ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #17 : Treachery Phantom

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.67K
      5
      7 ก.ย. 65


    Treachery Phantom











    เสียงหัวเราะแหบแห้งนั่นคล้ายจะดังขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ว่าจะหันไปทางใด เฟรินก็พบเพียงแต่กลุ่มควันหนาทึบจนมองเห็นแค่เพียงปลายจมูก 

    ทว่าหากเผลอตัวเพียงนิด ร่างสูงใหญ่ของคริสโต เอเดรียนก็จะปรากฏตัวออกมาโจมตีใส่ ก่อนจะหายตัวไปในกลุ่มควันราวกับภูตผี

    หัวขโมยเริ่มหอบหายใจถี่ บาดแผลทั่วร่างแม้ไม่ใช่แผลฉกรรจ์หากโลหิตที่ไหลซึมไม่หยุดสูบแรงกายหายไปกว่าครึ่ง 

    ที่แย่กว่าคือสภาพที่คล้ายแขนขาถูกตรึงไร้ทางโต้กลับเช่นนี้ทำให้จิตของเฟรินขุ่นมัว ความเฉียบคมจึงยิ่งลดลง

    โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนั่น...

    "...คิดจะซ่อนตัวไปถึงไหนกัน เจ้าหนูสกปรกขี้ขลาด!!" เฟรินเค้นเสียงลอดไรฟัน ความอดทนคล้ายใกล้ถึงจุดสิ้นสุด

    "...ซ่อนตัว...เจ้ากำลังหมายถึงตัวเจ้าเองน่ะหรือ ธิดาแห่งความมืด" ในที่สุด เจ้าของเสียงหัวเราะก็ตอบ หากคำพูดของมันทำเอาเฟรินชะงักค้าง 

    "ใช่แล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นใคร ...เจ้าอาจใช้มนต์มายาหลอกมนุษย์ได้ทั้งเอเดน แต่เจ้าหลอกข้า หลอกปีศาจด้วยกันไม่ได้หรอก" เสียงลึกลับนั้นกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่กลับทำให้เฟรินรู้สึกเย็นยะเยือกราวถูกโยนลงไปในธารน้ำแข็ง

    ...เป็นเดมอส

     สองมือที่กุมด้ามดาบกำแน่น ขณะร่างสูงของนักดาบพุ่งออกมาจากกลุ่มควันพร้อมตวัดดาบในมือเข้าใส่อีกครั้ง เฟรินยกผ่าปฐพีขึ้นรับ แรงปะทะรุนแรงจนเกิดประกายไฟยามคมดาบกระทบกัน ในขณะเดียวกันดวงตาสีน้ำตาลก็ลอบสังเกตเด็กหนุ่ม

    ความรู้สึกหนักหน่วงในใจยิ่งกดทับเมื่อพบว่านักดาบจากไนล์ผู้นี้ยังไม่มีวี่แววจะได้สติกลับมา แม้ทั่วร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผลไม่น้อยไปกว่าหัวขโมย โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างซึ่งเห็นได้ชัดว่าหักจนผิดรูป แต่กลับยังควงดาบฟาดฟันกับเขาได้ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวด

    "เจ้าทำอะไรกับเอเดนผู้นี้" เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นชนเดมอสเช่นกัน เฟรินก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเสแสร้งเป็นคนอื่น หัวขโมยกำมะลอจึงเลือกจะถามตรงๆ 

    "เจ้าเป็นถึงทายาทของเอวิเดสผู้นั้น จะเดาไม่ออกเชียวหรือ"

    "ให้ตายสิ!" เฟรินกัดฟันกรอดขณะก้มหลบการโจมตีถัดมาของนักดาบ

    "อา เจ้าเดาได้แต่แรกแล้วสินะ" เสียงนั้นหัวเราะคิกคักราวกับเรื่องถูกใจนักหนา

    "หุบปาก! เจ้าหนูโสโครก!" เฟรินตวาด สมองวิ่งวนเร็วรี่ ขณะยกดาบขึ้นรับดาบของนักดาบแห่งเอเธนส์ที่โจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง หัวขโมยพยายามเต็มที่ที่จะไม่ปะทะกับเด็กหนุ่มตรงหน้าตนงๆ เพื่อลดความบอบช้ำ แต่ก็ดูเหมือนทำได้ยากขึ้นทุกทีเพราะอาการบาดเจ็บของเขาเองที่ทำให้ร่างกายขยับได้เชื่องช้าลงมากในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกลับขยับรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ

