คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #169 : พระจักรพรรดิฟรานซิสที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์ เมื่อนโปเลียนมายุ่ง
สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ภาษาเยอรมัน: Franz II, Heiliger Römischer Kaiser, ภาษาอังกฤษ: Francis II, Holy Roman Emperor) (พระนามเต็ม: ฟรานซ์ โจเซฟ คาร์ล, ภาษาอังกฤษ: Franz Joseph Karl von Habsburg-Lorraine) ทรงเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2335 - พ.ศ. 2349 หลังจากที่พระองค์ถูกรุกรานและก้าวก่ายทางการปกครองของนโปเลียน โบนาปาร์ต อันนำไปสู่สงครามในสมรภูมิออสเตอร์ลิตส์ ทำให้พระองค์ต้องยุบจักรวรรดิ และเปลี่ยนจักรวรรดิรวมทั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ โดยระหว่างปีพ.ศ. 2347 - พ.ศ. 2349 พระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ 2 จักรวรรดิเลยทีเดียว โดยหลังจากเปลี่ยนจักรวรรดิแล้ว พระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย พระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย หลังจากนั้น พระองค์ได้ทรงนำกองทัพออสเตรีย ไปชำระแค้นกับจักรวรรดิฝรั่งเศส ในสงครามนโปเลียน แต่ก็ยังปราชัยอยู่ดี พระองค์จึงส่งพระราชธิดาองค์โต อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์ ให้ไปอภิเษกสมรสกับนโปเลียน เพื่อเป็นการถวายเครื่องราชบรรณาการ และเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างจักรวรรดิออสเตรียและจักรวรรดิฝรั่งเศส
พระปรมาภิไธยเต็มของพระองค์คือ His Imperial Majesty Franz II, Holy Roman Emperor และ His Imperial and Royal Apostolic Majesty Franz I, Emperor of Austria, and the Apostolic King of Hungary
เนื้อหา[ซ่อน] |
[แก้] พระราชประวัติ
สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ทรงเสด็จพระราชสมภพ ณ เมืองฟลอเรนซ์ แคว้นทัสคานี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิลีโอโพลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งขณะนั้น ทรงเป็นแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี ตั้งแต่พ.ศ. 2308 - พ.ศ. 2333) และเจ้าหญิงมาเรีย หลุยซ่าแห่งสเปน (พระราชธิดาในสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลอสที่ 3 แห่งสเปน) เมื่อทรงพระเยาว์นั้น พระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งประชาชนได้คาดหมายพระองค์ว่า จะได้เป็นองค์จักรพรรดิในอนาคต เพราะเนื่องจากพระปิตุลาของพระองค์ สมเด็จพระจักรพรรดิโจเซฟ ไม่ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเลย แล้วนอกจากนี้ พระราชอนุชาของพระองค์ อาร์คดยุคลีโอโพลด์ ซึ่งก็ทรงเป็นพระราชบิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิ ก็ทรงอยู่ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ที่ลำดับที่ 1 อีกด้วย ดังนั้น พระองค์จึงต้องไปทรงศึกษาอย่างเคร่งครัด ณ อิมพีเรียล คอร์ต (Imperial Court) กรุงเวียนนา เพื่อในการเตรียมตัวสำหรับอนาคตของพระองค์
สมเด็จพระจักรพรรดิโจเซฟ ผู้เป็นพระราชปิตุลา ทรงทราบถึงการพัฒนาการของพระราชนัดดาของพระองค์ และรู้ซึ้งถึงระบอบการปกครองย่างเคร่งครัด ซึ่งแตกต่างจากระบอบการปกครองของแกรนด์ ดยุคลีโอโพลด์ ผู้เป็นพระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นองค์พระประมุขแห่งแคว้นทัสคานี อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชปิตุลายังทรงเห็นว่า การศึกษาที่เคร่งครัดและระเบียบวินัยในตัวพระราชนัดดายังไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากพระองค์ถูกแยกให้ศึกษาพระองค์เอง สมเด็จพระราชปิตุลาทรงเกรงว่า อาจทำให้พระราชนัดดาล้มเหลวในการพึ่งพาตนเอง เพราะพระองค์ไม่ได้รับการศึกษาพร้อมกับผู้อื่น แต่ถึงอย่างไร ว่าที่สมเด็จพระจักรพรรดิฟรารนซ์ทรงประทับใจและนับถือสมเด็จพระราชปิตุลาเป็นพระองค์ตัวอย่าง โดยพระองค์ทรงตั้งอกตั้งใจเข้ารับการศึกษาอย่างเต็มที่ ต่อมา พระองค์ทรงได้เข้ารับการฝึกทหาร และร่วมรบในประเทศฮังการี พระองค์จึงทรงซึมซาบความเป็นทหารอย่างเต็มที่...
เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิโจเซฟเสด็จสวรรคตเมื่อปีพ.ศ. 2333 แกรนด์ ดยุคลีโอโพลด์ พระราชบิดาได้ทรงสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชเชษฐา ซึ่งขณะนั้น พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการสะสางความบาดหมางทางการเมืองการปกครอง อาร์คดยุคฟรานซ์ จึงทรงได้รับการสถาปนาเป็นมกุฏราชกุมารแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อฤดูหนาว พ.ศ. 2334 พระราชบิดาทรงมีพระอาการประชวรอย่างหนัก ภาวะตึงเครียดมาถึงพระราชวงศ์ทันที โดยเฉพาะอาร์คดยุคฟรานซ์ พระอาการประชวรเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ช่วงบ่ายของวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2335 สมเด็จพระจักรพรรดิลีโอโพลด์ทรงเสด็จสวรรคตอย่างสงบ ด้วยพระชนมพรรษาเพียง 44 พรรษา อาร์คดยุคฟรานซ์จึงทรงได้สืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดาด้วยพระชนมายุเพียง 24 พรรษา
[แก้] สมเด็จพระจักรพรรดิ
เมื่อพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นองค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว วิกฤติแรกในเข้ามาคือ คำขู่จากนโปเลียน โบนาปาร์ต หรือสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ได้เข้ามาก้าวก่ายการเมืองการปกครองและระบอบต่างในราชสำนักหลายประเทศในทวีปยุโรป รวมทั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย โดยพระองค์ทรงตระหนักถึงภาวะตึงเครียดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิโรมันกับจักรวรรดิฝรั่งเศส เพราะว่าสมเด็จพระราชปิตุจฉาของพระองค์ สมเด็จพระราชินีมารี อังตัวเนตแห่งฝรั่งเศส ทรงถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตินในการปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2336 โดยที่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยใยดีและทรงเฉยเมยต่อชะตากรรมของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เพราะเนื่องจากสมเด็จพระราชินีมารี อังตัวเนตไม่ทรงสนิทสนมกับพระราชบิดาของพระองค์เท่าใดนัก ทั้งที่ทรงเป็นพระเชษฐภัคินีแท้ๆของพระองค์ และทรงเป็นสมเด็จพระปิตุจฉาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์เสียด้วยซ้ำ ถึงแม้พระองค์จะทรงไม่เคยเห็น จอร์ช แดนตัน ประธานองคมนตรีและสมุหนายก ได้มีการเจรจากับพระองค์ให้ทรงเข้าช่วยเหลือปล่อยสมเด็จพระราชปิตุจฉาจากที่คุมขัง แต่สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเมินเฉย โดยต่อมา พระองค์ทรงนำกองทัพเข้าร่วมรบในสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส โดยกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีจากกองทัพของนโปเลียน โดยในสมรภูมิแคมโป ฟอร์มีโอ พระองค์ทรงยอมจำนน ยกไรน์ให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับเวนิส และดาลมาเทีย แต่ต่อมา พระองค์ทรงนำกองทัพจู่โจมฝรั่งเศสในสมรภูมิออสเตอร์ลิตส์ แต่ได้รับความพ่ายแพ้ไป โดยมีการทำสนธิสัญญาเพรสบูร์กขึ้น ซึ่งเป็นยุบระบอบการปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ลง และก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรียเป็นจักรวรรดิใหม่
เมื่อปีพ.ศ. 2352 พระองค์ได้นำกองทัพเข้าจู่โจมฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อหวังผลประโยชน์จากสงครามคาบสมุทรที่นโปเลียนสามารถยึดสเปนได้ แต่ก็ถูกโจมตีและได้รับความพ่ายแพ้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ พระองค์ทรงนึกคิดอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับจักรวรรดิฝรั่งเศส โดยทรงมีพระมีพระบรมราชโองการให้พระราชธิดาองค์โตของพระองค์ อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์ไปอภิเษกสมรสกับนโปเลียน แต่นโปเลียนเห็นว่าพระองค์ทรงส่งพระราชธิดามาอภิเษกเหมือนเป็นการส่งราชบรรณาการ ฝรั่งเศสจึงได้ออสเตรียเป็นเมืองประเทศราช เหมือนเมืองทาส เพราะนโปเลียนได้ประเทศอื่นๆในยุโรปเป็นเสมือนทาสรับใช้ เช่น ประเทศในแถบเยอรมัน รวมทั้งปรัสเซียด้วย
