apinitta
ดู Blog ทั้งหมด

เทคนิกการเขียนนิยาย

เขียนโดย apinitta

คุณเคยเขียนเกี่ยวกับนิยายหรือไม่
เมื่อคุณเขียน คุณก็มักประสบปัญหาเรื่องกับการแต่งต่อไป

1. น้ำเน่า พระเอกเจอกับนางเอกแบบเฉียด ๆ
2. มุขฝืด เติมน้ำมันหล่อลื่นแล้วยังฝืดอีก
3. งานไม่เดิน เพราะไม่รู้จะแต่งต่อไงดี
4. เพรียบพร้อมไปด้วยสมองอันชาญฉลาด ในการสร้างสรรค์นิยาย แต่กลับไม่มีคนอ่าน

                --------------------------------------------------------------------
บทที่ 1
ก้าวสู่เป็นเจ้าของนิยาย

นิยายในความหมายของคุณคืออะไร ?....
สำหรับหลายคนคงคิดไปหลาย ๆ แง่ แต่ในส่วนตัวของกระผมแล้ว นิยายก็คือห้องการแสดงละครห้องหนึ่ง
มีตัวพระ ตัวนาง ตัวอิจฉา และตัวประกอบมากมายที่แสดงอยู่ในห้องของคุณ

ง่าย ๆ เลยการที่จะก้าวสู่เป็นเจ้าของนิยาย ให้คุณสมมติห้องเป็นห้องหนึ่ง มีเพดาน มีฝาผนัง และมีพื้น
ในห้องของคุณนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน คอมพิวเตอร์ หรืออื่น ๆ หลายอย่างที่คุณจัดใส่ลงไปในห้องของคุณทำให้ดูดีงามยิ่ง

คราวนี้เมื่อองค์วัตถุพร้อมแล้ว เหลือเหล่านักแสดงของคุณ
ตัวแสดงของคุณเป็นแบบใด ?............
เท่ห์ สมาร์ท หล่อเพอร์เฟ็ต ตามัน ผมสีดำ
หรือ เตี้ย อ้วน ผิวคล้ำ

เมื่อทุกอย่างประกอบอย่างลงตัวแล้ว
ยังคงขาดสิ่งหนึ่ง นั้นก็คือการดำเนินการของตัวละคร
นี่คือหัวใจหลักในการสร้างนิยายเลยทีเพียว
จะให้การดำเนินการของตัวละครเป็นไปในรูปแบบใด ก็เพียงแต่คุณเขียนลงไป
เพราะในขณะนี้คุณคือพระเจ้าที่สร้างสรรค์และกำหนดชีวิตของเหล่าตัวละครในห้องนี้แล้ว

ยกตัวอย่างนะคะ
ห้อง -> ภายในห้องนั่งเล่นประดับไปด้วยโซฟา โต๊ะรับแขก แจกัน รูปภาพ เฟอร์นิเจอร์ อื่น ๆ
ตัวแสดง -> เพื่อนบ้าน , พระเอก
การดำเนินการของตัวละคร -> พระเอกออกไปต้อนรับเพื่อนที่แวะเข้ามาเยี่ยมบ้าน

ส่วนนี้คือ การก้าวเป็นเจ้าของนิยาย
ส่วนในการเขียนบทจะกล่าวในภายหลัง
                               -----------------------------------------------------
บทที่ 2
ความรู้เบื้องต้นในการเขียนบทให้แจ่มแจ้ง

1)              ภาษาถูกต้อง
เรื่องนี้อยากจะขอย้ำเป็นอย่างยิ่งเลย ในการใช้ภาษา โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาวิบัติ
ซึ่งเป็นภาษาแสลงที่เข้าใจเฉพาะหมู่วัยรุ่น หรือกลุ่มคน แต่อย่าลืม คิดให้กระจ่างแจ่มแจ้งอีกครั้งหนึ่งว่า
เราสร้างนิยายเพื่อใคร เพื่อวัยรุ่นเท่านั้นหรอกหรือ? หรือเพียงแค่กลุ่มชนบางกลุ่มเท่านั้น

2) เทคนิกที่ดีอยู่ที่ประสบการณ์
เทคนิกอะไรนะหรือ ? เทคนิกนี้เรียกว่า เทคนิกที่ไม่มีตำราเรียน คุณไม่จำเป็นใช้คำให้เลิศเลอเพอร์เฟ็ค
ประการใด เพราะนี่คือนิยาย นิยายไม่มีขอบเขตที่ตายตัวเหมือนกลอนหรอกครับ คุณคิดอะไรคุณเขียนไปคร่าว ๆ ก่อน
หลังจากนั้นจึงค่อยศึกษาการเขียนนิยาย จากนักเขียนนิยายท่านอื่น และมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม คุณจะทำให้
นิยายาของคุณงามยิ่งขึ้น