    "ทำไมไม่ใช้เวทมนตร์ที่ถนัดล่ะ เด็กน้อย ข้าได้ยินเสียงร่ำลือไม่น้อยถึงมนตราความมืดที่ทรงพลังของเจ้า 

    เอ หรือว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ใช้ หากแต่ใช้ไม่ได้กันแน่"

    เสียงลึกลับยังคงส่งเสียงยียวน หากเฟรินพยายามไม่สนใจ และตั้งสมาธิกับเด็กหนุ่มตรงหน้า กระทั่งจังหวะหนึ่งคริสโตเงื้อดาบสูงก่อนฟันลงมาเต็มแรง หากเฟรินเบี่ยงกายหลบทัน ดาบของเด็กหนุ่มจากเอเธนส์จึงฟันถูกพื้นและติดอยู่ในเนื้อหินของลานประลองแทน

    หัวขโมยกำมะลอไม่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดมือ ร่างโปร่งพุ่งตรงเข้าประชิดก่อนหมุนตัวฟาดสันดาบเข้ากลางลำตัวของคริสโตเต็มแรง จนร่างสูงของนักดาบกระเด็นออกไป

    เฟรินได้แต่หวังว่านั่นจะพอซื้อเวลาให้เขาได้พักหายใจสักครู่



    -------



    "ยังไม่ได้อีกหรือ โรเวน!"  เจ้าชายโรเวน ฮาร์เวิร์ดคงไม่รู้สึกประหลาดใจมากนัก หากน้ำเสียงร้อนรนนั่นจะไม่ได้ออกมาจากปากของคนสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้เห็นอาการร้อนรนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

    ลูคัส ซาโดเรีย

    เจ้าชายแห่งเจมิไนเคยคิดด้วยซ้ำว่า ต่อให้วันนี้เอดินเบิร์กถูกกองทัพจากเดมอสล้อมเอาไว้ ชายอย่างผู้วิเศษจากทริสทอร์คนนี้ก็คงจะแค่หัวเราะ และออกไปรบกับเหล่าปีศาจอย่างสนุกสนาน

    กว่าเจ้าชายหนุ่มจะเข้าใจเหตุผลจริงๆ ก็อีกหลายปีให้หลัง 

    ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินรีบปัดข้อสงสัยไร้สาระอื่นใดทิ้ง ก่อนทุ่มสมาธิให้กับการจัดการข่ายมนต์ประหลาด

    "ดูเหมือนข่ายมนต์ที่แทรกแซงม่านพลังของโซมาเนียจะไม่ใช่มนต์ที่ใช้กันในเอเดน ที่สำคัญ เจ้าข่ายมนต์ประหลาดนี่ดูเหมือนจะดูดกลืนพลังเวทย์อื่นได้" 

    "เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะโรเวน นั่นมันเวทย์พิสดารอะไร" ลอเรนซ์ ดอว์นที่เพิ่งกลับมาจากการต้อนนักเรียนกลับหอพักพร้อมกับชิวาสถามด้วยน้ำเสียงประหลาด

    "ข้าคิดว่าเรากำลังเผชิญกับมนตร์ดำของปีศาจ" ประโยคนั้นของเสธฯ หนุ่มคล้ายมนต์สะกดที่ทำให้คนอื่นชะงักนิ่ง

     "ข้าจะไปตามท่านเลโมธี" พรานป่าแห่งเอเธนส์โพล่งออกมา หากเสนาธิการฝ่ายซ้ายกลับส่ายหน้า

    "มหาปราชญ์เดินทางไปสกอร์ปิโอเมื่อเช้านี้ ส่วนอาจารย์ท่านอื่นต่างมีภารกิจต่างแคว้น...ตอนนี้มีแต่พวกเรา"

    "ไม่น่าเชื่อ..." โซมาเนียคราง สีหน้าประดับไปด้วยความกังวล

    "ใช่ จังหวะพอเหมาะพอเจาะเกินไปหน่อยนะ พวกเจ้าว่าไหม" ชายหนุ่มจากเจมิไนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเครียด 

