ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♛ ИOT REΛL BUT SPECIΛL ; (B.A.P)

    ลำดับตอนที่ #17 : - Special Bangchan & Banglo ✖ Rain sound

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 588
      1
      12 ม.ค. 56

     

    © Tenpoints!
     

     

    Title :: Rain sound
    Author :: toreraC
    Couple :: BANGCHAN
    Rate :: PG-13
    Talk :: ดราม่าตัลหลอดดดดด ก็ดูทีเซอร์แล้วมันได้อ่ะ T_________T หล่อมากหล่อฝุดหล่อทุกคน พี่กุกดาร์คเว่อรรรรร์ ฮิมชานนางสวยมาก ชอบช็อตน้องโล่ร้องไห้สุดๆ เจ็บหัวใจเลยยยยยย *วิ่งไปกอดทั้งหกคน*

     

     

     
     

     



                                                   - TUMBLR

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คนที่มีลุคสดใสร่าเริงเวลาเขาร้องไห้

    คุณคิดว่ามันน่าสงสารมากใช่รึเปล่า

    Choi Junhong ’s part

     

     

     

     

     

    “ฮยองมาแล้วหรอ”

     
     

    ผมฉีกยิ้มกว้างทันทีที่บุคคลที่ผมรอคอยมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตอนนี้ปรากฏอยู่ประตูหน้าบ้านผมแล้ว คึคึ.. ผมกระโดดกอดร่างตรงหน้าอย่างเคยชินก่อนที่พี่ยงกุกจะหัวเราะออกมาแล้วเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาในห้องของผมทั้งๆที่ผมยังกอดพี่เขาไว้อย่างั้น ก็ผมน่ะชอบกอดพี่ยงกุกที่สุดในโลกกกก

     

     

     

    “อ่านหนังสือเสร็จแล้วรึไง” พี่ยงกุกถามผมทันทีที่เรามานั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน ท่านี้มันล่อแหลมใช้ได้เมื่อผมนั่งค่อมอยู่บนตักพี่ยงกุก อร้าง..ถึงจะอายแต่ผมก็ไม่ยอมลุกหรอก

     

     

                    ผมซุกอกร่างตรงหน้าอย่างออดอ้อนก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธด้วยความสัจจริง ก็..ก็ผมเอาแต่นั่งรอพี่ยงกุกนี่จะให้มีกระจิตกะใจไปอ่านรึไง กว่าพี่ยงกุกจะออกมาจากบ้านพี่ฮิมชานได้คงใช้เวลาร่วมชั่วโมง ก็แหม พี่ฮิมชานน่ะเอาแต่เล่นตัวทำเป็นเงียบให้พี่ยงกุกรู้สึกผิดว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่ พี่ฮิมชานน่าหมันไส้ที่สุด -3-

     

     

     

     

    “เด็กดื้อเอ้ย” ว่าแล้วก็ตีก้นผม ทำเอาชเวจุนฮงคนนี้ เงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าแล้วบุ่ยหน้าให้อย่างไม่ชอบใจแต่พี่ยงกุกก็เอาแต่หัวเราะอยู่ได้ ชิ!

     

     

     

     

     

    “ไม่อยากอ่าน นี่!..ผมรอพี่ตั้งนานนะยังจะมาทำกับผมแบบนี้อีก” ชูนิ้วโป้งให้ชุดใหญ่

     
     

    “ก็ฮิมชานน่ะสิ..งอนพี่อยู่ได้”

     

     



     

     

     

    “พี่ฮิมชานเค้าก็ทำไปงั้นละ”

     

     



     

     

     

     

     

     

    “ไปอาบน้ำไปเน่า”

     

     