3) เจอซอยตัน หรือผูกปมเชือกแล้วแก้ไม่ได้
นักเขียนทุกคนประสบงานนี้เป็นจำนวนมาก เพราะไม่รู้จะแก้หาทางออกอย่างใด หรือบางท่านยิ่งแก้แล้วเชือกยิ่งพันกัน แน่นขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับครับ ส่วนมากที่จะเจอซอยตันในการเขียนนิยายก็คือ นิยายจบกลางคันแล้ว ไม่รู้ว่าจะ สรรหาเหตุการณ์อย่างใดมานำเสนอต่ออีก ยกตัวอย่างว่า พระเอกช่วยเหลือนางเอกทุกครั้ง จนไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออย่างใดดีแล้ว  ทุกอย่างเราเขียนไปหมด หากขืนเราเขียนต่อไป ยิ่งทำให้นิยายกลายเป็นน้ำเน่ายิ่งขึ้น
วิธีแก้ง่าย หลับไปสักครู่ หรือหยุดงานเขียนชั่วคราว เพราะหากคุณยิ่งเขียนเท่าไรคุณก็ยิ่งกังวล ทำให้งานเขียนไม่ดียิ่งขึ้น เรื่องนี้ขอแนะนำการการสร้างเกมด้วย  เพราะบางครั้งบางคราวเราคิดเหตุการณ์ต่อไปไม่ออก ขอให้หยุดพักผ่อนบ้าง

4) ยิ่งเขียนยิ่งน้ำเน่า
คำว่าน้ำเน่า เป็นภาษาแสลง ที่บ่งบอกถึงว่า นิยายของคุณเริ่มไม่น่าสนใจ เพราะวกไปวกมาซ้ำ ๆ ที่ขีดเส้นใต้
ก็เพราะว่า นี่คือสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดน้ำเน่ามากที่สุด ขอแนะนำว่า อะไรที่ซ้ำ ๆ ให้ตัดออก

ยกตัวอย่าง
วันที่ 1 พระเอกพบนางเอก
วันที่ 2 นางเอกพบพระเอก
วันที่ 3 พระเอกชอบนางเอก
วันที่ 4 พระเอกทำให้นางเอกสนใจ
วันที่ 5 พระเอกช่วยเหลือนางเอก
....
...
..
.
วันสุดท้าย พระเอกรักนางเอก

ตัวอย่างที่ยกมา วกไปวกมา จะดูเหมือนว่า เราสรุปได้ว่าตอนสุดท้ายพระเอกนางเอกก็ได้รัก
และแล้วนิยายเรื่องนี้ก็จบ ...............
นี่คือนิยายน้ำเน่าบทหนึ่งที่อยากเสนอแนะ

วิธีแก้ปัญหาอาการน้ำเน่าของนิยายคืออะไร
นิยายทั่วไปมีหลักในการจบ เพียง 4 แบบคือ
1) สุดท้ายจึงลงเอยกัน
2) หักมุมสุดขั้ว
3) จบแบบปริศนา ให้คุณผู้ชมทาย
4) จบแบบไม่รู้ความ

วิธีการแก้ง่ายก็คือ พยายามที่จะออกนอกกะลา
ซึ่งจะกล่าวในข้อถัดไป

5) พยายามจะออกนอกกะลา
ในที่นี้คือ ขอให้คุณสร้างสรรค์นิยายของคุณให้แตกต่างจากงานของคนอื่น
พยายามที่จะแปลกแหวกแนว นักเขียนหลายท่านได้รับความนิยมจากงานเขียน
อันเนื่องมาจากการเขียนให้แปลกกว่านักเขียนคนอื่น
ยกตัวเช่น แฮรี่พอตเตอร์ , ลอร์ดออฟเดอะลิงค์ , เดอะ ไวท์โรด ฯลฯ
                                ---------------------------------------------------
บทที่ 3
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

คุณจะเริ่มต้นนิยายอย่างไร
นี่คือประเด็นสำคัญที่จะเขียนนิยาย
เคยได้ยินคำกล่าวไหมที่ว่า
" เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง "

นั้นก็เพราะ ถ้าเราปฏิบัติและทำดี อาจจะมีโอกาสสำเร็จเป็นอย่างสูง เช่นกัน ถ้าเราเริ่มต้นการเขียนนิยายดี จะทำให้มีคนมาสนใจนิยายเรามากขึ้น แต่ปัญหามันก็คือว่า เราจะสร้างนิยายได้อย่างไรกัน จุดมุ่งหมายแรกที่เราจะสร้างนิยายคือ ชื่อนิยายที่เราสร้างสรรค์ผลงาน

" รักเธอหมดหัวใจ "
" แม้นเลือกเกิดได้ ฉันจะเป็นนางฟ้า"
" คนหน้ารักอย่างเธอ จะปล่อยได้ไง"
นี่คือชื่อเรื่องที่นำมายกตัวอย่างให้เห็นกัน
ลองคิดดูสิว่าจาก ชื่อเรื่องนิยายจะออกไปทางไหนมากกว่ากัน

ชื่อเรื่องเปรียบเสมือนรั้วบ้านของเรา
ก็หมายความว่า ถ้ารั้วของงาม คนมักจะชมและสนใจบ้านของเรา

" ผู้ชายมาจากดาวอังคาร"
คุณลองคิดดูสิว่า ผู้ชายมาได้อย่างไร
นี่คือปัญหาที่ผู้เขียนให้ผู้อ่านคิด และสนใจที่จะติดตามผลงาน
ว่า ทำไมผู้ชายมาจากดาวอังคาร
คุณลองคิดดูสิว่า นิยายนี้ออกไปทางแนวไหน
คุณคงคิดไม่ออกใช่ไหมครับ ถ้าไม่อ่านนิยายภายใน