    ชายหนุ่มเร่งพลังเวทย์จนคทาในมือของเขาส่องแสงสีฟ้าอมม่วงสว่างจ้า ทว่าข่ายมนต์ตรงหน้ากลับตอบสนองด้วยการเปล่งแสงสีแดงจ้าไม่แพ้กันโดยไม่มีทีท่าจะหายไปและเริ่มดูดกลืนเวทย์ที่โรเวนใช้ออกไป 

    สุดท้ายเป็นเจ้าชายจากเจมิไนที่ยอมแพ้ก่อน ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

    "แถมเราไม่รู้ว่าสองคนนั่นเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ แต่ข้ามีสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่"

    "ลูคัส เจ้าลองใช้พลังของเจ้าดูรึยัง" โซมาเนียถามขึ้น หากเสียงปะทะที่ดังขึ้นพร้อมประกายสีแดงที่สว่างวาบไม่ต่างจากเมื่อครู่ ตามด้วยเสียงสบถลั่นของลูคัสดูเหมือนจะแทนคำตอบได้ดีกว่า

    "ดาบผ่ามิติของท่านล่ะโรเวน" ชิวาสเสนอขึ้นมา หากเจ้าของดาบกลับส่ายหน้า

    "ข้ามองไม่เห็นภายใน ซ้ำข่ายมนต์นี่แปลกประหลาดเกินไปอย่างที่เจ้าเห็น ข้าไม่คิดว่าเราควรเสี่ยง"

    "แต่จะรอจนท่านเลโมธีกลับมาคงไม่ได้ เฮ้ เจ้าสามคนนั่นจะทำอะไร" ลอเรนซ์เอ่ยขึ้น โรเวนละสายตาจากข่ายมนต์ตรงหน้ามองตามมือนักบวชหนุ่มไป ชายหนุ่มเขม้นมองก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นมา

    "ดูเหมือนเราพอจะมีทางแล้วล่ะ"



    ------


    "นั่นไม่เลวเลย แต่เจ้าน่าจะรู้ดีว่าแค่นั้นหยุดตุ๊กตามนุษย์ไม่ได้ ธิดาแห่งความมืด" เสียงลึกลับนั่นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงของนักดาบที่ผุดลุกขึ้นยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    "...เจ้าหนูชั่วร้ายสกปรก" ใช่ เฟรินรู้ดีทีเดียว

    คริสโต เอเดรียนในยามนี้ไม่คล้ายนักดาบหนุ่มที่ประลองกับเขา หากเป็นเพียงตุ๊กตามนุษย์ที่ถูกชักเชิดด้วยมนต์ดำที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เฟรินรู้จัก

    เดิมมันเป็นมนต์ที่ใช้ควบคุมซากศพเพื่อนำมาสู้ในสงคราม หากต่อมามีผู้นำไปใช้กับคนที่ยังมีชีวิตซึ่งผลปรากฏว่าตุ๊กตามนุษย์เหล่านั้นทรงพลังยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังไม่รู้สึกเจ็บปวด เป็นสุดยอดพลรบที่น่าครั่นคร้ามที่สุดในแผ่นดินดำ

    และเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวด การจะหยุดการเคลื่อนไหวของตุ๊กตามนุษย์ที่ว่า ทำได้เพียงการสังหารด้วยการตัดศีรษะเท่านั้น

    สุดท้าย เพราะทรงพลังเกินไป และชั่วร้ายเกินไป จ้าวปีศาจจึงสั่งห้ามและสั่งให้ทำลายบันทึกทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง

    "เจ้าใจอ่อนกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะทีเดียว รึจะเป็นเพราะสายเลือดเอเดนอ่อนแอในตัวเจ้ากันนะ"

    "หุบปาก!!!" หัวขโมยกำมะลอตวาดดังลั่น ผ่าปฐพีถูกเงื้อสูงอีกครั้ง คราวนี้คมดาบเปล่งแสงสว่างยิ่งกว่าครั้งใด ก่อนที่เฟรินจะพลิกคมลง และแทงลงพื้นโดยแรง พริบตานั้นก็เกิดแสงสว่างจ้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดกัมปนาถสนั่น

