ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #14 : I have a bad feeling about this

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.67K
      2
      13 ธ.ค. 64

    I have a bad feeling about this.

     

     

     

    "รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ" เฟรินบ่นงึมงำขณะนั่งขัดสมาธิอยู่นอกวงเวทย์ที่คาโลวาดขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววกังวลกวาดมองตามมือของเจ้าชายที่กำลังขะมักเขม้นถักปลายพู่คทาของเขากับปลายพู่ที่ถูก 'แบ่ง' ออกมาจากคทาของคนทำและนักฆ่าที่นั่งเท้าคางมองตาไม่กระพริบ

    "เอาน่า ระดับ 'พ่อมดปีศาจแห่งคาโนวาล' ลงมือทั้งที ข้าว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า ...ไม่นึกว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริงแฮะ นึกว่าพ่อข้าพูดเล่นเสียอีก" คิลมัสตอบด้วยเสีบงเบา เขาเองก็สัมผัสได้ว่าเพื่อนร่วมห้องอีกคนไม่อยากพูดถึงชีวิตตนเองสักเท่าไร

    "ว่าแต่ คาโล แค่เพิ่มพู่ในวงเวทย์นั่นแล้วจะทำให้คทากิ๊กก๊อกนี่ใช้งานได้งั้นหรือ ดูง่ายกว่าที่คิดนะ"

    "พู่เดิมเป็นแค่เชือกถักธรรมดา ไม่มีวัตถุดิบที่ใช้เชื่อม คทานี่จึงไม่อาจก่อพลังเวทย์อะไรได้ ให้หายามนี้คงยาก จึงจำเป็นต้องใช้ของเจ้าและของข้า

    ส่วนไม้นี่เป็นเพียงกิ่งไม้ธรรมดา คงไม่อาจทนรับพลังยามใช้เวทย์ได้ จำเป็นต้องลงสลักคาถาเสริมความคงทนอีกที" อธิบายพลางหยิบกริชขึ้นมา ใช้ปลายแหลมจรดลงบนปลายนิ้ว หยาดโลหิตหยดออกจากปลายนิ้วลงสู่ถ้วยเล็กที่เตรียม

    "นั่นเจ้าจะทำอะไร คาโล"

    คิ้วเรียวของเจ้าชายเลิกขึ้นน้อยๆ ก่อนตอบ

    "ลงเวทย์เสริมกำลัง"

    "จำเป็นต้องใช้เลือดเจ้าด้วยเหรอ" ดวงตาสีฟ้าฉายแววหงุดหงิดพาดผ่าน ในขณะที่เฟรินวิตกว่าเรื่องจะยิ่งวุ่นวายซับซ้อนขึ้นทุกที

    "โลหิตผู้ใช้เวทย์เป็นสื่อที่ดีที่สุดในการลงเวทย์" พูดพลางหยิบถ้วยใส่โลหิตวางตรงหน้า เตรียมจะร่ายคาถา หากเฟรินรีบเอื้อมมาหยิบถ้วยนั้นไปถือไว้เสียก่อน

    "เจ้า.."

    "เช่น.เช่นนั้น คทานี่ข้าต้องเป็นผู้ใช้ ใช้เลือดข้าแทนแล้วกัน" พูดไปเสร็จก็แอบสะดุ้งในใจ เหมือนเฟรินจะพาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยากขึ้นทุกที ยิ่งเห็นสีหน้าเย็นเยียบของคาโลด้วยแล้วรู้สึกคล้ายเห็นเค้าลางหายนะของตัวเอง หากยังทำใจแข็งไม่ยอมคืนถ้วยให้คาโล

    "เจ้าคิดจะทำ-"

