ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Twins number [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #26 : บทที่ ๒๔

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.87K
      22
      27 พ.ค. 59

     

    14 กุมภาพันธ์ 25xx

     

    ผมให้เวลาคุณกลับไปอ่านวันที่อ่านข้ามมาก่อนสองวิ.... อืม... วันสำคัญอีกแล้ว วันนี้พอย่างกลายเข้ามามหาลัยปุ๊ปผมก็สัมผัสได้ถึงออร่าสีชมพูที่แผ่ซ่านไปทั่วอณาเขต มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนรักกัน ช่อดอกไม้ราคาแพงๆ ลูกโป่งสวรรค์หลากสีสันหรือกล่องของขวัญสวยๆก็ถูกถือกันให้ว่อน... แน่นอนว่าไอ้หล่ออย่างผมที่คนทั่วไปยังเข้าใจว่าโสดก็เลยได้รับช็อกโกแลตปริศนามา 3 กล่อง...มันก็เป็นวันดีๆที่หลายๆคนมีความสุขน่ะนะ

     

    แต่กลับกันผมกลับเริ่มหนักใจขึ้นเรื่อยๆ...

     

    “ทำไมทำหน้าอย่างกับคนอมทุกข์งั้นวะ กูรึเปล่าที่ควรทำแบบนั้น.... เฮ้อ... เมื่อไหรวันนี้จะผ่านไปวะ~” หนุ่มโสดอย่างไอ้ปั้นพูดเสียงซังกะตายแล้วท้าวคางนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีบรรดาคู่รักที่ขับรถมารรับกันหรือซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ผ่านไปต่อหน้าต่อตา

     

    “มึงก็ต้องมีนัดกับแกรนด์อ่ะดิ” หลังจากถอนหายใจจนพอใจ มันก็กลับมาอยากรู้อยากเห็น

     

    “อือ”

     

    “เหยยยยยยยยย คบเลยป่าววันเนี้ยยย” มันทำท่าระริกระรี้อี๋อ๋อใส่ผม

     

    เรื่องนี้แหละที่ผมกำลังคิดมาก... ตามปกติมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? และให้ตายเถอะ ผมจะไม่คิดมากเลยถ้าไม่มีเรื่องเมื่อ 2-3 วันก่อน....

     

    ทำไมพออยู่กับมัน ผมถึงลืมทุกอย่างเลยนะ... หลายครั้งแล้วที่ผมลืมเรื่องร้ายๆไปเพราะแค่มีมันอยู่ข้างๆ ลืมทุกอย่างแม้กระทั่งผลกระทบ...เรื่องที่ผมตอบตกลงไปง่ายๆ หรือเรื่องที่ทั้งผมและมันเป็นผู้ชาย และมีผู้หญิงน่ารักๆอยู่ข้างๆแล้วทั้งคู่...

     

    บางที... ไอ้คำตอบของคำถามนั้นผมอาจจะรู้มันอยู่แล้วลึกๆก็ได้ แต่ยังไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจ ว่าจะทำมันให้ชัดเจน หรือผังมันลงไปให้ลึกกว่าเดิม...

     

    ผมทำเลือกที่จะตอบไอ้ปั้นด้วยการยิ้มยักไหล่กวนตีนแทน แล้วแสร้งทำเป็นสนใจอาจารย์ข้างหน้า

     

     “เฮ้อ กูว่ากูก็หล่อนะ แต่รอมาครึ่งวันและทำไมไม่มีใครมาสารภาพรัก ให้ช็อกโกแลตหรือส่งจดหมายนัดในร้านขนมเลยว่ะ” ไอ้ปั้นนั่งบ่นอุบอิบโดยไม่ลืมกระแนะกระแหนผม

     

    -------------------------------------------

     

    ณ ตอนนี้เป็นเวลา 18 นาฬิกา 8 นาที ผมขับไอ้แดงชื่อที่ไอ้ปั้นเรียกบ่อยๆจนเดี๋ยวนี้ติดปากมาจอดหน้าหอแกรนด์ด้วยลุคพระเอกซีรีย์ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ออกมากดโทรหาคนที่อยู่ข้างในและรอสายนิดหน่อย

     

    “ฮั่นแน่ รับเร็วจัง รอสายเราอยู่ป่าวเนี่ยยยย” ผมหยอกทันทีเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

     

