเวรเอ้ย” อย่างที่เข้าใจกัน
ตอนที่ไอ้โจ้ชักเท้ากลับขึ้นรถนั้น ขี้หมาได้สิงรองเท้ามันขึ้นไปด้วย!
และบังเอิญว่า มันมีขนาดพอตัว เลยทำให้มันร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
ลงไปสัมผัสกับพรมชั้นดีบนรถบีเอ็มของมัน
กลิ่น....แม้เวลานี้ กลิ่นของมันยังอบอวลอยู่
อัญแกอย่าไปนั่งรถกับมันเด็ดขาด! แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน...
จากประโยคข้างต้น...ทำเอาพี่อัญตะลึงในทักษะการเล่าเรื่องของมัน
พอนางพูดจบก็อมยิ้ม และเดินสะบัดก้นกลับไปนั่งที่โต๊ะ จากเรื่องนี้ทำให้พี่อัญตระหนักได้ถึงพลังในความถนัด
หากเราถนัดจะเล่า มุมมองไหนก็ทำได้ทั้งนั้น
ดังนั้นน้องๆ คนไหนที่คิดว่า
จะเล่าเรื่องเป็นตัวหนังสือ แต่ยังไม่เชี่ยวชาญพอ
ลองเอามุมมองที่ตัวเองถนัดและเห็นภาพก่อน ไม่ใช่ว่าเคยอ่านแนวนี้
เขาบรรยายมุมมองนี้ ข้าน้อยขอกระทำตาม ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ถนัด
แฟนตาซี โรแมนติก ผี หรืออะไรต่างๆ ที่เป็นนิยาย
ใช้มุมมองไหนเขียนก็ได้ มันขึ้นอยู่กับนักเขียนจะเล่าได้เข้าใจชวนติดตามมากแค่ไหน
อ้อ! อีกเรื่อง...นักเขียนมือใหม่มือเก๋าที่เคยอ่านบทความนี้จนมาถึง
ณ บัดนี้ มักจะแก้ไม่ได้ และมีคำถามเข้ามาเสมอ(บางคนแก้ได้ก็ขออนุโมทนา
สาธุด้วยเจ้าค่ะ)
บางคนรู้วิธีเขียน เข้าใจในการใช้คำ
แตกฉานซะจนเป็นนักเขียนมืออาชีพได้สบาย บางคนเก่งกว่าพี่สาวอีก
แต่แพ้อะไรรู้ไหม... ความขี้เกียจ
นักเขียนมักใช้พลังสมองจินตนาการไปต่างๆ นาๆ
แล้วก็ขี้เกียจ พี่สาวก็เคยเป็น คิดได้ทุกอย่าง แต่ติดตรงไม่อยากเขียน
และนี่คือประเด็นที่พี่สาวหยิบยกขึ้นมาเล่า เผื่อใครที่ติดปัญหานี้อยู่
อาการนี้แก้ด้วยการแบ่งเวลาให้เป็นเจ้าค่ะ
ตั้งเป้าเลยว่างานของเราต้องเสร็จเมื่อใด จะมีคนคอยอ่านหรือไม่อย่าได้แยแส นักเขียนมืออาชีพส่วนมากสู้กับตัวเองทั้งนั้น
ใช่...ทุกคนล้วนต่อสู้กับความขี้เกียจของตัวเอง และถ้าชนะมันได้น้องๆ พี่ๆ
ก็เข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพอีกหนึ่งขั้นแน่นอน
แต่ไอ้ความขี้เกียจสุดแสนบรรลัยไส้นี่มักจะมากับข้ออ้องที่ใช้เป่าหูตัวเองว่า
“พรุ่งนี้ค่อยทำ” หรือ “วันหลังก็ได้” “เอาไว้ก่อน” โหย...สารพัดที่จะอ้างเพื่อใช้ปลอบใจตัวเองไปวันๆ
วันนี้เลยเอาความรู้มาฝากกันสักหน่อย
เพราะบางคนชอบคิดว่า “ก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักเขียนสักหน่อย เขียนก็งานอดิเรกเท่านั้น”
หรือ
“เราไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพหนิ
ไม่เห็นจะมีเดธไลน์ว่าต้องเสร็จวันไหน”
ขอบอกเลยนะ ขอบอกเลย! นักเขียนมืออาชีพทั้งหลายส่วนมากก็ไม่มีเส้นเดธไลน์นะจ๊ะ
พวกเขาเหล่านั้นทำงานภายใต้วินัยของตัวเองว่าต้องแต่งให้จบ เพราะถ้าแต่งไม่จบ
สำนักพิมพ์เขาไม่พิจารณานะจ๊ะน้องหนู ยกเว้นบางคนเท่านั้น ที่สำนักพิมพ์ให้เครดิต
หรือมีชื่อสักหน่อย ถึงจะได้สิทธิ์สัญญาว่าจะตีพิมพ์ ทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่จบ...
