ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #7 : ร้านขายดาบ ขอทาน และดาบอาถรรพ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.86K
      7
      15 มิ.ย. 63


    ร้านขายดาบ ขอทาน และดาบอาถรรพ์





    เอดินเบิร์กเป็นเมืองที่แตกต่างจากเมืองอื่นในหลาย ๆ เรื่อง หากไม่นับระบบปกครองที่ปกครองโดยสภาแทนที่จะเป็นกษัตริย์ แม้แต่การค้าและร้านรวงก็แตกต่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟรินเพิ่งค้นพบในวันนี้

    เรื่องแรก แม้เอเดนจะมีสกุลเงินกลาง หากร้านค้าในเอดินเบิร์กรับเงินทุกสกุล (แม้แต่เงินเดมอส ซึ่งเป็นเรื่องที่เฟรินแปลกใจอยู่มากโข) ไม่เพียงแค่นั้น ร้านรวงเหล่านั้นยังรับแลกกับสินค้าทุกประเภทตามแต่ที่คู่ค้าพอใจจะตกลงกันซึ่งการรับแลกสินค้าที่ว่า เฟรินเคยเห็นแต่เฉพาะในเมืองท่านอกด่านแต่ไม่เคยเห็นร้านค้าในเมืองใดทำมาก่อน

    เรื่องที่สอง แม้เอดินเบิร์กจะมีกฎหมายห้ามค้าของโจร (หากพิสูจน์ได้) แต่ไม่ห้ามค้าของมือสองโดยไม่จำแนกประเภทเพียงแต่จะต้องปิดป้ายบอกให้ชัดเจนว่าสิ่งใดเป็นของมือสอง ตลอดสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยสินค้าแปลกตาราคาไม่สูง เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งเท่าที่เฟรินจะนึกได้

    เรื่องที่สาม คือ ร้านขายดาบ

    แต่ละเมืองที่เฟรินเคยไปเยือน แทบทุกเมืองมีร้านตีดาบซึ่งขายเฉพาะดาบที่ตีโดยช่างประจำร้านของตน นาน ๆ ทีจึงจะพบร้านที่รับแลกดาบเก่าที่เคยผ่านศึก หรือดาบของช่างคนอื่นหรือช่างต่างเมืองซึ่งส่วนมากมักเป็นดาบหายากและราคาของมันก็มักจะสูงลิบลิ่ว ที่สำคัญ ร้านตีดาบดี ๆ ส่วนมากมักไม่ขายดาบแก่คนทั่วไปแต่จะขายให้เฉพาะคนจากราชสำนักหรือกองทัพของเหล่าขุนนางในแต่ละอาณาจักร การหาซื้อดาบดี ๆ สักเล่มสำหรับนักเดินทางธรรมดาสามัญจึงทำได้ยากยิ่ง เว้นแต่จะไปหาซื้อในตลาดมืด

    หากร้านขายดาบที่เฟรินเพิ่งเดินมาถึง กลับไม่มีอะไรสักอย่างที่เหมือนร้านขายดาบที่เด็กหนุ่มรู้จัก ร้านตีดาบทั่วไปนั้นมักมีลักษณะเป็นร้านเปิดโล่ง เนื่องจากในร้านมักเต็มไปเขม่าไฟและกระไอร้อนจัดจากเตาเผาเหล็ก แต่ร้าน “ขายดาบ” ที่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มกลับเป็นเรือนปิดที่มีลักษณะคล้ายบ้านอาศัยมากกว่าจะเป็นร้านค้า จนเฟรินไม่แน่ใจว่าหากเขาไม่เห็นป้ายที่เขียนบอกว่ามีดาบจำหน่ายเขาจะหาร้านขายดาบแห่งนี้พบหรือไม่

    เสียงกระดิ่งกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งยามหัวขโมยผลักประตูร้านเข้าไปด้านใน เฟรินกวาดตามองไปรอบ ๆ พบว่านอกจากโต๊ะไม้ตัวสูงที่มีชายวัยกลางคนผู้มีดวงตาหยีเล็กและใบหน้าอวบอูมนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมุดเล่มหนา ทั้งร้านก็มีเพียงดาบจำนวนมากที่วางอยู่บนชั้นวางบ้าง ข้างผนังบ้าง ทั้งดาบที่วางขายนั้นก็มีหลายรูปแบบเสียจนละลานตา ทุกเล่มมีป้ายราคาติดไว้ชัดเจน ทั้งตัวร้านยังค่อนข้างสะอาด แม้จะมีบางจุดที่มีหยากไย่ใยแมงมุมบ้างแต่กลับไม่มีร่องรอยเขม่าควันนอกเหนือไปจากเตาไฟที่อยู่ด้านหลังชายคนดังกล่าวซึ่งคงเป็นเพียงเตาไฟที่มีไว้เพื่อสร้างความอบอุ่นในร้านเท่านั้น