คนส่วนใหญ่จะมีแนวทางในการตั้งชื่อนิยายอยู่ 2 แนวก็คือ
1) ตั้งชื่อนิยายแล้วเขียนไปตามชื่อเรื่อง
2) เขียนพล๊อตเรื่องนิยายก่อน และค่อยคิดชื่อนิยาย
2 ข้อนี้ขึ้นอยู่กับคุณที่จะเลือกใช้ ว่าคุณจะเลือกใช้แบบใด

และปัญหาต่อไปก็คือ จะสร้างคำอย่างไรให้น่าสนใจที่สุด
ขอบอกง่าย ๆ เขียนอะไรก็ได้ที่มันเป็นหัวใจหลักของนิยาย

ดังเช่น
" ฉันจะรักเธอหมดหัวใจ แม้นชีวิตนี้มีอุปสรรคขวางทางอยู่
แม้นเราจะอยู่ไกลคนละขอบฟ้า แต่ก็ยังเป็นขอบฟ้าเดียวกัน
แม้นอยู่ไกลคนละประเทศ แต่รักของฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"

เมื่อเขียนหัวใจหลักได้แล้ว ครั้นต่อไป จะตัดประโยคที่เป็นขยะออกไป
" ฉันจะรักเธอหมดหัวใจ แม้นชีวิตนี้มีอุปสรรคขวางทางอยู่ " เพราะประโยคไม่งาม ผู้อ่านนึกเรื่องได้
" แม้นอยู่ไกลคนละประเทศ" ประโยคนี้รู้สึกเหมือนว่า คล้ายกับนิยายรักข้ามชาติ
" แต่รักของฉันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง" ประโยคนี้รักมาก ผู้อ่านคิดว่า เรื่องรักอีกแล้ว
ก็เหลือเพียงแต่ แม้นเราจะอยู่ไกลคนละขอบฟ้า แต่ก็ยังเป็นของฟ้าเดียวกัน

ต่อไปถึงตาเขียนชื่อเรื่องแล้ว
คุณลองหาเศษกระดาษหนึ่งแผ่น แล้วหาชื่อเรื่องที่เหมาะสม
และเกี่ยวข้องกับหัวใจสำคัญของนิยาย
ที่สำคัญประการหนึ่ง ชื่อเรื่องสั้นกะทัดรัด แต่ให้ได้ใจความด้วย
ดังเช่น
" รักเธอเท่าฟ้า"
" ขอบฟ้ามิอาจขวางรัก"
" ขอบฟ้าเดียวกัน "
" ขอบฟ้ารัก "
" หัวใจฉันอยู่ปลายฟ้า"
" รักกลางขอบฟ้า"

เมื่อหาชื่อเรื่องได้แล้ว คราวนี้ลองตัดแต่ละชื่อเรื่องที่เราไม่ชอบออกไป
ทีละชื่อ จนเหลือชื่อเดียว แต่มีไม่น้อยที่เจอทางตัด เป็นคนสองจิตสองใจ
แบบรักพี่เสียดายน้อง อย่างเช่น
" ขอบฟ้ามิอาจขวางรัก"
" หัวใจฉันอยู่ปลายฟ้า"
เมื่อคิดดูแล้ว เออชื่อเรื่องดีนี่หว่า
คุณลองคิดดูสิว่า ถ้าเลือกใช้ชื่อเรื่องนี้ จะมีโอกาสเท่าไรที่ผู้อ่านชอบ
                     --------------------------------------------
บทที่ 4
เรียนรู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นเขียนนิยาย

คนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเขียนเริ่มต้นนิยาย จะเขียนอย่างไรดี เพื่อให้คุณผู้อ่านสนใจและอยากติดตามต่อไป ง่ายมาก  คุณลองคิดเพียงแค่ว่า ถ้าคุณหลงรักผู้หญิง ผู้ชายคนหนึ่ง คุณจะพูด และทำตัวอย่างไรเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้หญิงชอบคุณมากที่สุด หรือคุณจะเอ่ยปากพูดไปเลยว่า ผมรักคุณมานานแล้ว

จะสร้างคำอย่างไรให้สะกิดใจคุณผู้อ่านมากที่สุด

ครูภาษาไทยย้ำเสมอว่า
ถ้าจะเขียนเกริ่น อย่าพยายามเข้าเนื้อเรื่องสำคัญมากที่สุด
อย่างเช่น ถ้าจะเขียนถึงพระคุณแม่ อย่าใช้คำที่มีคำว่าแม่ขึ้นต้น
ลองหาประโยคอื่นที่สื่อถึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระคุณของสิ่งอื่น
แล้วผลลัพธ์สุดท้ายให้ตกลงที่คำว่า พระคุณแม่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด

เช่นกัน ถ้าเรานำเอามาประยุกต์มาใช้ ก็จะเกิดผลดีไม่น้อย  อย่างเช่น ถ้านิยายของเรื่องเกี่ยวกับ "ธรรมชาติสวยงาม" อาจจะขึ้นต้นด้วยว่า " แม้นมีผู้หญิงสวยสักครึ่งหนึ่งของโลก มิได้งามเท่ากับธรรมชาติ"
นี่เป็นเพียงคำขึ้นต้นสั้น ๆ แต่ให้ใจความว่า  ธรรมชาติสวยกว่าผู้หญิงที่งามเลิศเลอ

