คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : The Duel
The Duel
หัวขโมยกำลังตกที่นั่งลำบาก
เพราะเมื่อคืนมัวแต่อกสั่นขวัญแขวนกับพลังของคทา 'สามประสาน' (ตามที่คิลมัสเรียก) และปฏิกิริยาของผู้คุมกฏอย่างชิวาส เดเบส เฟรินจึงลืมไปเสียสนิทว่าวันถัดมามีชั้นเรียนศาสตร์เวทมนต์ กว่าจะนึกได้ก็ตอนที่เพื่อนร่วมห้องเตือนว่า
"เจ้าคงไม่ลืมนะว่าวันนี้มีเรียนศาสตร์เวทมนต์"
จะเพราะคทาของเขา 'ใช้ได้ดี' ยิ่งกว่าที่คาโลกะไว้ตอนแรก หรือจะเพราะลูกแก้วสีฟ้าที่มองเขาไม่วางตาจนรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ก็ตาม
เขาหมดข้ออ้างที่จะไม่เข้าชั้นเรียนศาสตร์เวทมนต์เสียแล้ว
ตอนนี้จึงต้องมานั่งใจตุ้มๆ ต่อมๆ อยู่หลังห้อง ขณะพยายามทำตัวลีบเล็กที่สุด หวังอย่างยิ่งว่าจะรอดพ้นสายตาของหญิงกลางคนตัวเล็กที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง
"สวัสดี นักเรียนทุกคน และในที่สุดก็ยอมเข้าชั้นเรียนเสียทีนะ คุณเดอเบอโรว์ หวังว่าช่วงที่เจ้า 'หยุดพักผ่อน' จะทำให้เวทมนต์ของเจ้าพัฒนาขึ้นนะ"
เสียงทักทายนั้นดับความหวังอันริบหรี่ของหัวขโมยเสียสิ้น และเฟรินทำได้แค่เพียงส่งรอยยิ้มเหือดแห้งให้ศาสตราจารย์แม่มดวิงกี้ยามที่นางนั่งกอดอกพลางส่งสายตาคมกริบหลังจากขานชื่อเพิ่อทดสอบในท้ายชั่วโมง
"เอาล่ะ คุณเดอเบอโรว์ เราเริ่มจากการร่ายมนต์พื้นฐานกันดีไหม"
"ง่า.. ขอรับ ท่านอาจารย์" หัวขโมยตอบรับ พลางยกคทาในมือขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนร่ายมนต์เรียกไฟอันเป็นเวทย์ 'พื้นฐานในพื้นฐาน'
เฟรินลอบกลั้นหายใจขณะพยายามบังคับพลังเวทย์ในกายไม่ให้ไหล่บ่าไปยังคทาอย่างรวดเร็วตามที่มันควรจะเป็นอย่างยากลำบาก คทาในมือเขาเปล่งแสงสีนวลน้อยๆ ก่อนจะสร้างประกายไฟเล็กๆ พอเป็นพิธีแล้วปล่อยให้มอดดับไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตานั้นคล้ายทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชวนอึดอัด โดยเฉพาะหัวขโมยที่พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากับหญิงกลางคนตรงหน้า
เสียงถอนหายใจดังขึ้น และเป็นศาสตราจารย์วิงกี้ที่เอ่ยขึ้นมาก่อน
"ถือว่าไม่เลวสำหรับคนที่ไม่เคยใช้เวทย์ หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเข้าเรียนและพัฒนาได้เพียงพอที่จะผ่านการสอบกลางปีนะ คุณเดอเบอร์โรว์ ไม่เช่นนั้นป้อมอัศวินอาจจะตกที่นั่งลำบากได้" นางทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้อง ในขณะที่เฟรินได้แต่ลอบถอนใจที่สุดท้ายเหมือนเขาจะตบตาแม่มดจากสโนวแลนด์ได้สำเร็จ