    ...มิน่าจึงเรียกว่าร้านขายดาบ มิใช่ร้านตีดาบ

    ในที่สุด เฟรินก็ล้มเลิกความพยายามในการมองหาเตาเผาเหล็กหรือใครก็ตามที่น่าจะเป็นช่างตีดาบมาสนใจรอบข้าง เขาพบว่านอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขาอีกหลายคน ...มีหญิงชายที่ดูเหมือนนักเดินทางทั่วไปอีกสองสามคน ซึ่งพวกเขาเพียงแต่หันมองมาตามเสียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนความสนใจของพวกเขาจะกลับไปที่ดาบต่าง ๆ ตรงหน้าตามเดิม

    หัวขโมยด้อม ๆ มอง ๆ ดาบเล่มนู้นเล่มนี้เพียงครู่ เขาก็สรุปว่า ดาบเหล่านี้เป็นดาบที่เพิ่งถูกตีขึ้นมาใหม่และราคาที่ติดไว้ก็ค่อนข้างสูงเกินกว่าที่หัวขโมยธรรมดาคนหนึ่งจะซื้อได้ เขาจึงเดินตรงไปหาชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ

    ท่านลุง ข้าอยากได้ดาบสักเล่ม ราคาไม่สูงมาก พอจะมีแนะนำไหม

    ชายคนขายใช้ดวงตาเล็กยิบหยีของเขาชำเลืองมองหัวขโมยตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาประเมินที่เฟรินเห็นแล้วไม่ชอบใจนัก ดวงตาสีน้ำตาลวาว ๆ ที่มองตอบสายตาคนขายจึงมีประกายแห่งความไม่พอใจที่ทำให้ชายวัยกลางคนต้องเกิดอาการเสียวสันหลังวูบอย่างหาสาเหตุไม่ได้

    เอ้อ งั้นเจ้าไปดูด้านหลังตรงมุมนู้นนะ นั่นน่ะ ที่วาง ๆ อยู่น่ะ เป็นดาบมือสองเล่มละไม่เกิน 20 คราวน์ หรือถ้าจะดีกว่านั้นหน่อยก็มุมนู้น 50 คราวน์ ชายคนขายตอบด้วยท่าทีสุภาพขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปสนใจตัวเลขบนสมุดในมือตามเดิม แม้ในใจจะตะขิดตะขวงด้วยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกเกรงเจ้าเด็กผอมกะหร่องหน้าตามอมแมมตรงหน้า

    ขอบใจนะท่านลุง” เฟรินเดินไปตามที่เจ้าของร้านบอกและหยุดตรงหน้ากองดาบที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย แต่ละเล่มแม้จะไม่ได้อยู่ในสภาพที่พูดได้เต็มปากว่าดี แต่ก็ไม่เลวถึงขนาดเป็นเศษเหล็ก หัวขโมยลองหยิบเล่มนู้นเล่มนี้ขึ้นมาควง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาที่ถูกใจไม่ได้สักที

    สวัสดี” เสียงทักดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เฟรินสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปก็พบกับเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมตัดสั้นสีชา คาดทับด้วยผ้าผืนเก่ามอซอ ใบหน้ามอมแมมเปื้อนฝุ่นดินส่งยิ้มทักทาย

    เอ้อ หวัดดี เจ้า... คิ้วของเฟรินมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย หัวขโมยจำได้จากเสื้อผ้ามอมแมมเต็มไปด้วยรอยปะชุนว่าคนตรงหน้าคือขอทานหนุ่มที่ถูกขานชื่อเข้าทดสอบก่อนเขา ทว่ากลับนึกชื่อไม่ออก

    ...จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามาจากทริสทอร์ แต่ชื่ออะไรกันนะ

    โร เซวาเรส ขอทานแห่งทริสทอร์ ยินดีที่รู้จัก เฟริน เดอเบอร์โรว์ หัวขโมยแห่งบารามอส” เด็กหนุ่มขอทานยื่นมือมาให้สัมผัส หากหัวขโมยกลับยืนเฉยไม่ยกมือขึ้นจับตอบ แต่มองจ้องกลับไปในดวงตาสีมรกตที่เป็นประกายวิบวับ พอรวมกับรอยยิ้มนั่นแล้ว ก็ชวนให้รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย น้ำเสียงที่เอ่ยตอบจึงติดจะขุ่น ๆ ไปเสียหน่อย