    แรงระเบิดพัดเอากลุ่มควันกระจายตัวออกไปอีกครั้ง และทำให้เกิดหลุมใหญ่กลางเวที 

    กลางหลุมนั้น ร่างโปร่งของเฟรินยืนโงนเงนกระทั่งต้องยึดเอาผ่าปฐพีค้ำยันต่างไม้เท้า  หากต้องชะงักเมื่อพบว่าทั้งม่านพลังและม่านควันยังอยู่ดี

    ซ้ำร้าย เฟรินยังพบว่าร่างสะบักสะบอมของคริสโต เอเดรียนยังผุดลุกขึ้นมาได้อีก

    "ช่างเป็นความพยายามที่เสียเปล่า แทนที่เจ้าจะทุ่มพลังทำเรื่องไร้ประโยชน์ เจ้าควรจะเด็ดหัวตุ๊กตานั่นต่างหาก ทายาทแห่งเกรเดเวล" เสียงลึกลับนั่นกล่าวเยาะเย้ย 

    "อ่อนหัดเหลือเกิน เพราะอ่อนแอเช่นนี้สินะ เอวิเดสจึงได้ทอดทิ้งเจ้า" ถ้อยคำนั้นช่างเสียดแทงจนเฟรินถึงกับลืมตัว หัวขโมยฟาดดาบใส่หมอกสะเปะสะปะ

    "!!" 

    "เจ้าไม่คู่ควรกับบัลลังค์ทมิฬแม้แต่น้อย"

    "หุบปาก!!!"

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

    "ข้าบอกให้หะ- !!!" เสียงโลหะชำแรกเนื้อดังแทรกเสียงตะโกนที่ขาดหายของหัวขโมย ความรู้สึกเสียวแปลบเกิดขึ้นที่ไหล่ซ้ายก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกร้อนระอุราวมีกองเพลิงปะทุออกมาจากร่าง

    เมื่อเฟรินก้มลงมองก็พบว่าดาบในมือของเอเดรียนได้ดื่มลึกเข้าไปในร่างของเขาเสียแล้ว!

    "อั่ก" เฟรินรู้สึกมือไม้อ่อนแรงกระทั่งไม่สามารถประคองดาบในมือได้ ผ่าปฐพีหลุดร่วงจากมือกระทบกับพื้น ส่วนนักดาบแห่งเอเธนส์ หลังจากโจมตีสำเร็จก็ร่วงลงไปกองกับพื้นไม่ไหวติง ราวตุ๊กตาชักที่สายเชิดขาด

    ความเจ็บปวดรุนแรงเสียดแทงขึ้นมาเป็นระลอกกระทั่งเฟรินไม่อาจประคองร่างให้ยืนอยู่ได้ ค่อยทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ในคอเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตและรสโลหะคละคลุ้ง พลันภาพเบื้องหน้ากลับพร่ามัว สั่นไหว และก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป สำเหนียกสุดท้ายที่รับรู้คือเสียงเหี้ยมเกรียมแหบแห้งนั้น

    "ไปชดใช้ความอ่อนหัดของเจ้าในโลกหน้าเถิด เฟลิโอน่า เกรเดเวล"


    ---------


    เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังแทรกเข้ามาในโลกอันมืดมัวและรางเลือนของเธอคล้ายจะปลุกให้ตื่นจากความฝันอันสับสนวุ่นวาย

    วูบหนึ่ง เฟลิโอน่ารู้สึกร้อนราวถูกเปลวไฟแผดเผา ความร้อนนั้นกัดกินจากบริเวณไหล่ซ้ายไล่เรียงลงมาถึงเกือบกลางอก หากอีกวูบหนึ่งกลับรู้สึกหนาวสั่นราวกับตอนที่เธอหลงอยู่ในสโนว์แลนด์เมื่อครั้งยังเด็ก

    แปลกนัก อยู่ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนยังเล็ก เธอเคยไปที่สโนว์แลนด์กับบิดา

    ทว่าความเจ็บปวดรุนแรงที่แทรกขึ้นมากลับฉุดกระชากสติของเธอให้ล่องลอยออกไปอีกครั้ง ก่อนภาพความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าจะถูกฉายซ้ำไปมาปนเปไปกับความรู้สึกหนาวเย็นและร้อนระอุ  ก่อนที่สุดท้ายจะถูกแรงดึงดูดดึงสติทั้งมวลให้จมสู่ความมืดมิด

