ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] ซวยฉิบหาย! ผมกลายเป็นเมียเขา [จบจ้า]

    ลำดับตอนที่ #57 : Rule 42 : รักพี่ต้องผ่านปราการด่านสุดท้าย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.55K
      49
      30 เม.ย. 56

    30/04/13
    Rule 42 : รักพี่ต้องผ่านปราการด่านสุดท้าย


    ลัน





                    พ่อกับแม่พาผมไปเยี่ยมตากับยายที่ต่างอำเภอโดยที่พ่อกับแม่ทะเลาะกันตลอดทาง  พอตากับยายเห็นหน้าพ่อพวกท่านก็อึกอักทำหน้าไม่ถูก  แต่พ่อของผมก็เตรียมตัวมาดีครับ  มาพวงมาลัยกระเช้าแบรนด์มาขอขมาอย่างดิบดี

                    “พ่อครับ แม่ครับ หลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยลืมเอมกับลูกเลยนะครับ  วันนี้ผมเพิ่งมีโอกาสาขอขมาที่ผมทิ้งลูกสาวกับหลายชายของพ่อกับแม่ไป  ได้โปรดอภัยให้กับคนไม่ดีอย่างผมด้วยนะครับ” พ่อผมคลานเข่าเข้ามากราบตักตากับยายอย่างนอบน้อมทันที

                    “ลักษณ์เอ้ย  พ่อกับแม่ไม่ได้โกรธเคืองเอ็งเลยเพราะลูกสาวของเรานั่นแหละที่ทิ้งเอ็งมา  วันนี้พ่อกับแม่ดีใจนะที่ได้เจอกับเอ็งอีกครั้ง” ยายพูดพลางลูบหัวพ่อเบาๆ พ่อผมยิ้มแป้นเลยล่ะครับ  ส่วนผมที่จุกครับ  ซึ้งจนอยากจะร้องไห้  พ่อลักษณ์คือพ่อของผมจริงๆ สินะ

                    “ส่วนเรื่องเอ็งกับไอ้เอมก็คุยกันเอง  พ่อกับแม่ไม่ขอยุ่งเรื่องนี้นะ  แต่พ่อยังอยากได้เอ็งมาเป็นเขยนะเจ้าลักษณ์” ประโยคสุดท้ายตาก้มลงไปกระซิบกับพ่อที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้น

                    “ผมจะพยายามครับพ่อ” พ่อของผมยิ้มกริ่มทันทีที่ตากับยายเปิดทาง  ส่วนแม่ก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งเหมือนจะงอนตากับยาย

                    “ฮึก ไอ กูซึ้งว่ะ” ไอ้เมฆปาดน้ำตาป้อยๆ พลางกระตุกชายเสื้อผม  พอเห็นอย่างนั้นผมก็ดึงลูกที่น่ารักของผมมาลูบหัวปลอบทันที

                    “ตา ยาย  วันนี้เพื่อนๆ ของผมมาเยี่ยมด้วยครับ” ผมคลานกระดึ๊บๆ ไปหาตากับยายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้บุนวม  พ่อผมขยับให้ผมได้เข้าไปนั่งก่อนจะโอบไหล่ผมเอาไว้แสดงความสนิทสนม

                    “พวกผมขอมารบกวนสักวันของวันนะครับ  ผมเป็นรุ่นพี่ที่คณะของไอเขาน่ะครับ” พี่ลุกซ์เดินเข่าเอากระเช้าแบรนด์มากราบตากับยายซึ่งคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ห่างออกไปก็พร้อมใจกับไหว้ตากับยายของผม  นี่มันดูเป็นทางการไปหรือเปล่าเนี่ย

                    “ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม  ยังไงก็ฝากดูเจ้าไอด้วยนะ  เจ้านี่มันเด็กดื้อ  ถ้าทำอะไรก็ดุด่าได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะลูกนะ” ยายของผมลูบหัวพี่ลุกซ์เบาๆ  ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะหันไปหาพี่ลันที่กำลังยืนหน้าบึ้งเหมือนถูกพี่ลุกซ์แย่งซีน

                    “อ้อ วันนี้ผมมีเรื่องอยากจะมาบอกตากับยายด้วยครับ  ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้ตากับยายจะรับได้กันหรือเปล่าแต่ว่าผมก็ยังอยากจะบอก” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดออกไป  พี่ลุกซ์ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะขยับออกไปยืนกับคนอื่นๆ พลางดันพี่ลันให้มานั่งแทนที่