    คนกำลังนอนตักอ่านหนังสือการ์ตูนเพลินๆจู่ก็มาบังคับให้ไปอาบน้ำนี่! พี่ยงกุกนะพี่ยงกุก.. ผมโผล่หัวออกมาจากหนังสือก่อนจะส่งสายตาขวางให้ไม่พอยังแลบลิ้นใส่คนตรงหน้า คึคึ.. กลับไปสนใจหนังสือการ์ตูนในมือต่อแต่ยังไม่ทันอ่านถึงหน้าคนที่เป็นหมอนให้หนุนก็ลุกออกอย่างรวดเร็ว

     

     


     

    “อ๊า! พี่กุก ทำอะไรของพี่เนี่ย!!” ผมเบะปากยู่หน้าให้อีกฝ่ายที่เอาแต่หัวเราะเยาะเย้ยให้อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะล้มไปนอนต่อให้รู้ว่าผมงอน! แล้ว! นะ!

     

     

    “โอ๋ จุนฮงอ่า..” ไม่ตองมาเรียกเลย ชิชิชิ!!

     


     

    แรงจากอะไรบางอย่างฉุดผมก่อนที่ตัวผมจะลอยหวืออยู่บนอากาศ พี่ยงกุกอุ้มผมอ่ะ! งือ.. พี่บ้า ผมโวยวายจะลงแต่พี่เค้าก็เอาแต่ยิ้มหัวเราะ ชิ! คนปากห้อยนี่น่าหมั่นไส้ชะมัด น่าหมั่นไส้ที่สุด แต่ยิ่งผมดิ้นพี่กุกก็ยิ่งหมุนตัวทำเอาผมตกใจ อ้า! เล่นอะไรไม่เข้าท่าเลยพี่ยงกุกน่ะ

     


     

     

    “จะไปอาบมั้ยน้ำ สามทุ่มแล้วนะ” พี่เค้าเขย่าแขนคะยั้นคะยอต้องการเอาคำตอบ แต่ผมก็เอาแต่หันหน้าหนี

     



     

    “นี่! จุนฮงอ่า”

     

    “ทำไมต้องเรียกผมด้วยเสียงแบบนั้นด้วยนะ” แยกเขี้ยวให้

     

     

     

     



     

    “ฮ่าๆ จะอาบหรือไม่อาบ หรืออยากให้พี่อาบให้!

     

     

     

     

    สิ้นฤทธิ์เลย ชเวจุนฮงคนนี้เขินเป็นนะ! ผมก้มหน้าก้มตาจนคางชิดอกเพื่อหลบใบหน้าที่ตอนนี้ผมว่ามันต้องแดงเหมือนมะเขือเทศแล้วแน่ๆ อุณภูมิบนใบหน้าสูงขึ้นจนผมไม่เป็นอันทำอะไร งืออ

     

     

     

    “ว่าไง”

     


     

    “บ้า!”    


                    ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ พี่ยงกุกก็ก้มลงมาจูบปากผมอย่างรวดเร็ว.. พี่ยงกุก!!! ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ พยายามดิ้นออกจากวงแขนนั้นแต่กลับสู้แรงไม่ได้เลยซักนิด พี่บ้าบ้าบ้า! ใช่ว่าผมกับพี่ยงกุกจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้แต่ทุกครั้งที่จูบกันผมกลับใจเต้นเร็วทุกๆครั้งไม่เคยชินกับมันเอาซะเลย

     

     

    “อื้อ..” ผมร้องประท้วงทันที่รู้สึกว่าหายใจไม่ออก พี่ยงกุกถอนจูบผมอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

     

     

    “ไปอาบได้รึยัง”

     

     


     

    “ไม่”

     





     

    “ไม่งั้นจูบอีกนะ”

     

     

    “พี่ยงกุกบ้า!!

     


     

    ผมดิ้นออกจากอ้อมแขนในที่สุดแล้วรีบวิ่งไปในห้องน้ำทันทีแต่ก่อนจะเข้าไปขอตบท้ายด้วยการแลบลิ้นใส่ให้อย่างหมั่นไส้ซึ่งพี่เค้าก็ยิ้มกลับมาอีกแล้ว ชิ! คนบ้าอะไรยิ้มได้ตลอด ..แต่ถึงยังไงพี่เขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับผม มากกว่าตอนที่อยู่กับพี่ฮิมชาน

     

     


     

     

     

    ผมเข้าข้างตัวเองได้มั้ย

     

     

     

     

     





     

    “พี่ยงกุก!!