ทว่าหัวขโมยไม่รู้เลยว่า เรื่องยุ่งยากเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
------@
เรื่องมันเริ่มจากบทสนทนาธรรมดาๆ ในบ่ายวันธรรมดาวันหนึ่ง เรื่องที่คุยกันก็แสนจะเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ก่อนเข้าเรียนพวกเขาทำอะไร การบ้านล่าสุดของชามัลโหดหินขนาดไหน หรืออย่างมื้ออาหารกลางวันที่โรงอาหารดราก้อนห่วยแตกอย่างไร
หากจู่ๆ หอสมุดเคลื่อนที่อย่างโรกลับเปิดประเด็นว่า
"ข้ามีเรื่องสงสัยข้อหนึ่ง ท่านเดอเบอโรว์" เฟรินที่กำลังหัวเราะมุกตลกของนักรบจากแดนเหนืออย่างไนล์อยู่ชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ตามองโร เซวาเรส ที่กำลังนั่งจิบชา
นานๆ ทีคนอย่างมันจะมีข้อสงสัย จึงอดไม่ได้ที่จะระแวงว่าขอทานจากทริสทอร์ผู้นี้จะมาไม้ใด
"ว่าอย่างไรล่ะ ท่านเซวาเรส"
"ข้านับถือท่านมาดัส บิดาเจ้านะ แต่ข้าเคยได้ยินว่าตระกูลเดอเบอโรว์ เดิมน่ะเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ในบารามอสไม่ใช่หรือ แถมในสายตระกูลเจ้ายังมี Chess Master ด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงได้กลายมาเป็นหัวขโมยได้ล่ะ"
"เจ้าหัวขโมยตัวยุ่งนี่น่ะรึ ขุนนาง โอ้โห แล้วเชสอะไรของเจ้าน่ะ หมายถึงสิ่งใดกัน" นักรบร่างใหญ่จนยากจะเชื่อว่าอยู่ในวัยเดียวกันหัวเราะลั่น พลางเอื้อมมือใหญ่โตมาขยี้ศีรษะเฟรินเล่นก่อนจะโดยเจ้าตัวยุ่งประจำป้อมถองเข้ายกใหญ่จนตัวงอ หากยังบ่นไม่จริงจังนักว่าตัวเล็กแต่มือหนักแท้
"เจ้าอยากรู้หรือครี้ด" ขอทานรอบรู้ถามกลับ ขณะยกชาที่เกือบจะเย็นชืดขึ้นจิบ
"ไม่อยากรู้ จะถามทำไม"
เด็กหนุ่มจากทริสทอร์วางถ้วยน้ำชา มือก็กวักเรียกคนตัวใหญ่ช่างสงสัยให้เข้ามาใกล้ ก่อนเอียงคอกล่าวด้วยเสียงกระซิบ
"ลองเรียกข้าว่า ท่ายอาจารย์เซวาเรส ก่อนสิ ครี้ด ธันเดอร์" กล่าวจบก็ยิ้มเผล่ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบหมอนอิงที่ปลิวมาด้วยน้ำมือนักรบที่แม้เหลือตาเพียงข้างเดียว หากยังกะระยะได้แม่นยำยิ่ง
"บิดาเจ้าเถอะ!! ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็อยากเล่า ไอ้หอสมุดเคลื่อนที่ ทำมาทำอมพะนำ"
"เพราะเจ้าโง่ไงครี้ด" เฟรินกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ โดยมีกัส โทนีย่า พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ข้างเด็กหนุ่มจากไนล์เห็นคู่หูไม่เข้าข้างก็เร่งประท้วง
"กัส! ไหนว่านักบวชนั้นเป็นผู้มีเมตตา เหตุใดผู้รับใช้พระเจ้าเช่นเจ้าจึงไร้น้ำใจเช่นนี้!!"