                    “สวัสดีครับ” พี่ลันนั่งพับเพียบข้างๆ ผมก่อนจะไหว้ตากับยาย  พวกท่านรับไหว้ก่อนจะส่งยิ้มให้พี่ลัน

                    “นี่พี่ลันครับ  เขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะและ...เป็น...” หัวใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างตื่นเต้น  มือผมสั่นและมีเหงื่อออกมาก  อุตส่าห์เตรียมใจมาตั้งนานแต่พอเอาเข้าจริงผมกลับพูดไม่ออก  ผมกลัวตากับยายจะไม่ยอมรับเรื่องของผมกับพี่ลัน  และพอผมแอบสังเกตสีหน้าตากับยายผมก็พบว่าพวกท่านเริ่มหุบยิ้มและมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อผมอึกอัก

                    “เอ่อ...ลันเป็นหลานของผมเองครับ  และลันก็...” พ่อของผมทำท่าจะอธิบายแทนเมื่อเห็นผมมีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

                    “อาครับ  ไม่ต้องครับ” พี่ลันห้ามเอาไว้ก่อนจะเอื้อมมือมากุมหลังมือของผมเอาไว้  ผมหันไปมองพี่ลันด้วยสายตาหวั่นวิตก  ตอนนี้ผมไม่กล้ามองหน้าตากับยายแล้วครับ

                    “พี่ลัน...” ผมเม้มปาก  พี่ลันยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เหมือนจะบอกว่าไม่ต้องกังวล

                    “คุณตาคุณยายครับ  ผมกับไอเราเป็นแฟนกันครับ” พี่ลันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  ผมพลิกฝ่ามือไปกุมมือกับพี่ลันแน่นเพราะความประหม่า  ตอนนี้ตากับยายคงอึ้งไปแล้วล่ะครับ “ผมรักหลานชายของคุณตากับคุณยายครับ  ที่ผมมาวันนี้ผมตั้งใจจะมาขออนุญาตดูแลไอ...ตลอดไปครับ” ผมมองหน้าพี่ลันที่กำลังจ้องมองตากับยายผมด้วยสายตาหนักแน่นไม่ไหวติง  สายตาของพี่ลันไม่ได้ก้าวร้าวดุดันแต่กลับดูจริงจังเหมือนจะยืนยันคำพูดของตัวเอง

                    “เอม!!” เสียงทุ้มต่ำของตาเรียกชื่อแม่ของผมเสียงดังจนผมสะดุ้ง  ตาผมโกรธแน่เลยครับ  แม่เองก็หน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว  “เอ็งรู้เรื่องนี้ไหม!?” ตาถามเสียงเข้ม  ผมกระชับมือพี่ลันแน่นซึ่งพี่มันก็บีบตอบเพื่อให้ผมสบายใจ  ตอนนี้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาตงิดๆ

                    “ระ...รู้ค่ะ” แม่ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก

                    “...” ตาเงียบไปทำให้ผมใจสั่นระรัว

                    “พ่อแม่คะ  เด็กสองคนนี้เขาผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งเยอะ  เขาได้พิสูจน์ให้หนูรู้แล้วค่ะว่าเขารักกัน  ลันเองก็เป็นคนดี  ดูแลไอมาโดยตลอดเลยนะคะ” แม่ผมพูดช่วย  น้ำตาผมเริ่มจะคลอแล้วครับ  ผมรักตากับยายมากและผมก็อยากให้ตากับยายยอมรับพี่ลันที่ผมรักด้วย  ถ้าตากับยายไม่ยอมผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแล้ว  ผมแคร์ท่านทั้งสองมากจริงๆ

                    “ลักษณ์ เอ็งบอกว่าเด็กคนนี้เป็นหลานเอ็งใช่ไหม? แสดงว่ามันเป็นลูกของพี่ชายเอ็งล่ะสิ!?” ตาหันมาถามพ่อ

                    “ครับ” พ่อพยักหน้า

                    “เจ้าคนหัวแข็งคนนั้นมันรู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวเอง?” ตาถามต่อ  น้ำเสียงยังคงดุดันเหมือนเดิม

                    “รู้ครับ”

                    “เจ้านั่นมันใช้เงินฟาดหัวให้หลานข้าเลิกยุ่งกับลูกชายมันเหมือนที่พ่อเอ็งทำกับลูกสาวข้าหรือเปล่า!?!” ตาถามเสียงเหมือนคนโกรธเมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต

                    “ผมไม่เหมือนพ่อนะครับ  ผมไม่สนสมบัติอะไรทั้งนั้น  ถ้ามันทำให้ผมต้องแยกกับคนที่ผมรักผมก็พร้อมที่จะทิ้งมันอย่างไม่ลังเล  เงินทองมันไม่ใช่ที่สุดของชีวิตเรานะครับ! ตราบใดที่ผมยังมีเรี่ยวแรงผมมั่นใจว่าหลานของคุณตาคุณยายไม่มีทางตกระกำลำบากแน่นอน!” พี่ลันพูดอย่างมั่นใจก่อนจะหอบหายใจถี่ๆ เพราะพูดติดต่อกันเยอะผิดวิสัยตัวเอง  ผมมองหน้าพี่ลันก่อนน้ำตาจะไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้  ผมเม้มปากพลางเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือพี่ลันเอาไว้  พี่ลันทำให้ผมมั่นใจว่าผมเลือกรักคนไม่ผิดแม้มันจะผิดธรรมชาติก็ตาม  เรื่องของหัวใจใครก็กำหนดไม่ได้แม้แต่ตัวเราเอง

                    “...” รอบข้างของพวกเราเงียบกริบเมื่อพี่ลันพูดอย่างนั้นออกไป  ตอนนี้ผมไม่กล้ามองหน้าใครทั้งนั้นแม้กระทั่งพี่ลัน  ผมมองแค่มือของเราที่กำลังกุมกันเอาไว้เท่านั้น

                    ครืด!

                    ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ตาก็ลุกขึ้นยืน  ผมมองปลายเท้าของตาก่อนจะก้มหน้าเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น  ผมไม่รู้ว่าตากำลังจะทำอะไร  จะเดินหนีหรือเข้ามาตบพี่ลันผมก็ไม่รู้  ผมกลัวไปหมดทุกอย่างทั้งคำตอบและการกระทำของตา

                    “พ่อเอ็งยอมรับเรื่องนี้ไหมไอ้หนุ่ม?” ตาถามเสียงอ่อนลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลยตราบใดที่ยังไม่ได้ยินคำตอบตรงๆ  แต่อีกใจผมก็กลัว...กลัวคำตอบ

                    “ยอมรับแล้วครับ” พี่ลันตอบ

                    “ดีนะที่ปู่เอ็งอายุสั้นกว่าข้าไม่งั้นคงลำบากเหมือนอาเอ็งแน่” ใจผมเริ่มชื้นขึ้นมาเมื่อตาพูดอย่างนั้น  ผมเงยหน้ามองตาที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะพบรอยยิ้มบนใบหน้าสูงวัยนั่น  น้ำตาผมทะลักยิ่งกว่าเดิมเมื่อตาหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ใช่คนหัวแข็งเหมือนปู่หรือพ่อของเอ็ง  ถ้าเอ็งกล้าทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับเจ้าไอ  ข้าก็กล้าที่จะยกมันให้เอ็งดูแล” พอตาพูดจบเสียงเฮก็ดังขึ้นจากด้านหลัง  ผมปาดน้ำตาพลางหันไปยิ้มให้ทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้  ผมโผเข้าไปกอดเอวตาเอาไว้อย่างดีใจก่อนจะก้มลงกราบเท้าทั้งตาทั้งยายพร้อมพี่ลัน  ท่านทั้งสองลูบหัวพวกผมอย่างเอ็นดูก่อนจะให้พร

                    “ขอบคุณมากนะครับ” พี่ลันยิ้มกว้าง  ผมยิ้มอย่างดีใจที่พี่ลันยิ้มได้กว้างขนาดนี้  เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลยล่ะครับ  ตื้นตันจนน้ำตาไหลไม่หยุดเลยครับ

                    “แต่ถ้าเอ็งทำให้หลานข้าเสียใจล่ะก็ไปจับจองที่ตายไว้ได้เลย ฮ่าๆ” ตาหัวเราะร่าพลางก้มมาตบไหล่พี่ลันสองสามที

                    “โฮ! พ่อ! ดีใจจัง!” ไอ้เมฆร้องไห้โฮพลางวิ่งสไลด์ตัวมากับพื้นไม้เข้ากอดผมที่นั่งอยู่ที่พื้น  ผมว่าแล้วว่าไอ้บ้านี่ต้องร้องไห้แน่เลย “ป๊ะป๋าลันครับ  ฝากดูแลพ่อผมด้วยนะ ฮึก” ไอ้เมฆที่กอดผมอยู่หันไปมองพี่ลันทั้งน้ำตา  พี่ลันยิ้มนิดๆ ก่อนจะพยักหน้า

