ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หลักการเขียนนิยาย(ฉบับปรับปรุง)

    ลำดับตอนที่ #28 : ภาคผนวก : ปัญหานักเขียน และวิธีขจัดปัญหา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      14
      13 ต.ค. 60




    ภาคผนวก : ปัญหานักเขียน และวิธีขจัดปัญหา

     

     

    โอ้ว! ห่างหายไปเสียนานอยู่ๆ ก็กระเหี้ยนกระหือรืออยากเขียนเพิ่ม ดังคำกล่าวที่ว่าความรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไอ้เจ้าปัญหาก็ไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน

     

    ปัญหาที่พี่อัญเจอโคตรบ่อยกับคำถามทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่เพิ่งเริ่มต้นเขียนนิยายก็คือ จะใช้คำบรรยายมุมมองบุรุษที่เท่าไหร่ดี?

     

    เอาตามตรงนะเจ้าคะ ไม่มีสรรพบทใดกล่าวหรือนิยามสอนว่าแนวไหนต้องบรรยายแบบไหน มุมมองอะไร มันขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้เขียนล้วนๆ ซึ่งสิ่งที่พี่สาวต้องการจะสื่อก็คือ ถ้าชอบแบบไหนให้เขียนมุมมองแบบนั้นไปเลย อะไรที่ชอบตัวเราเองมักจะทำได้ดีเสมอ มันจะทำให้เราใส่ใจในการปรุงแต่งอาหารจานนิยายของเราได้อร่อยขึ้น มือใหม่ควรเขียนบรรยายตามมุมมองที่เราถนัดเป็นสิ่งแรกเริ่ม(มันจะดีแน่นอน)

     

    แน่นอน!  มันก็เหมือนเราถนัดเล่าเรื่องแบบไหนให้เพื่อนเราฟังนั่นแหละ พึงระลึกถึงการเม้ามอยที่เราๆ ท่านๆ เคยชินกัน บางเรื่องมีแค่ เพื่อนของเราไปเหยียบขี้หมา ไอ้เราดันฮา เลยอยากไปเล่าต่อให้คนอื่นรับรู้ว่าเพื่อนเรามันเหยียบขี้หมา แต่จะเล่ายังไงให้มันน่าฟังล่ะ

     

     

    ถ้าเป็น รุ่นพี่ของพี่อัญ แกแก่มากแล้ว แกก็จะเดินหลังงอๆ มาบอกพี่อัญว่า ไอ้โจ้....เหยียบขี้หมาพระเจ้า พี่อัญเข้าใจนะว่ารุ่นพี่ของเราอยากให้เราฮา แต่มันโคตรไร้จริตอรรถรสเสียนี่กระไร แต่ถ้าเป็นเพื่อนพี่สาวที่ถนัดในการนินทาชาวบ้านล่ะก็ มันจะพร้อมฟีลลิ่งที่เป็นเอกลักษณ์

     

    โดยมันจะเริ่มเล่าว่า... เมื่อเช้าถนนโล่ง รถไม่มีจอดสักคัน ไอ้โจ้ก็ไปจอดรถข้างทางเท้าตามระเบียบ พร้อมกับเปิดประตูลงมา.... (คนเล่ามันจะเว้นอารมณ์ช่วงหนึ่ง ในขณะที่พี่สาวหันหน้าไปทางมัน เพื่อจะฟังต่อ)

     

    เท้าของมันข้างหนึ่งก้าวลงเหยียบที่พื้น ไม่นานนักไอ้โจ้ก็ชักตีนกลับขึ้นรถ สักพักมันก็โยนรองเท้าของมันลงมาจากรถ.. (พี่สาวเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้นพอถึงประโยคนี้)

     

    ไอ้โจ้ตะโกน WTF สุดเสียง พร้อมกับอุทานว่า ขี้หมาเวรเอ้ยอย่างที่เข้าใจกัน ตอนที่ไอ้โจ้ชักเท้ากลับขึ้นรถนั้น ขี้หมาได้สิงรองเท้ามันขึ้นไปด้วย! และบังเอิญว่า มันมีขนาดพอตัว เลยทำให้มันร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ลงไปสัมผัสกับพรมชั้นดีบนรถบีเอ็มของมัน

     

    กลิ่น....แม้เวลานี้ กลิ่นของมันยังอบอวลอยู่ อัญแกอย่าไปนั่งรถกับมันเด็ดขาด! แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน...