"ข้าไม่พูดเท็จ มันบาป" คำตอบของนักบวชแห่งกิลดิเรกเรียกเสียงหัวเราะจากหัวขโมยได้อีกมากโข
"เงียบไปเลยเจ้าเตี้ย" เด็กหนุ่มร่างใหญ่สวนทันควัน นั่นทำให้ดวงตาสีน้ำตาลของหัวขโมยพลันแวววาวด้วยไฟโทสะ
"อ้าว วาจาเช่นนี้ดูเหมือนท่านนักรบจะไม่อยากเดินกลับนะขอรับ" ว่าพลางส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมให้นักรบชะตาขาด
"เจ้าแหย่เฟรินผิดเรื่องแล้วล่ะ ธันเดอร์" คิลมัสกล่าวปิดท้าย ก่อนจะเอนกายพิงพนักโซฟาตัวนุ่มอย่างสบายอารมณ์
-------
"ตกลงว่า เพราะเหตุใดตระกูลเดอเบอร์โรว์จึงกลายเป็นหัวขโมยไปได้ล่ะ" โรถามซ้ำหลังจากรอกระทั่งหัวขโมยอัดนักรบหนำใจพอแล้ว
"อืม เอาเข้าจริงข้าก็ไม่รู้หรอก เท่าที่จำความได้ก็เป็นขโมยมาโดยตลอด เรื่อง Chess Master ก็เหมือนกัน รู้แค่ตาแก่นั่นเล่นหมากรุกเก่งใช้ได้" และจ้าวปีศาจเป็นพยาน ที่เฟรินบอกไปทั้งหมดเป็นความจริงล้วนๆ
"หืม แล้วเจ้าล่ะ"
"ข้า? ทำไม"
"หมายถึง เจ้าเล่นเก่งไหม หมากรุกนะ" ขอทานถามพลางหมุนแก้วชาในมือเล่น หากสายตาบอกชัด
โร เซวาเรสกำลังท้าประลอง
"เจ้าอยากลองเล่นกับข้าไหมล่ะ"
-----
เกมหมากรุกกับขอทานจบลงด้วยชัยชนะอย่างรวดเร็วของหัวขโมย และที่ทำให้เฟรินอารมณ์ดีเป็นพิเศษ คือ การที่ได้เห็นรอยยิ้มแข็งค้างของขอทานหน้าเป็นแห่งทริสทอร์ ในขณะที่โร เซวาเรสได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจว่าไม่ควรเลยที่จะท้าเล่นหมากรุกกับหัวขโมยอย่างมีเดิมพัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดิมพันมื้ออาหาร!
"หวังว่าท่านขอทานจะไม่ลืมสัญญา" เฟรินเอ่ยอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ทว่าทันใดนั้นเองที่หัวขโมยนึกเรื่องสำคัญได้
"ตายละวา คาโล!!"
---------
ย้อนกลับไปวันก่อน เฟรินรั้นจะตอบแทนเด็กหนุ่มจากคาโนวาลเรื่องคทา หลังจากตื๊ออยู่เป็นนานสองนาน คาโลก็ยกมือยอมแพ้ หากไม่วายดัดหลังเจ้าตัวแสบ โดยการขอให้เฟรินเป็นตัวแทนไปประชุมประจำเดือนกับบรรดาหัวหน้าชั้นปีอื่นๆ หลังอาหารค่ำ
แน่นอน เจ้าตัวป่วนบ่นกระปอดกระแปดยกใหญ่พลางต่อรองขอให้คาโลเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น ก่อนจะได้สายตาเย็นเฉียบเป็นสิ่งตอบแทน จึงตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ หากสุดท้ายดันลืมเสียสนิท
ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษเจ้าขอทานนั่นล่ะ
หากเฟรินก็เกรงว่าขืนบอกความจริงไปว่าลืมเพราะมัวแต่เล่นหมากรุกกับโร มิวายเขาคงต้องกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งเป็นแน่ ตอนนี้จึงได้แต่นั่งสงบปากสงบคำ ทำคอตกอยู่กลางห้องพักต่อหน้าคาโล ที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ขอบเตียง