    (รออะไรเล่า ....มีอะไรรึเปล่าเนี่ย) ฟังจากเสียงยังรู้เลยว่าเขิน น่ารักจังวุ้ย

     

    “อ๋อ แกรนด์อยู่หอป่าวอ่ะ”

     

    (อื้ม)

     

    “เราทำกระเป๋าตังหายอ่า หาเท่าไหรก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าหล่นหน้าหอแกรนด์เมื่อวานรึเปล่า”

     

    (อ่าวจริงหรอ... จะอยู่ไหมล่ะเนี่ย เดี๋ยวเราลองไปถามป้าภาให้นะ) ป้าภาคือคนดูแลหอน่ะครับ

     

    “อื้ม ขอบใจมากนะ มันสำคัญมากเลยอ่ะ” เสียงฝีเท้าจากปลายสายนี่ทำให้ผมรู้ว่าแกรนด์กำลังรีบลงมา...

     

    ไม่กี่นาทีผมก็เห็นร่างเล็กนั่นหลังประตูลิฟต์ที่เปิดออก และขอขอบคุณสีไอ้แดงมากๆที่เด่นสะดุดตา แกรนด์เลยเห็นผมทันทีทั้งที่ห่างกันหลายเมตร แน่นอนว่าคิ้วเล็กๆนั่นขมวดทันที

     

    “โอ๊ะ เราคิดว่าที่นี่น่าจะไม่มีแฮะ..... ช่วยเราหาต่อหน่อยได้ป่าวอ่ะ” ผมพูดใส่โทรศัพท์ทั้งๆที่กำลังคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปข้างหลัง ทางประตูรถอีกข้าง...

     

    แน่นอนว่ารอยยิ้มเขินนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ....

     

    (เดี๋ยวเรา...)

     

    “แกรนด์ใส่ชุดไหนก็น่ารักนะ เชื่อเราดิ เร็วๆเลย เดี๋ยวกระเป๋าเราหายนะ” ใบหน้าใสๆขึ้นสีแดงชนิดที่ผมที่อยู่ไกลออกมายังเห็นได้ชัด ก่อนที่แกรนด์จะเดินมาแล้วหยุดลงตรงหน้าผมโดยที่ยังไม่วางโทรศัพท์...

     

    (ขอให้มัยหายจริงๆเถอะน่า!) ถึงคำพูดจะดูประชด แต่น้ำเสียงและอารมณ์ที่ใช้ตอนพูดนี่ต่างกันไกลโข...

     

    น่ารักใช่ไหมล่ะครับ อิอิ

     

    -------------------------------------------

     

    “กินอะไรมายังหืม?”

     

    “ก็... เรียบร้อยแล้วล่ะ”

     

    “เราก็เหมือนกัน...” นั่นไง... หันขวับมามองเลยครับ ฮ่าๆๆ

     

    “จะพาไปที่ที่หนึ่งน่ะ” ผมคลี่ยิ้มบางๆ

     

    “เอ๋? ที่ไหนอ่า”

     

    “เอ้า... มันก็ต้องเป็นความลับสิ” ผมยิ้มหัวเราะ...

     

    มันดูราบรื่นใช่ไหมล่ะครับ เซอร์ไพรส์วันนี้น่ะ.... แต่เชื่อไหมล่ะว่าผมเพิ่งมารู้ตัวว่าจะถึงวาเลนไทน์เอาเมื่อวาน... ใช่ โทรไปร้านอาหาร ร้านขนม โรงหนัง หรือที่ไหนๆก็เต็มไปซะหมด จนผมต้องมาหาทางด้นสดเอานี่แหละ

     

    รู้สึกผิดชิบ...

     

    ผมขับรถมาจอดหน้าอาคารหลังหนึ่งก่อนจะพาแกรนด์เข้าไป... ที่นี่เป็นแกลเลอรี่รูปภาพที่ผมมาบ่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ดูเหมือนจะจัดแสดงภาพเกี่ยวกับความรักอยู่ด้วย

     

    “ชอบเปล่า” ผมถามหลังจากเดินดูมาซักระยะ แกรนด์หันมายิ้มแล้วพยักหน้าให้ก่อนจะหันไปมองภาพรอบตัวด้วยสายตาสนใจ... แค่นี้ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย...

     

     มันประหม่านะครับ ที่นี่มันไม่น่าจะใช่สิ่งที่เธอหวังแน่ๆ... แต่กับระยะเวลาแค่นี้ ผมก็ทำได้แค่นี้นั่นแหละ.... ก่อนหน้านี้ผมมัวไปทำอะไรอยู่นะ...