                    “พ่อไอ ป๊าลันครับ  ขอลูกเมฆให้ผมดูแลได้ไหมครับ?” พี่ขลุ่ยสไลด์ตัวมาเกาะแข้งเกาะขาผมกับพี่ลัน  ทุกคนหัวเราะร่าก่อนที่พวกผู้ใหญ่จะเดินจากไปเพื่อปล่อยให้เด็กๆ อยู่คุยกันเอง

                    “ถ้าลูกผมไม่ยอมผมก็ไม่ให้ครับ” ผมพูด

                    “ถ้ามึงยอมมึงตายแน่ไอ้เหี้ยไอ” ไอ้เมฆถลึงตามองผมก่อนจะชี้หน้าคาดโทษ

                    “อ้าวเฮ้ย ทำไมมึงหยาบคายกับกูงี้วะ? ลูกแบบนี้ไม่อยากมีละ  เอาไปเลยครับพี่ขลุ่ย” ผมแกล้งไอ้เมฆก่อนจะผลักไสไล่ส่งมันให้พี่ขลุ่ยซึ่งพี่ขลุ่ยก็อ้าแขนรับอย่างเต็มใจแต่ไอ้เมฆมันรีบหลบทำให้พี่ขลุ่ยคว้าได้แค่ลม  พวกเราหัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลังเพราะขำที่พี่ขลุ่ยป้อไอ้เมฆไม่ติดสักที




     

                    หลังจากที่คุยกันพลางพาเดินชมบ้านไม้ทรงไทยของตากับยายไปสักพักพวกเราก็ถูกเรียกไปกินข้าวเที่ยง  ตากับยายของผมน่ะเป็นชาวนาที่ขยันทำงานมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มยังสาวทำให้พวกท่านกลายเป็นเศรษฐีประจำหมู่บ้านไปแล้วล่ะครับ  หลังจากต้องทนตรากตรำหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาหลายสิบปีตากับยายก็มีเงินเก็บมากพอที่จะเปิดธุรกิจเล็กๆ นั่นก็คือขายปุ๋ยครับ  คนแถวนี้ทำการเกษตรซะส่วนใหญ่ทำให้ธุรกิจของตากับยายไปได้ดีอีกทั้งตากับยายยังเป็นผู้ใหญ่ที่คนในหมู่บ้านนับถือจึงมีคนเกรงใจท่านเยอะพอสมควร  นอกจากค้าขายปุ๋ยแล้วยังมีการรับจ้างเกี่ยวข้าวด้วยรถเกี่ยวด้วยครับ  พอเริ่มมีเงินเยอะขึ้นตากับยายก็จ้างคนงานมาช่วยดูแลเพราะพวกท่านก็แก่มากแล้วทำให้มีคนมาอยู่ที่บ้านเยอะผมจึงสบายใจเพราะตากับยายีคนดูแลมากมาย

                    คนงานของที่บ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ขายที่จนไม่เหลือแม้แต่บ้านจะอยู่ตากับยายจึงรับมาทำงานด้วยและสร้างบ้านพักคนงานให้อยู่  โชคดีที่พื้นที่บ้านมีพื้นที่หลายไร่จึงมีทั้งบ้านหลัก บ้านพักคนงาน โรงเก็บรถ  โกดังเก็บปุ๋ยเก็บอะไหล่รถ  แต่ถึงบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กจะดูมีพื้นที่เยอะแต่มันก็ยังแคบกว่าบ้านของพี่ลันเยอะเลยล่ะครับ ฮ่าๆๆ  รายนั้นเขาเศรษฐีระดับประเทศนี่นา

                    “เอ้า กินให้อร่อยนะเด็กๆ ยายไม่รู้นะว่าอาหารบ้านนอกแบบนี้จะถูกปากเด็กกรุงเทพฯหรือเปล่า” ยายพูดหลังจากช่วยกันกับคนงานผู้หญิงจัดแจงสำรับอาหารวางไว้บนเสื่อผืนใหญ่ที่ปูต่อกันหลายๆ ผืนใต้ถุนบ้านที่เป็นไม้อย่างดี  เมื่อก่อนลาดปูนครับ  สงสัยทุบทำใหม่ตอนผมไม่อยู่