แต่ถ้าขึ้นต้นอย่างเช่น
" ท่ามกลางกองเพลิงที่ร้อนระอุ บุรุษร่างกายผู้น่าเกรงขาม
ถือดาบเล่มใหญ่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่ง เบื้องหน้าของเขาคือ
บุรุษลึกลับสวมเสื้อคลุมสีดำ เขากระโจนเข้ามาและสู้กันอย่างดุเดือด"
" เอ๊ะ เราฝันไปหรือเนี่ย"
ลองคิดดูสิว่า ถ้าไม่เขียนบรรทัดสุดท้าย
ผู้อ่านจะรู้ไหมว่า นี่คือความฝัน

และมีเทคนิคอย่างหนึ่งอีกอย่าง ขึ้นต้นด้วยคำพูดของตัวละครของใครก็ได้
อย่างเช่น ถ้านิยายเกี่ยวกับ "การประดิษฐ์จรวด"

" พี่...ไปถึงไหนแล้ว"
ท่ามกลางความเหนื่อยและอากาศเร่าร้อนเช่นนี้ เหล่าคนในโรงงานผม
ต้องคอยเช็ดเหงื่ออยู่เสมอ เพราะผมมีความฝันที่ยิ่งที่ประดิษฐ์โครงการบ้า ๆ
แบบนี้ขึ้นมา ทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนเสมอ

ลองคิดดูสิว่า ถ้าไม่อธิบาย
คุณก็คงจะคิดไปว่า สงสัยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
แต่ที่ไหนได้ เป็นเกี่ยวกับเรื่องการประดิษฐ์งาน

                ****************************************
บทที่ 5
บทพูดสนทนาคือภาษาของกาย

พอนึกถึงบทนี้ ทุกท่านอาจจะงงเล็กน้อยว่าทำไมบทสนทนาคือภาษากาย แต่ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ทำไมผมจึงเขียนอย่างนี้  คุณลองคิดดูว่า ถ้าในนิยายของคุณไม่มีบทสนทนา คุณจะรู้ไหมว่า ตัวละครของคุณมีนิสัยฉันท์ใด
งงไหมล่ะ ลองดูบทสนทนาที่จะยกตัวอย่าง

" ผมว่าพวกคุณเตรียมตัวไปทำงานได้แล้วนะครับ"

" ฉันคือผู้ชายนะยะ แล้วหล่อนเป็นใครกัน"

" ค่ะ ท่านผู้มีเกียรติโปรดทราบ"

หลายคนอาจจะรู้แล้วละครับว่า ตัวละครที่พูดในคำพูดแรก
มีนิสัยเป็นคนขยันขันแข็ง รับผิดชอบการงาน
ส่วนในตัวละครที่พูดประโยคที่สองนั้น เป็นผู้ชายมีนิสัยทำตัวเป็นผู้หญิง
ส่วนในตัวละครที่พูดประโยคสุดท้าย เป็นคนเรียบร้อย เป็นนักสังคมที่ดี

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้พูดว่าจะพูดแบบใด
ส่วนใหญ่บทสนทนาภายในนิยาย จะมีอยู่ 3 แบบด้วยกันนั้นก็คือ

1) แบบตายตัว
ทำไมต้องเป็นแบบตายตัว
แบบตายตัวนั้นคืออะไร
แบบตายตัวนั้นก็คือ บทสนทนาที่เป็นผู้พูดพูดเฉย ๆ ไม่ลงมือกระทำอะไรอย่างเช่น

มะยม : วันนี้คุณกินอะไรหรือยัง
มะขาม : หนูกินส้มตำปลาร้าแล้วค่ะ
มะยม : เดี๋ยวจะออกไปเที่ยวไหม
มะขาม : ค่ะ ก็ได้ค่ะ

นี้คือบทสนทนาตายตัวที่เราไม่รู้ว่าตัวละครกำลังนั่งทำอะไรอยู่
ถ้าไม่เกริ่นนำอธิบายขั้นต้นเราคงจะไม่รู้
แต่ข้อดีของการสนทนาแบบตายตัวนี้ก็คือ ผู้อ่านจะอ่านง่ายว่าใครเป็นคนพูด
ส่วนใหญ่บทสนทนาแบบนี้จะเขียนในนิยายสั้น ๆ

2) แบบไม่แสดงว่าใครเป็นคนพูด
ข้อดีของบทสนทนาแบบนี้ก็คือ จะใช้ในคำพูดที่ตัวละครพูดในเวลาที่รวดเร็ว
ซึ่งให้อารมณ์ว่าตัวละครนั้นเร่งรีบอยู่ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า กำลังอยู่ในฉากที่เร่งรีบเช่น

" คุณ อย่าชักช้าสิค่ะ เดี๋ยวขึ้นรถทัวร์ไม่ทันเวลา"
" โธ่ ที่รักผมรีบแล้วนะค่ะ เสื้อผมอยู่ไหน"
" ให้ตายสิ ทำไมคุณไม่จัดแจงเสื้อผ้าในเวลากลางคืน"
" คุณก็รู้ว่า ผมไม่มีเวลา"

3) แบบสมบูรณ์
แบบบทสนทนาสมบูรณ์ก็คือ ตัวละครพูดไปด้วยและกำลังทำอะไรบางสิ่งบางอย่างด้วย
อย่างเช่น

เธอค่อย ๆ รินน้ำใส่แก้ว แล้วค่อยบรรจงยกน้ำไปเสิร์ฟแขก
" คุณท่านค่ะ น้ำค่ะ" คนรับใช้พูดขณะที่ค่อย ๆ ยกแก้วน้ำแล้ววางบนโต๊ะ
" น้ำเย็นชื่นใจนะค่ะ"