     

    ดันไปวุ่นอยู่กับเรื่องไอ้เด็กนั่นไง...

     

    ผมทอดสายตามองแกรนด์ที่กำลังยืนมองภาพภาพหนึ่งด้วยสายตาที่กำลังตีความหมายของภาพ อยู่ๆความรู้สึกผิดมันก็เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ ผมโชคดีแค่ไหนกันที่ได้มาเจอผู้หญิงแบบนี้ แกรนด์เป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ ไม่เรียกร้องเซ้าซี้และเข้าใจผม แต่ทำไมผมต้องมารู้สึกสับสนอะไรไปกับไอ้เด็กนั่นด้วยนะ... เชื่อไหมว่าระหว่างที่ผมนั่งคิดแพลนวันนี้ หน้ามันก็ลอยมาหาผมเป็นระยะๆ แต่ผมจะต้องไปแคร์มันทำไมล่ะวะ มันเองก็มีแฟนอยู่แล้วนี่ แถมยังมีคนที่ดูท่าว่าจะชอบเอามากๆ... ไอที่เราตกลงกันน่ะ มันก็แค่เรื่องความอยากรู้ตามประสาวัยรุ่นเท่านั้นแหละ... แค่ความอยากรู้เท่านั้น

     

    เราเดินชมภาพกันจนครบทุกชั้นของอาคาร ระหว่างนั้นแกรนด์ก็จะถามผมเป็นระยะๆเกี่ยวกับวิธีวาดหรือความหมายของภาพ จนเวลามาถึง 2 ทุ่มก็ได้เวลาปิดแกลเลอรี่

     

    ผมพาแกรนด์เดินหาอะไรกินเล่นนิดหน่อยแล้วมาหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำ เห็นภาพสะท้อนแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนจากผิวน้ำที่พลิ้วไหว...

     

    “วันนี้ชอบภาพไหนเป็นพิเศษรึเปล่า?”

     

    “หือ? ชอบภาพผู้หญิงคนนั้นที่เป็นไฮไลท์ชั้น 3 นะ เราว่าตาเธอดูสื่อความหมายดี คนวาดนี่เก่งจังแฮะ” แกรนด์พูดไปตักไอศกรีมที่ซื้อมาทานไปด้วย

     

    “แล้ว..... อยากมีภาพวาดเป็นของตัวเองบ้างไหม?”

     

    “หือ?”

     

    ม้วนกระดาษขนาดเอสี่ที่ถูกผูกด้วยโบว์สีฟ้าที่ผมซ้อนไว้ในกระเป๋าสะพายถูกยื่นออกไป แกรนด์มองผมด้วยสายตาตกใจและดีใจไปพร้อมกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเขินอายเมื่อเธอค่อยๆคลี่ม้วนกระดาษออกมาทั้งหมด

     

    ภาพสีน้ำรูปผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยิ้มด้วยรอยยิ้มสดใส... ซึ่งผมเอามาจากรูปหนึ่งในเฟสบุ๊คของเธอที่ผมคิดว่าน่ารักที่สุด... และแน่นอน รูปนี้ถูกวาดขึ้นอย่างเร่งรีบเมื่อคืน... ตอกย้ำความรู้สึกผิดเข้าไปอีกดอก

     

    “สวยจัง... ขอบคุณนะการ์ด...”

     

    “อืม... ชอบรึเปล่า พอจะเทียบกับภาพนั้นได้มั้ย?” ไอ้นี่ก็ช่างกล้าไปเทียบกับศิลปินเนอะ

     

    เธอมองขึ้นมาสบตาผมเล็กน้อย “ชอบสิ....” แล้วก็กลับไปมองภาพแล้วยิ้มให้มันต่อ.... เฮ๊ย ทำแบบนี้มันสองแง่สองง่ามนะ

     

    แล้ว.........เอายังไงต่อดีวะ?

     

    บรรยากาศดีๆ วิวสวยๆ อากาศสบายๆ คนไม่มากแบบนี้นี่เป็นโอกาสดีเลยใช่ไหม? .....แต่ทำไมผมถึงยังลังเลและสับสน

     

    เอาเข้าจริงผมก็ยังอยากคุยกับแกรนด์ไปแบบนี้ไปอีกหน่อย แต่ทำถึงขนาดนี้แล้ว อยู่ๆชวนกลับมันจะรู้สึกยังไงล่ะ? อะไรๆมันก็ดูเป็นใจให้ขนาดนี้แล้ว

     

    ถ้าผมพูดประโยคนั้นออกไป แล้วไอ้โฟล์คล่ะ? ถ้ามันรู้...

