คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Treachery Phantom
Treachery Phantom
เสียงหัวเราะแหบแห้งนั่นคล้ายจะดังขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ว่าจะหันไปทางใด เฟรินก็พบเพียงแต่กลุ่มควันหนาทึบจนมองเห็นแค่เพียงปลายจมูก
ทว่าหากเผลอตัวเพียงนิด ร่างสูงใหญ่ของคริสโต เอเดรียนก็จะปรากฏตัวออกมาโจมตีใส่ ก่อนจะหายตัวไปในกลุ่มควันราวกับภูตผี
หัวขโมยเริ่มหอบหายใจถี่ บาดแผลทั่วร่างแม้ไม่ใช่แผลฉกรรจ์หากโลหิตที่ไหลซึมไม่หยุดสูบแรงกายหายไปกว่าครึ่ง
ที่แย่กว่าคือสภาพที่คล้ายแขนขาถูกตรึงไร้ทางโต้กลับเช่นนี้ทำให้จิตของเฟรินขุ่นมัว ความเฉียบคมจึงยิ่งลดลง
โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนั่น...
"...คิดจะซ่อนตัวไปถึงไหนกัน เจ้าหนูสกปรกขี้ขลาด!!" เฟรินเค้นเสียงลอดไรฟัน ความอดทนคล้ายใกล้ถึงจุดสิ้นสุด
"...ซ่อนตัว...เจ้ากำลังหมายถึงตัวเจ้าเองน่ะหรือ ธิดาแห่งความมืด" ในที่สุด เจ้าของเสียงหัวเราะก็ตอบ หากคำพูดของมันทำเอาเฟรินชะงักค้าง
"ใช่แล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นใคร ...เจ้าอาจใช้มนต์มายาหลอกมนุษย์ได้ทั้งเอเดน แต่เจ้าหลอกข้า หลอกปีศาจด้วยกันไม่ได้หรอก" เสียงลึกลับนั้นกล่าวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่กลับทำให้เฟรินรู้สึกเย็นยะเยือกราวถูกโยนลงไปในธารน้ำแข็ง
...เป็นเดมอส
สองมือที่กุมด้ามดาบกำแน่น ขณะร่างสูงของนักดาบพุ่งออกมาจากกลุ่มควันพร้อมตวัดดาบในมือเข้าใส่อีกครั้ง เฟรินยกผ่าปฐพีขึ้นรับ แรงปะทะรุนแรงจนเกิดประกายไฟยามคมดาบกระทบกัน ในขณะเดียวกันดวงตาสีน้ำตาลก็ลอบสังเกตเด็กหนุ่ม
ความรู้สึกหนักหน่วงในใจยิ่งกดทับเมื่อพบว่านักดาบจากไนล์ผู้นี้ยังไม่มีวี่แววจะได้สติกลับมา แม้ทั่วร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผลไม่น้อยไปกว่าหัวขโมย โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างซึ่งเห็นได้ชัดว่าหักจนผิดรูป แต่กลับยังควงดาบฟาดฟันกับเขาได้ราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวด
"เจ้าทำอะไรกับเอเดนผู้นี้" เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นชนเดมอสเช่นกัน เฟรินก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเสแสร้งเป็นคนอื่น หัวขโมยกำมะลอจึงเลือกจะถามตรงๆ
"เจ้าเป็นถึงทายาทของเอวิเดสผู้นั้น จะเดาไม่ออกเชียวหรือ"
"ให้ตายสิ!" เฟรินกัดฟันกรอดขณะก้มหลบการโจมตีถัดมาของนักดาบ
"อา เจ้าเดาได้แต่แรกแล้วสินะ" เสียงนั้นหัวเราะคิกคักราวกับเรื่องถูกใจนักหนา
"หุบปาก! เจ้าหนูโสโครก!" เฟรินตวาด สมองวิ่งวนเร็วรี่ ขณะยกดาบขึ้นรับดาบของนักดาบแห่งเอเธนส์ที่โจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง หัวขโมยพยายามเต็มที่ที่จะไม่ปะทะกับเด็กหนุ่มตรงหน้าตนงๆ เพื่อลดความบอบช้ำ แต่ก็ดูเหมือนทำได้ยากขึ้นทุกทีเพราะอาการบาดเจ็บของเขาเองที่ทำให้ร่างกายขยับได้เชื่องช้าลงมากในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกลับขยับรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