     

     

    จากประโยคข้างต้น...ทำเอาพี่อัญตะลึงในทักษะการเล่าเรื่องของมัน พอนางพูดจบก็อมยิ้ม และเดินสะบัดก้นกลับไปนั่งที่โต๊ะ จากเรื่องนี้ทำให้พี่อัญตระหนักได้ถึงพลังในความถนัด หากเราถนัดจะเล่า มุมมองไหนก็ทำได้ทั้งนั้น

     

     

    ดังนั้นน้องๆ คนไหนที่คิดว่า จะเล่าเรื่องเป็นตัวหนังสือ แต่ยังไม่เชี่ยวชาญพอ ลองเอามุมมองที่ตัวเองถนัดและเห็นภาพก่อน ไม่ใช่ว่าเคยอ่านแนวนี้ เขาบรรยายมุมมองนี้ ข้าน้อยขอกระทำตาม ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ถนัด

     

    แฟนตาซี โรแมนติก ผี หรืออะไรต่างๆ ที่เป็นนิยาย ใช้มุมมองไหนเขียนก็ได้ มันขึ้นอยู่กับนักเขียนจะเล่าได้เข้าใจชวนติดตามมากแค่ไหน

     

     

    อ้อ! อีกเรื่อง...นักเขียนมือใหม่มือเก๋าที่เคยอ่านบทความนี้จนมาถึง ณ บัดนี้ มักจะแก้ไม่ได้ และมีคำถามเข้ามาเสมอ(บางคนแก้ได้ก็ขออนุโมทนา สาธุด้วยเจ้าค่ะ)

     

     

    บางคนรู้วิธีเขียน เข้าใจในการใช้คำ แตกฉานซะจนเป็นนักเขียนมืออาชีพได้สบาย บางคนเก่งกว่าพี่สาวอีก แต่แพ้อะไรรู้ไหม... ความขี้เกียจ

     

    นักเขียนมักใช้พลังสมองจินตนาการไปต่างๆ นาๆ แล้วก็ขี้เกียจ พี่สาวก็เคยเป็น คิดได้ทุกอย่าง แต่ติดตรงไม่อยากเขียน และนี่คือประเด็นที่พี่สาวหยิบยกขึ้นมาเล่า เผื่อใครที่ติดปัญหานี้อยู่

     

    อาการนี้แก้ด้วยการแบ่งเวลาให้เป็นเจ้าค่ะ ตั้งเป้าเลยว่างานของเราต้องเสร็จเมื่อใด จะมีคนคอยอ่านหรือไม่อย่าได้แยแส  นักเขียนมืออาชีพส่วนมากสู้กับตัวเองทั้งนั้น ใช่...ทุกคนล้วนต่อสู้กับความขี้เกียจของตัวเอง และถ้าชนะมันได้น้องๆ พี่ๆ ก็เข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพอีกหนึ่งขั้นแน่นอน

     

    แต่ไอ้ความขี้เกียจสุดแสนบรรลัยไส้นี่มักจะมากับข้ออ้องที่ใช้เป่าหูตัวเองว่า พรุ่งนี้ค่อยทำหรือ วันหลังก็ได้” “เอาไว้ก่อน”  โหย...สารพัดที่จะอ้างเพื่อใช้ปลอบใจตัวเองไปวันๆ

     

    วันนี้เลยเอาความรู้มาฝากกันสักหน่อย เพราะบางคนชอบคิดว่า ก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักเขียนสักหน่อย เขียนก็งานอดิเรกเท่านั้นหรือ เราไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพหนิ ไม่เห็นจะมีเดธไลน์ว่าต้องเสร็จวันไหน

     

    ขอบอกเลยนะ ขอบอกเลยนักเขียนมืออาชีพทั้งหลายส่วนมากก็ไม่มีเส้นเดธไลน์นะจ๊ะ พวกเขาเหล่านั้นทำงานภายใต้วินัยของตัวเองว่าต้องแต่งให้จบ เพราะถ้าแต่งไม่จบ สำนักพิมพ์เขาไม่พิจารณานะจ๊ะน้องหนู ยกเว้นบางคนเท่านั้น ที่สำนักพิมพ์ให้เครดิต หรือมีชื่อสักหน่อย ถึงจะได้สิทธิ์สัญญาว่าจะตีพิมพ์ ทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่จบ...