    หากก่อนจะจมดิ่งไปในความมืดมิดนั่นเอง สัมปชัญญะที่เหลือดึงภาพหนึ่งให้ผุดขึ้นมาในความทรงจำ 

    ...ดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

    มันเป็นสีเดียวกับสีของท้องฟ้ายามคิมหันต์ 


    ------


    หญิงชราหยุดมือที่กำลังสาละวนกับการเตรียมอาหารเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงดาบกระทบกันดังเปรื่องปร่างและเสียงระเบิดตูมตามที่ดังแว่วพ้นกำแพงปราสาทเอดินเบิร์กมาเป็นระยะเพียงครู่ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ หากใบหน้าอวบอูมของนางกลับเจือไปด้วยรอยยิ้ม 

    ...เอาอีกแล้วสินะ เจ้าเด็กเลือดร้อนพวกนี้

    นางอาศัยอยู่ที่เอดินเบิร์กนี้มานานพอที่จะรู้ถึงนิสัยใจคอของบรรดาหนุ่มสาวที่เข้ามาอยู่ในปราการหลังกำแพงนี้ แม้สมัยเมื่อตอนเข้ามาเปิดร้านใหม่ๆ จะอดอกสั่นขวัญแขวนกับเสียงโห่ร้อง เสียงระเบิด เสียงประดาบที่แว่วออกมาแทบจะวันเว้นวันไม่ได้ตามประสาชาวบ้านร้านตลาดธรรมดา แต่นานวันเข้าก็ชินไปเอง

    แต่แล้วหูของนางที่ยังไม่ตึงไปตามวัยก็ได้ยินเสียงที่ผิดแผกไปจากเดิม

    มันเป็นเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จำนวนมาก และเสียงคล้ายโลหะทึบๆ กระทบกัน และเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ

    ด้วยความสงสัย หญิงชราวางสิ่งที่กำลังทำ ก่อนจะพาร่างอ้วนท้วนของนางไปชะเง้อชะแง้ พยายามเพ่งมองลอดบานประตูใหญ่โตเข้าไปด้านใน ทันเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากในชุดเกราะเต็มยศเดินหายลับไป

    มืออวบอ้วนของหญิงชราเผลอขยุ้มผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวไว้จนยับย่นไม่รู้ตัว สัญชาตญาณและประสบการณ์หลายปีในแดนอื่นบอกนางว่า มีเหตุการณ์ไม่ดีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในเอดินเบิร์ก



    ------


    "...อาการนางเป็นเช่นไรบ้าง" 

    "ยังไม่คืนสติ แต่ก็ปลอดภัยแล้ว โชคดีที่พวกเขาคลายข่ายเวทย์ได้ทัน" 

    "เจ้าบอกว่าข่ายเวทย์นั่นกลืนกินเวทย์อื่นเและเติบโตได้ราวกับมีชีวิต"

    "เป็นเช่นนั้น"

    "..."

    "เอวิเดส?" 

    "รบกวนเจ้าแล้ว เลโมธี ครั้งนี้ถือว่าเดมอสติดค้างเอดินเบิร์กหนึ่งครั้ง" 

    "มิได้ นี่ถือเป็นความบกพร่องที่เอดินเบิร์กไม่อาจคุ้มครองนักเรียนในความดูแลได้ น่าละอายนัก"

    "...งั้นก็ตามแต่เจ้า แล้วข้าจะติดต่อไปใหม่"  สิ้นคำสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ของเอวิเดสก็เลือนหายราวกับควัน เหลือเพียงชายสองคนยืนอยู่ด้วยกัน หนึ่งนั้นคือจอมปราชญ์แห่งเอเดน อีกหนึ่งคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักเรียนเอดินเบิร์ก 

    ลูคัส ซาโดเรีย หรือลูคัส เกรเดเวล ท่านชายแห่งนครจันทรา

    "ท่านควรจะรับความปรารถนาดีของท่านจ้าวไม่ใช่หรือ โอกาสที่จะเป็นเจ้าหนี้บุญคุณแดนคนบาปไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ" เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ หากมหาปราชญ์รู้ดีว่าภายในของชายหนุ่มไม่ได้สงบอย่างที่เจ้าตัวกำลังแสดงออก