    "เอาอย่างนี้ ใช้เลือดเราสามคนเลยเป็นไง ข้ามั่นใจว่าคทาเจ้าจะแข็งแกร่งไม่เหมือนใครทีเดียว ว่าไงได้ใช่ไหมท่านพ่อมด" คิลเสนอขึ้นมาอย่างนึกสนุก และโดยไม่ฟังคำตอบ นักฆ่าจัดการกรีดเลือดตนเองหยดลงในถ้วยเรียบร้อย

    "เอาล่ะ ท่านเดอเบอร์โรว์ เหลือแต่เจ้าล่ะ"

    สบดวงตาสีม่วงนั่นแล้ว เฟรินก็แน่ใจว่าถึงเขาไม่ยอมทำ ก็คงได้แต่วิ่งไล่กันจนถึงเช้าเป็นแน่ ครั้นหันไปมองคนทำพิธีที่สีหน้ามืดครึ้มลงทุกที หัวขโมยก็แน่ใจว่า

    ไปตายเอาดาบหน้า คงดีกว่าเปลี่ยนห้องพักเป็นทุ่งน้ำแข็งตอนนี้

     


    ----


    คาโลชักไม่แน่ใจว่าเขาตัดสินใจถูกหรือไม่ หากก็รับถ้วยที่ตอนนี้มีโลหิตของเขา นักฆ่ารักสนุก และหัวขโมยจอมก่อเรื่องผสมอยู่ด้วยกันกลับมาโดยดี 

    เด็กหนุ่มจากแดนนักรบเริ่มร่ายคาถา ทว่าตอนนั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น

    หูของเด็กหนุ่มแว่วเสียงลมที่โหมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ปรากฏว่าท้องฟ้ายามราตรีที่ปลอดโปร่งจนถึงเมื่อครู่กลับมืดครึ้มในบัดดล ก่อนอสุนีบาตจะพาดผ่านในพริบตา เกิดเป็นเสียงกัมปนาถสนั่น กระทั่งเด็กหนุ่มทั้งสามที่นั่งอยู่ภายในห้องยังรู้สึกถึงแรงสะเทือน

    กระทั่งคาโลร่ายเวทย์จบ ฝนฟ้าที่คำรามสะเทือนเลื่อนลั่นจนถึงเมื่อครู่จึงค่อยสงบลง หากโลหิตในชามกลับส่องแสงสีทองสว่างวาบ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดแล้วค่อยซีดจางจนเป็นสีขาว ก่อนจะค่อยเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีดำสนิทจนคล้ายมีกระไอเงาทมิฬลอยออกมา ก่อนจะกลับเป็นสีแดงของโลหิตดังเดิม

    หัวขโมยกับนักฆ่ามองเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยอาการคล้ายตื่นตะลึง ในขณะที่เจ้าชายผู้บริกรรมคาถามองโลหิตในถ้วยอย่างครุ่นคิด และเป็นนักฆ่าที่ดูจะได้สติก่อนใครเพื่อนถามขึ้นว่า

    "ปกติที่เจ้าทำ เป็นแบบนี้รึเปล่าคาโล"

    หากคำตอบที่คิลมัสได้มีเพียงความเงียบ และคล้ายเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบ

    สุดท้าย คาโลก็หยิบปากกาปลายแหลมจรดปลายเข้ากับโลหิตในถ้วย และเริ่มลงเวทย์ อักขระที่คาโลจรดลงบนไม้นั้นเรืองแสงเรื่อเรืองก่อนจะจมหายไปกับเนื้อไม้ กระทั่งครบแล้วคาโลก็ยื่นคทาส่งให้แก่เฟรินที่รับมาอย่างเก้ๆ กังๆ

    "ดูภายนอก ไม่แตกต่างจากเดิมนัก เจ้าว่าไหมเฟริน" คิลมัสตั้งข้อสังเกต แต่เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนคล้ายจะได้ยินประโยคที่เจ้าตัวไม่ได้พูดออกมา