นั่งเงียบกันอยู่เป็นนาน กระทั่งคนเป็นเจ้าชายถอนหายใจแรงๆ
"ขอโทษ" เจ้าตัวยุ่งรีบเอ่ยเสียงอ่อย ในขณะที่คาโลมองหัวขโมยที่ก้มหน้างุดแล้วก็คล้ายจะโกรธไม่ลง ก่อนได้แต่นึกขันพลางบ่นในใจว่าพักหลังนี้เขาชักจะใจอ่อนกับเจ้าตัวยุ่งนี่บ่อยไปแล้ว
"เอาเถอะ ถือว่าแล้วกันไป ส่วนประชุมน่ะข้าไปมาแล้ว"
ดวงหน้าหงอยๆ เมื่อครู่พลันหน้าชื่นขึ้นมาทันที หากประโยคถัดมาที่คาโลเอ่ยหน้าตายกลับทำให้หัวขโมยหุบยิ้มเกือบไม่ทัน
"แต่เท่ากับ เจ้ายังติดค้างข้าอยู่หนหนึ่ง"
มองดวงตาคู่สวยนั่นแล้ว เฟรินก็ชักไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือคิดผิด
-------
หัวขโมยคิดว่าโชคร้ายของเขาจะจบเพียงแค่นั้น แต่เหมือนเฟรินจะคิดผิด
เพราะเมื่อถึงวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันที่เด็กหนุ่มตกลงกับขอทานที่แพ้พนันหมากรุกด้วยมื้ออาหารมื้อใหญ่ เฟรินกลับได้รับจดหมายฉบับหนึ่งในตอนเช้า
และทันทีที่อ่านจบ หัวขโมยได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกระทั่งคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำร้องทัก ก่อนจะคว้าจดหมายในมือเฟรินไปอ่าน และยิ่งโวยวายเมื่อเจ้าตัวยุ่งหมายเลขสองอ่านจบ
"ทำไมมีแต่เจ้าที่ถูกท้าประลองล่ะ!?!!"
ดังนั้น แทนที่เฟรินจะได้เพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศในตัวเมืองแบบไม่ต้องจ่ายเงินสักคราวน์ หัวขโมยกลับต้องมายืนทำหน้าเมื่อยอยู่กลางลานประลอง ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนทั้งของป้อมอัศวิน ปราสาทขุนนาง ปราการปราชญ์ หรือแม้แต่แผ่นดินประชาชนเกือบทุกชั้นปี
คู่ประลองของหัวขโมยกำมะลอ เป็นเด็กหนุ่มผิวสีทองแดงร่างสูงใหญ่ แม้จะไม่ล่ำสันเท่านักรบตาเดียวจากไนล์ หากเมื่อยืนเทียบกันกับหัวขโมยก็นับว่าตัวใหญ่กว่ามาก
ท่ามกลางแดดร้อนระอุในยามสาย เฟรินหรี่ตามองพลางนึกว่าในจดหมายบอกว่าคู่ประลองของเขาชื่อ...ชื่ออะไรนะ
"คริสโต เอเดรียน นักดาบแห่งเอเธนส์ เจ้านี่ใช้ฉายานักดาบก็จริง แต่ก็เป็นหนึ่งในองครักษ์ของเจ้าหญิงเอฟีน่า ฝีมือคงพอตัวล่ะน่า" เสียงของเจ้าหอสมุดเคลื่อนที่ดังมาจากตรงไหนสักแห่งให้หัวขโมยพอได้เหลียวหน้าเหลียวหลัง ครั้นมองหาเจอ เฟรินจึงได้เห็นว่าเพื่อนร่วมก๊วนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาทีเดียว
แต่ไม่ยักเห็นเจ้าก้อนน้ำแข็งเดินได้แฮะ เฟรินคิดพลางโบกมือหยอยๆ อย่างเกียจคร้านให้เพื่อนที่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างเวที และท่ามกลางเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ เฟรินสาบานว่าเขายังได้ยินเสียงคิลมัสบ่นดังลั่นว่า เหตุใดไม่มีใครท้าประลองมันบ้าง
ถ้าแลกกันได้ก็ดีสิ เพื่อนเอ๋ย...
