ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป

    ลำดับตอนที่ #118 : พระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 256
      0
      15 ธ.ค. 53

     

    สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย (สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี) (พระนามเต็ม: คาร์ล ฟรานซ์ โจเซฟ ลุดวิก ฮิวเบิร์ต จอร์ช มาเรีย; Karl Franz Josef Ludwig Hubert Georg Maria von Habsburg-Lothringen, ภาษาฮังการี: Károly Ferenc József) ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 ถึง พ.ศ. 2461 หลังจากที่ราชวงศ์อิมพีเรียลถูกโค่นอำนาจ พระองค์ทรงครองราชย์โดยไร้อำนาจจนถึงปีพ.ศ. 2465 เมื่อตอนที่ทรงเถลิงวัลย์ราชสมบัติ พระองค์ทรงได้รับพระนามอย่างเป็นทางการว่า สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย (สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี) ; His Imperial and Royal Apostolic Majesty the Emperor Karl I of Austria and the Apostolic King Karl IV of Hungary

    เนื้อหา

    [ซ่อน]

    [แก้] พระราชประวัติ

    [แก้] ขณะทรงพระเยาว์

    สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมพ.ศ. 2430 ณ ปราสาทเพอร์เซ็นบูร์ก ประเทศออสเตรีย ในช่วงแรก ทรงพระนามว่าอาร์คดยุคคาร์ลแห่งออสเตรีย (His Imperial and Royal Highness Archduke Karl of Austria) ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตใน อาร์คดยุคอ๊อตโต้ ฟรานซ์แห่งออสเตรีย และ เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟ่าแห่งแซ็กโซนี และทรงเป็นพระราชนัดดาในอาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย-เอสต์ เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาทางคาทอลิกอย่างเข้มงวด

    อาร์คดยุคคาร์ลทรงได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี หลังจากที่อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ พระราชปิตุลาเสด็จสวรรคตจากการลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโวบอสเนีย เมื่อปี พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นจุดชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 20 พฤศจิกายนพ.ศ. 2459 พระองค์ทรงได้เถลิงวัลย์ราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของอาร์คดยุคคาร์ล ลุดวิก พระอัยกาของพระองค์ พระองค์จึงทรงได้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย

    [แก้] ช่วงเวลาแห่งการครองราชย์

    ในวันที่ 2 ธันวาคมพ.ศ. 2459 นอกจากพระองค์จะทรงเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพราชนาวีออสเตรีย-ฮังการีแล้ว ยังทรงเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพราชนาวีทั้งหมดแทนอาร์คดยุคเฟรเดอริค พระปิตุลาของพระองค์

    ในปีพ.ศ. 2460 พระองค์ทรงมีการติดต่อเจรจาสันติภาพกับประเทศฝรั่งเศสอย่างลับๆ และยังส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพระองค์ เคานท์อ๊อตโตการ์ เซอร์นิน ไปเจรจาเพื่อเจริญความสัมพันธไมตรีกับประเทศเยอรมนี ส่วนพระองค์ก็ทรงกระชับเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส โดยเสด็จไปยังประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเจ้าชายซิกซ์ตัสแห่งบูร์บอง-ปาร์มา ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทัพราชนาวีเบลเยี่ยม และทรงเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระจักรพรรดินีซีตา พระชายาของพระองค์ด้วย ในขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ข่าวก็ถูกเผยแพร่เกี่ยวกับการเจรจาเจริญสันติสัมพันธไมตรี เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 พระองค์จึงรีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการเจรจานี้เลย ทำให้นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส จอร์เจส เคลแมงคลู ส่งพระราชสาส์นมาถึงพระองค์ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศประกาศลาออกจากตำแหน่ง ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทำให้กองทัพราชนาวีของพระองค์เป็นที่พึ่งพาของกองทัพราชนาวีเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องทีผิดในสายตาของกองทัพอื่นๆ

    จักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการีถูกล้มล้างโดยความวุ่นวายภายใน ในช่วงเวลาสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมาพร้อมกับความตึงเครียดของหลายๆ กลุ่ม ซึ่ง ณ จุดนี้ นายวูดโรว์ วิลสันประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ได้เรียกร้องให้จักรวรรดิให้ความเป็นเอกราช และตั้งใจแน่วแน่ในการปกครองบ้านเมือง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเห็นด้วยที่จะลงประชามติต่อสภาอิมพีเรียล และอนุญาตให้มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐของแต่ละกลุ่มในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปนั้นได้อยู่เหนือการควบคุม และไม่ขึ้นตรงสภากลางในกรุงเวียนนา

    เมื่อวันที่16 ตุลาคม พระองค์ทรงแจกจ่ายการประกาศอย่างเป็นทางการของออสเตรียให้กับกลุ่มสหพันธ์ทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เลขานุการของรัฐ โรเบิร์ต แลนซิ่ง ตอบกลับมาว่า เช็กสโลวัก และ สลาฟใต้ จะเข้าร่วมมือ (ที่จริงแล้ว รัฐบาลชั่วคราวของเชกโกสโลวักเกียข้าร่วมมือในวันที่ 14 ตุลาคม) เพราะฉะนั้น การเป็นเอกราชของแต่ละชาติไม่ค่อยยืนยาวนัก

    สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลเมื่อทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษก ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2459

    ด้วยความที่จะรักษาความเป็นจักรวรรดิ การประกาศความเป็นเอกราช ซึ่งพระองค์จะต้องมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นอย่างไม่แน่ไม่นอน เมื่อวันที่31 ตุลาคมประเทศฮังการีประกาศยุติความสัมพันธ์สหภาพระหว่างออสเตรียและฮังการี ทำให้เกิดจุดจบของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในที่สุด และพระองค์ทรงไม่ยอมรับโดยสภาเยอรมัน-ออสเตรีย นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพระองค์ เฮ็นริค แลมมาส ได้แนะนำพระองค์ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป

    ในวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของสงครามโลก พระองค์ทรงประกาศว่าจะทรงยอมรับให้ประกาศเอกราชแก่ประชาชน ซึ่งประชาชนยังคงมีความจงรักภักดี อีก 3 วันต่อมา พระองค์ประกาศเอกราชแก่ฮังการี และทรงหวังที่จะกลับมาครองราชย์ในออสเตรียเพียงประเทศเดียว แต่วันต่อมา ก่อให้เกิดสาธารณรัฐออสเตรียขึ้น พระองค์จึงทรงอพยพไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการลี้ภัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 สภาของออสเตรียล้มเลิกกฎหมาย และเนรเทศราชวงศ์อิมพีเรียลออกนอกประเทศ และล้มล้างราชบัลลังก์ได้ในที่สุด

    สมเด็จพระจกรพรรดิและพระราชวงศ์ขณะทรงลี้ภัย ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ล สมเด็จพระจักรพรรดินี และมกุฏราชกุมารอ๊อตโต้ เมื่อทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษก

    ประชาชนที่จงรักภักดีต่อพระองค์ในประเทศฮังการี พระองค์ยังคงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี แต่ไม่สามารถกลับไปปกครองได้ เนื่องจากสถานการณ์ไม่อำนวย เพราะเพิ่งสิ้นสุดสงครามโลก พระองค์จึงทรงแต่งตั้งมิคลอส ฮอร์ตี้ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งนายมิคลอสมุ่งหวังที่จะสถาปนาราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ล้มเหลว ดังนั้น พระองค์จึงได้ครองราชย์แต่ในนามตั้งแต่ปีพ.ศ. 2462เป็นต้นมา

    [แก้] ช่วงเวลาสุดท้ายของพระชนม์ชีพ

    พระตำหนักที่พระองค์ทรงใช้เวลาช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
    โลงพระศพสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่เกาะมาไดร่า

    สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลทรงใช้เวลาช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่เกาะมาไดรา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นเกาะที่พระราชวงศ์อิมพีรียลออสเตรียทรงพักผ่อนกันเป็นประจำ พระองค์ได้ประทับอยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนเสด็จสวรรคตด้วยโรคปอดบวม เมื่อวันที่ 1 เมษายนพ.ศ. 2465 ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์และพระราชวงศ์ทรงอพยพและพักผ่อนที่เกาะมาไดรา พระศพของพระองค์ฝังไว้ที่โบสถ์ Igreja Nossa Senhora do Monte ในเกาะมาไดรา พระองค์ทรงเป็นพระบรมศานุวงศ์ออสเตรียพระองค์เดียวที่ไม่ได้ทรงฝังพระศพไว้ที่ วิหารฮับส์บูร์ก อิมพีเรียลคริปต์ ในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพพระราชวงศ์ออสเตรียทุกพระองค์ รวมไปถึงสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้า พระชายาของพระองค์ด้วย

    ก่อนถึงวันที่เสด็จสวรรคตนั้น พระองค์ทรงเป็นครูสอนศาสนา ทรงเผยแพร่ศาสนาให้แก่ประชาชนในเกาะมาไดร่ พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญแห่งมาไดราอีกด้วย (St. Karl of Madeira) ส่วนพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ได้ทรงประทับอยู่ร่วมกันบนเกาะจนสมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์

    [แก้] การอภิเษกสมรส

    อาร์คดยุคคาร์ลและเจ้าหญิงซีต้า เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรส

    สมเด็จพระจักรพรรดิทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงซีต้าแห่งบูร์บอง-ปาร์มา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนพ.ศ. 2454 ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชโอรส 5 พระองค์ และพระราชธิดา 3 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้

    • อาร์คดัชเชส เอลิซาเบธ ชาร์ลอต อัลฟองซ่า คริสติน่า เธเรเซีย แอนโตเนีย โจเซฟ่า โรเบิร์ตต้า อ๊อตโตเนีย ฟรานซิสก้า อิสซาเบลล่า ปิอา เจ้าฟ้าหญิงแห่งลิกเตนสไตน์ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมพ.ศ. 2465 สวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคมพ.ศ. 2536 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าชายเฮ็นริคแห่งลิกเตนสไตน์ มีพระราชโอรส-ธิดารวม 5 พระองค์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×