    ของมันต้องลอง

    "เฟริน อย่า" ดูเหมือนคาโลจะเข้าใจว่าตัวป่วนหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองจะมีความเห็นใกล้เคียงกัน จึงรีบปรามคนที่มีคทาในมือ หากเด็กหนุ่มไม่รู้ว่า เฟรินไม่ได้มีความคิดอยากลองคทาใหม่แม้แต่น้อย 

    อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

    เพราะเฟรินสัมผัสถึงพลังเวทย์ที่ไหลเวียนในคทาปรับปรุงใหม่ แม้จะไม่ถึงกับทรงพลังเช่นคทาที่อยู่ในความครอบครองของหัวหน้าชั้นปีอีกสองคนที่เขาเคยเห็นในชั้นเรียนมาแล้ว แต่เฟรินแน่ใจทีเดียวว่าพลังของคทาในมือตอนนี้ทรงพลังกว่าคทาทั่วไป คำถามของคิลที่ว่าคทาใช้ได้หรือไม่จึงไม่ใช่ปัญหา

    ปัญหาของเฟรินคือ การที่ต้องใช้คทาต่างหาก เมื่อข้อแก้ตัวเรื่องคทาหมดไป ข้ออ้างที่เด็กหนุ่มจะโดดเรียนชั้นเรียนศาสตร์เวทมนต์ก็หมดตามไปด้วย เพียงแค่คิดถึงใบหน้าของอาจารย์แม่มดวิงกี้ ก็ชวนให้หวาดหวั่นเสียแล้ว

    ยังไม่รวมปัญหาใหม่ที่เฟรินเพิ่งตระหนักได้เดี๋ยวนี้

    ความจริงที่ว่า เจ้าชายคาโล วาเนบลีแห่งคาโนวาล เป็นลูกครึ่งภูติแห่งสโนแลนด์ นั่นอธิบายเส้นผมสีเงินและผิวที่ขาวผิดแผกจากชาวคาโนวาลทั่วไปที่มักมีเส้นผมสีทองและผิวค่อนไปทางคล้ำนิดๆ แม้จะอยู่ทางเหนือ

    เป็นที่รู้กันว่าพวกภูตินั้นประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์ทั่วไป ทั้งยังสามารถรู้สึกถึงพลังต่างๆ ได้เร็วกว่า 

    แถมภูติที่ว่า ยังเป็นถึงจอมภูติเสียด้วย

    หัวขโมยกำมะลอไม่แน่ใจว่าสายเลือดจอมภูติในร่างเจ้าชายตรงหน้าเข้มข้นขนาดไหน คงได้แต่ภาวนาไม่ให้เข้มข้นพอจะสัมผัสพลังความมืดที่อยู่ในกายเขาก็พอ

    การลองใช้เวทย์ต่อหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าจึงเป็นอย่างสุดท้ายที่เฟรินจะทำ

    แรงสะกิดที่ไหล่ เรียกเฟรินกลับมาจากภวังค์ความคิด ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบถี่ๆ ก่อนจะพบกับดวงตาสีม่วงที่กำลังเต้นระริกไปด้วยความคาดหวัง

    "ว่าไง ไม่ลองดูเหรอ ข้าอยากเห็นพลังของมันน่ะ" 

    "ไม่ได้" เสียงเรียบของคาโลดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มือขาวๆ เอื้อมมาดึงคทากลับจากหัวขโมย

    "อ้าวเฮ้ย ไหงงั้นล่ะ แล้วเจ้าจะรู้ได้ไงว่ามันใช้ได้จริง" กลับเป็นนักฆ่าที่โวยวาย ทำเอาเจ้าชายเกิดความรู้สึกพิศวงนิดหน่อย

    ไฉนวันนี้ มันไม่ผสมโรงเป็นลูกคู่?