    "โอกาสเป็นของคนที่ต้องการและพร้อมจะไขว่คว้า ท่านชาย ซึ่งท่านรู้ดีว่าเอดินเบิร์กไม่ได้หวังไขว่คว้าสิ่งใด" เลโมธีตอบชายหนุ่มอย่างใจเย็น หากชายหนุ่มทำเสียงในลำคอบางอย่าง ที่ฟังคล้ายคำว่า 'จิ้งจอกเฒ่า' ซึ่งทำให้มหาปราชญ์ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ

    ชายชราทรุดกายลงนั่งบนโซฟากลางห้อง พลางผายมือให้อีกฝ่ายทรุดตัวนั่งตาม คทายาวในมือถูกวางพิงไว้กับพนัก และเพียงการโบกมือครั้งเดียว กาน้ำชาที่บรรจุชาร้อนๆ ก็ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม

    เลโมธีบรรจงรินของเหลวในกาลงในถ้วยใบเล็กช้าๆ ก่อนส่งให้ลูคัสที่รับไปจิบเพียงสองสามอึก ก่อนจะประคองมันไว้ในมือ ปล่อยไออุ่นให้ซึมซาบไปตามเรียวนิ้วที่เยียบเย็น ดวงตาสีเดียวกับราตรีจับจ้องเพียงของเหลวสีอำพัน ขณะชายต่างวัยทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครองพื้นที่ในห้อง

    สุดท้าย เป็นชายหนุ่มจากแดนคนบาปที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาใหม่

    "...เจ้าชายคาโนวาลผู้นั้น แท้จริงเป็นใครกันแน่ ปราชญ์เลโมธี"


    -------



    ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบถี่ๆ พลางจ้องมองเพดานที่ไม่คุ้นเคยและพร่ามัว คล้ายสมองของหัวขโมยยังคงมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก หูได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ก่อนใบหน้าหวานของเด็กสาวจะโผล่เข้ามาในคลองสายตา

    "เฟริน เจ้าฟื้นแล้ว" เสียงหวานใสเต็มไปด้วยความยินดีไม่ต่างจากประกายในดวงตาสีฟ้า 

    "แอง..จี้?" เสียงของคนบนเตียงแหบแห้งเสียจนเจ้าตัวยังไม่แน่ใจ เฟรินผุดลุกขึ้นนั่งก่อนความรู้สึกเสียวแปลบปนหน่วงที่ไหล่ซ้ายแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ หัวขโมยกำมะลอลอบสำรวจร่างกายตนเอง...ใจหวิวไปนิดเมื่อสังเกตว่าตนเองอยู่ในชุดใหม่ 

    เฟรินขยับแขนซ้ายช้าๆ อีกครั้ง ค่อนข้างแน่ใจว่าบาดแผลที่ได้รับคงมีคนใช้เวทมนตร์รักษาจนแผลสมานแล้วแม้จะมองไม่เห็นแผลเนื่องจากผ้าพันแผลที่พันจนเต็มแขน หากความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ทำให้อดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้า

    "ยังรู้สึกเจ็บอยู่เหรอ ให้ข้าไปตามผู้เยียวยาไหม" สาวน้อยจากวิทช์ถามพลางส่งแก้วที่บรรจุน้ำไว้เต็มให้คนเพิ่งฟื้นได้จิบ ท่าทางกระวีกระวาดเป็นห่วงเป็นใยทำให้นางดูแปลกตาไปสักนิดสำหรับเฟริน

    เพราะปกติ แองเจลีน่า โรมานอฟ ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาของเฟริน เดอเบอร์โรว์ เจ้าตัวแสบแห่งป้อมอัศวิน เรียกได้ว่าเจอกันที่ไหนเป็นต้องมีเรื่องกันที่นั่นจนหลายครั้งเฟรินคิดว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนี้อาจไม่ชอบเขาด้วยซ้ำ

    หากเฟรินรีบปัดความหลากใจนั่นทิ้งไป พลางส่ายหน้าปฏิเสธ แม้นั่นจะทำให้เขารู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย

    "เจ้าแน่ใจนะ" เฟรินพยักหน้าน้อยๆ ก่อนถาม

    "ที่นี่.."