     

    “แกรนด์...”

     

    “หือ?”

     

    ผมเงียบ และมองหน้าของผู้หญิงตรงหน้าที่สีหน้ากำลังบ่งบอกถึงความหวังและการรอคอย พลางคิดระหว่างประโยคสองประโยคในหัว ระหว่างชวนคุยเรื่องอื่น และ...

     

    “คบกับเราได้ไหม?”

     

    ปล่อยให้เรื่องของผมกับมันอยู่แค่ข้างในลึกๆก็พอ ใช้คำว่าความอยากรู้ปิดทับมันเอาไว้ และเลือกในสิ่งที่เป็นไปได้

     

    ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าประโยคที่เอ่ยออกไปนั้นเป็นความต้องการจริงๆหรือแค่เพราะกลัวอีกฝ่ายผิดหวัง

     

    -------------------------------------------

     

    17 กุมภาพันธ์ 25xx

     

    เวลาเกือบๆห้าโมงเย็นของวันนี้บรรยากาศมหาลัยเปลี่ยนไปจากศุกร์ที่แล้วโดยสิ้นเชิง เพราะกลิ่นอายสีชมพูของมันถูกกลบด้วยความเครียดที่ปะทุอยู่ในหัวทุกคนจนบรรยากาศกลายเป็นสีเทาขุ่นไปเลยเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงไฟนอล ทำให้มีนิสิตวิ่งเข้าออกห้องทะเบียน หรือหอบชีทเรียนปึกโตเดินไปเดินมากันจนน่าปวดหัว

     

    แต่ก็ทำอะไรกับเด็กคณะเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฏีอย่างผมไม่ได้เท่าไหร เพราะคะแนนส่วนใหญ่มันมาจากพวกชิ้นงาน โปรเจคที่เคยอดนอนโดฟการ์แฟกระป๋องจนติดคาเฟอีนนั่นซะมากกว่า ก็ใช่ว่าจะสบายหรอกนะ...

     

    แต่อย่างน้อยก็สบายกว่าคณะที่ผมกำลังเหยียบอยู่นี่

     

    “นี่มันคณะวิศวะ หรือจำลอง World War Z” ไอ้ปั้นที่มาเป็นเพื่อนผมบ่นเบาๆพลางปรายตามองไปรอบบริเวณที่ผมอยู่ นิสิตห้อยเกียร์ทุกคนล้วนแปรสภาพเป็นซอมบี้ดีๆนี่เอง

     

    ผมปลายตามองเพื่อนสนิทสองคนที่โทรมาอ้อนวอนขอให้ผมซื้อกาแฟบวกเครื่องดื่มชูกำลังแทบทุกยี่ห้อมาส่งให้ถึงคณะ

     

    ทีวันนี้ทำมาจะตาย สองวันที่แล้วมึงยังลากกูเข้าร้านเหล้าอยู่เลย... เนื่องในโอกาสอะไรน่ะหรอ...

     

    ปาร์ตี้สละโสด...

     

    ของผมเอง

     

    [Card : กูไม่โสดแล้วว่ะ]

     

    ข้อความสั้นๆ 5 พยางค์ที่ถูกส่งเข้าไปในแชทกลุ่มเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ ถึงแม้จะดึกจนน่าจะเรียกว่าเช้าของวันที่ 15 มากกว่า แต่ไม่นาน โทรศัพท์ผมก็สั่นครืดๆด้วยข้อความจากเพื่อนที่ช่างอยากรู้อยากเห็น... ก่อนคืนต่อมาทุกคนจะรวมตัวกันที่ร้านเหล้าเจ้าประจำตามคอนเซ็ปมีอะไรก็แดกเหล้าของกลุ่มผม...