                    “แบบนี้แหละครับอาหารที่ผมใฝ่ฝัน” ไอ้พี่ขลุ่ยเข้าไปกอดแขนพะเน้าพะนอเอาใจยายทำให้ยายถูกอกถูกใจ

                    อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารพื้นๆ ครับ  มีลาบหมู  ไก่ย่าง  ต้มยำปลา  แป๊ะซะ  ปลานิลปลาทับทิมย่าง  ส้มตำ  พล่ากุ้ง  ปลาราดพริก ส่วนข้าวเป็นข้าวเหนียวครับ  พระเจ้า ลาภปากล่ะงานนี้  ไม่หมดไม่ลุกครับ

                    “คุณยายทำเองทั้งหมดเลยเหรอครับ?” พี่เปอร์ถามอย่างตื่นตาตื่นใจ

                    “ใช่จ้ะ  ถ้าชอบก็มาหายายบ่อยๆ นะ” ยายบอกซึ่งพวกพี่ๆ ก็ยิ้มรับอย่างเต็มใจ  ได้มาเจอตากับยายแบบนี้ผมชักจะไม่อยากกลับไปเรียนซะแล้วสิ  อยู่ช่วยตากับยายทำนาไปเลยซะดีไหมเนี่ย? ฮ่าๆ

                    “โอ๊ย  ยายครับ  ผมล่ะมีความสุขแฮ้งแฮงที่ได้กลับถิ่นเกิด  บ้านผมกะอยู่จังหวัดข้างๆ นี่ล่ะครับ (โอ๊ย ยายครับ  ผมมีความสุขม้ากมากครับที่ได้กลับถิ่นเกิด  บ้านผมก็อยู่จังหวัดข้างๆ นี่แหละครับ)” ไอ้วิทเข้าไปประจบเอาใจยายด้วยการพูดภาษาอิสาน  มันคงอดกลั้นมานานครับ ฮ่าๆ

                    “บ้านผมกะอยู่ถัดๆ ไปอีกคือกันครับยาย  จั่งใด๋ผมกะขอฝากโตเป็นหลานยายจั๊กคนเด้อครับเด้อ (บ้านผมก็อยู่ถัดๆ ไปอีกเหมือนกันครับยาย  ยังไงผมก็ขอฝากตัวเป็นหลานยายสักคนนะครับ)” ไอ้เมฆเดินไปเบียดไอ้วิทออกก่อนจะเข้าไปออดอ้อนยายของผม  เฮ้ยๆ พวกมึงชักจะเอาใหญ่แล้วนะ  ไปอ้อนยายกูแบบนั้นเดี๋ยวกูก็เป็นหมาหัวเน่าหรอก

                    “ได้เลย” ยายผมยิ้มแป้นพลางลูบหัวพวกนั้นที่ย่อตัวลงให้ความสูงต่ำพอให้ยายลูบ

                    “สุดที่รัก ถ้าจะบอกว่าอาหารนี่น่าอร่อยมากพูดว่าไงอ่ะ  พี่ไม่ยอมน้อยหน้าไอ้เด็กสองคนนั่นแน่” ไอ้พี่เสือเข้ามากระซิบถาม

                    “กับเข้าเป็นตาแซ่บบักคักครับผม (อาหารน่าอร่อยมากเลยครับผม)” ผมบอกพลางหัวเราะขำๆ

                    “อีกรอบ  ช้าๆ นะ” ไอ้พี่เสือทำหน้างงนิดๆ ก่อนจะบอกให้ผมพูดอีกผมจึงพูดช้าๆ ชัดๆ ให้พี่มันฟังอีกรอบ “กับเข้าเป็นตาแซ่บบักคักครับผม” ไอ้พี่เสือพูดออกมาทำให้พวกคนที่ฟังภาษาอิสานออกหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งเพราะสำเนียงของพี่มันไทยภาคกลางสุดๆ แถมพี่มันยังพูดด้วยท่าทางมั่นใจแต่พอถูกหัวเราะพี่มันก็จ๋อยทันที  ไม่ใช่แค่พวกผมนะครับที่หัวเราะ  พวกคนงานที่เดินอยู่แถวๆ นั้นก็หัวเราะเหมือนกัน  ไม่ได้จะหัวเราะเยาะนะครับแต่ฟังแล้วมันขำจริงๆ  ประกอบกับหน้าของพี่มันแล้วยิ่งฮาเข้าไปใหญ่