"ทำไมไม่ใช้เวทมนตร์ที่ถนัดล่ะ เด็กน้อย ข้าได้ยินเสียงร่ำลือไม่น้อยถึงมนตราความมืดที่ทรงพลังของเจ้า
เอ หรือว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ใช้ หากแต่ใช้ไม่ได้กันแน่"
เสียงลึกลับยังคงส่งเสียงยียวน หากเฟรินพยายามไม่สนใจ และตั้งสมาธิกับเด็กหนุ่มตรงหน้า กระทั่งจังหวะหนึ่งคริสโตเงื้อดาบสูงก่อนฟันลงมาเต็มแรง หากเฟรินเบี่ยงกายหลบทัน ดาบของเด็กหนุ่มจากเอเธนส์จึงฟันถูกพื้นและติดอยู่ในเนื้อหินของลานประลองแทน
หัวขโมยกำมะลอไม่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดมือ ร่างโปร่งพุ่งตรงเข้าประชิดก่อนหมุนตัวฟาดสันดาบเข้ากลางลำตัวของคริสโตเต็มแรง จนร่างสูงของนักดาบกระเด็นออกไป
เฟรินได้แต่หวังว่านั่นจะพอซื้อเวลาให้เขาได้พักหายใจสักครู่
-------
"ยังไม่ได้อีกหรือ โรเวน!" เจ้าชายโรเวน ฮาร์เวิร์ดคงไม่รู้สึกประหลาดใจมากนัก หากน้ำเสียงร้อนรนนั่นจะไม่ได้ออกมาจากปากของคนสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้เห็นอาการร้อนรนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
ลูคัส ซาโดเรีย
เจ้าชายแห่งเจมิไนเคยคิดด้วยซ้ำว่า ต่อให้วันนี้เอดินเบิร์กถูกกองทัพจากเดมอสล้อมเอาไว้ ชายอย่างผู้วิเศษจากทริสทอร์คนนี้ก็คงจะแค่หัวเราะ และออกไปรบกับเหล่าปีศาจอย่างสนุกสนาน
กว่าเจ้าชายหนุ่มจะเข้าใจเหตุผลจริงๆ ก็อีกหลายปีให้หลัง
ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินรีบปัดข้อสงสัยไร้สาระอื่นใดทิ้ง ก่อนทุ่มสมาธิให้กับการจัดการข่ายมนต์ประหลาด
"ดูเหมือนข่ายมนต์ที่แทรกแซงม่านพลังของโซมาเนียจะไม่ใช่มนต์ที่ใช้กันในเอเดน ที่สำคัญ เจ้าข่ายมนต์ประหลาดนี่ดูเหมือนจะดูดกลืนพลังเวทย์อื่นได้"
"เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะโรเวน นั่นมันเวทย์พิสดารอะไร" ลอเรนซ์ ดอว์นที่เพิ่งกลับมาจากการต้อนนักเรียนกลับหอพักพร้อมกับชิวาสถามด้วยน้ำเสียงประหลาด
"ข้าคิดว่าเรากำลังเผชิญกับมนตร์ดำของปีศาจ" ประโยคนั้นของเสธฯ หนุ่มคล้ายมนต์สะกดที่ทำให้คนอื่นชะงักนิ่ง
"ข้าจะไปตามท่านเลโมธี" พรานป่าแห่งเอเธนส์โพล่งออกมา หากเสนาธิการฝ่ายซ้ายกลับส่ายหน้า
"มหาปราชญ์เดินทางไปสกอร์ปิโอเมื่อเช้านี้ ส่วนอาจารย์ท่านอื่นต่างมีภารกิจต่างแคว้น...ตอนนี้มีแต่พวกเรา"
"ไม่น่าเชื่อ..." โซมาเนียคราง สีหน้าประดับไปด้วยความกังวล
"ใช่ จังหวะพอเหมาะพอเจาะเกินไปหน่อยนะ พวกเจ้าว่าไหม" ชายหนุ่มจากเจมิไนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเครียด
ชายหนุ่มเร่งพลังเวทย์จนคทาในมือของเขาส่องแสงสีฟ้าอมม่วงสว่างจ้า ทว่าข่ายมนต์ตรงหน้ากลับตอบสนองด้วยการเปล่งแสงสีแดงจ้าไม่แพ้กันโดยไม่มีทีท่าจะหายไปและเริ่มดูดกลืนเวทย์ที่โรเวนใช้ออกไป
สุดท้ายเป็นเจ้าชายจากเจมิไนที่ยอมแพ้ก่อน ดวงตาสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"แถมเราไม่รู้ว่าสองคนนั่นเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ แต่ข้ามีสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่"