    "ใช้ได้" ตอบทั้งที่ดวงตาสีฟ้ายังจับจ้องตัวป่วนหมายเลขหนึ่งที่ดูจะเงียบเป็นพิเศษ

    "ใช้ได้ต้องให้ลอง หรือท่านพ่อมดไม่มั่นใจ" นั่นได้สายตาดุๆ เป็นคำตอบแทน

    "ดึกแล้ว ค่อยลอง"

    "ไฮ้ ไม่ทันใจ น่า เจ้าก็อยากลองดูใช่ไหมเพื่อนยาก" พอเห็นเข้าชายไม่ยอมง่าย นักฆ่าก็พยายามหาพวก

    "เอ้อ..." ให้ตายสิ เฟรินได้แต่เลิ่กลั่กอยู่ในใจยามพยายามหลบสายตาคาดหวัง ครั้นเหลือบมองคาโลที่เห็นชัดว่าไม่เห็นด้วย ก็ได้ทีโพล่งไปว่า

    "ท่านเจ้าชายว่าไม่ให้ลองก็ไม่ต้องลองน่าเจ้าหัวยุ่ง เจ้าชายคนสำคัญอุตส่าห์ลดพระองค์มาช่วยหัวขโมยทั้งที แค่นี้หัวขโมยอย่างข้าก็ตอบแทนไม่ถูกแล้ว" เฟรินหวังจริงๆ ว่าพูดถึงขนาดนี้แล้ว นักฆ่าจะยอมรามือ

    แต่ดูเหมือนเฟรินจะคาดระดับความป่วนของเพื่อนร่วมก๊วนต่ำไป เหมือนที่คาโลคิดไม่ถึงว่านักฆ่าก็มือไวไม่แพ้หัวขโมย เพราะพริบตาที่เจ้าชายวางคทาลงกับพื้นพรมเพื่อจะเก็บอุปกรณ์ที่วางระเกะระกะอยู่ 

    คทาก็ตกอยู่ในมือนักฆ่าเสียแล้ว

    "เจ้า!" 

    คิลมัสยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนท่องคาถา ลูกแก้วหัวคทาในมือเรืองแสงสีฟ้าสว่าง ก่อนร่างของทั้งหัวขโมยและเจ้าชายจะค่อยๆ ลอยขึ้นไป ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาข้าวของต่าง ๆ ในห้องพักต่างพากันลอยขึ้นไปหมุนคว้างกลางอากาศ

    “หวะ-หวา” เฟรินร้องขณะพยายามทรงตัวไม่ให้หมุนคว้างตามข้าวของรอบข้าง แม้สีหน้าจะมีความยุ่งยากใจ แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับมีแววสนุกสนานปนโล่งใจไม่น้อยที่คทาไม่ได้ส่งกระไอเวทย์แปลกประหลาดอย่างที่เจ้าตัวกังวล ครั้นเหลือบตามองเพื่อนร่วมชะตากรรม ก็อดขบขันไม่ได้เมื่อได้เห็นคาโลที่แม้จะอยู่ในสภาพกลับหัวตีลังกากลางอากาศอย่างนั้นเจ้าตัวยังคงตีหน้านิ่ง ส่งสายตาเย็นเยียบให้ตัวการ

    “ถ้าเจ้าโกหกเก่งกว่านี้อีกนิด ข้าว่าเจ้าน่าจะได้คะแนนวิชาหน้ากากฟาโรห์เต็มนะ คาโล” อดไม่ได้จริงๆ และก็สมใจเมื่อสายตาแช่แข็งเผื่อแผ่มาถึงหัวขโมยที่มีสภาพไม่ต่างกัน

    “พอได้รึยัง คิล" คาโลถามด้วยน้ำเสียงเย็นไม่ต่างจากสายตา หากประกายตาระริกระรี้ในดวงตาสีม่วงคู่นั้นบอกว่ายังอยากเล่นสนุกอีกสักหน่อย คิลมัสร่ายคาถาต่อเนื่อง ตอนนั้นเองที่เหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น