                    “โทษทีนะไอ้หนุ่มแต่ยายอดไม่ได้ ฮ่าๆ” ยายพูดกลั้วหัวเราะ

                    “ฮ่าๆๆ โดนหัวเราะเลยไอ้เสือดำ  สมน้ำหน้า” ไอ้คิมหัวเราะสะใจที่พี่เสือมันเฟล

                    “มึงพูดได้เหรอวะฮะ?” พี่มันทำหน้าไม่พอใจหันไปมองไอ้คิม

                    “ไม่ได้” ไอ้คิมหุบยิ้มก่อนจะตอบจากนั้นก็ขำก๊ากต่อจนหน้ามันแดงก่ำ

                    “ตาลัน  มาหายายซิลูก” ยายที่เริ่มปรับอารมณ์ได้หันมากวักมือเรียกพี่ลันที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม  พี่ลันลุกไปหายายทันทีด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิท  ผมแอบกระซิบบอกยายแล้วล่ะครับว่าพี่ลันเป็นคนหน้านิ่งซึ่งยายเองก็เข้าใจ

                    “ครับ?” พี่ลันตอบรับเมื่อเดินไปถึงตัวยายแล้ว

                    “เห็นเจ้าไอบอกว่าเรากินเผ็ดไม่ได้แต่อาหารส่วนมากมันเผ็ดนะ  อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมเดี๋ยวยายทำให้” ยายพูดพลางคล้องแขนพี่ลันเอาไว้  ท่าทางยายจะถูกใจพี่ลันนะเนี่ย  ดีใจจัง

                    “ไม่เป็นไรหรอกครับ  มีอย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะ  ผมทานได้ครับ” พี่ลันพูดอย่างนอบน้อมพลางโอบยายผมเอาใจซึ่งดูเหมือนยายจะพอใจมาก

                    “โด่ ไอ้นี่มาแรง  พวกเราอุตส่าห์ชมยายตั้งหลายอย่างไม่เห็นยายกอดอย่างนี้มั่งเลย  งอนนะแบบนี้  ใช่ซี้ ไอ้ลันมันเป็นหลานเขยนี่ครับ เชอะ!” สองคู่หูขลุ่ยไทพร้อมใจกันงอนยายผมโดยมีพี่ขลุ่ยเริ่มและพี่ไทเป็นลูกคู่

                    “น้อยๆ หน่อยเฮ้ย  คุณยายลำบากใจนะเห็นไหม?” พี่ลุกซ์หันไปเอ็ดสองคนนั้นด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก  “คุณยายครับ  ผมก็กินเผ็ดไม่ได้แต่ผมก็จะกินทุกอย่างที่คุณยายทำเลยนะครับ” เมื่อคนถูกเอ็ดจ๋อยพี่ลุกซ์ก็รีบลุกไปดึงพี่ลันออกส่วนตัวเองก็เข้าไปประจบยาย

                    “ลุกซ์อย่าแย่งซีน  ถอยไป” พี่ลันดึงพี่ลุกซ์ออกก่อนจะกอดยายผมไว้แน่นพลางหันไปส่งสายตาขู่พี่ลุกซ์ทำให้พี่มันต้องระเห็จตัวกลับมานั่งข้างพี่เปอร์เหมือนเดิมซึ่งดูเหมือนที่เปอร์มันจะหงุดหงิดอะไรก็ไม่รู้พี่มันจึงลุกหนีไปด้วยสีหน้านิ่งสนิทไม่แม้แต่จะมองหน้าพี่ลุกซ์ซะด้วยซ้ำ




     

                    หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จพวกเราก็ไปเตรียมตัวเพื่อจะลองลงเกี่ยวข้าวครับ  ไอ้ผมก็อยู่กับเรือกสวนไร่นามาตั้งแต่เด็กผมจึงไม่มีปัญหาแต่คนอื่นที่ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสบรรยากาศทำนองนี้ไม่รู้วิธีเกี่ยวเลยครับ  ก่อนลงมือปฏิบัติจริงๆ พวกนั้นจึงต้องเข้าคอร์สระยะสั้นกันก่อน