"ลูคัส เจ้าลองใช้พลังของเจ้าดูรึยัง" โซมาเนียถามขึ้น หากเสียงปะทะที่ดังขึ้นพร้อมประกายสีแดงที่สว่างวาบไม่ต่างจากเมื่อครู่ ตามด้วยเสียงสบถลั่นของลูคัสดูเหมือนจะแทนคำตอบได้ดีกว่า
"ดาบผ่ามิติของท่านล่ะโรเวน" ชิวาสเสนอขึ้นมา หากเจ้าของดาบกลับส่ายหน้า
"ข้ามองไม่เห็นภายใน ซ้ำข่ายมนต์นี่แปลกประหลาดเกินไปอย่างที่เจ้าเห็น ข้าไม่คิดว่าเราควรเสี่ยง"
"แต่จะรอจนท่านเลโมธีกลับมาคงไม่ได้ เฮ้ เจ้าสามคนนั่นจะทำอะไร" ลอเรนซ์เอ่ยขึ้น โรเวนละสายตาจากข่ายมนต์ตรงหน้ามองตามมือนักบวชหนุ่มไป ชายหนุ่มเขม้นมองก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นมา
"ดูเหมือนเราพอจะมีทางแล้วล่ะ"
------
"นั่นไม่เลวเลย แต่เจ้าน่าจะรู้ดีว่าแค่นั้นหยุดตุ๊กตามนุษย์ไม่ได้ ธิดาแห่งความมืด" เสียงลึกลับนั่นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงของนักดาบที่ผุดลุกขึ้นยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"...เจ้าหนูชั่วร้ายสกปรก" ใช่ เฟรินรู้ดีทีเดียว
คริสโต เอเดรียนในยามนี้ไม่คล้ายนักดาบหนุ่มที่ประลองกับเขา หากเป็นเพียงตุ๊กตามนุษย์ที่ถูกชักเชิดด้วยมนต์ดำที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เฟรินรู้จัก
เดิมมันเป็นมนต์ที่ใช้ควบคุมซากศพเพื่อนำมาสู้ในสงคราม หากต่อมามีผู้นำไปใช้กับคนที่ยังมีชีวิตซึ่งผลปรากฏว่าตุ๊กตามนุษย์เหล่านั้นทรงพลังยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังไม่รู้สึกเจ็บปวด เป็นสุดยอดพลรบที่น่าครั่นคร้ามที่สุดในแผ่นดินดำ
และเพราะไม่รู้สึกเจ็บปวด การจะหยุดการเคลื่อนไหวของตุ๊กตามนุษย์ที่ว่า ทำได้เพียงการสังหารด้วยการตัดศีรษะเท่านั้น
สุดท้าย เพราะทรงพลังเกินไป และชั่วร้ายเกินไป จ้าวปีศาจจึงสั่งห้ามและสั่งให้ทำลายบันทึกทุกฉบับที่เกี่ยวข้อง
"เจ้าใจอ่อนกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะทีเดียว รึจะเป็นเพราะสายเลือดเอเดนอ่อนแอในตัวเจ้ากันนะ"
"หุบปาก!!!" หัวขโมยกำมะลอตวาดดังลั่น ผ่าปฐพีถูกเงื้อสูงอีกครั้ง คราวนี้คมดาบเปล่งแสงสว่างยิ่งกว่าครั้งใด ก่อนที่เฟรินจะพลิกคมลง และแทงลงพื้นโดยแรง พริบตานั้นก็เกิดแสงสว่างจ้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดกัมปนาถสนั่น
แรงระเบิดพัดเอากลุ่มควันกระจายตัวออกไปอีกครั้ง และทำให้เกิดหลุมใหญ่กลางเวที
กลางหลุมนั้น ร่างโปร่งของเฟรินยืนโงนเงนกระทั่งต้องยึดเอาผ่าปฐพีค้ำยันต่างไม้เท้า หากต้องชะงักเมื่อพบว่าทั้งม่านพลังและม่านควันยังอยู่ดี
ซ้ำร้าย เฟรินยังพบว่าร่างสะบักสะบอมของคริสโต เอเดรียนยังผุดลุกขึ้นมาได้อีก
"ช่างเป็นความพยายามที่เสียเปล่า แทนที่เจ้าจะทุ่มพลังทำเรื่องไร้ประโยชน์ เจ้าควรจะเด็ดหัวตุ๊กตานั่นต่างหาก ทายาทแห่งเกรเดเวล" เสียงลึกลับนั่นกล่าวเยาะเย้ย
"อ่อนหัดเหลือเกิน เพราะอ่อนแอเช่นนี้สินะ เอวิเดสจึงได้ทอดทิ้งเจ้า" ถ้อยคำนั้นช่างเสียดแทงจนเฟรินถึงกับลืมตัว หัวขโมยฟาดดาบใส่หมอกสะเปะสะปะ
"!!"