" เธอนี่ขยันดีจังเลย " คุณนายชมพู่ยื่นมือรับแก้วน้ำจากคนรับใช้

บทสนทนาประเภทนี้ให้ความรู้สึกว่า ตัวละครที่อยู่ในฉากมีชีวิตชีวา
และทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า ตัวละครที่อยู่ในฉากนั้น เป็นคนมีนิสัยอย่างไร

ทั้งนี้บทสนทนาในนิยายของคุณจะเป็นในรูปแบบใด
ก็เพียงแต่คุณเลือกใน 3 ประเภทนี้ครับ

ปัญหาต่อไปก็คือว่า แล้วเราจะเขียนบทสนทนาได้อย่างไร
ง่ายมาก คุณลองพูดคุยกับตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของคุณสิ

แต่นี้คือเทคนิคที่จะเขียนบทสนทนาได้ คุณลองเขียนบทสนทนาของคุณ
ขึ้นมาหนึ่งประโยคสิครับอย่างเช่น "คุณดูดีจังวันนี้" แล้วคุณจะตอบอย่างไร
คุณอาจจะตอบไปว่า " แหม! ตาบ้า ฉันเขินจังเลย"
บทสนทนาต่อไป คุณก็ตอบของบทสนทนาที่คุณตอบเมื่อสักครู่
อย่างเช่น " คุณรู้ตัวบ้างไหมว่าคุณดูดี"
บทสนทนาต่อไป คุณก็ตอบของบทสนทนาที่คุณตอบเมื่อสักครู่
และวนไปเช่นนี้อยู่เรื่อย จนจบบทสนทนา

แต่ปัญหาต่อไป แล้วเราจะจบบทสนทนาได้อย่างไร  การจบบทสนทนานั้น ไม่ใช่เพียงว่า ตัวละครมาพูดคุยกัน พอจบบทสนทนา แล้วเดินออกไปจากฉากของคุณ แต่บางที่อาจจะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เกิดขึ้น ทำให้ตัวละครต้องจบบทสนทนา แต่สิ่งที่อยากแนะนำ  คือว่า อย่าให้ตัวละครของคุณจบบทสนทนาแบบปริศนา

ทำไมน่ะหรือ ถ้าคุณลองเป็นตัวละครในฉากนั้น มีคนเข้ามาพูดในเชิงปริศนา คุณจะเข้าใจไหมว่า คำตอบที่ตัวละครนั้นพูดสื่อความถึงอะไร  อย่างเช่น
" แม่ค่ะ แม่มีแผนอะไรที่จะจัดการยัยตัวร้ายของหนูค่ะ"
" ง่ายมาก นั้นคือแผนตีระยะประชิด"

ลองดูสิ เมื่อจบบทสนทนานี้แล้ว คุณจะรู้ไหมว่าแผนตีระยะประชิด
คือแผนอะไร แล้วจะรู้ไหมว่า จะทำอย่างไร ถ้าไม่เขียนบทต่อไป
แล้วทำไมจึงเรียกแผนนี้ว่า แผนตีระยะประชิด
นี้คือสิ่งที่คุณจะต้องขยายความให้กับบทสนทนาของตัวละครอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องอีกอย่างหนึ่งที่เราลืมไม่ได้เลย
เพราะมันคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเขียนบทสนทนาของตัวละคร นั้นก็คือ ภาษาที่ใช้ของตัวละคร ถ้าเป็นตัวละครที่มาจากภาคใต้ ก็ให้ตัวละครพูดในสำเนียงภาษาใต้ ถ้าเป็นตัวละครที่มาจากภาคเหนือ ก็ให้ตัวละครพูดในสำเนียงภาษาเหนือ ไม่ว่าตัวละครมาจากภาคใด ก็ให้ตัวละครพูดในสำเนียงนั้น ถึงแม้ว่าจะย้ายมาอยู่ภาคใด แต่ตัวละครยังไม่ชินกับการเข้ามาอยู่ไหม หรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาแต่งงานในเมืองไทย และอยู่ในเมืองไทย พูดภาษาไทยได้ แต่ยังไงก็ตาม ยังคงเหลือกลิ่นไอ ของความเป็นต่างชาติอยู่ในวิถีทางคำพูด ซึ่งเหมือนกับพวกเรา ย้ายเข้าไปอยู่ต่างชาติ คงไม่มีใครพูดได้เหมือนต่างชาติ 100% ถ้า ไม่ได้รับการฝึกฝนจนชำนาญ
           -------------------------------------------------------------------
บทที่ 5
ระดับภาษาการใช้ในนิยาย

ทำไมต้องเกริ่นถึงเรื่องระดับภาษาด้วย แล้วระดับภาษามันเกี่ยวอะไรเกี่ยวกับนิยาย ตอบได้เลยว่า มันเกี่ยวข้องกันมาก แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไร

ระดับภาษาจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ
1) เป็นพิธีการ
2) เป็นทางการ
3) กึ่งทางการ
4) ไม่เป็นทางการ
5) แบบกันเอง

ซึ่งใน 5 แบบนี้ เราจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และเนื้อ เรื่องในการแต่งนิยาย ซึ่งผมจะอธิบายละเอียดได้ดังนี้