     


     

    ผมหวีดลั่นทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ฮือ บ้าที่สุดมาร้องอะไรตอนนี้! ผมเดินวิ่งออกจากห้องน้ำสภาพไม่ค่อยดีนักในเมื่อยังใส่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่ แต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งอายแล้วในเมื่อเสียงฟ้าร้องตอนนี้มันน่ากลัวสุดๆ ฮือ T______T

     

     

     

                ดูเหมือนพี่ยงกุกที่นอนเล่นอยู่บนเตียงผมจะหน้าตาตื่นไม่น้อยที่เห็นผมออกมาจากห้องน้ำในสภาพแบบนี้แล้ววิ่งไปกอดเค้าไว้แน่น ซึ่งแน่นอนสิว่าพี่เค้าต้องกอดปลอบผม เหมือนพี่ยงกุกจะนึกได้ว่าผมกลัวเสียงฟ้าร้องก็เลยลูบหัวปลอบอย่างใจเย็น

     


     

    “ทำไงดีอ่ะ กลัว” ผมสงเสียงครางร้องเหมือนลูกแมว เสียงฟ้าร้องมันน่ากลัวสุดๆ! ยิ่งฝนตกหนักยิ่งน่ากลัว ฮือ

     

     

    “พี่อยู่นี่แล้วไง”

     

     

     



     

    “พี่ยงกุกต้องอยู่กับผมนะ” ผมกอดพี่เค้าแน่น ผมพยายามซุกเข้าที่แผ่นอกของเขาสุดๆ ไม่อยากได้ยินเสียงนี้เอาซะเลย

     

     

     

     

     

     

     
     

                    ผมลงมานอนที่เตียงแล้วพี่ยงกุกเองก็ยังคงนอนกอดผม ฝนบ้านี่ไม่หยุดสักทีมันทำให้ผมกลัวและรำคาญในเวลาเดียวกัน แต่มันดีหน่อยที่พี่ยงกุกมาอยู่ข้างๆ ถ้าผมอยู่คนเดียวคงร้องไห้โฮไปแล้ว ยิ่งได้ยินยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่เหลือใคร.. จริงสินะ ตอนนี้พี่ฮิมชานก็อยู่คนเดียว พี่เค้ากลัวฝนเหมือนกัน พี่เค้าไม่ชอบฝน พี่เค้ากลัวเปียกแล้วตอนนี้พี่ยงกุกก็อยู่กับผม ตอนนี้พี่ฮิมชานจะเป็นยังไงนะ คงต้องโดดเดี่ยวเหมือนตอนที่ผมกลัวฟ้าร้องแน่ๆ

     


     

    “พี่ยงกุก”

     
     

    “หื้ม”

     

     



     

    “พี่รักผมใช่มั้ย” ผมสบตาพี่เค้าอย่างจริงจัง พี่ยงกุกดูเหมือนจะรับรู้ความรู้สึกผมได้เลยยกมือขึ้นมากุมมือผมไว้แล้วส่งยิ้มบางๆที่ผมคาดว่าเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดในโลกนี้แล้ว

     

     

     

     

     

     

    “รักสิ” พี่ยงกุกตอบอย่างไม่ลังเล เสียงนั้นดังก้องอยู่ในใจและสองหูของผมทำเอาลืมเสียงฝนเสียงฟ้าร้องข้างนอกไปเลยละ ผมอยากจะพูดดังๆว่าผมก็รักพี่เค้ามาก พี่เค้าเป็นคนที่ผมรักที่สุด

     

     

     

     

     

     







     

    “แล้วพี่ฮิมชานละ”