"เจ้าไม่คู่ควรกับบัลลังค์ทมิฬแม้แต่น้อย"
"หุบปาก!!!"
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"ข้าบอกให้หะ- !!!" เสียงโลหะชำแรกเนื้อดังแทรกเสียงตะโกนที่ขาดหายของหัวขโมย ความรู้สึกเสียวแปลบเกิดขึ้นที่ไหล่ซ้ายก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกร้อนระอุราวมีกองเพลิงปะทุออกมาจากร่าง
เมื่อเฟรินก้มลงมองก็พบว่าดาบในมือของเอเดรียนได้ดื่มลึกเข้าไปในร่างของเขาเสียแล้ว!
"อั่ก" เฟรินรู้สึกมือไม้อ่อนแรงกระทั่งไม่สามารถประคองดาบในมือได้ ผ่าปฐพีหลุดร่วงจากมือกระทบกับพื้น ส่วนนักดาบแห่งเอเธนส์ หลังจากโจมตีสำเร็จก็ร่วงลงไปกองกับพื้นไม่ไหวติง ราวตุ๊กตาชักที่สายเชิดขาด
ความเจ็บปวดรุนแรงเสียดแทงขึ้นมาเป็นระลอกกระทั่งเฟรินไม่อาจประคองร่างให้ยืนอยู่ได้ ค่อยทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ในคอเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตและรสโลหะคละคลุ้ง พลันภาพเบื้องหน้ากลับพร่ามัว สั่นไหว และก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป สำเหนียกสุดท้ายที่รับรู้คือเสียงเหี้ยมเกรียมแหบแห้งนั้น
"ไปชดใช้ความอ่อนหัดของเจ้าในโลกหน้าเถิด เฟลิโอน่า เกรเดเวล"
---------
เสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังแทรกเข้ามาในโลกอันมืดมัวและรางเลือนของเธอคล้ายจะปลุกให้ตื่นจากความฝันอันสับสนวุ่นวาย
วูบหนึ่ง เฟลิโอน่ารู้สึกร้อนราวถูกเปลวไฟแผดเผา ความร้อนนั้นกัดกินจากบริเวณไหล่ซ้ายไล่เรียงลงมาถึงเกือบกลางอก หากอีกวูบหนึ่งกลับรู้สึกหนาวสั่นราวกับตอนที่เธอหลงอยู่ในสโนว์แลนด์เมื่อครั้งยังเด็ก
แปลกนัก อยู่ๆ เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนยังเล็ก เธอเคยไปที่สโนว์แลนด์กับบิดา
ทว่าความเจ็บปวดรุนแรงที่แทรกขึ้นมากลับฉุดกระชากสติของเธอให้ล่องลอยออกไปอีกครั้ง ก่อนภาพความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าจะถูกฉายซ้ำไปมาปนเปไปกับความรู้สึกหนาวเย็นและร้อนระอุ ก่อนที่สุดท้ายจะถูกแรงดึงดูดดึงสติทั้งมวลให้จมสู่ความมืดมิด
หากก่อนจะจมดิ่งไปในความมืดมิดนั่นเอง สัมปชัญญะที่เหลือดึงภาพหนึ่งให้ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
...ดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
มันเป็นสีเดียวกับสีของท้องฟ้ายามคิมหันต์
------
หญิงชราหยุดมือที่กำลังสาละวนกับการเตรียมอาหารเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงดาบกระทบกันดังเปรื่องปร่างและเสียงระเบิดตูมตามที่ดังแว่วพ้นกำแพงปราสาทเอดินเบิร์กมาเป็นระยะเพียงครู่ ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ พลางส่ายหน้าเบาๆ หากใบหน้าอวบอูมของนางกลับเจือไปด้วยรอยยิ้ม