ในปีพ.ศ. 2356 ออสเตรียได้เข้าจู่โจมฝรั่งเศสอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 และเป็นครั้งสุดท้าย โดยครั้งนี้ออสเตรียได้ร่วมมือกับสหราชอาณาจักร รัสเซีย และปรัสเซียโจมตีนโปเลียน โดยออสเตรียได้เปรียบในตอนสุดท้าย คือการตั้งการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna) โดยมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง เจ้าชายคลีเมนส์ เว็นเซิลแห่งเม็ทเตอร์นิชเป็นองค์ประธาน เพื่อช่วยในการปฏิรูประบอบการปกครองของราชอาณาจักรหรือจักรวรรดิต่างๆ รวมทั้งมีการก่อตั้งกลุ่มสมาพันธรัฐเยอรมัน (German Confederation) เพื่อเป็นหน่วยย่อยในการดูแล ควบคุมระบอบการเมืองการปกครองของกลุ่มประเทศเยอรมัน โดยการประชุมที่เวียนนาได้จัดระบบประเทศต่างๆของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยให้สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์เป็นองค์ประธานในการประชุมที่เวียนนาและกลุ่มสมาพันธรัฐเยอรมัน โดยพระองค์ทรงเป็นเจ้าภาพร่วมกับพระราชวงศ์ประเทศอื่นในการประชุม แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้ทรงตัดความสัมพันธ์กับรัสเซียและปรัสเซีย คือสมเด็จพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย และสมเด็จพระราชาธิบดีฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ในการเจรจาสนธิสัญญาลับในการฟื้นฟูสถาปนาสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศสให้เป็นองค์พระประมุขฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง
[แก้] เหตุการณ์ภายในประเทศ
หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งสร้างความประทับพระทัยต่อพระองค์เป็นอย่างมาก โดยช่วงเวลานั้น พระองค์ทรงอารมณ์ดีตลอดเวลา แต่พระองค์ไม่ทรงไว้ใจพวกหัวรุนแรงในออสเตรียที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส ในปีพ.ศ. 2337 มีการก่อตั้งกองทัพราชนาวีออสเตรียและฮังการีอย่างลับๆ โดยผู้นำได้อยู่ในการพิจารณา แต่คำตัดสินของคณะลูกขุนได้ให้หาทางจัดการกับขอบเขตภายนอกของการก่อตั้งกองทัพอย่างลับๆนี้ อาร์คดยุคอเล็กซานเดอร์ ลีโอโพลด์ (ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งสมุหนายกแห่งฮังการี) ทรงเป็นองค์ประธานของคณะลูกขุนที่เข้าจัดการเกี่ยวกับการก่อตั้งกองทัพอย่างลับๆนี้ ซึ่งในที่สุด สามารถจับกุมตัวการทั้งหมดได้ ศาลตัดสินให้ประหารชีวิตบ้าง และจำคุกตลอดชีวิต
สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเป็นคนขี้ระแวง พระองค์ทรงก่อตั้งตำรวจ สายลับในเครือข่ายที่กว้างขวาง เพื่อตรวจสอบสภาพการเมืองทั้งหมดอย่างลับๆ อันที่จริงแล้ว พระองค์ทรงสืบสานต่อพระปณิธานพระราชบิดาที่ทรงก่อตั้งสายลับตรวจสอบสภาพการเมืองอย่างลับๆที่แคว้นทัสคานี โดยการก่อตั้งสายลับนี้ พระราชอนุชาของพระองค์ อาร์คดยุคคาร์ล และอาร์คดยุคโจฮันน์ทรงเป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย นอกจากนี้ พระองค์ก็ทรงนำนโยบายในการบริหารประเทศจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มาใช้ในการปกครองจักรวรรดิด้วย ถึงแม้ว่า ตอนนี้ พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย โดยพระองค์ทรงถอดถอนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ออกจากกลุ่มเยอรมัน ซึ่งสร้างความเคลือบแคลงให้กับสภากฎหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
[แก้] อภิเษกสมรส
สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ทรงอภิเษกสมรสถึง 4 ครั้ง ดังนี้...
- เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2331 ทรงอภิเษกสมรสกับดัชเชสเอลิซาเบธแห่งวืร์ทเต็มเบิร์ก (ประสูติ 21 เมษายน พ.ศ. 2310, สิ้นพระชนม์ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2333) ทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันหลังจากให้ประสูติกาลพระธิดา อาร์คดัชเชสลูโดวิก้า เอลิซาเบธ ฟรานซิสก้า ซึ่งก็ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อยังทรงเป็นทารก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2334
- เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2333 ทรงอภิเษกสมรสกับพระญาติของพระองค์ เจ้าหญิงมาเรีย เทเรซ่าแห่งทู ซิชิลีส์ (ประสูติ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2315, สิ้นพระชนม์ 13 เมษายน พ.ศ. 2350) พระราชธิดาในสมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งทู ซิชิลีส์ ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระอัยกีพระองค์เดียวกัน คือ สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซ่าแห่งออสเตรีย ทั้ง 2 พระองค์ทรงมีพระราชโอรส 4 พระองค์ และพระราชธิดา 8 พระองค์ รวมพระราชบุตร 12 พระองค์ ดังนี้...