     

     


     

     

    “ก็รัก” เค้าตอบอย่างไม่ลังเลเช่นเดียวกัน นั่นยิ่งทำให้ผมยิ้มสมเพชตัวเองอยู่ในใจ

     

     



     

    ผมไม่ควรเสียใจ แต่ผมทำมันลงไปแล้ว

     

     

     

     

     

     

    “ระหว่างคนที่กลัวเปียกฝน กับ คนที่กลัวเสียงฟ้าร้องคนไหนน่าสงสารกว่ากันละพี่ยงกุก”

     

     



     

    ผมไม่ควรถาม แต่ผมถามออกไปแล้ว

     

     



     

     

    “แล้วพี่จะเลือกช่วยใครละ”

     

     

     

    “จุนฮง..”

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ทำไมน้ำตาของผมก็ไหลออกมา

     

     




     

    “พี่ยงกุก.. คนที่กลัวเปียกฝนน่ะ แค่เค้าหลบในที่ร่มก็คงไม่เปียกแล้วใช่มั้ย”

     

     

     

     

     

     

     

    แล้วคนที่กลัวฟ้าร้องละจะช่วยยังไง

     

    พี่จะเลือกผมใช่รึเปล่า

     

     




















     

    แล้วคนที่เย็นชายิ่งกว่าอะไรเวลาที่คุณเห็นน้ำตาของเค้า

    คุณสงสารเค้าใช่รึเปล่า

    Kim himchan ’s part

     

     

     

     

                เฮ้อ ห้าทุ่มแล้วหรอ ผมนอนลงกับพื้นกระเบื้องเย็นๆหลังจากที่ทำงานเสร็จ คืนนี้ผมยังอยู่ที่มหาลัยอย่างเช่นทุกครั้งเพื่อทำงานจนดึกดื่น .. ผมนอนลงอย่างอ่อนล้าการนั่งทำโมเดลจนหลังขดหลังแข็งนี่มันเหนื่อยชะมัด หลับตาลงช้าๆ.. ทั้งที่ผมควรจะกลับบ้านเลยแต่ผมไม่ทำ ไม่อยากจะพูดซักเท่าไหร่ว่าผมกำลังรอให้ใครบางคนมารับ มันน่าอาย

     

     

     

     


     

    จะออกมาจากบ้านจุนฮงรึยังนะ

     



     

                    ผมหันไปมองนอกหน้าต่างที่ข้างนอกฝนกำลังกระหน่ำตกอย่างหนัก เฮ้อ..และอีกเหตุผลที่ผมไม่ยอมกลับบ้านเพราะผมกลัวเปียก แล้วเสียงฝนมันทำให้ผมรำคาญ


                    ผมคดตัวไว้ชันเข้าขึ้นมาพลางยกมือขึ้นมาปิดหูอย่างนึกรำคาญ คิ้วของผมขมวดแน่นพร้อมๆกับหลับตา จู่ๆก็มีบางอย่างจิ้มเข้าที่หว่างคิ้วของผมและลมหายใจอุ่มที่รดอยู่ต้นคอ.. ผมลืมตาตื่นมาอย่างตกใจก่อนที่ใบหน้าของยงกุกจะปรากฏอยู่ตรงหน้า ตรงหน้าที่..ห่างกันไม่ถึง 5 เซน.

     

     



     

    “ขมวดคิ้วอีกแล้วนะ” เค้าพูดแล้วยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะทรุดตัวลงนอนข้างๆผม

     

     

     


     

    “ทำงานเสร็จแล้วหรอ” เค้าถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

     

     

    “อืม”

     

     



     

     

                    เงียบ.. เงียบอีกครั้ง ผมได้ยินแต่เสียงฝนกระหน่ำข้างนอกและลมหายใจของเราสองคน ผมยกมือขึ้นมาปิดหูอีกครั้งแต่กลับถูกดึงออกด้วยคนข้างๆแทนแล้วยกกุกก็ดึงผมเข้าไปกอด.. ผมชอบจัง