...เอาอีกแล้วสินะ เจ้าเด็กเลือดร้อนพวกนี้
นางอาศัยอยู่ที่เอดินเบิร์กนี้มานานพอที่จะรู้ถึงนิสัยใจคอของบรรดาหนุ่มสาวที่เข้ามาอยู่ในปราการหลังกำแพงนี้ แม้สมัยเมื่อตอนเข้ามาเปิดร้านใหม่ๆ จะอดอกสั่นขวัญแขวนกับเสียงโห่ร้อง เสียงระเบิด เสียงประดาบที่แว่วออกมาแทบจะวันเว้นวันไม่ได้ตามประสาชาวบ้านร้านตลาดธรรมดา แต่นานวันเข้าก็ชินไปเอง
แต่แล้วหูของนางที่ยังไม่ตึงไปตามวัยก็ได้ยินเสียงที่ผิดแผกไปจากเดิม
มันเป็นเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จำนวนมาก และเสียงคล้ายโลหะทึบๆ กระทบกัน และเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยความสงสัย หญิงชราวางสิ่งที่กำลังทำ ก่อนจะพาร่างอ้วนท้วนของนางไปชะเง้อชะแง้ พยายามเพ่งมองลอดบานประตูใหญ่โตเข้าไปด้านใน ทันเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากในชุดเกราะเต็มยศเดินหายลับไป
มืออวบอ้วนของหญิงชราเผลอขยุ้มผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวไว้จนยับย่นไม่รู้ตัว สัญชาตญาณและประสบการณ์หลายปีในแดนอื่นบอกนางว่า มีเหตุการณ์ไม่ดีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในเอดินเบิร์ก
------
"...อาการนางเป็นเช่นไรบ้าง"
"ยังไม่คืนสติ แต่ก็ปลอดภัยแล้ว โชคดีที่พวกเขาคลายข่ายเวทย์ได้ทัน"
"เจ้าบอกว่าข่ายเวทย์นั่นกลืนกินเวทย์อื่นเและเติบโตได้ราวกับมีชีวิต"
"เป็นเช่นนั้น"
"..."
"เอวิเดส?"
"รบกวนเจ้าแล้ว เลโมธี ครั้งนี้ถือว่าเดมอสติดค้างเอดินเบิร์กหนึ่งครั้ง"
"มิได้ นี่ถือเป็นความบกพร่องที่เอดินเบิร์กไม่อาจคุ้มครองนักเรียนในความดูแลได้ น่าละอายนัก"
"...งั้นก็ตามแต่เจ้า แล้วข้าจะติดต่อไปใหม่" สิ้นคำสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ของเอวิเดสก็เลือนหายราวกับควัน เหลือเพียงชายสองคนยืนอยู่ด้วยกัน หนึ่งนั้นคือจอมปราชญ์แห่งเอเดน อีกหนึ่งคือชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักเรียนเอดินเบิร์ก
ลูคัส ซาโดเรีย หรือลูคัส เกรเดเวล ท่านชายแห่งนครจันทรา
"ท่านควรจะรับความปรารถนาดีของท่านจ้าวไม่ใช่หรือ โอกาสที่จะเป็นเจ้าหนี้บุญคุณแดนคนบาปไม่ได้มีบ่อยหรอกนะ" เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ หากมหาปราชญ์รู้ดีว่าภายในของชายหนุ่มไม่ได้สงบอย่างที่เจ้าตัวกำลังแสดงออก
"โอกาสเป็นของคนที่ต้องการและพร้อมจะไขว่คว้า ท่านชาย ซึ่งท่านรู้ดีว่าเอดินเบิร์กไม่ได้หวังไขว่คว้าสิ่งใด" เลโมธีตอบชายหนุ่มอย่างใจเย็น หากชายหนุ่มทำเสียงในลำคอบางอย่าง ที่ฟังคล้ายคำว่า 'จิ้งจอกเฒ่า' ซึ่งทำให้มหาปราชญ์ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