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ค่อยเบาลงไปบ้างเมื่อร่างสูงของเสนาธิการฝ่ายซ้ายพร้อมผู้คุมกฏอีกสองคนปรากฏกายขึ้น
ชิวาส เดเบส และโซมาเนีย มิสทรัล
ชิวาสพยักหน้าน้อยๆ ก่อนก้าวขึ้นไปบนเวทีหิน ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยก่อนประกาศด้วยเสียงดังกังวาล
"การประลองชิงตำแหน่งหัวหน้าชั้นปีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 67 และเสนาธิการฝ่ายซ้าย เจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ดแห่งเจมิไนเป็นกรรมการตัดสิน กติกามีเพียงข้อเดียว คือ ผู้ใดทำให้อีกฝ่ายยอมแพ้หรือตกเวทีไปก่อน เป็นฝ่ายชนะ ทั้งสองฝ่ายเข้าใจหรือไม่"
เด็กหนุ่มจากเอเธนส์ขานรับเสียงดัง ในขณะที่หัวขโมยพยักหน้าเนือยๆ กิริยาไร้ความกระตือรือล้นของหัวหน้าชั้นปีคนปัจจุบันทำให้ชิวาสรู้สึกแปลกใจนิดๆ หากชายหนุ่มปัดความรู้สึกนั้นทิ้ง และให้สัญญาณโซมาเนีย
หญิงสาวเรียกคทาออกมาและเริ่มร่ายคาถา กำแพงเวทย์ค่อยๆ ก่อตัวจากขอบข้างเวที ก่อนจะบรรจบเข้าหากันกลายเป็นรูปโดมในที่สุด
"เอาล่ะ ทั้งสองคน พร้อมแล้วยัง"
เฟรินพยักหน้าอีกครั้ง รู้สึกนิดๆ ว่าเขาชักจะพยักหน้าบ่อยไปแล้ว ในขณะที่คริสโตเรียกดาบของเขาออกมาถือในท่าเตรียมพร้อม
"งั้นก็เริ่มได้"
สิ้นเสียงชายหนุ่ม คริสโต เอเดรียนก็พุ่งเข้าใส่หัวขโมยทันที ดาบในมือเด็กหนุ่มตวัดใส่ร่างโปร่งตรงหน้า หากหัวขโมยหมุนตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดไปด้านซ้าย
นักดาบจากเอเธนส์สลับดาบจากมือขวาไปมือซ้ายก่อนตวัดตามร่างหัวขโมยอย่างรวดเร็ว คมดาบตวัดผ่านใบหน้าของหัวขโมยที่แหงนหน้าหลบคมดาบชนิดห่างเพียงปลายเส้นผมนิดเดียว เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมรอบข้างได้เป็นอย่างดี หลายคนชื่นชมท่วงท่าเพลงดาบของนักดาบร่างสูงหากคล่องแคล่ว อีกหลายคนตื่นตะลึงกับความเร็วของหัวขโมยที่สามารถหลบคมดาบของคริสโตได้อย่างฉิวเฉียด
"เจ้าตัวยุ่งนั่นวางแผนอะไรอยู่" คาโลที่เพิ่งมาถึงลานประลองถามขึ้น ดวงตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องหัวขโมยที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หากยังไม่มีวี่แววที่จะเรียกอาวุธตนออกมาเสียที หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยยามแว่วเสียงพนันขันต่อของเพื่อนร่วมป้อม