    เจ้ารู้ชื่อข้าได้ยังไง โร เซวาเรสฟังคำถามด้วยกิริยาคล้ายแปลกใจ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันไม่ปิดบัง

    ประกาศออกจะเสียงดัง แล้วข้าก็ไม่ได้ถึงกับพิการหูหนวกตาบอดเสียหน่อย ท่านหัวขโมย สิ้นประโยคนั้นของขอทานหนุ่มหน้าเป็น ท่านหัวขโมย’ ก็คล้ายจะมีอาการคิ้วกระตุกเบา ๆ

    ...กวน

    แล้ว ท่านขอทาน’ มีธุระอะไรกับหัวขโมยอย่างข้าล่ะ เฟรินกล่าวเสียงห้วน สองแขนกอดอก ในใจอยากจบบทสนทนานี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่มือไม้จะกระตุกตามคิ้ว เด็กหนุ่มเจ้าของนามโร เซวาเรสเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบ

    เหตุใดคนเราจึงทักทายกันเพียงเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีไม่ได้ล่ะ ท่านหัวขโมย จำต้องมีธุระปะปังกันเสมอไปด้วยหรือ อีกอย่างอีกไม่นานเราก็จะเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันอยู่แล้ว จะทำความรู้จักกันไว้ก่อนคงไม่เสียหาย หรือเจ้าว่าอย่างไรล่ะ ท่านหัวขโมยแห่งบารามอส เดอร์โบโรว์ ขอทานจากทริสทอร์ตอบอย่างยืดยาวด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ในขณะที่หัวขโมยมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย

    ...ขอทานในเอเดนมีคารมคมคายเช่นนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

    ดวงตาสีมรกตจ้องตอบลูกแก้วใสสองข้างพลางชำเลืองมายังมือที่ถูกยื่นค้าง ถามคำถามโดยไม่เอ่ยเสียง หัวขโมยเปลี่ยนท่าทางจากกอดอกเป็นเท้าสะเอวมองตามนิ่งราวชั่งใจ หากอึดใจถัดมาก็ยกมือขวาคว้ามือที่ยื่นไมตรีตรงหน้ามาจับอย่างแนบแน่น

    พูดเสียขนาดนี้ข้าจะว่าเป็นอื่นได้อย่างไร ท่านขอทานแห่งทริสทอร์ ยินดีที่รู้จักอีกครั้ง โร เซวาเรส เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตส่งรอยยิ้มพอใจพลางบีบมือของหัวขโมยกลับก่อนเอ่ย

    เรียกข้าว่า โร ก็พอ หากเจ้าจะไม่รังเกียจที่ข้าจะเรียกเจ้าว่า เฟริน

    แน่นอน

     

    -------

     

    เจ้าเลือกดาบได้รึยัง เฟริน” โรถามขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง พลางเพ่งความสนใจไปยังบรรดาดาบที่อยู่เบื้องหน้าหัวขโมย

    อืมยัง เจ้าล่ะ” ว่าพลางจดจ่อกับกองดาบที่หัวขโมยจับแล้ววางครั้งแล้วเล่าจนขอทานที่ยืนเลือกอยู่ข้างกันแน่ใจว่าไม่มีดาบเล่มไหนในกองที่เฟรินยังไม่หยิบขึ้นมาลอง

    ได้แล้วล่ะ นี่ไง” ขอทานจากทริสทอร์ตอบก่อนยกดาบในมือขึ้นให้เฟรินดูด้วยทีท่าเงอะงะ มันเป็นดาบชั้นเลวที่ทหารราบใช้กัน ใบดาบหนานั้นเต็มไปด้วยรอยบิ่นขรุขระจนแทบไม่เหลือความคมอยู่แล้ว ด้ามจับพันด้วยหนังก็เปื่อยขาดจนแทบจะเห็นแต่เนื้อไม้ ตัวเลขที่เขียนอยู่บนป้ายห้อยท้ายด้ามมีรอยขีดฆ่าและเขียนทับใหม่บอกราคาเพียง 10 คราวน์