ชายชราทรุดกายลงนั่งบนโซฟากลางห้อง พลางผายมือให้อีกฝ่ายทรุดตัวนั่งตาม คทายาวในมือถูกวางพิงไว้กับพนัก และเพียงการโบกมือครั้งเดียว กาน้ำชาที่บรรจุชาร้อนๆ ก็ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม
เลโมธีบรรจงรินของเหลวในกาลงในถ้วยใบเล็กช้าๆ ก่อนส่งให้ลูคัสที่รับไปจิบเพียงสองสามอึก ก่อนจะประคองมันไว้ในมือ ปล่อยไออุ่นให้ซึมซาบไปตามเรียวนิ้วที่เยียบเย็น ดวงตาสีเดียวกับราตรีจับจ้องเพียงของเหลวสีอำพัน ขณะชายต่างวัยทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครองพื้นที่ในห้อง
สุดท้าย เป็นชายหนุ่มจากแดนคนบาปที่เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาใหม่
"...เจ้าชายคาโนวาลผู้นั้น แท้จริงเป็นใครกันแน่ ปราชญ์เลโมธี"
-------
ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบถี่ๆ พลางจ้องมองเพดานที่ไม่คุ้นเคยและพร่ามัว คล้ายสมองของหัวขโมยยังคงมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก หูได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ก่อนใบหน้าหวานของเด็กสาวจะโผล่เข้ามาในคลองสายตา
"เฟริน เจ้าฟื้นแล้ว" เสียงหวานใสเต็มไปด้วยความยินดีไม่ต่างจากประกายในดวงตาสีฟ้า
"แอง..จี้?" เสียงของคนบนเตียงแหบแห้งเสียจนเจ้าตัวยังไม่แน่ใจ เฟรินผุดลุกขึ้นนั่งก่อนความรู้สึกเสียวแปลบปนหน่วงที่ไหล่ซ้ายแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ หัวขโมยกำมะลอลอบสำรวจร่างกายตนเอง...ใจหวิวไปนิดเมื่อสังเกตว่าตนเองอยู่ในชุดใหม่
เฟรินขยับแขนซ้ายช้าๆ อีกครั้ง ค่อนข้างแน่ใจว่าบาดแผลที่ได้รับคงมีคนใช้เวทมนตร์รักษาจนแผลสมานแล้วแม้จะมองไม่เห็นแผลเนื่องจากผ้าพันแผลที่พันจนเต็มแขน หากความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ทำให้อดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้า
"ยังรู้สึกเจ็บอยู่เหรอ ให้ข้าไปตามผู้เยียวยาไหม" สาวน้อยจากวิทช์ถามพลางส่งแก้วที่บรรจุน้ำไว้เต็มให้คนเพิ่งฟื้นได้จิบ ท่าทางกระวีกระวาดเป็นห่วงเป็นใยทำให้นางดูแปลกตาไปสักนิดสำหรับเฟริน
เพราะปกติ แองเจลีน่า โรมานอฟ ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมาของเฟริน เดอเบอร์โรว์ เจ้าตัวแสบแห่งป้อมอัศวิน เรียกได้ว่าเจอกันที่ไหนเป็นต้องมีเรื่องกันที่นั่นจนหลายครั้งเฟรินคิดว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนี้อาจไม่ชอบเขาด้วยซ้ำ
หากเฟรินรีบปัดความหลากใจนั่นทิ้งไป พลางส่ายหน้าปฏิเสธ แม้นั่นจะทำให้เขารู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเล็กน้อย
"เจ้าแน่ใจนะ" เฟรินพยักหน้าน้อยๆ ก่อนถาม
"ที่นี่.."