     

     

     

     

    เสียงหัวใจของเขามันทำให้ผมลืมเสียงฝนบ้าบอนั่น

     

     

     

     

     

     

     

                    เราเดินลงมาจากห้องแล้วแต่ฝนกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ยงกุกเขาเลยตัดสินใจวิ่งผ่าฝนออกไปเอารถเพื่อมารับผมในที่ร่ม เชื่อว่าตอนมาเขาก็คงวิ่งมากจากที่จอดรถแน่ๆ.. เขารู้ว่าผมไม่ชอบเปียกฝน เชารู้ว่าผมจะป่วยง่ายถ้าเกิดเปียกฝน เขาน่ารักจัง..

     

     
     

                    ภายในรถเงียบอยู่เช่นทุกครั้ง..ผมได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์ปะปนกับเสียงของฝน ถึงใครต่อใครจะว่าสถานการ์นี้มันน่าอึกอัดแต่สำหรับเราคงไม่.. จะเงียบซักแค่ไหนผมก็ชอบเวลาอยู่กับยงกุกเสมอ แล้วผมเชื่อว่ายงกุกก็คงคิดเหมือนกัน

     



     

    “จุนฮงละ” เค้ากลัวเสียงฟ้าร้องนี่.. แต่ทำไมนายถึงมาได้ละยงกุก

     

     

    “หลับไปแล้ว”

     

     

     

     

    “นั่นสินะ ถ้าเค้ายังไม่หลับนายอาจจะมารับฉันไม่ได้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกน้อยใจอะไร..ผมเข้าใจทุกอย่าง

     

    “ฮิมชานอย่าพูดแบบนั้นเลย” เค้าดูกระวนกระวายเล็กน้อยที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น

     

     

     

     

    “ก็ฉันพูดความจริง”

     

     

     

     

     

    แน่นอนว่าผมไม่ได้สดใสแบบจุนฮงที่จะทำให้ยงกุกมีความสุขได้ทุกครั้ง

     

     

     

     

     

     

                    รถจอดเทียบอยู่หน้าบ้านของผมแล้วแต่เราสองคนนั่งเงียบอยู่นานสองนานพลางทอดมองฝนที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยซักนิด เค้าคงไม่อยากให้ผมเปียกและกำลังคิดหนักถึงวิธีที่จะทำไม่ให้ผมเปียกสินะ.. หึ รู้สึกการช่วยเหลือคนกลัวเสียงฟ้าร้องจะง่ายกว่าการช่วยคนกลัวเปียกมากกว่าเป็นไหนๆ

     

     

     

    เพราะถ้าไม่มีร่ม เค้าก็ไม่รู้จะทำยังไงไม่ให้ผมเปียก

     

     

     

    คงต้องนั่งอยู่ในรถต่อไป

     

     

     


     

    “ดูไม่มีความสุขเลยนะเวลาอยู่กับฉัน”

     

     

    “พูดอะไรน่ะฮิมชาน”

     

     


     

    เค้าพูดอย่างใจเย็นแล้วเลื่อนมือขึ้นมาลูบหัวของผม ผมหลับตาลงนิ่งๆก่อนจะรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่เริ่มรดเข้ามาใกล้ใบหน้าเข้าเรื่อยๆ ริมฝีปากประกบเข้ากันแน่น..ในครั้งแรกเราทำอย่างอ่อนโยนแต่มันกลับร้อนแรงในครั้งต่อไป ผมหลงใหลในรสจูบนี้จนแทบถอนตัวไม่ขึ้น ความรู้สึกเห็นแก่ตัวที่อยากให้ริมฝีปากนี้จูบผมคนเดียวเริ่มก่อเกิดขึ้นในใจซะแล้วสิ

     

     

     
     

    ก่อนหน้านี้นายคงจูบจุนฮงมาแล้วใช่มั้ย

     

     

     

     

     

