ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป

    ลำดับตอนที่ #66 : เจ้าหญิงมาร์ธาแห่งสวีเดน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 382
      0
      21 เม.ย. 55

     

    เจ้าฟ้าหญิงมาร์ธาแห่งสวีเดน (อังกฤษ: Princess Märtha of Sweden, มาร์ธา โซเฟีย โลวิซา แด็กมาร์ ไธรา; 28 มีนาคมพ.ศ. 2444 - 5 เมษายนพ.ศ. 2497) ทรงเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์พระองค์แรกในยุคปัจจุบัน ซึ่งมิได้ทรงเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดนหรือเดนมาร์ก อีกทั้งยังทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งนอร์เวย์มาตั้งแต่แรกประสูติจนกระทั่งถึงการแยกออกตัวออกจากการรวมตัวกันระหว่างประเทศสวีเดนและนอร์เวย์ในปี พ.ศ. 2448

    พระองค์ทรงเป็นพระชายาและพระญาติชั้นที่สองในสมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ เมื่อสมัยที่ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร เนื่องจากพระชนกและพระชนนีของทั้งสองพระองค์เป็นพี่น้องกัน และทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชาธิบดีออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดน โดยทรงเกี่ยวข้องเป็นพระอัยยิกาอยู่ทางฝ่ายพระชนกของสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน เนื่องจากทรงมีศักดิ์เป็นพระญาติชั้นที่สองในเจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดน ดยุคแห่งวาสเตอร์บ็อตเต็น และเป็นพระชนนีในสมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 แห่งนอร์เวย์

    เจ้าหญิงประสูติเมื่อวันที่ 28 มีนาคมพ.ศ. 2444กรุงสต็อกโฮล์ม โดยทรงเป็นพระธิดาพระองค์รองในเจ้าชายคาร์ลแห่งสวีเดน ดยุคแห่งวาสเตอร์เกิตลานด์ และ เจ้าหญิงอินเกบอร์กแห่งเดนมาร์ก พระอัยกาทางฝ่ายพระชนกคือ สมเด็จพระราชาธิบดีออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดน ส่วนพระอัยกาฝ่ายพระชนนีคือ สมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดริคที่ 8 แห่งเดนมาร์ก เจ้าหญิงมาร์กาเรธา พระภคินีองค์ใหญ่ทรงอภิเษกกับเจ้าชายแอ็กเซลแห่งเดนมาร์ก พระญาติชั้นที่หนึ่งทางฝ่ายพระชนนี ส่วนเจ้าหญิงแอสตริดแห่งสวีเดน พระขนิษฐาองค์เล็กทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีเลโอโพลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม ในขณะที่พระอนุชาพระองค์เล็กคือ เจ้าชายคาร์ลแห่งสวีเดน ดยุคแห่งออสเตอเกิตลานด์ ทรงอภิเษกสมรสต่างฐานันดรศักดิ์กับหญิงสาวสามัญชน

    เนื้อหา

    [ซ่อน]

    [แก้] มกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์

    เจ้าหญิงทรงหมั้นหมายกับเจ้าชายโอลาฟ มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ พระญาติชั้นที่สอง ในช่วงกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนเมื่อปี พ.ศ. 2471กรุงอัมสเตอร์ดัมประเทศเนเธอร์แลนด์ ข่าวการหมั้นหมายของทั้งสองพระองค์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเป็นเสมือนกับสัญญาณบ่งบอกว่าไม่เหลือความตึงเครียดระหว่างประเทศสวีเดนและประเทศนอร์เวย์หลังจากการแยกตัวออกจากกันในปี พ.ศ. 2448 อีกทั้งยังถือเป็นการจับคู่อันยอดเยี่ยมในด้านการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ให้แนบแน่น อันจะเห็นได้ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาจากความรักด้วย

    เจ้าหญิงมาร์ธาทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 21 มีนาคมพ.ศ. 2472 ณ มหาวิหารออสโล กรุงออสโล กับ มกุฎราชกุมารโอลาฟ จึงทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์ (Her Royal Highness The Crown Princess of Norway) ตลอดพระชนม์ชีพจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ สำหรับงานพิธีอภิเษกสมรสนี้ถือว่าเป็นงานพระราชพิธีของประเทศนอร์เวย์ในรอบ 340 ปี

    เจ้าหญิงมาร์ธาซึ่งทรงมีพระจริยวัตรอันมีเสน่ห์ เปิดเผยและทรงงานหนัก ทรงกลายเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์นอร์เวย์ที่น่าชื่นชมและน่าเคารพอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานาประการ และยังทรงกล่าวสุนทรพจน์ต่างๆ มากมาย อันผิดธรรมดาสำหรับสตรีในพระราชวงศ์สมัยนั้น