     

    ดังนั้น หนังสือที่ออกมาเป็นเล่มล้วนเกิดจากการพิมพ์จบแล้วถึงส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาร้อยละเก้าสิบเก้าเลยนะเออ...

     

    พอพี่อัญบอกแบบนี้ เจ้าตัวขี้เกียจก็จะเป่าหูนักเขียนมือใหม่ต่อว่า... ไม่ได้อยากเขียนให้เป็นหนังสือสักหน่อย แค่อยากให้มีคนอ่านเท่านั้น

     

    นี่มันขี้เกียจแบบรุ่นใหญ่ไฟกระพริบชัดๆ ข้ออ้างที่เป่าหูตัวเองแบบนี้รู้ไหมว่า นักอ่านเขาเลือกอ่านนิยายจากเน็ตด้วยจำนวนตอน และความน่าจะจบของนิยาย เพราะถ้านิยายเรื่องไหนมีแนวโน้มว่าจะดอง นักอ่านมักจะตีตัวออกห่างล่ะจ้า นักอ่านเขาต้องการอ่านอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ตอนก็ยังดีเจ้าค่าเอ้ย

     

     

    ด้วยเหตุนี้การหวังจะให้มีคนอ่านของนักเขียนมือใหม่หรือเก่าลายครามก็ต้องจบด้วยดอง เพราะคิดไปเองว่า... ไม่เห็นมีคนสนใจเรื่องของเราเลย ดองดีกว่า”  อุแหม... พิมพ์ลงตอนเดียวคาดหวังไปซะไกล แถมดับอนาคตในวงการนักเขียนของตัวเองไปเสียดื้อๆ ด้วยตรรกะที่ตัวเองเข้าใจคนเดียว

     

    การอัพเดทสม่ำเสมอ เรียกคนอ่านได้จริงพะย่ะค่ะ เนื้อเรื่องสนุกหรือห่วยแตกเป็นรองจากการที่นักอ่านเขาจะตามอ่าน เพราะเรื่องไหนที่อัพเดทสม่ำเสมอนักอ่านจะคิดว่ามันพัฒนาได้ และมันจะจบได้ ทำให้ไม่ค้างคา และบ่งบอกความเอาใจใส่ของนักเขียน

     

    และสาเหตุหนึ่งที่นักเขียนมือใหม่มักคิดตื้นๆ เช่นนี้ เพราะตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์ตามอ่านนิยายของใคร เลยไม่เข้าใจการรอคอยว่าการอัพเดทนิยายที่ตัวเองชอบนั้นมันยาวนานแค่ไหน

     

    มันน่าแปลกที่อยากเป็นนักเขียน ดั๊นไม่ชอบอ่าน... อันนี้เกินเยียวยาเจ้าค่ะ

     

     

    ถ้ามุ่งมั่นแล้ว อย่าได้แคร์สื่อ ใส่พลังทั้งหมดลงไป อัพเดทบ่อยๆ อย่างน้อยต้องมีนักอ่านได้สัมผัสงานของท่านแน่ๆ

     

     

    นี่พี่สาวก็ร่ายมาได้สักพัก....กะว่าจะเขียน ประสบการณ์นักเขียน และวิธีเขียนให้ได้อารมณ์แบบเจาะลึก ก็เกรงว่ามันจะยาวไป เพราะเห็นนักเขียนมือใหม่บางคนกล่าวมาหลังจากเปิดบทความของพี่สาวอ่าน... หนึ่งนั้นบอกว่า บทความพี่สาว ตัวหนังสือเยอะ แค่เห็นก็ป่วยแล้ว”  ทำเอาพี่สาวนิ่งไปนาน(เป็นปีเลยกว่าจะหาวิธีเขียนแนะนำการเขียนให้สั้นลง)  แต่พอคิดดูดีๆ มองอีกมุมพี่สาวว่า ถ้าเขาตั้งใจจะเอาความรู้จากบทความ เขาต้องอ่านจนหมดทุกเม็ด แม้จะมีบางคนอ่านไม่หมด แต่บางคนก็อ่านยันคำผิดของพี่สาวแน่ๆ (ฮาเลย) จึงได้เริ่มเขียนบทความเพิ่ม เพื่อช่วยมือใหม่ให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง(มั้ง)

     

     

     

    จบ...จะพยายามอัพเดทเรื่อยๆ แล้วกันเนอะ  ไหนใครคิดถึงบทความแห่งนี้กันบ้าง แสดงตัวหน่อยเร้วววว!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×