    ใจจริงข้าก็อยากจะหาอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ฐานะอย่างข้า ดีสุดก็คงได้แค่นี้ล่ะ ถ้าเอาไปนั่งลับคมหน่อยอาจจะพอใช้ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังทีเดียว หากใบหน้าเจ้าขอทานกลับประดับด้วยรอยยิ้มอ่านยาก

    เฟรินมองดาบในมือขอทานนิ่งสลับกับใบหน้าของสหาย มุมปากยกขึ้นเป็นเส้นโค้งบาง ๆ

    ไหน ขอข้าดูหน่อย” ว่าแล้วก็รับดาบจากขอทานมาวาดซ้ายขวาอย่างชำนาญ ท่าทางจับดาบทะมัดทะแมงคล่องแคล่วนั้นทำให้คนมองแอบแปลกใจ

    ไม่เลว น้ำหนักกำลังดี ด้ามจับนี่เจ้าไปหาหนังเก่าสักเส้นในร้านค้าของเก่าใช้แทนได้ถมเถ ...สายตาเจ้านับว่าใช้ได้ทีเดียว” แล้วก็ส่งคืนให้กับเจ้าของที่ยืนมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ จนเฟรินต้องถามว่า

    หน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึไง

    ...เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นเจ้าเป็นหัวขโมย ไม่ใช่อัศวิน หรือนักดาบปลอมตัวมา หัวขโมยหนุ่มชะงักมือที่กำลังเลือกดาบนิดนึง หากไม่คิดตอบคำถามของขอทาน เขาเพียงส่งเสียงหัวเราะดัง หึ หึ อยู่ในลำคอและหันไปเลือกดาบต่อโดยไม่นำพากับสายตาสงสัยของสหายใหม่หมาด ๆ พลันสายตาของเด็กหนุ่มก็สะดุดเข้ากับดาบเล่มหนึ่ง

    ดาบเล่มนั้นถูกห่ออยู่ในห่อผ้าสกปรกและวางทิ้งไว้ราวกับเศษเหล็กไร้ค่า หากเฟรินกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบางอย่าง

    ...เป็นกลิ่นไอที่คุ้นเคยอย่างประหลาด

    ราวกับมีแรงดึงดูดให้เขาต้องเอื้อมมือไปหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาดู ทันทีที่เขาสัมผัสก็เหมือนมีพลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย เป็นพลังที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น และคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

    เฟรินแกะห่อผ้านั้นก่อนชักดาบออกจากฝัก เขาพลิกดาบไปมา มันเป็นดาบใหญ่ ที่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าถูกตีจากเหล็กเนื้อดี ทั้งด้ามดาบและโกร่งดาบนั้นประดับด้วยทองคำแกะสลักลวดลายวิจิตร ส่วนปลายด้ามนั้นประดับด้วยอัญมณีน้ำงามสีน้ำเงิน

    หัวขโมยทดลองวาดดาบใหญ่ในมือไปมา เกิดเป็นเสียงวาดผ่านลมวูบวาบ รอยยิ้มพอใจประทับบนใบหน้าบางเบาก่อนมือหนึ่งของหัวขโมยจะหยิบผ้าผืนนึงออกมาที่ดูคุ้นตาขอทานอย่างประหลาด ก่อนเจ้าตัวจะนึกขึ้นได้ รีบยกมือจับที่ศีรษะตนเองเพื่อจะพบว่า

    เฮ้ย นั่นมันผ้าคาดหัวของข้านี่ เจ้าเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไม่พูดพร่ำทำเพลง เจ้าหัวขโมยก็ยกผ้าคาดหัวของขอทานขึ้นก่อนทิ้งลงมาให้สัมผัสกับคมดาบ ผลก็คือ ผ้าผืนนั้นขาดออกจากกันแทบทันทีที่สัมผัสกับคมดาบ

    อ๊า ผ้าคาดหัวข้า เจ้านี่มัน” โรโวยลั่นพลางจ้องมองผ้าคาดศีรษะของตนที่ขาดเป็นสองส่วนก่อนร่วงหล่นลงพื้นช้า ๆแต่เจ้าหัวขโมยตัวดีกลับหัวเราะหึ ๆ

    ทีนี้รู้รึยังว่าข้าเป็นอะไร หัวขโมยท่านขอทาน หัวขโมย ดาบนี่คมดีจริง ๆ” ประโยคท้ายเด็กหนุ่มที่ประกาศตัวว่าเป็นขโมยกับขอทานพึมพำเบา ๆ ราวกับพูดกับตัวเองพลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปตามใบดาบ ก่อนจะชะงักเมื่อสังเกตเห็นรอยบิ่นเล็ก ๆ ที่คมดาบ หัวขโมยจ้องมองรอยบิ่นนั้นเนิ่นนานราวกับมันสะกิดความทรงจำบางอย่าง หากสุดท้ายเด็กหนุ่มก็ปัดความคิดออกไปก่อนสอดดาบกลับเข้าฝักและเดินกลับไปหาคนขาย