     

    ถ้านับมาจนถึงวันนี้ ผมก็มีแฟนได้... 3 วันและ

     

    เซอร์ไพรส์ไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ

     

    อ่า.... ไม่รู้ว่าผมพูดเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องทั่วไปรึเปล่า  แล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรพูดมากกว่านี้ไม๊ เพราะชีวิตผมก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร อาจจะเพราะอยู่ในช่วงใกล้สอบ สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็อาจจะแค่... มีคนคนหนึ่งคอยเป็นกำลังใจให้

     

    แกรนด์ไม่ใช่ผู้หญิงเอาแต่ใจ งี่เง่า หรือไฟแรงอะไร ถึงแม้หลังจากวันนั้นจะยังไม่ได้เจอกันเลย แต่เราต่างก็รู้เหตุผล และเป็นห่วงเรื่องเรียนมากกว่า

     

    “งั้นไม่มีอะไรพวกกูไปล่ะนะ” ผมกับไอ้ปั้นก็เพิ่งจบติววิชาบังคับที่เพื่อนสาวใจดีท็อปคณะช่วยติวให้มาหมาดๆเหมือนกัน หนักใช่เล่น เลยว่าจะกลับไปนอนพักซักหน่อย ดึกๆค่อยลุยต่อ

     

    “แหม ต้องรีบไปรับเด็กนิเทศหรอจ๊ะ” ไอ้เต้ที่พักยกอ่านชั่วคราวมานั่งชันเข่ากระดกเอ็มร้อยไม่วายออกลายกวน

     

    “เลิกค่ำๆนู้นแหละมั๊ง กูว่าก่อนกลับจะแวะไปหาเหมือนกัน” ผมว่าพลางชูถุงขนมร้านอร่อยแล้วยักคิ้วให้

     

    “ฮิ้วววววววววววว” นี่เป็นเสียงของไอ้ปั้น ไอ้เต้ ไอ้มิลค์ และเด็กวิศวะเพื่อนพวกมันที่ผมรู้จักห่างๆร้องแซว

     

    ---------------

     

    “ไม่ให้เราอยู่เป็นเพื่อนแน่นะ” ผมมองผู้หญิงตัวเล็กกว่าตรงหน้าที่เดินออกมาส่งหน้าคณะ

     

    “โหย เพื่อนเราก็เยอะพอแล้ว ฮ่าๆๆ อีกอย่างเธอมาอยู่เดี๋ยวพวกนั้นแซวเราตาย ไม่ได้อ่านกันพอดี” แกรนด์ใบหน้าขึ้นสี เสมองไปทางอื่น

     

    “ฮ่าๆๆ โอเคๆ ตั้งใจนะครับ เลิกแล้วเธอโทรบอกเราด้วยและกัน ถึงห้องก็บอกด้วย” ผมว่าพลางเอามือวางไว้บนศรีษะที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มๆ และออกแรงโยกเบาๆ

     

    “เข้าใจแล้วค่าาาาา กลับได้แล้วไป” แกรนด์เอามือมาจับมือผมออก ปากเล็กๆก็บ่นอุบอิบพลางยู่หน้า “แบบนี้มันอายเค้าอ่ะ”

     

    “เขินเรามากกว่าม๊าง” ผมแกล้งย่อตัวไปจ้องหน้า ก่อนมือเล็กๆจะฟาดมาตีที่ไหล่ดังป้าบ

     

    “โอ๊ย เราเจ็บนะแกรนด์ ฮ่าๆ”

     

    “เจ็บจริงๆก็ดีดิ กลับไปเลย เธอก็มีหนังสือรออ่านอยู่นะ”

     

    “ครับๆ รับทราบครับ” ผมยอมถ่อย เดินโบกมือออกมาแต่ก็ไม่ลืมขยิบตาให้เป็นการแกล้งก่อนจาก

     

    “อ่ะ...” ผมร้องเบาๆหลังรู้สึกถึงแรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง...

     

    โดยไม่รู้ตัว ผมก็เผลอกลั้นผมหายใจและกัดริมฝีปาก

     

    จอสี่เหลี่ยมสว่างๆนั่น โชว์เบอร์ที่ไม่ได้ต่างจากของผมมากมาย...

     

    นิ้วโป้งของผมค้างอยู่บนอากาศชั่วครู่ก่อนกดรับ...