1) ระดับเป็นพิธีการ
ภาษาระดับนี้จะใช้สื่อสารในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ ผู้ที่พูดนั้นต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูง ภาษาที่ระดับนี้นั้น อาจจะดู ฟุ่มเฟื่อย และมีศัพท์ทางวิชาการสูง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ ให้ถูกต้องอย่างเช่น
นิยายเกมของเรากำลังภวสยพระราชพิธีบวงสรวงกษัตริย์
จะใช้คำว่า
"ขอพระบรมเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช จงคุ้มครองประเทศชาติ
และประชาชาวไทยให้ผ่านพ้นสรรพอุปัทว์พิบัติทั้งปวง อริราชศัตรูภาบนอกอย่าล่วงเข้าทำอันตรายได้
ศัตรูหมู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพ้ภัยตัว บันดาลความสุขความมั่นคงให้บังเกิดทั่วภูมิมณฑล
บันดาลความร่มเย็น แก่อเนกนิกรชนครบคามเขตขอบขัณฑสีมา"
(ภาวาส บุนนาค,"ราชาภิสดุดี." ในวรรณลักษณวิจารณ์เล่ม ๒ หน้า ๑๕๙.) "

2) ระดับเป็นทางการ
ภาษาระดับนี้จะใช้สื่อสารที่เป็นทางการ ซึ่งคล้าย ๆ กับระดับภาษาเป็นพิธีการ
แต่ลดรายละเอียดเกี่ยวกับศัพท์เทคนิค หรือศัพท์ทางวิชาการ ยกตัวอย่างเช่น

"บทละครไทยเป็นอีกรูปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรมไทย บทละครของไทย
เป็นวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นทั้งเพื่ออ่านและเพื่อแสดง รูปแบบที่นิยมกันมาแต่เดิม
คือบทละครรำ ต่อมามีการปรับปรุงละครรำให้ทันสมัยขึ้นตามความนิยมแบบตะวันตก
จึงมีรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ได้แก่ ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรับรูปแบบ
ละครจากตะวันตกมาดัดแปลงให้เข้ากับสังคมไทยและวัฒนธรรมไทย ทำให้การละครไทยพัฒนาขึ้น
โดยมีกระ บวนการแสคงที่แตกต่างไปจากละครไทยที่มีอยู่ มาเป็นละครร้อง ละครพูด และละครสังคีต"
(กันยรัตน์ สมิตะพันทุ, "การพัฒนาตัวละครในบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
."ในบท ความ วิชาการ ๒๐ ปี ภาควิชาภาษาไทย,หน้า ๑๕๘.) "

3) ภาษาระดับกึ่งทางราชการ
ภาษาระดับนี้จะคล้ายกับภาษาทางการ แต่ลดความเป็นการเป็นงานลงบ้าง
เพื่อแสดงความใกล้ชิดระหว่างผู้พูด และผู้ฟังให้เข้าใจตรงกัน อย่างเช่น
เหตุการณ์ประชุมกลุ่มเล็ก ๆ การบรรยายหน้าห้องเรียน หรือแสดงความคิดเห็น
นิยายเกมของเรา เมื่อได้รับมอบหมายงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ลูกทีมจึงไปจัดทำ
แล้วนำมาเสนอให้หน่วยงานทราบ ลูกทีมควรพูดว่า "จากการที่กระผมได้รับ
มอบหมายในให้ไปทำโครงงานชิ้นนี้ กระผมได้รับความร่วมมือจาก...."

4) ระดับไม่เป็นทางการ
ภาษาระดับนี้จะเป็นใช้พูดระหว่างบุคคลด้วยกัน ซึ่งจะใช้เป็นส่วนมากในการ
แต่งนิยาย ภาษาที่ใช้เป็นภาษาที่เข้าใจกันได้ในกลุ่ม ภาษาระดับนี้ส่วนมากจะใช้
ในการเขียนเขียนข่าว ส่งจดหมาย และเสนอบทความ ยกตัวอย่างเช่น
นิยายเกมของเรา พระเอกพูดหยอกล้อเล่นกับนางเอก อย่างเช่น
" ที่รัก อยู่ไหนจ๊ะ เป็นห่วงจังเลย"

5) ระดับเป็นกันเอง
ภาษาระดับนี้เป็นภาษาที่ใช้พูดกันในกลุ่ม ซึ่งไม่มีบทบาทตายตัว ไม่ต้องใช้
สำนวนหรือลูกเล่นมากมาย เนื้อหาไม่มีขอบเขต อาจเป็นภาษาแสลง คำหยาบ
หรือเป็นคำภาษาพื้นบ้านก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น
นิยายของเรา พระเอกต้องเดินทางไปจัดการกับจอมมารด้วยตัวคนเดียว
ดังนั้น จะใช้คำพูดหยาบ ๆ ได้เช่น " แ*ง โ-ตรอึด ฉิบหาย ตัวอะไรก็ไม่รู้ "

การแต่งนิยาย ไม่จำเป็นต้องมีภาษาที่งดงาม แต่การใช้ภาษาที่ถูกต้องและ
เป็นแบบอย่างที่ดีในการแต่ง เท่านี้เราสามารถเขียนนิยายที่ใช้ภาษาถูกต้องดีแล้ว
ซึ่งถ้าเราไม่ถนัดในการเขียนข้อความที่ใช้ในเหตุการณ์ภายในเกมนั้น เราอาจจะ
ยกคำบางคำจากหนังสือ หรือข้อมูลอื่น ๆ มาเพิ่ม ก็ยังดีกว่านั่งหลับตาเขียนดีกว่า
จะทำให้หนังสือนิยายของเราน่าสนใจยิ่งขึ้น
                      ---------------------------------------------------------------------