    ท่านลุง ดาบเล่มนี้ขายเท่าไหร่ เฟรินถามพลางยื่นดาบใหญ่วางลงบนโต๊ะเสียงดังกึก ชายคนขายเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีในมือขึ้นมามองด้วยท่าทีกระตือรือล้น หากเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็กลับมีท่าทางไม่ยินดียินร้ายนัก ด้วยในใจยังคงปรามาสว่าเด็กหนุ่มมอมแมมตรงหน้าคงไม่มีกำลังพอจะจ่ายอะไรที่เป็นลาภใหญ่แก่เขาได้ 

    ชายคนขายลอบถอนใจ หากทันทีที่เห็นดาบที่เด็กหนุ่มเลือก ดวงตาหยีเล็กกลับเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนสีหน้าเนือย ๆ เมื่อครู่จะเปลี่ยนเป็นลำบากใจชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

    ชายคนขายแสดงสีหน้ากังวลใจไม่น้อยยามกล่าวแนะนำให้เขาเลือกดาบเล่มอื่นแทน โดยจะยอมให้ส่วนลดพิเศษด้วยซ้ำ ท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของชายคนขาย ยิ่งจุดประกายความสงสัยของเด็กหนุ่ม

    ทำไมล่ะ ดาบดีอย่างนี้ใช่จะหาได้ง่าย ๆ จะว่าท่านจะเก็บไว้ขายก็ไม่น่าใช่ เพราะดาบนี่ข้าเห็นว่ามันวางแอบอยู่ที่มุมร้าน แถมคมดาบยังบิ่นแล้วอีกต่างหาก

    หรือเพราะท่านเห็นข้าเป็นเพียงเด็กยากจนสามัญธรรมดา กลัวจะไม่มีเงินจ่ายค่าดาบหรืออย่างไร เฟรินแกล้งกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนคนรอบข้างหันมาสนใจ

    ไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้หนุ่ม แต่ดาบนี่มัน...มันเป็นดาบอาถรรพ์ ชายคนขายหลุดปากมาในที่สุด เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วร้าน

    ขอข้าดูหน่อย เฟริน” โร เซวาเรสเอ่ยขึ้นหลังจากยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านหลังหัวขโมยอยู่นาน เฟรินจึงเคลื่อนกายไปด้านข้างให้ขอทานหนุ่มจากทริสทอร์ได้ขยับตัวเข้ามาดู คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดขยับคล้ายจะพูดอะไรหากไม่ทันที่คำใดจะหลุดออกจากปาก เด็กหนุ่มเบิกตากว้างก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

    นี่มัน...!” โร เซวาเรสยกดาบใหญ่ขึ้นมาดูด้วยดวงตาเป็นประกาย

    “ถ้าข้าจำไม่ผิด ดาบเล่มนี้คือหนึ่งในเก้าดาบในตำนานที่ถูกตีขึ้นในเดมอสเมื่อหลายร้อยปีก่อน ว่ากันว่าจ้าวปีศาจใช้ดาบเล่มนี้แบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน คือ เอเดน และเดมอส ขอทานหนุ่มเล่าพลางใช้มือหนึ่งค่อยเลื่อนคมดาบออกจากฝัก แย้มรอยยิ้มกว้างยามเห็นรอยบิ่นบนใบดาบ

    “รอยบิ่นนี่ไม่ผิดแน่ นี่คือดาบในตำนานเล่มนั้นแน่นอน” ขอทานจากทริสทอร์ประกาศด้วยความมั่นใจก่อนสอดดาบกลับเข้าฝัก ท่าทียามจับถือทะมัดทะแมง ไม่เหลือทีท่าเงอะงะที่เจ้าตัวแสดงเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน

    ...ใช่ ราวกับลืมไปแล้วตนเป็นเพียงขอทาน

    โอ้ รู้ดีนี่ไอ้หนุ่ม ใช่แล้ว นี่คือ ดาบที่เคยเป็นของจ้าวปีศาจมาก่อน รอยบิ่นที่ว่าก็เกิดจากตอนที่แบ่งแผ่นดินนั่นแหล่ะ จ้าวปีศาจก็เลยทิ้งมันไป ดาบเล่มนี้จึงตกสู่แผ่นดินเอเดน หลังจากนั้นก็มีคนเอาไปใช้ แต่ก็นั่นแหล่ะ ดาบที่เคยเป็นของจ้าวปีศาจย่อมมีอาถรรพ์ คนที่ครอบครองมันถึงมีอันเป็นไปทุกราย ไม่งั้นก็เสียสติไปซะก่อน ดาบจึงถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ ลือกันว่าคนที่ตายเพราะมันมีเป็นร้อย สุดท้ายก็ตกมาถึงมือของพ่อข้าเจ้าของร้านคนก่อน แรก ๆ พ่อก็ไม่เชื่อข่าวลือนั่นขายให้นักดาบคนหนึ่งที่มาจากสกอร์ปิโอ แต่ไม่นานก็ได้ข่าวว่านักดาบคนนั้นถูกโจรฆ่าตาย

    และไม่รู้เพราะอะไรดาบเล่มนั้นจึงกลับมาที่นี่ได้อีก ทำเอาพ่อนอนไม่หลับไปอีกหลายวัน หลังจากนั้นท่านก็ไม่เคยเอาไปขายให้ใครอีกเลย แถมยังสั่งนักสั่งหนาไม่ให้เอามันออกมา นี่ลูกน้องข้าคงจะเฟอะฟะหยิบมันออกมาจากห้องเก็บของเป็นแน่” ชายเจ้าของร้านเล่ายืดยาว ดูท่าจะถูกใจเจ้าขอทานไม่น้อย เรื่องเล่าเกี่ยวกับดาบอาถรรพ์ตรงหน้าจึงได้พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำหลาก

    “แล้วนามของมัน...” เฟรินที่ยืนนิ่งเงียบถามออกมาในที่สุด

    “จ้าวปีศาจไม่ได้ตั้งนามใดให้ดาบเล่มนี้ แต่ผู้คนที่รู้ตำนานขนานนามมันว่า...”

    ...ผ่าปฐพี” คล้ายเสียงนั้นดังมาจากที่อันห่างไกล คลื่นพลังอันอบอุ่นคุ้นเคยยังลอยวนอยู่ในอากาศ

    หัวขโมยยิ้มกว้าง หันไปบอกเจ้าของร้านว่าเขาตกลงซื้อผ่าปฐพี หากคนขายยังมีท่าทีลังเลชัด ชายสูงวัยกว่าพยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนใจหัวขโมยหนุ่ม ทว่าแม้จะพยายามทัดทานยังไงดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ฟังซะแล้ว เพราะเฟรินเองก็ได้ตัดสินใจไปแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้

    สุดท้าย เจ้าของร้านก็ยอมแพ้ ตัดสินใจยกให้เขาฟรี ๆ เสียอย่างนั้น โดยอ้างว่าเพราะบิดาผู้ล่วงลับบังคับให้เขาสาบานว่าจะไม่ขายดาบอาถรรพ์เล่มนี้ให้ใคร แต่ไม่เคยห้ามหากเขาจะมอบให้ใครโดยไม่คิดเงิน

    ถ้าเจ้าตายเพราะดาบนี่ จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ อย่าได้ตามหลอกหลอนข้าเชียวล่ะ” ชายเจ้าของร้านมิวายทิ้งท้ายด้วยท่าทีหวาด ๆ ระหว่างจัดการห่อดาบเจ้าปัญหาให้หัวขโมยและขอทานซึ่งดูเหมือนเขาจะถูกใจฝ่ายหลังเป็นพิเศษถึงขนาดแถมปลอกดาบและแผ่นหนังสำหรับด้ามจับให้ ซ้ำยังแนะนำร้านลับดาบราคาถูกให้เจ้าขอทานหน้าเป็น ก่อนออกจากร้านก็ยังมิวายนัดแนะให้ขอทานจากทริสทอร์ผู้นี้แวะมาสนทนาเรื่องดาบได้

    ...อืม เห็นทีเขาคงต้องศึกษาจากเจ้าขอทานกำมะลอจากทริสทอร์นี่ให้มากเสียแล้ว

    เอาล่ะ ต่อไปก็คทา เจ้ามีรึยังโร หันไปถามเจ้าคนขยันยิ้มพลางตวัดห่อผ้าสะพายบ่า

    ยังเลย ข้าก็ว่าจะไปดูคทาหลังจากหาดาบได้นี่ล่ะ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าร้านอยู่ที่ไหน” เฟรินไม่ตอบหากทำท่าพยักเพยิดพอให้เข้าใจกันว่าให้เด็กหนุ่มจากทริสทอร์ตามเขาไปก่อนออกเดินนำหน้าโดยไม่คิดรอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด

    เดินกันมาเงียบ ๆ สักพัก โร เซวาเรสก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

    “เฟริน ข้าขอถามสักเรื่อง ทำไมถึงอยากได้ดาบอาถรรพ์อย่างผ่าปฐพีนักเล่า ถึงมันจะเป็นดาบสูงค่าแต่อาถรรพ์ดาบจากแดนปีศาจใช่จะดูเบาได้ เจ้า ไม่กลัวหรืออย่างไร” ขอทานถามด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาแม้จะจับจองไปข้างหน้าหากก็มิวายเหลือบตามองห่อผ้าบนไหล่เฟรินเป็นระยะ ...สาบานได้ว่าถึงจะชื่นชมและตื่นเต้นกับตำนานของมันแต่ขอทานอย่างเขาไม่ใช่ไม่กลัวอาถรรพ์ที่คร่าชีวิตคนนับร้อยหรอกนะ

    หัวขโมยยิ้มเผล่พลางเผยเหตุผลอย่างอารมณ์ดี

    ฮี่ยย เจ้านี่ไม่รู้อะไรเสียเลย แล้วใครว่าข้าอยากได้มาใช้กัน ดาบมีอาถรรพ์เช่นนี้น่ะได้ราคาดีนักในตลาดมืด ดูเพียงแค่ด้ามกับโกร่งดาบก็พอ ข้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าทองที่เจ้าเห็นน่ะทองคำแท้ ๆ เชียวนะ แถมเจ้าเห็นหินที่ประดับที่ด้ามดาบไหม นั่นน่ะเพชรสีน้ำเงินเชียวนา ข้ายังนึกอยู่ว่าถ้าตาลุงนั่นไม่ยอมขาย คืนนี้จะย่องมาฉกไปซะหน่อย ไม่คิดว่าจะยกให้เปล่า ๆ โชคดีสุด ๆ เจ้าต้องเป็นตัวนำโชคข้าแน่ ๆ โร เซวาเรส!!”

    ขอทานหลุดขำพรืดกับเหตุผลของหัวขโมย พลางว่า

    “เจ้านี่ ถ้าไม่รู้แต่แรกว่าเป็นขโมย ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นพ่อค้าตลาดมืดเป็นแน่” หากหัวขโมยกลับไหวไหล่พลางว่า

    “เรื่องสิ ข้าน่ะชมชอบเงินทองก็จริง แต่ไม่ถนัดเจรจาค้าขายโดยเฉพาะกับบรรดาพ่อค้าเขี้ยวลากดินพวกนั้น เจ้าเคยไปโคมิเน่ไหมเล่า ที่นั่นน่ะนอกจากจะมีกองโจรชื่อดัง พ่อค้าที่นั่นก็เขี้ยวแถมโหดไม่แพ้พวกโจรเลยล่ะ ข้ากับพ่อเคยเอาของไปปล่อยหนหนึ่ง โรเอ๋ย มันต่อราคาเสียจนข้าขยาด...” เฟรินคุยจ้อโดยมีโรขานรับอืม ๆ บ้าง หัวเราะบ้าง ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการพูดคุยสัปเพเหระกันตามธรรมดา แต่ขอทานหนุ่มไม่อาจรู้เลยว่ากิริยาทุกอย่างของเขาอยู่ในสายตาของหัวขโมยกำมะลอตลอดทาง

                ความแน่ใจฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาล   

     

    -----------

                           

                คะเนจากที่ผ่านมา เฟรินไม่ได้คาดคิดว่าร้านคทาในเอดินเบิร์กจะเป็นที่นิยมขนาดนี้

                ถามว่าขนาดไหนน่ะหรือ ก็ขนาดที่ว่าคนมายืนออรอหน้าประตูร้านนับสิบเช่นนี้อย่างไรล่ะ

                แต่ไหนแต่ไรไม่ว่าจะเป็นหัวขโมยหรือธิดาแห่งความมืด เฟรินก็ไม่ถูกโรคกับการเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมากอยู่แล้ว ...อ้อ ไม่นับเวลา ทำมาหากิน ดังนั้น ไอ้เรื่องจะให้เข้าไปยืนเบียดกันอยู่ในพื้นที่สี่เหลี่ยมอย่างในร้านค้านั้นลืมไปได้เลย