     

    “อ อือ... มีไร”

     

    ---------------

     

    “ไม่ได้มากวนใช่มั้ย” ในลิฟต์แคบๆ เสียงเด็กผู้ชายอีกหนึ่งชีวิตนอกจากผมถามขึ้นเบาๆ

     

    “นิดหน่อย” ผมตอบตามจริง

     

    “อา...” มันทำหน้าลำบากใจ

     

    “ฮ่าๆ ไม่เป็นไร แหม ทำเครียดไปได้” ผมว่าพร้อมตบไหล่มันเบาๆ

     

    “ช่วงนี้กูใกล้สอบแล้วอ่ะ ยุ่งๆหน่อย ว่าแต่มึงก็ไม่ได้จะสอบช่วงนี้เรอะ จะขึ้นม.6 แล้วสิ”

     

    “อืม... ก็อาทิตย์หน้านี่แหละ”

     

    “แหม ชีวิตมัธยมนี่สบายจริงๆ อีกแค่อาทิตย์เดียวยังมีเวลามาแวะอ่านการ์ตูนนะ” ผมบ่นเปรยๆ ทั้งที่เด็กมหาลัยอย่างผมเหลือเวลาอีกเกือบเดือน แต่ก็เริ่มหัวหมุนกันแล้ว

     

    “ถ้ามันรบกวนจริงๆผมกลับก็ได้นะ”

     

    “เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า”

     

    มีเรื่องจะบอกพอดี.... จำเป็นต้องบอกไหมวะ

     

    ผมเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง แอบเหลือตามองเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนชายเสื้อหลุดลุ่ย แขนข้างหนึ่งหนีบจาคอปใบลีบ ส่วนอีกข้างก็หิ้วถุงพลาสติกใบใสมองเห็นกล่องข้าวสองกล่อง

     

    ไอ้โฟล์ค.... ยังเป็นเหมือนทุกวัน... แต่สังเกตดีๆก็มองออกว่ามันดูเกร็งจนเหงื่อเป็นเม็ดเกาะอยู่ตามไรผม

     

    ก็ไม่แปลกหรอกที่จะเกร็ง ผมก็เหมือนกัน... แต่อาจจะเพิ่มความรู้สึกอึดอัดเป็นกังวลเข้าไปนิดหน่อย

     

    ไม่! แม่งไม่ได้นิดหน่อยเลย

     

    ไม่กี่อึดใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกในชั้นที่ต้องการ ขาผมก้าวนำ มือก็เปิดกระเป๋าล้วงๆหาคีย์การ์ดมาแตะแล้วเปิดประตูเข้าไป

     

    “ช่วงนี้รกหน่อยนะ อยากอ่านเล่มไหนก็หยิบๆเอาเลยไม่ต้องขอ”

     

    “อืม...” มันรับคำเงียบๆ แต่กลับไม่ขยับตัวไปไหน

     

    “คือ... จริงๆผมก็ไม่ได้อยากอ่านการ์ตูนหรอก” คำสารภาพของมันทำให้ผมคลี่ยิ้มแหยๆ

     

    “อือ กูก็รู้อยู่แล้วแหละ”

     

    เป็นมุขที่ดูไม่ฉลาดเลยจริงๆถ้าเทียบกับมัน เพราะการโทรมาเพื่อบอกผมว่าอยากอ่านการ์ตูนต่อดูเป็นข้ออ้างที่ตลกเกินไป แถมด้วยการพูดรัวๆเหมือนท่องมานั่นอีก

     

    ไอ้โฟล์คเสตาไปทางอื่น ริมฝีปากหยักๆถูกฟันขบ ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปนั่งที่โซฟา

     

    “พี่มานั่งนี่ดิ”

     

    เจ้าของห้องที่ถูกสั่งให้นั่งในห้องตัวเองอย่างผมขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเดินไปทิ้งตัวลงข้างๆมันโดยง่าย

     

    “ทีนี้ก็หลับตา”

     

    “ฮะ?”

     

    “หลับตาไง เร็วๆดิ”

     

    ผมหลี่ตาพลางขมวดคิ้ว แต่พอเห็นหน้าจริงจังแต่ก็เปื้อนยิ้มของมัน ผมก็ยอมปิดเปลือกตาลง

     

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมพื้นที่จนผมรู้สึกว่ามันนานเกินไปและอยากลืมตาประท้วง แต่สัมผัสเบาๆจากปลายนิ้วเย็นๆบนหัวคิ้วก็ทำให้ผมสะดุ้ง

     

    “อย่าลืมตานะ” เสียงคุ้นหูนั่นดูขอร้องมากกว่าสั่ง ทำให้ผมที่เกือบจะเปิดเปลือกตาขึ้นต้องหลับตาให้แน่นยิ่งกว่าเดิมเหมือนโดนสะกด