     

                    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้เราละริมฝีปากออกจากกัน ยงกุกรีบรับโทรศัพท์ในตอนแรกที่เค้ารับเค้าดูหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ในเวลาต่อมาเค้ากลับกระวนกระวายเหมือนใครกำลังจะตาย

     


     

    “จุนฮงน่ะ.. ฉันต้องไปหาเค้าก่อน”


    “หรอ ไม่ต้องไปหรอก” ผมพูดอย่างเห็นแก่ตัวครั้งแรกก่อนจะรั้งมือเค้าที่กำลังจับพวงมาลัยไว้ ยงกุกหันมาสบสายตาผมแววตาเค้าดูสับสนเหลือเกิน นั่นมันทำให้ผมหงุดหงิด..มาก เขาไม่ต้องการผมงั้นหรอ ?

     

     

     

     

                    ผมตัดสินใจเปิดประตูรถ ร่างกายของผมสัมผัสกับสายฝนครั้งแรกในรอบปี.. มันทำให้ผมหนาวสั่น แต่ถึงยังไงผมก็ไม่เดินเข้าที่ร่มหรือหลบเข้าไปในบ้านเพราะตอนนี้ผมเองกำลังเรียกร้องความสนใจ

     

     

     

    ทำยังไงก็ได้ให้ยงกุกสนใจแต่ผม

     

     

     


     

                    เค้าตกใจอย่างมากที่เห็นผมทำแบบนี้.. ผมตกใจตัวเองเหมือนกันเพราะผมไม่เคยมีความรู้สึกอยากเรียกร้องความสนใจเลยซักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่.. หรือมันถึงจุดอิ่มตัวแล้วนะ

     
     

                    ยงกุกดึงผมไปกอดในอ้อมแขน ผมตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวเหน็บซุกหน้าลงกับแผผผงอกนั่นด้วยความโหบหาความอบอุ่นที่เคยได้รับ ผมไม่ยอมให้เค้าไปหาจุนฮงตอนนี้เด็ดขาดถึงเด็กนั่นจะเป็นตายร้ายดียังไง ผมก็จะรั้งยงกุกเอาไว้

     

     



     

    “ฮิมชาน.. เข้าบ้านเถอะนะ”

     

     

     

     
     

    พอเข้าบ้านนายก็จะทิ้งฉันไปหาเด็กนั่นใช่มั้ยยงกุก



     

                    เค้าผละผมออกจากอ้อมแขนแล้วเลือกที่จะสบตาผม เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน.. ให้ตายสิถึงฝนกำลังจะตกแต่น้ำในดวงตานั่นกำลังไหลออกมาจากดวงตาแข็งกร้าวของผมเหมือนกัน แสงไฟน้อยนิดทำให้เค้ามองเห็นจมูกแดงของผมเค้าเริ่มกอดผมอีกครั้ง

     

     

     

    ผมดูอ่อนแอชะมัด

     




     

    “นายว่า..คนร่าเริง กับ คนเย็นชา เวลาที่พวกเขาร้องไห้ใครน่าสงสารมากกว่ากัน”

     

     

    “ฮ..ฮิมชาน”

     

     

     


     

    ผมต้องการอะไรงั้นหรอ

     

     



     

    “ยงกุก ..ถ้าถึงเวลาที่ต้องเลือกละ”

    “นายจะเลือกฉันใช่มั้ย”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความสัมพันธ์สีจางๆของคนสามคน

    Bang yongguk ’s part

     

     

     

                    ผมเฝ้ามองแสงไฟหลากสีจากคลับแห่งนี้ไปอย่างเลื่อนลอย แก้วน้ำสีอำพันยังคงถูกเติมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่ผมดื่มมันไปหลายต่อหลายแก้ว ไม่ใช่ปกติที่ผมดื่มมากขนาดนี้แต่มันมีบางอย่างให้คิดบางอย่างที่ผมเองก็พึ่งจะมารับรู้ว่าผมเองไม่เคยสนใจมันมาก่อนเลย