บทเรียนที่ 7
ทิ้งขยะคำออกไปซะ

ทุกคนก็รู้ว่าขยะคือสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว หรือสิ่งปฏิกูลที่เก็บเอาไว้จะทำให้ไม่เป็นมงคล แล้วเราจะเอามาใส่ในบทความหรือบทเกมเพื่อประการใด บางทีการทิ้งขยะคำออกไป มันจะทำให้เกมอาจจะดูมีชีวิตชีวาขึ้น


ค่ะ ครับ : สำหรับวันนี้นะครับ เราจะพบกับบทเรียนนะครับ สรุปนะครับ

เอ้อ อ้า ก็ : เออก็ถึงเวลาสมควรแล้ว เออประธานเออ รองประธาน

นะคะ นะครับ นะครับนะ : วันนี้ นะคะ เป็นวันที่เราต้องมานำเสนองานหน้าห้องนะคะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย : คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านไม่มากก็น้อย
ควรใช้ว่า หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ท่าน

มันเป็นอะไรที่ : มันเป็นอะไรที่คนเราไม่ยากจะคาดคิด มันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ

อะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ อะไรประมาณนี้
เราเดินไปที่ที่จอดรถ เห็นยามกำลังเข็นรถที่จอดขวางเราอยู่อะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ เราก็เลยช่วยอีกแรง อะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ กว่าจะออกรถได้ก็เกือบ 15 นาทีอะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ
มันคืออะไรล่ะคุณน้อง

ก็ต้องขอขอบคุณ ก็ต้องขอสวัสดี
จะขอบคุณ หรือ สวัสดีใครสักคน ต้องต้องทำเชียวหรือ

คือ (ต้นประโยคหรือนำบทสนทนา)
หากไม่มีคำนี้ พูดต่อไม่ได้

ค่อนข้าง อาจจะ คำพูดเชิงประมาณการ
เรื่องนี้ค่อนข้างจะเข้าใจยาก
ถ้าเดินไปทางนี้ อาจจะถึงที่หมายตอนเย็น

ทาง : ทางบริษัทจะจัดส่งข้อมูลไปให้ตามที่อยู่ที่ระบุ

เขา (เค้า) บอกว่า :
เนียะ เค้าบอกว่า ศรรามขับรถชนคนตาย ส่วนศรรามน่ะไม่เป็นอะไรมาก เค้าบอกว่า ก่อนหน้านี้เขากินพิซซ่ากับครอบครัว เค้าบอกว่าหลังกินพิซซ่า ศรรามกินยาแก้หวัด แล้วมึน เค้าบอกว่า พอรู้ว่าชนคน ก็เดินลงไปพูดกับสามีผู้เสียชีวิต แล้วก็ไปโรงพยาบาล


ขยะคำมีหลากหลายรูปแบบมากกว่านี้ แต่นี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น
ลองดูสิ ถ้าท่านตัดขยะคำไปเหล่านี้อาจจะทำให้นิยายดูมีชีวิตชีวาขึ้น
                        ---------------------------------------------------------------

บทเรียนที่ 8.1
มาเริ่มสร้างอารมณ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์

เรามาสร้างฉากกันดูดิกว่า

-ฉากผจญภัย-
ถิ้ยายของคุณอยู่ในฉากผจญภัย สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องลืมไม่ได้คือการพยามยาม ค้นหาสิ่งแปลก ๆ แหวกแนวใหม่ๆ การสร้างอารมณ์ให้แก่บทความที่ก็เป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้อีกเช่นกัน ถ้าคุณบอกว่า สิ่งที่พบเจอมันแค่สิ่งที่เคยเห็นมาก่อน มันก็ทำให้การผจญภัยหมดสนุกใช่ไหม แนะนำว่า ถ้าอยากเขียนบทผจญภัย สิ่งหนึ่งที่อยากให้คุณนึกถึง คือ โวหารพรรณา โวหารพรรณา เป็นโวหารที่แสดงถึงความสวยงาม อย่างเช่น

"นี่มัน ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหมที่คุณคิดว่า ไข่ใบยักษ์ใบนี้วางอยู่หน้าของผม ผมไม่เคยรู้เลยดินแดน
แห่งนี้มีไข่ยักษ์ด้วย ครั้นพอผมเดินเข้าไปใกล้ ผมก็พบกับนกยักษ์ตัวใหญ่ มีปีกกางราว 4 เมตร
ขนปกคลุมด้วยสีแดงแซมเหลือง จงอยปากดูเรียวแหลม ตาแหลมคมดั่งเยี่ยว"...............