    ประกายแสงสีฟ้าเรื่อเรืองของลูกแก้วเริ่มส่องประกายเจิดจ้ากระทั่งทั้งห้องปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าก่อนจะค่อยแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีขาวและกลายเป็นสีทองในที่สุด หากทันใดที่แสงจากลูกแก้วหัวคทากลายเป็นสีทองพลันเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ แรงสะเทือนนั้นแม้ไม่รุนแรงกระทั่งคิลมัสยืนไม่อยู่ หากก็รุนแรงพอจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกตัว ทั้งสามจึงเริ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายแว่วมาตามลม

    "เจ้าได้ยินเหมือนข้าไหม คาโล" เฟรินที่เพิ่งจะทรงตัวได้เหลียวซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง หัวขโมยได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ ก็เบาใจว่าตนไม่ได้หูแว่วเพียงผู้เดียว หากประโยคถัดมาทำเอาเฟรินแทบอยากเอามือทึ้งหัว

    แน่นอนไม่ใช่ของตน หากเป็นหัวยุ่งๆ ของเจ้าคนก่อเรื่องต่างหาก

    "คิลคงปลุกคนทั้งป้อมขึ้นมาแล้วล่ะ คิลมัส หยุดเดี๋ยวนี้" คราวนี้ได้ผล นักฆ่าหยุดท่องคาถากึก แสงสีทองจากลูกแก้วจึงพลันดับวูบพร้อมๆ กับร่างเพื่อนร่วมห้องและบรรดาข้าวของที่ลอยว่อนร่วงหล่นสู่พื้น เสียงโครมครามกระทบพื้นดังลั่น ก่อนตามมาด้วยเสียงตึงสนั่น และฝุ่นผงปลิวว่อน

    เฟรินนั่งสำลักฝุ่นไอค่อกแค่กอยู่กับพื้นพลางคลำบั้นท้ายป้อยๆ เพราะร่วงหล่นโดยไม่ทันตั้งตัวจึงพลาดลงผิดท่า โชคดีว่าไม่ได้ลอยสูงนักแรงกระแทกจึงไม่รุนแรง ข้างตัวต้นเหตุมองคทาแล้วยิ้มกว้างอย่างถูกใจ

    "ไม่เสียทีที่ใช้เลือดท่านคิลมัสคนนี้" ก่อนจะโยนคทาคืนให้เจ้าชายที่มีใบหน้ามืดครึ้ม เพราะแม้จะกลับตัวเอาเท้าลงพื้นทัน หากเรือนผมสีเงินและเครื่องแบบสีน้ำเงินที่สวมอยู่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง เรียกว่า สภาพดูไม่จืดทีเดียว

    "ข้าเอาหัวเป็นประกันเลยเฟริน คทาเจ้าใช้การได้ดีมาก" เจ้าตัวแสบหมายเลขสองที่อาจจะได้เลื่อนขึ้นเป็นหมายเลขหนึ่งบอกเสียงใส หากเฟรินไม่ทันอ้าปากบริภาษอะไรก็ต้องรีบคว้าคทาที่ถูกโยนมาจากเจ้าชายอีกที

    "เอาหัวเจ้าประกันสิ่งที่พวกเจ้ากำลังจะต้องเจอด้วยดีไหม คิลมัส ฟิลมัส" คาโลเอ่ยด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันขณะเรียกคทาตัวเองขึ้นมา เด็กหนุ่มโบกคทาคราวเดียวบรรดาของที่หล่นกระจัดกระจายก็กลับคืนสู่ที่ รวมถึงฝุ่นผงที่ติดตามเรือนผมและเสื้อผ้า

    "เจ้าหมายถึงอะ-" หากเฟรินกล่าวไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งโหยงด้วยเสียงทุบประตูดังลั่น พร้อมเสียงตะโกนก็ดังแทรกเข้ามา

    "พวกเจ้าทุกคน รายงานตัวพร้อมกันที่ห้องโถง เดี๋ยวนี้!!"