     

     

     

     

     

    เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผม ฮิมชาน จุนฮง

     

     

     

                    ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ของเรามันยุ่งเหยิงจนเกิดอาการแก้ไม่ออกแบบนี้ เหตุเพราะว่าทั้งสองถามผมประมาณว่าจะเลือกใคร.. แน่นอนว่าผมตอบไม่ได้ จะว่าผมเจ้าชู้คบทีสองคนก็ไม่ใช่ เพราะเราทั้งสามคนตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า

     

     

     

     

    ผมจะมีความสุขกับจุนฮง และกับฮิมชานเท่าๆกัน

     
     

    ซึ่งแน่นอนว่าเขายอมรับที่จะให้เป็นแบบนั้น

     

     

     

                    ผมดูเลวหรอ ?  ผมไม่อยากพูดว่าตัวเองดูเลวซักเท่าไหร่หรอกนะ เหอะ ถึงใครจะบอกว่าผมเป็นพวกจับปลาสองมือ แต่ถ้าใครไม่รู้ระหว่างสัญญาของเราทั้งสามคนก็อย่ามาต่อว่าผมแบบนี้เลย..


                    แต่มันจะไปด้วยดีกว่านี้ถ้าหากทั้งฮิมชาน และจุนฮงมาถามผมให้เลือกคนใดคนหนึ่ง

     

     

     

     

     

    ผมจะทำยังไงดี

     

     

     

     

     

                    ผมเดินออกไปนอกร้านเพื่อกลับบ้านแต่กลับพบว่าฝนกำลังตกลงมาอย่างแรงซ้ำยังมีเสียงฟ้าร้องเป็นครั้งคราวเสียจนให้สะดุ้งตกใจ แรงเสียจนทำลายความเงียบในใจผม เสียงของฝนที่กระทบพื้นยิ่งสร้างความปั่นป่วนในหัวของผม พลันนึกไปถึงเขาทั้งสองคน

     

     


     

    คนที่กลัวเปียกฝน กับ คนที่กลัวฟ้าร้อง

     

     


     

     

    นั่นสิ..สถานการณ์แบบนี้ผมควรไปหาใครก่อน

    นั่นสิ..ผมไม่สามารถแยกร่างไปหาพวกเขาได้ในเวลาเดียวกัน

     

     


     

    นั่นสิ.. มันถึงเวลาที่ผมควรเลือก

     

     

     

                   

     

     

     

                                   

    แต่พูดก็พูดเถอะ คิดว่ามันง่ายนักหรอ?
     

    ให้ไปตายยังง่ายกว่า

     

     

     

     

     

     

    นี่ไม่ใช่หนัง หรือละครน้ำเน่านะ

     

     

     
     

    ที่ต่อให้ในตอนแรกของเรื่องพวกเขาสามคนจะมีความสัมพันธ์คลุมเครือกันแค่ไหน
     

    ผลสุดท้ายแล้วนางเอกก็ต้องปรากฏชัดเจน และนางรองก็ปรกฎออกมาแล้วตกกระป๋องไปในที่สุด

     

     

     

     

    บ้า นี่มันชีวิตจริงนะ จะให้ผมเลือกได้ง่ายๆนักหรอ

     

     

     

     

     

    ในเมื่อละครชีวิตจริงมันไม่ได้มีผู้กำกับหรือนักเขียนที่ไหน
     

    มาคอยขีดเส้นให้ตัวละครในเรื่องให้จบลงอย่างสวยงามโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียใจ

     

     

     

     

     

     


     

    ชีวิตจริงที่ผมต้องเลือกเอง แล้วจบเรื่องให้มันเร็วในที่สุด
     

    เพราะยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เรียกว่าหน่วงก็คงจะหนักมากขึ้นในใจเท่านั้น

     

     








    จบแบบนี้อีกแล้ว หึ___________หึ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×