                    “ฮ่าๆ ใส่ชุดนี้แล้วฮามากพี่เตี้ย” ผมหัวเราะเมื่อพี่ลันเปลี่ยนชุดจากชุดหล่อมาเป็นเสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงเลสีเดียวกันพร้อมด้วยผ้าขาวม้าคาดเอว  เมื่อเห็นว่าหลานๆ อยากลองลูกทุ่งสักวันตาผมก็รีบใช้เด็กไปซื้อเสื้อผ้ามาให้พวกผมเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเลยล่ะครับ  เสื้อผ้าที่พวกนี้สวมใส่จึงยังไม่ได้ซักแม้แต่ตัวเดียว

                    “ดูตัวเองซะก่อน” พี่ลันพูดพลางผลักหัวผมเบาๆ

                    “ผมใส่มาตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นจะแปลก” ผมยักคิ้วนิดๆ ก่อนจะขยับเข้าไปผูกผ้าข้าวม้าคาดเอวให้พี่ลันใหม่เล่นเอาพี่ลันยืนนิ่งเลยครับ  เขินล่ะสิ คึๆ

                    “ใส่แบบนี้แล้วสบายตัวดีนะ  ไม่อึดอัด” พี่ลันพูดพลางจัดเสื้อให้ผมดีๆ  พวกเราดูเหมือนพ่อลูกที่กำลังแต่งตัวให้กันเลยล่ะครับ

                    “ถ้าใส่แล้วอึดอัดชาวนาก็ตายกันกลางทุ่งพอดีครับ  เอ้อ พี่เตี้ย  ขอถ่ายรูปหน่อยนะ  จะเอาไปประจารณ์ ฮ่าๆ” พอผูกผ้าคาดเอวให้พี่ลันเสร็จผมก็ถอยออกห่างพลางควักโทรศัพท์ออกมาหวังจะกดถ่ายแต่พี่ลันหันหลังให้ไม่ยอมให้ถ่ายครับ  ที่จริงผมอยากถ่ายเก็บไว้ดู  พี่ลันในชุดแบบนี้ก็ดูหล่อไปอีกแบบนะ

                    “ไม่ให้ถ่าย”

                    “ขอถ่ายหน่อยนะครับ น่านะ” ผมขอร้อง  พี่ลันใส่ชุดแบบนี้หากันง่ายซะที่ไหนล่ะ  จะเอาไปให้แม่พี่ลันกับน้องไลลาดูด้วย  ส่วนพ่อพี่ลันผมไม่ค่อยกล้าพูดด้วยครับ  กลัว

                    “ถ้าอยากถ่ายล่ะก็...จูบดิ” พี่ลันหันกลับมาพลางเดินเข้ามากระซิบเบาๆ  จังหวะที่พี่ลันหันกลับมาผมก็รีบกดชัตเตอร์รัวๆ เลยล่ะครับ

                    “ไม่เอา” ผมบอกทันที

                    “งั้นไม่ให้ถ่าย” พี่ลันยักคิ้วขู่   ผมถ่ายไปหลายรูปแล้วครับ  ถึงมันจะไม่ค่อยชัดก็เหอะนะ

                    “ขอแค่นี้ไม่ได้ใช่ไหม?” ผมถามเสียงเข้ม

                    “ไม่ได้” พี่ลันตอบทันทีเล่นเอาผมใจแป้วเลยครับ  ผู้ชายคนนี้ไม่เคยสะทกสะท้านกับคำขู่กระจอกๆ ของผมเลยครับ

                    “พี่เตี้ยน่ะ! คนอื่นๆ เขาก็ไปหามุมสวยๆ ถ่ายกันหมดแล้วทำไมพี่ไม่อยากถ่ายบ้างล่ะ” ผมถามอย่างขัดเคือง  คนอื่นๆ น่ะพอเปลี่ยนชุดเสร็จก็วิ่งลงจากบ้านชวนกันไปถ่ายรูปเก็บไว้ทันที  ผมก็แค่อยากถ่ายไว้เป็นที่ระลึกแค่นั้นเอง

                    “หนึ่งครั้งต่อหนึ่งรูป” พี่ลันยักคิ้วต่อรอง  ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่ลันก่อนจะกระทืบเท้าอย่างขัดใจ

                    “ไม่ถ่ายก็ได้!  ผมไปถ่ายกับคนอื่นๆ ก็ได้  ไม่ง้อหรอก” ผมแยกเขี้ยวใส่พี่ลันก่อนจะเดินไปที่บันไดอย่างโมโห