"หออภิบาล พวกรุ่นพี่สี่ผู้คุมกฏเป็นคนพาเจ้ามา ส่วนตอนนี้พวกเขากับสิบสองขุนพลกำลังสืบสวนกันอยู่" เด็กสาวเอ่ย...พยายามยิ่งจะไม่ซักไซร้อะไรจากคนป่วย แม้อยากรู้ใจจะขาด
หัวขโมยหลับตาลง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนถาม
"แล้วข้า..หลับไปนานเท่าไหร่"
"สามวัน ข้าได้ยินว่าแผลเจ้าลึกเอาเรื่องขนาดที่บรรดาผู้เยียวยาพูดกันว่า ถ้าไม่ใช่เพราะมีอาคมประคองชีวิตของรุ่นพี่โซมาเนีย เจ้าคงได้ข้ามสะพานไปภพหน้าแล้วล่ะ"
"...แล้ว เจ้านั่นล่ะ...นักดาบน่ะ"
"เจ้าหมายถึงเอเดรียน? โชคร้ายที่เขายังไม่ฟื้น และดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากด้วย เหมือนพวกอาจารย์กำลังกลุ้มใจ อ้อ พ่อของเอเดรียนมาถึงแล้ว ได้ยินว่ากำลังคุยกับท่านเลโมธี"
เฟรินรับฟังเสียงเจื้อยแจ้วด้วยท่าทีนิ่งเฉยจนสาวน้อยจากวิทช์เริ่มแปลกใจกับความเงียบผิดวิสัยหัวขโมย
...อาจเพราะเพิ่งฟื้นกระมัง เด็กสาวบอกกับตัวเอง
"ว่าแต่ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ แองจี้" ร่างบางของเด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามนั้น
"ทำไม..อะ อ่อ เพราะ เอ่อ..เพราะ เพราะ! มิสแรมเซิลฝากให้คนมาดูเจ้าน่ะ แล้วบังเอิญข้าว่างพอดี! อย่าเข้าใจผิดล่ะ!" ละล่ำละลักตอบออกไปแล้วก็ได้แต่เสมองไปทางอื่น
เฟรินเลิกคิ้วน้อยๆ ให้กับปฏิกิริยานั้น พลางนึกในใจ แองเจลีน่า โรมานอฟ ช่างเป็นเด็กสาวที่เข้าใจยากเสียจริง
-----
สุดท้ายเฟรินก็ยังต้องพักในหออภิบาลอีกหนึ่งคืน แม้หัวขโมยจะเพียรบอกหญิงวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวสักเท่าไหร่ก็ดูจะไม่สามารถเปลี่ยนใจให้นางยอมปล่อยเฟรินกลับห้องพักที่ป้อมอัศวินได้
"ในหออภิบาลนี้ คำสั่งของผู้เยียวยาคือที่สุด" นางประกาศกร้าวพลางส่งสายตาเฉียบขาดไล่หลังเด็กสาวที่กำลังอิดเอื้อนน้อยๆ ไม่ยอมออกจากห้องเสียทีแม้นางจะบอกชัดว่าหมดเวลาเยี่ยม
กระทั่งหญิงกลางคนออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายนั่นเอง เฟรินจึงได้อยู่คนเดียวจริงๆ เสียที
หัวขโมยกำมะลอเอนหลังพิงหัวเตียงพลางผ่อนลมหายใจยาวช้าๆ หัวใจหนักอึ้งยิ่งนักเมื่อคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด
...ที่แท้กลับเป็นคนเดมอสด้วยกัน ที่หันดาบใส่
แม้ยังคิดไม่ตกว่าปีศาจตนนั้นตามตัว 'เธอ' เจอได้อย่างไร แต่ดูเหมือนเวลาที่เฟริน เดอเบอร์โรว์ จะได้เป็นนักเรียนที่นี่ใกล้หมดลงทุกที และการกลับไปเดมอสก็ดูเหมือนยังไม่ใช่คำตอบ เพราะตราบใดที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใด การนำตัวไปยังที่แจ้งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
เฟรินสรุปในใจ สุดท้ายไม่พ้นคงต้องหนี
...อีกครั้ง
...ช่างอ่อนแอ...
ดวงตาสีน้ำตาลปิดลงราวกับจะซ่อนความอ่อนไหวทั้งปวงไว้ใต้เปลือกตานั่น หัวคิ้วขมวดหากันแน่น รู้สึกคล้ายเสียงแหบแห้งและถ้อยคำถากถางนั่นยังตามหลอกหลอนอยู่
...ตลอดเวลา
2022.02.19
ความคิดเห็น