    ตอยนั้นเองที่เฟรินคิดขึ้นมาอีกครั้ง

    ...อา รู้สึกไม่ค่อยดีเลยแฮะ


    ---------


    แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปถึงยามสอง แต่สภาพตอนนี้ทำเอาเฟรินจะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง ยามเห็นสีหน้าเพื่อนร่วมป้อม ไม่สิ คนทั้งป้อมที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่ในห้องโถง หลายคนเห็นได้ชัดว่าเพิ่งตื่นเพราะอยู่ในสภาพงัวเงีย หากหลายคนมีสีหน้างุนงงแตกตื่นไม่น้อย และหลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด

    ชายหนุ่มร่างสูงสองสามคนที่น่าจะเป็นรุ่นพี่ที่เฟรินไม่เคยพบเดินไปมาอย่างเร่งรีบราวกับตรวจเช็ค ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นหน้าประตูใหญ่ เสียงเซ็งแซ่จึงค่อยเบาลง

    "มาครบกันหรือยัง" เสียงแรกมาจากชายร่างใหญ่ที่เดินนำหน้าสุด ตามมาด้วยใบหน้าที่เฟรินคุ้นเคยที่สุด

    "แค่ป้อมลอยได้ เจ้าจำเป็นต้องเรียกคนทั้งป้อมมารวมกันด้วยรึ ชิววี่" ลูคัสเอ่ยด้วยกิริยาเกียจคร้าน ท่าทีสบายๆ ของเขาดูจะกระตุกอารมณ์ชายหนุ่มไม่น้อยเพราะเฟรินเห็นเขาหยุดกึก ก่อนหันไปท้วงเสียงดังลั่น

    "ป้อมถูกทำให้ลอยขึ้นไปทั้งป้อม เจ้าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร ลูคัส ซาโดเรีย" เมื่อเห็นชัดๆ เฟรินคิดว่าสีหน้าขึงขังของชายหนุ่มรุ่นพี่นาม ชิวาส เดเบส ช่างขัดกับสีหน้าของญาติผู้พี่ของเขาเหลือเกิน จนไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะทำงานเป็นผู้คุมกฏร่วมกันได้

    "นี่อาจจะเป็นฝีมือของพวกปีศาจก็ได้ และข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่านแน่"

    "ที่เจ้าไม่ยอม ไม่ใช่เป็นเพราะวันนี้เป็นเวรเจ้าเฝ้ายามหรอกหรือ ชิววี่ อีกประการ เหล่าปีศาจจะต้องการป้อมของเราไปทำไม เราออกจะ..อืม ยาจกเสียขนาดนี้ จริงไหมลอรี่" ลูคัสพูดพลางหาวพลางก่อนจะเอี้ยวตัวหลบปลายมีดสีเงินที่พุ่งออกจากมือของชายหนุ่มที่ยืนหน้าบูดที่สุดในกลุ่ม

    "เมื่อไหร่จะเรียกชื่อข้าถูกเสียที ลูคัส" ลอร์เรนซ์ ดอว์น ผู้ครองตำแหน่งผู้คุมกฏอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

    "พวกเจ้าก็อย่ามัวทำเป็นเล่นอยู่เลย อีกอย่างที่ชิวาสสงสัยก็ยังไม่ควรมองข้ามนะลูคัส" คนสุดท้ายคือหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของผู้คุมกฏ โซมาเนีย มิสทรัล ทว่าแม้หญิงสาวจะห้ามทัพสามหนุ่มผู้คุมกฏได้ แต่บทสนทนาของทั้งสี่ก็ทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นมาอีก

    "ข้าบอกแล้วว่าฝีมือปีศาจ"

    "แต่ที่ลูคัสพูดก็มิผิด ป้อมเราใช่มีสมบัติ จะยกป้อมไปทำไม"

    "หรือพวกมันเข้ามาลักพามนุษย์"

    "ข้าได้ยินข่าวลือว่า..."