-ฉากหนังผี-
คงเคยดูหนังผีกันแล้ว การที่จะทำให้คนอ่านคล้อยตามไปกับอารมณ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก
ขอแนะนำให้คุณรู้จักถึงเวลา เวลาที่อยู่ในฉากหนังผีนั้น จะดำเนินไปอย่างช้า ต้องบอก
ละเอียดทุกมุมอับและสถานที่ที่น่ากลัว รวมไปทั้งที่มืดด้วย ถ้าจะให้ดี ต้องพรรณนาสิ่งเร้นลับ
ที่บุคคลนั้นไม่รู้ และส่อให้เห็นถึงว่ามีเรื่องลี้ลับซ่อนมุมไหนซักแห่งในที่ใดที่หนึ่ง

"ฉันเดินก้าวไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดของพื้นไม้ที่เก่าแล้ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดที่พื้นไม้เสียดสี
มันดังคล้ายซอสีกัน ด้านซ้ายจะเป็นประตูไม้ห้องหนึ่งที่ปิดตายไว้ ครูเคยบอกกับฉันว่า ที่นี่เคย
มีคนผูกคอตาย ".....(จะเห็นได้ว่า เวลาจะเดินไปเชื่องช้ามาก ได้แค่ก้าวเฉย ได้ 3 บรรทัดแล้ว"

-ฉากคอมเมนดี้-
คงไม่มีใครที่จะทำให้บทบาทของการเขียนนิยายมันเครียดไปหรอก มันต้องมี บางฉากที่ตลก ๆ อยู่บ้างจริงใช่ไหม แต่กระนั้นเองต้องรู้จักเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์ด้วย สิ่งที่อยากแนะนำก็คือการรู้จักประยุกต์สิ่งต่างๆ มาเป็นเรื่องมุขตลก การเอาเรื่องราวในชีวิต ประจำวันมาสร้างเป็นมุข การจะให้คนอื่นหัวเราะนั้นมันไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย ถ้าคุณอยากให้คนอ่านนิยาย เกิดหัวเราะไปกับเราด้วยเราต้องดึงเอาความเป็นจุดเด่นของนิยาย บวกกับลักษณะลีลาละคร และ เอกลักษณ์ของตัวละครด้วย

เช่น ถ้าพูดในเรื่องหนังตะลุงแล้ว
ลูกชายของกษัตริย์จะไม่ค่อยตรัสเรื่องมุขตลกเลย แต่พวกไอ้ดำพวกเท่ง ยอดทองเนี่ยถ้าตั้งใจฟัง
ให้ดีแล้ว เกือบทุกบทจะฮาไปร่วมกัน สรุปได้ว่า เท่ง ยอดทองคือดาวตลกแห่งหนังตะลุง ดังนั้น
ตลกต้องเกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ของตัวละครด้วยครับ

-ฉากซึ้งในความรักและมิตรภาพ-
ฉากนี้เกือบเรื่องจะให้ความหมายไว้ในตอนท้าย เพราะเป็นฉากที่ทำให้คนอ่านประทับใจที่สุด
ว่าที่ผ่านมาเราได้พบกับอะไรและได้เจออะไรมาบ้าง ถ้าเราละเลยส่วนนี้อาจจะทำให้คนดูเครียดได้
แต่ถ้าเราบอกแบบตรง ๆ อาจจะดูเหมือนว่าเรากำลังดูถูกคนดูอยู่ นักภาพยนตร์ที่ดีนั่นกล่าวว่าการ
จะสร้างฉากแบบนี้ ต้องดึงอารมณ์คนดูก่อน แล้วค่อยบอกแบบอ้อมๆ อย่างเช่น

"มองดูไปทะเลสิ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่าก็เปรียบเหมือนผู้ที่ลับลาจากไป
แต่นายคือเพื่อนแท้ของฉัน นายไม่เคยไปไหนเลย เราเจ็บนายก็เจ็บด้วยกัน ฉันได้เรียนรู้ความหมาย
จากความเป็นเพื่อนจากนายแล้ว นายคือเพื่อนฉันตลอดไป ถึงแม้ว่าคลื่นทะเลจะกระทบฝั่งแล้วหาย
ไป แต่นายจะเป็นเพื่อนฉันอย่างเป็นนิรันดร์"


ความคิดเห็น

apinitta
apinitta 21 ก.ค. 53 / 20:31
บังเอิญไปเจอเทคนิกนี้เข้า เลยหยิบเอามาฝากนะคะ เผื่อว่าจะมีประโยชน์กับบางคน
ความคิดเห็นที่ 2
ไม่เคยมีบทความไหนที่ทำให้ผมอ่านได้ทุกบรรทัด เหมือนเช่นบทความนี้เลย ... เป็นประโยชน์มากครับ
ปกติผมชอบเขียนพวกเรื่องตลกฝืดๆ พอได้อ่าน Entry นี้แล้ว ทำให้จุดประกายไฟในตัว อยากจะลองเขียนนิยายดูบ้าง

ขอบคุณมากเลยนะครับ

Golfz @ zone teen
ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณสิ่งดีๆจากพี่เจี้ยบค่ะพอดีรู้จากน้องเจ้าตัวอ้วนหรือน้องแขกเวปที่ว่างฮ่าๆไม่งั้นหาไม่เป็นเหอๆ
ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณค่ะ พี่
Bornfree6002xiahtic★*
Bornfree6002xiahtic★* 8 ธ.ค. 53 / 21:03

แรงบันดาลใจผุดขึ้นมาทันทีเลยค่ะพี่!!~

โมจิค่า!!~

☆Prarima☆
☆Prarima☆ 25 ก.พ. 54 / 18:36
อ่านครบเลยค่ะ  ได้ประโยชน์มากค่ะ
girlpower
girlpower 23 ก.ค. 54 / 20:26
ขอบคุณมากค่ะ กำลังมีปัญหาพอดีเลย ^^"
ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณค่ะ