ดังนั้น หนังสือที่ออกมาเป็นเล่มล้วนเกิดจากการพิมพ์จบแล้วถึงส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาร้อยละเก้าสิบเก้าเลยนะเออ...
พอพี่อัญบอกแบบนี้
เจ้าตัวขี้เกียจก็จะเป่าหูนักเขียนมือใหม่ต่อว่า... “ไม่ได้อยากเขียนให้เป็นหนังสือสักหน่อย แค่อยากให้มีคนอ่านเท่านั้น”
นี่มันขี้เกียจแบบรุ่นใหญ่ไฟกระพริบชัดๆ
ข้ออ้างที่เป่าหูตัวเองแบบนี้รู้ไหมว่า
นักอ่านเขาเลือกอ่านนิยายจากเน็ตด้วยจำนวนตอน และความน่าจะจบของนิยาย
เพราะถ้านิยายเรื่องไหนมีแนวโน้มว่าจะดอง นักอ่านมักจะตีตัวออกห่างล่ะจ้า
นักอ่านเขาต้องการอ่านอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ตอนก็ยังดีเจ้าค่าเอ้ย
ด้วยเหตุนี้การหวังจะให้มีคนอ่านของนักเขียนมือใหม่หรือเก่าลายครามก็ต้องจบด้วยดอง
เพราะคิดไปเองว่า... “ไม่เห็นมีคนสนใจเรื่องของเราเลย ดองดีกว่า” อุแหม... พิมพ์ลงตอนเดียวคาดหวังไปซะไกล
แถมดับอนาคตในวงการนักเขียนของตัวเองไปเสียดื้อๆ ด้วยตรรกะที่ตัวเองเข้าใจคนเดียว
การอัพเดทสม่ำเสมอ เรียกคนอ่านได้จริงพะย่ะค่ะ
เนื้อเรื่องสนุกหรือห่วยแตกเป็นรองจากการที่นักอ่านเขาจะตามอ่าน
เพราะเรื่องไหนที่อัพเดทสม่ำเสมอนักอ่านจะคิดว่ามันพัฒนาได้ และมันจะจบได้
ทำให้ไม่ค้างคา และบ่งบอกความเอาใจใส่ของนักเขียน
และสาเหตุหนึ่งที่นักเขียนมือใหม่มักคิดตื้นๆ
เช่นนี้ เพราะตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์ตามอ่านนิยายของใคร เลยไม่เข้าใจการรอคอยว่าการอัพเดทนิยายที่ตัวเองชอบนั้นมันยาวนานแค่ไหน
มันน่าแปลกที่อยากเป็นนักเขียน ดั๊นไม่ชอบอ่าน...
อันนี้เกินเยียวยาเจ้าค่ะ
ถ้ามุ่งมั่นแล้ว อย่าได้แคร์สื่อ
ใส่พลังทั้งหมดลงไป อัพเดทบ่อยๆ อย่างน้อยต้องมีนักอ่านได้สัมผัสงานของท่านแน่ๆ
นี่พี่สาวก็ร่ายมาได้สักพัก....กะว่าจะเขียน
ประสบการณ์นักเขียน และวิธีเขียนให้ได้อารมณ์แบบเจาะลึก ก็เกรงว่ามันจะยาวไป
เพราะเห็นนักเขียนมือใหม่บางคนกล่าวมาหลังจากเปิดบทความของพี่สาวอ่าน...
หนึ่งนั้นบอกว่า บทความพี่สาว “ตัวหนังสือเยอะ แค่เห็นก็ป่วยแล้ว” ทำเอาพี่สาวนิ่งไปนาน(เป็นปีเลยกว่าจะหาวิธีเขียนแนะนำการเขียนให้สั้นลง) แต่พอคิดดูดีๆ มองอีกมุมพี่สาวว่า
ถ้าเขาตั้งใจจะเอาความรู้จากบทความ เขาต้องอ่านจนหมดทุกเม็ด
แม้จะมีบางคนอ่านไม่หมด แต่บางคนก็อ่านยันคำผิดของพี่สาวแน่ๆ (ฮาเลย)
จึงได้เริ่มเขียนบทความเพิ่ม เพื่อช่วยมือใหม่ให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง(มั้ง)
จบ...จะพยายามอัพเดทเรื่อยๆ แล้วกันเนอะ ไหนใครคิดถึงบทความแห่งนี้กันบ้าง
แสดงตัวหน่อยเร้วววว!
ความคิดเห็น