    "หออภิบาล พวกรุ่นพี่สี่ผู้คุมกฏเป็นคนพาเจ้ามา ส่วนตอนนี้พวกเขากับสิบสองขุนพลกำลังสืบสวนกันอยู่" เด็กสาวเอ่ย...พยายามยิ่งจะไม่ซักไซร้อะไรจากคนป่วย แม้อยากรู้ใจจะขาด 

    หัวขโมยหลับตาลง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนถาม

    "แล้วข้า..หลับไปนานเท่าไหร่"

    "สามวัน ข้าได้ยินว่าแผลเจ้าลึกเอาเรื่องขนาดที่บรรดาผู้เยียวยาพูดกันว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาคมประคองชีวิตของรุ่นพี่โซมาเนีย เจ้าคงได้ข้ามสะพานไปภพหน้าแล้วล่ะ" 

    "...แล้ว เจ้านั่นล่ะ...นักดาบน่ะ"

    "เจ้าหมายถึงเอเดรียน? โชคร้ายที่เขายังไม่ฟื้น และดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากด้วย เหมือนพวกอาจารย์กำลังกลุ้มใจ อ้อ พ่อของเอเดรียนมาถึงแล้ว ได้ยินว่ากำลังคุยกับท่านเลโมธี"

    เฟรินรับฟังเสียงเจื้อยแจ้วด้วยท่าทีนิ่งเฉยจนสาวน้อยจากวิทช์เริ่มแปลกใจกับความเงียบผิดวิสัยหัวขโมย

    ...อาจเพราะเพิ่งฟื้นกระมัง เด็กสาวบอกกับตัวเอง

    "ว่าแต่ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ แองจี้" ร่างบางของเด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามนั้น

    "ทำไม..อะ อ่อ เพราะ เอ่อ..เพราะ เพราะ! มิสแรมเซิลฝากให้คนมาดูเจ้าน่ะ แล้วบังเอิญข้าว่างพอดี! อย่าเข้าใจผิดล่ะ!" ละล่ำละลักตอบออกไปแล้วก็ได้แต่เสมองไปทางอื่น

    เฟรินเลิกคิ้วน้อยๆ ให้กับปฏิกิริยานั้น พลางนึกในใจ แองเจลีน่า โรมานอฟ ช่างเป็นเด็กสาวที่เข้าใจยากเสียจริง


    -----


    สุดท้ายเฟรินก็ยังต้องพักในหออภิบาลอีกหนึ่งคืน แม้หัวขโมยจะเพียรบอกหญิงวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวสักเท่าไหร่ก็ดูจะไม่สามารถเปลี่ยนใจให้นางยอมปล่อยเฟรินกลับห้องพักที่ป้อมอัศวินได้

    "ในหออภิบาลนี้ คำสั่งของผู้เยียวยาคือที่สุด" นางประกาศกร้าวพลางส่งสายตาเฉียบขาดไล่หลังเด็กสาวที่กำลังอิดเอื้อนน้อยๆ ไม่ยอมออกจากห้องเสียทีแม้นางจะบอกชัดว่าหมดเวลาเยี่ยม

    กระทั่งหญิงกลางคนออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายนั่นเอง เฟรินจึงได้อยู่คนเดียวจริงๆ เสียที

    หัวขโมยกำมะลอเอนหลังพิงหัวเตียงพลางผ่อนลมหายใจยาวช้าๆ หัวใจหนักอึ้งยิ่งนักเมื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด

    ...ที่แท้กลับเป็นคนเดมอสด้วยกัน ที่หันดาบใส่

    แม้ยังคิดไม่ตกว่าปีศาจตนนั้นตามตัว 'เธอ' เจอได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเวลาที่เฟริน เดอเบอร์โรว์ จะได้เป็นนักเรียนที่นี่ใกล้หมดลงทุกที และการกลับไปเดมอสก็ดูเหมือนยังไม่ใช่คำตอบ เพราะตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใด การนำตัวไปยังที่แจ้งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

    เฟรินสรุปในใจ สุดท้ายไม่พ้นคงต้องหนี

    ...อีกครั้ง


    ...ช่างอ่อนแอ...


    ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงราวกับจะซ่อนความอ่อนไหวทั้งปวงไว้ใต้เปลือกตานั่น หัวคิ้วขมวดหากันแน่น รู้สึกคล้ายเสียงแหบแห้งและถ้อยคำถากถางนั่นยังตามหลอกหลอนอยู่


    ...ตลอดเวลา




    2022.02.19


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×