     

    หัวใจในอกเต้นตูมตามแข่งกับสมองที่กำลังประเมินสถานการณ์ ตัวก็เกร็งแข็งทื่อจนลืมหายใจ

     

    ผมไม่รู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร

     

    แต่กลับบอกได้ว่ามันต้องไม่ดีแน่ๆ... ไม่ดีต่อใครหลายๆคน

     

    นิ้วโป้งที่อยู่บนหัวคิ้วทั้งสองกดน้ำหนักลงเล็กน้อยและค่อยๆวาดวนเป็นวงกลม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แค่ไหน กลิ่นหอมอ่อนจากตัวมันที่ผมคุ้มชินถึงได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น อาการเกร็งๆของผมเหมือนค่อยๆหายไป หัวคิ้วที่ทีแรกขมวดมุ่นจนปวดกล้ามเนื้อทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้ตัวเองขมวดคิ้วมากเกินไปก็กลับมาเป็นปกติ

     

    ร่างกายผมค่อยๆผ่อนคลายขึ้น สมองโล่งเหมือนอะไรหลายๆอย่างถูกยกลง ลมหายใจเข้าออกตามปกติ จะเหลือก็แต่หัวใจที่ยังคงเต้นตึกตัก

     

    เหมือนผลลัพท์นี่จะทำให้อีกฝ่ายพอใจ นิ้วมือยาวๆถึงได้ยอมละออกไปวางอยู่ที่หัวไหล่

     

    ครู่ใหญ่ๆที่ดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่ง...

     

    ก่อนสัมผัสเบาๆจะเกิดขึ้นบนริมฝีปาก และดูจะไม่ต้องเดาว่ามาจากอวัยวะเดียวกัน

     

    “อะ...” ผมแทบจะร้องขึ้นมาอย่างตกใจและสะดุ้งตัวโยน แต่มือบนหัวไหล่นั่นก็ออกแรงกดพร้อมบีบเบาๆ

     

    ริมฝีปากผมถูกกดน้ำหนักมากขึ้น มือที่อยู่บนหัวไหล่ก็ค่อยๆลูบไล้ผ่านต้นคอขึ้นมาประคองไว้ข้างกรอบหน้า บิดองศามือด้วยแรงเล็กน้อยจนผมรู้สึกเหมือนถูกถนุถนอมให้ศรีษะเอียงเปลี่ยนองศารับจูบหนักๆที่ไม่มีทีท่าจะรุกล้ำ ทำแค่ผ่อนหนักเบา แต่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอมละลาย

     

    ทั้งๆที่มีแค่แรงกดหนักๆ และลมหายใจที่เป่ารดกันและกัน แต่มันกลับดูลึกซึ้งจนแทบจะอยากเรียกว่าจุมพิต...

     

    ผมถูกมัวเมาให้เคลิ้มเป็นเวลาหลายนาทีก่อนอีกฝ่ายจะผละออกอย่างอ่อยอิ่ง

     

    เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาที่ข้างหูราวกับกระซิบ...

     

    “ผมชอบพี่...”

     

    ---------------

     

    รู้สึกเหมือนได้ comeback stage อย่างสวยงาม 5555

    ไม่รู้มีใครยังติดตามกันอยู่มั้ย เพราะเวลาหนึ่งปีมันก็ดูนานเกินไป แต่เรากลับมาทำตามสัญญาแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามทั้งในคอมเมนท์และทวิตเตอร์

    รู้สึกอยากพิมพ์อะไรหลายๆอย่างแต่ไม่เอาดีกว่า เห็นทอล์คตัวเองเมื่อก่อนละยาวไป น่ากลัว 5555

     

    สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณอีกครั้งที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ!!

     

    ปล. อยากมีแท็กในทวิตมั่งอ่ะ #TwimsNumber และกัน แสดงความคิดเห็นได้ค่ะเราจะเข้าไปอ่านนะ

    ปล2. ไม่รู้มีใครเห็นไม๊ว่าเปิดเรื่องใหม่ ช่างไม่เจียมจริงๆ 5555 เป็นแฟนฟิคเกาหลีค่ะ แจ้งไว้ก่อนกลัวโดนงอนว่าจะทิ้งเรื่องนี้ 555

    ปล3. แง โค้ดตกแต่งพังหมดเลย อ่านกันในแอพใช่ไหมคะ งั้นเราไม่แก้ละนะ 5555




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×