"เจ้านั่นคงกะจะหลอกให้ไล่จนหมดแรงก่อนกระมัง แล้วค่อยจัดการทีเดียว" นักฆ่าตอบ ขณะรับเศษกระดาษยับยู่ยี่มาเขียนชื่อ เจ้าของดวงตาสีม่วงเหลือบมองคนข้างตัว ทำท่าพยักเพยิดคล้ายชักชวน หากคนเป็นเจ้าชายกลับมองตาขุ่น
คิลมัสเห็นแล้วถือเป็นสัญญาณว่าเพื่อนร่วมห้องไม่เอาด้วย จึงขยุ้มกระดาษแผ่นนั้นและส่งคืนคนต้นคิดอย่างรวดเร็ว
"พวกเจ้า"
"เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ก็จบ" พูดจบตัวป่วนหมายเลขสองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
"เฮ้ คิลมัส ไหนว่ามันไม่อยากเป็นไม่ใช่รึหัวหน้าชั้นปี ข้ายังนึกว่าหากโดนท้าประลอง เฟรินมันคงยอมแพ้ยกตำแหน่งให้ไปเฉยๆ" นิกส์ พรินซ์วิลถามขึ้น เจ้านักฆ่ายิ้มก่อนตอบ
"ตอนแรกมันก็จะทำอย่างนั้นล่ะ แต่พอเจ้าขอทานบอกว่าหากเสียตำแหน่งต้องยกห้องให้คนใหม่ด้วย มันบอกว่า ห้องนี้นอนจนชินแล้ว ให้ย้ายห้องสู้มันยอมเป็นต่อดีกว่า อีกอย่ะ-"
"เจ้านักฆ่าปากเปราะ อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังนินทานะ" เสียงหัวขโมยตวาดลั่น ขณะกระโดดตีลังกาหลบดาบที่ฟาดฟันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
"เจ้าตัวแสบ ตั้งใจประลองไปเถอะน่ะ อย่าแพ้ให้เสียชื่อมาถึงท่านคิลมัสคนนี้แล้วกัน"
ข้างนักดาบหนุ่มแห่งเอเธนส์ เห็นหัวขโมยตะโกนเถียงกับเพื่อนไปหลบดาบของเขาไป ชวนเกิดบันดาลโทสะ ดาบที่ฟาดฟันจึงยิ่งรุนแรงตามอารมณ์แต่ขาดไหวพริบจนอ่านทางดาบได้อย่างง่ายดาย หัวขโมยจึงไม่ต้องออกแรงมาก เพียงเบี่ยงกายให้พ้นวิถีดาบ รอจังหวะที่เด็กหนุ่มเปิดช่องโหว่ก่อนหมุนตัวตวัดเท้าเตะเข้าข้างลำตัวเต็มแรง
ร่างของคริสโต เอเดรียน กระเด็นไปตามแรงเตะของหัวขโมยจนเกือบตกเวทีแต่เจ้าตัวใช้ดาบรั้งไว้ทัน
ร่างสูงของนักดาบมองหัวขโมยอย่างตกตะลึง ในเสี้ยวนาทีสุดท้าย นักดาบหนุ่มจากเอเธนส์เหลือบตาทันมองเห็นลูกเตะของหัวขโมย จึงยกแขนขึ้นกันได้ทันพอดี แต่พิเคราะห์ดูจากแรงกระแทกที่ทำเอารู้สึกชาไปทั้งแขน หากโดนเข้าจังๆ เขาอาจจะพ่ายแพ้ไปแล้วก็ได้
เห็นร่างผอมๆ เช่นนั้น ไม่นึกว่าเรี่ยวแรงจะเยอะเพียงนี้
หัวใจนักดาบพลันเต้นแรงขึ้น ดวงตาสีทองเต้นระริกด้วยความตื่นเต้น
เห็นทีไม่ทุ่มเต็มแรงไม่ได้แล้ว!
------
เสนาธิการฝ่ายซ้ายมองภาพการต่อสู้ด้วยความพึงใจ มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
"เด็กปีหนึ่งปีนี้ น่าสนใจอย่างที่ท่านว่าจริงๆ ท่านอาจารย์เลโมธี"
------
ความคิดเห็น