                เฟรินจึงชักชวนสหายใหม่ไปหาซื้อของอย่างอื่นก่อน แล้วค่อยวนกลับมาที่ร้านคทาอีกครั้งในภายหลัง

                หนึ่งขอทานกับหนึ่งหัวขโมยจึงเดินเตร็ดเตร่เข้าออกร้านรวงและแผงขายของต่าง ๆ ในตลาดแทนอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะหัวขโมยที่ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษกับการเข้าร้านนู้นออกร้านนี้จนเพื่อนร่วมทางอดไม่ได้จะออกปากถาม หัวขโมยแห่งบารามอสจึงเฉลยว่า นอกจากจะเป็นการชดเชยเมื่อวานที่เกิด เหตุธุระจำเป็น’ จนอดเดินเที่ยวตลาดอย่างที่ตั้งใจในตอนแรกแล้วนั้น เจ้าตัวแสบยังได้ของติดไม้ติดมือตามประสา หัวขโมย’ มาไม่น้อย

                โร เซวาเรสเบิกตากว้างยามได้ยินคำว่า ของติดไม้ติดมือ’ ก่อนหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่กพลางบ่น ไม่ดี ไม่ดีแน่ ตลอดทางที่เดินกลับออกมาจากส่วนตลาดที่เต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอย ผิดกับเจ้าตัวต้นเหตุที่เดินไปนับของในมือไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรวบทุกอย่างยัดลงในถุงผ้าพลางบ่น

                “โร เซวาเรส เจ้าหยุดหันรีหันขวางแล้วเดินให้เป็นปกติเสียที ฝีมือระดับท่านเฟรินคนนี้แล้ว ไม่มีใครจับได้หรอก” มิวายหันมาส่งยิ้มเผล่เจ้าเล่ห์ให้ขอทานที่ยังไม่หยุดมองซ้ายขวาอย่างระแวง ราวกับว่านาทีใดนาทีหนึ่งนั้น จะมีทหารยามบุกเข้ามาจับพวกเขา

                ท่าทีหวาดระแวงปนหวาดกลัวของขอทานนั้น ทำให้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มสนุกสนานของเฟรินเลือนไปเล็กน้อย หูคล้ายแว่วเสียงแหลมเล็กของเจ้าคนแคระเขากวางที่ชอบพร่ำบอกกับเขาบ่อย ๆ ว่า ชนเอเดนนั้นกลิ้งกลอกยิ่ง ไว้ใจไม่ได้ พลันดวงตาสดใสก็กลายเป็นหมองขุ่นด้วยความข้องใจขณะจ้องมองเสี้ยวหน้าของขอทานหนุ่มที่เดินเคียง พลันหางตาเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งบนกระจกเงาบานใหญ่ที่วางขายอยู่ริมทาง ขาที่กำลังก้าวเดินก็ให้หยุดชะงัก

                เด็กหนุ่มจ้องมองเงาร่างที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาบานขุ่นเนิ่นนาน กระทั่งขอทานที่เหลียวกลับมามองไม่พบตัวเดินย้อนกลับมา ก่อนชี้ชวนให้เร่งเดินกลับไปที่ร้านขายคทาด้วยกลัวฟ้าจะมืดเสียก่อน เฟรินจึงได้ละสายตาจากกระจกบานนั้นก่อนก้าวเร็ว ๆ ตามสหายไป ...เร็วราวกับถูกภูติผีตนใดไล่หลัง

                หัวขโมยหนุ่มจึงไม่ทันเห็นร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากหลังบานกระจกบานใหญ่เพียงคล้อยหลังเขาไปไม่นาน เขาหยุดยืนมองในตำแหน่งเดียวกันกับที่เฟรินยืนสักครู่ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางทิศที่เฟรินเพิ่งเดินไป คิ้วคมมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย...เล็กน้อยขนาดที่หากไม่สังเกตคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดบนใบหน้าคม 

                ...ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ภาพสะท้อนตรงหน้าก็ยังคงเป็นภาพของตัวเขาเอง ทั้งกระจกเงาบานเขื่องนี้ก็เพียงกระจกธรรมดาที่ไม่ได้มีการลงมนตราใดให้เห็นเงาสะท้อนเป็นอื่นไปได้

    ดวงตาสีฟ้าสดใสที่มองตามหลังหัวขโมยไปนั้น จึงเต็มไปด้วยความฉงนปนสนใจ


                ----------

     

    2017.10.18  09.38 AM


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×