- อาร์คดัชเชสมารี หลุยส์ ลีโอโพลดีน ฟรานซิสก้า เธเรเซีย โจเซฟ่า ลูเซีย ทรงประสูติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2334 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2390 พระมเหสีในนโปเลียน โบนาปาร์ต อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 กับเค้านท์อดัม อัลเบิร์ตแห่งไนปเปิร์ก และครั้งที่ 3 กับมาร์ควิสมาร์ค มารีแห่งบอมแบลล์
- สมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ คาร์ล ลีโอโพลด์ โจเซฟ ฟรานซ์ มาร์เซอลิน ทรงเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2336 ทรงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2418 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมาเรีย แอนนาแห่งแซ็กโซนี ไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเลย
- อาร์คดัชเชสมารี แคโรไลน์ ลีโอโพลดีน ฟรานซิสก้า เธเรเซีย โจเซฟ่า เมอร์ดาร์ด ทรงประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2337 สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันเมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2338
- อาร์คดัชเชสแคโรไลน์ ลูโดวิก้า ลีโอโพลดีน ทรงประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2338 และทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2342
- อาร์คดัชเชสมาเรีย ลีโอโพลดีน่า โจเซฟ่า แคโรไลน์ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2340 สิ้นพระชนม์วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2369 ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดิเปโตรที่ 1 แห่งบราซิล
- อาร์คดัชเชสมาเรีย คลีเมนติน่า ฟรานซิสก้า โจเซฟ่า ทรงประสูติเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2341 สิ้นพระชนม์วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2424 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายลีโอโพลโด้แห่งทู ซิชิลีส์
- อาร์คดยุคโจเซฟ ฟรานซ์ ลีโอโพลด์ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2342 ทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2349
- อาร์คดัชเชสมารี แคโรไลน์ เฟอร์ดินานด์ เธเรเซีย โจเซฟีน เดเมเทรีย มกุฏราชกุมารีแห่งแซ็กโซนี ทรงประสูติเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2344 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2375 ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีฟรีดริช ออกัสตัสที่ 3 แห่งแซ็กโซนี
- อาร์คดยุคฟรานซ์ คาร์ล โจเซฟ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2345 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2421 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงโซฟีแห่งบาวาเรีย ทรงมีพระโอรส-พระธิดารวม 6 พระองค์
- อาร์คดัชเชสมาเรีย แอนนา ฟรานซิสก้า เธเรเซีย โจเซฟ่า เมอร์ดาร์ดทรงประสูติเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2347 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2401
- อาร์คดยุคโจฮันน์ เนโพมัค คาร์ล ทรงประสูติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2348 ทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352
- อาร์คดัชเชสอมาลี่ เธเรซ่า ทรงประสูติเม่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2350 และทรงสิ้นพระชนม์กระทันหันเมื่อวันที่ 9 เมษายน ในปีเดียวกัน
- เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2351 ทรงอภิเษกสมรสกับอาร์คดัชเชสมาเรีย ลูโดวิก้าแห่งออสเตรีย-เอสต์ พระธิดาในอาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย-เอสต์ (ประสูติ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2330, สิ้นพระชนม์ 7 เมษายน พ.ศ. 2359) ไม่ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเลย
- เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2359 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแคโรไลน์ ออกัสต้าแห่งบาวาเรีย พระราชธิดาใน สมเด็จพระราชาธิบดีแม็กซีมีเลียนที่ 1 แห่งบาวาเรีย(ประสูติ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2335, สิ้นพระชนม์ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2416) โดยก่อนหน้านี้ได้ทรงเคยอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเฮล์มที่ 1 แห่งวืร์ทเต็มเบิร์กมาก่อน
[แก้] ช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2378 43 ปีแห่งการครองราชย์ของพระองค์ สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ทรงเสด็จสวรรคต จากการประชวรไข้อย่างหนัก รวมพระชนมายุได้ 67 พรรษา พระศพถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ โดยในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรียและสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีการเก็บพระศพของพระองค์ไว้ที่มหาวิหารเซนต์ สตีเฟน กรุงเวียนนา 3 วัน จากนั้นนำไปฝังไว้ที่วิหารฮับส์บูร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ออสเตรียมาช้านาน พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ท่ามกลางพระศพของพระชายาทั้ง 4 พระองค์
ความคิดเห็น