    "ดูเหมือนเจ้าอาจจะเอาตัวรอดไปได้นะคิล" เฟรินกระซิบกระซาบกับคิลมัสที่ยืนหัวเราะคิกคักข้างตัว แม้จะเหลือบเห็นสายตาตำหนิของเจ้าชายคาโล หากเฟรินก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแอบหัวเราะผสมโรงไปกับนักฆ่า

    ส่วนในใจนั้นโล่งใจนักแม้จะไม่ชอบใจกับข้อกล่าวหาตามประสา แต่หากเรื่องจะจบด้วยความเข้าใจเช่นนั้นน่าจะเป็นผลดีกับพวกเขากว่า

    "พวกเจ้าจะเงียบกันได้รึยัง" เสียงตวาดและใบหน้าไม่สบอารมณ์ของลอเรนซ์ทำเอาทั้งห้องเงียบไปในอึดใจ หากก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดจนเกินไป ลูคัสก็ปรบมือดังลั่น

    "สมเป็นเจ้าจริงๆ ลอรี่ เราได้ความสงบกลับคืนมาเพราะเจ้าเลยนะ" 

    หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ชมเทคนิคการหลบมีดของลูคัสอีกพักใหญ่

    "ข้าพอเข้าใจแล้วว่าทำไมป้อมเราจึงยาจก" คิลมัสเอ่ยพลางพยักหน้าหงึกหงัก


    ---------


    กว่าพวกเขาจะได้เริ่มประชุมจริงๆ ก็ตอนที่มิสแรมเชล อาจารย์และผู้ดูแลประจำป้อมอัศวินปรากฏกายขึ้นในห้องประชุม

    "จริงๆ ที่ให้ปลุกพวกเรามาประชุมพร้อมกันทั้งหมด แค่จะตรวจสอบว่าปลอดภัยกันทุกคนหรือไม่เพียงเท่านั้น เพราะดูเหมือนมีคนอยากจะทดลองยกป้อมอัศวินดู" นางกล่าวหลังจากรับถ้วยน้ำชา ก่อนทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หน้าห้อง ท่าทางนุ่มนวลสบายตาของนางสร้างบรรยากาศอบอุ่นกระทั่งทำให้เรื่องร้อนของชิวาสคล้ายกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เช่น คืนนี้อากาศดียิ่ง นอนหลับสบายดีหรือไม่

    อืม อาจารย์แต่ละคนในโรงเรียนพระราชาแห่งนี้ช่างร้ายกาจยิ่ง

    "แต่ข้าคิดว่านี่อาจเป็นฝีมือของพวกเดมอสนะขอรับ ท่านอาจารย์"

    "เดมอสหรือ ทำไมจึงคิดเช่นนั้นละชิวาส"

    "เอดินเบิร์กคือดินแดนที่อยู่ติดเดมอส แถมป้อมอัศวินของเรา เดิมทีก็ตั้งเพื่อเฝ้าระวังพวกปีศาจอยู่แล้ว หากเดมอสคิดจะบุกเอเดน อย่างไรก็ต้องยึดป้อมแห่งนี้เสียก่อนมิใช่หรือขอรับ 

    ทั้งสี่ห้าปีมานี้ มีข่าวว่าพวกปีศาจเข้ามาลักพาตัวชาวเอเดนหายสาบสูญไปไม่น้อย ข้าจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือพวกมัน

    มิหนำซ้ำ ล่าสุดนี่ยัง..." อยู่ๆ ชายหนุ่มที่พูดอย่างเลื่อนไหลกลับอึกอัก ชวนให้สงสัยยิ่ง

    "ชิวาสคงหมายถึง ปีศาจความฝันน่ะค่ะ ท่านอาจารย์" เป็นโซมาเนียที่เอ่ยขึ้นแทน ทำให้ไหล่่ที่ตึงเครียดเมื่อสักครู่ของชิวาสดูผ่อนคลายลง หากสีหน้าที่พลันเคร่งเครียดขึ้นของมิสแรมเชลกับยิ่งกระตุ้นความสงสัยของเฟริน

    "ในฐานะเสนาธิการ พวกเจ้าคิดว่าไงล่ะ โรเวน ไธนอส"

    "..."