                    “แค่นี้ทำเป็นงอนนะสูง” พี่ลันรีบเดินมาดึงแขนผมไว้เพื่อไม่ให้ผมก้าวลงบันได

                    “ก็ดูพี่สิ  เอะอะอะไรก็จะลวนลามอย่างเดียวเลย  แค่ถ่ายรูปยังต้องมีเงื่อนไขด้วย” ผมขมวดคิ้วพูด  ไอ้ผมก็คนคนหนึ่งซึ่งอายเป็นเหมือนกัน  จะมาจูบกันที่บ้านตากับยายผมก็ละอายใจเป็นเหมือนกันนะครับ

                    “โอเคๆ ถ่ายก็ถ่าย  มาถ่ายด้วยกันมา” พี่ลันพูดพลางแย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมแล้วยกมันขึ้นเพื่อถ่ายรูปคู่กันแต่ผมยังนึกโมโหอยู่ก็เลยทำหน้าบึ้งไม่มองกล้อง “งอนแล้วง้อไงดีเนี่ย?  นี่...ถ้าไม่เลิกงอนไปฟ้องพ่อจริงๆ ด้วยนะ” พี่ลันดึงแก้มผมพลางพูดทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา  พี่ลันเคยพูดแบบนี้ที่ไหนครับ? มีอย่างที่ไหนจะไปฟ้องพ่อเรื่องผมงอน  เก๊กหน้าโกรธไม่อยู่เลยงานนี้

                    “พี่เตี้ย! ขำนะ” ผมกลั้นขำจนหน้าร้อนผ่าวๆ ก่อนจะตีแขนพี่ลันเบาๆ

                    “หายงอนแล้วนะ?” พี่ลันถาม

                    “ไม่ได้งอนซักหน่อย  ช่างมันเถอะ  มาถ่ายรูปเลย” ผมพูดพลางสะกิดบอกให้พี่ลันถ่ายรูปต่อ  คราวนี้ผมกับพี่ลันยิ้มให้กล้องครับ  แต่ดูเหมือนพี่ลันจะยังยิ้มไม่ค่อยเป็นถ้าไม่มีอารมณ์จะยิ้มจริงๆ ก็จะยิ้มไม่ออกหน้าพี่ลันก็เลยดูตลกแปลกๆ เหมือนคนกำลังฉีกยิ้มยังไงก็ไม่รู้

                    จากนั้นผมกับพี่ลันก็สลับกันถ่ายรูปจนพอใจแล้วจึงเดินลงไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เลิกถ่ายรูปแล้วเหมือนกัน

                    หลังจากเตรียมตัวลงทุ่งนากันจนพร้อมสรรพพวกเราก็นั่งท้ายรถกระบะสองคันไปที่ทุ่งนาเพื่อลงมือเรียนรู้การเกี่ยวข้าวที่แท้จริง  ถึงตากับยายผมจะทำธุรกิจเกี่ยวข้าวโดยใช้รถแต่พอเป็นข้าวของตัวเองตากับยายชอบที่จะลงแขกเกี่ยวด้วยมือครับ  แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกันแค่สองคนนะครับเพราะคนงานที่บ้านก็มาช่วยทุกคนเลย  และดูเหมือนว่าคนอื่นๆ เขาจะตื่นเต้นกันใหญ่เลยครับ  ผมเองก็ตื่นเต้นเพราะได้มาทำไร่ทำนากับเพื่อนๆ แบบนี้มันคงจะตลกพิลึก


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หายไปเข้าค่ายหลายวัน กลับมาแล้วจ้าาาาาา
    เรื่องนี้ใกล้จบแล้วววว  ใกล้จะได้รวมเล่มอีกแล้ว ฮ่าๆๆ

    มีเรื่องมาแจ้งจ้าสำหรับคนที่โอนเงินเล่มแรกมาแล้วยังไม่ได้บอกที่อยู่น้า
    คนที่โอนเงินมาแล้วยังไม่ได้แจ้งที่อยู่มี
    LA011 LA024 LA036 LA076 LA87 LA102 LA110 LA110 LA114 LA116 LA123 LA125(ที่อยู่ไม่ชัดเจน)
    ใครมีรหัสตามนี้แจ้งมาทางอีเมล์นะคะ  ส่วนคนที่โอนเงินมาแล้วบอกที่อยู่แล้วแต่ยังไม่ได้รับหนังสือก็แจ้งมาทางอีเมล์อีกเช่นกัน  LA091 อยู่ในช่วงจัดส่งค่า  พอดีไปเข้าค่ายมาก็เลยลืมส่งง่า  ขอโทษน้า  

    Free Theme dek-d By i'nutberry
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×