    เฟรินยังพอจำความประทับใจแรกยามได้เจอชายผู้อยู่ในตำแหน่งสำคัญยิ่งของป้อมอัศวินในวันแรกได้

    แต่ดูเหมือนภาพจำอันสง่างามของเจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ดในวันนั้นจะค่อยๆ พังทลายลง เพราะเจ้าชายโรเวนผู้นั้น 

    หลับ?

    ท่ามกลางดวงตานับร้อยคู่ โรเวน ฮาร์เวิร์ด นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆ กันคือชายหนุ่มที่เฟรินไม่เคยพบ แต่คาดว่าจะเป็นเสนาธิการฝ่ายขวา ไธนอส ทิลดอล ซึ่งกำลังใช้ปลายเท้าเขี่- เอ้ย สะกิดให้ตื่น แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่

    คราวนี้ ไม่ต้องใช้เสียงกัมปนาถของผู้คุมกฏคนไหน ห้องโถงกลางของป้อมอัศวินก็เงียบสนิท เหลือเพียงเสียงกรนเบาๆ ของเสนาธิการฝ่ายซ้ายของป้อมอัศวิน

    "หรือ... เราควรจะเลิกประชุมกันก่อน แล้วพวกเธอ และสามขุมพลค่อยนัดประชุมกันใหม่ ตอนที่เสนาธิการของเรา เอ่อ พร้อมกว่านี้" คือประโยคสุดท้ายที่มิสแรมเชลพูดก่อนจะเสดื่มน้ำชาในแก้ว หากเฟรินยังพอมองเห็นว่านางกำลังกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ

    "เพราะโรเวนน่ารักขนาดนี้ ข้าถึงเลิกเป็นผู้คุมกฏไม่ได้เสียที" นั่นเสียงญาติผู้พี่ของเขา

    "ปีหน้า ข้าจะลาออกแน่ๆ" ส่วนนั่นเป็นเสียงขบเคี่ยวเคี้ยวฟันของลอเรนซ์ ดอว์น

    "ท่านโรเวน ความเห็นข้าน่าเบื่อเยี่ยงนั้นเลยหรือขอรับ" คือเสียงร้องของชิวาส ชายหนุ่มถึงกับนั่งคอตกโดยมีโซมาเนียได้แต่ตบบ่าปลอบอยู่ข้างๆ



    --------


    กว่าทั้งสามจะได้กลับเข้าห้องพักอีกครั้ง ก็เหลือเพียงอีกชั่วยามจะเข้าสู่เช้าวันใหม่

    นับว่าวันนี้พวกเขาโชคดีที่ไม่มีใครติดใจสงสัย ส่วนใหญ่ตื่นเต้นไปกับข้อสันนิษฐานของชิวาส เดเบส แม้เฟรินจะคิดว่าอาจารย์แรมเชล และผู้คุมกฏคนอื่นนอกจากโซมาเนีย จะไม่เชื่อข้อสันนิษฐานนั้นสักเท่าไหร่

    หากจะมีเรื่องใดติดอยู่ในใจ คงเป็นท่าทีของมิสแรมเชลยามที่โซมาเนียเอ่ยถึง ปีศาจความฝัน ท่าทางครุ่นคิดและสีหน้าเคร่งขรึมของนางชวนให้สงสัยไม่น้อยกว่าท่าทีอึกอักของชิวาส

    ว่าแต่ ปีศาจความฝันงั้นหรือ

    เฟรินถอนหายใจยาว

    ให้ตายสิ ยังไงก็รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ


    ---------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×