    เจ้าชายมกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงมกุฎราชกุมารีประทับอยู่ที่พระตำหนักในเขตพระราชฐานเมืองสเคากุม ที่เป็นของขวัญวันอภิเษกสมรสจากฟริตซ์ เวเดล ยาร์ลส์แบร์ก เมื่ออาคารใหญ่ของพระราชวังสเคากุมถูกไฟเผาทำลายในปี พ.ศ. 2473 เจ้าหญิงมาร์ธาทรงมีส่วนร่วมอย่างมากในการวางแผนสร้างอาคารหลังใหม่ ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและธิดารวม 3 พระองค์คือ

    [แก้] สงครามโลกครั้งที่ 2

    เมื่อกองทัพเยอรมันบุกประเทศนอร์เวย์ในวันที่ 9 เมษายนพ.ศ. 2483 พระราชวงศ์ รัฐบาลและสมาชิกส่วนมากของรัฐสภานอร์เวย์เตรียมการที่จะหลบหนีก่อนพวกทหารเยอรมันจะถึงกรุงออสโล เจ้าหญิงมาร์ธาและพระโอรสธิดาทั้งสามพระองค์ทรงข้ามชายแดนไปยังประเทศสวีเดนในคืนนั้น แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับของชาวสวีเดน บางคนเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อความเป็นกลางของประเทศ ในวันที่ 12 สิงหาคม ทุกพระองค์ได้เสด็จยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามคำทูลเชิญของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ โดยในระยะแรกทรงประทับที่ทำเนียบขาว อันเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2479 ก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป เจ้าหญิงได้เสด็จพร้อมกับเจ้าชายโอลาฟไปในภาคกลางตะวันตกตอนบนของประเทศสหรัฐอเมริกา และระหว่างการเสด็จเยือนทั้งสองพระองค์ทรงได้เจริญสัมพันธไมตรีของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาและภริยาคือ นางเอเลียนอร์ รูสเวลท์

    สัมพันธภาพกับสหรัฐอเมริกาของทั้งสองพระองค์ได้เปิดทางอันสว่างไสวแก่เจ้าหญิงมาร์ธา ซึ่งทรงงานอย่างขยันหมั่นเพียรเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ต่างๆ ของประเทศนอร์เวย์ พระองค์ทรงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ มากมาย นับตั้งแต่การเสด็จเยือนอย่างเป็นทางการ การบรรยายและกล่าวสุนทรพจน์ ตลอดไปจนถึงการให้ความช่วยเหลือและเข้าร่วมหน่วยงานอาสาบรรเทาทุกข์สำหรับผู้ลี้ภัยในสภากาชาด การกระทำประโยชน์ดังกล่าวของเจ้าหญิงได้สร้างความประทับใจให้แก่ประธานาธิบดีรูสเวลท์เป็นอย่างมากและส่งผลให้เกิดสุนทรพจน์ชื่อ "มองไปสู่นอร์เวย์" (Look to Norway) เมื่อวันที่ 16 กันยายนพ.ศ. 2485

    เจ้าหญิงมกุฎราชกุมารีทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและยิ่งใหญ่เมื่อเสด็จกลับสู่ประเทศนอร์เวย์พร้อมพระโอรสธิดาและสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนพ.ศ. 2488 ความมานะอุตสาหะอย่างไม่หยุดหย่อนของพระองค์ในการช่วยเหลือประเทศชาติระหว่างสงครามทำให้ทรงเป็นที่นิยมชมชอบต่อชาวนอร์เวย์เป็นอย่างมาก และทำให้ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "แม่ของแผ่นดิน" (mother of the nation)

    เมื่อพระพลานามัยของสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนย่ำแย่ลง เจ้าชายมกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงมุฎราชกุมารีก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เพิ่มขึ้นมากมาย เจ้าหญิงทรงมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการนานัปการ แม้แต่การกล่าวสุนทรพจน์ก่อนวันขึ้นปีใหม่เป็นประจำทุกปีในปี พ.ศ. 2489 และ พ.ศ. 2493

    [แก้] สิ้นพระชนม์

    เจ้าหญิงมาร์ธาทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์แข็งแรงและประชวรอยู่หลายครั้ง พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 เมษายนพ.ศ. 2497กรุงออสโล เมื่อพระชนมายุ 53 พรรษา สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ให้แก่มกุฎราชกุมารโอลาฟ พระสวามี พระโอรสและธิดา รวมไปถึงประเทศนอร์เวย์ด้วย

    พระองค์มิได้ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์อย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ตาม โยฮันเนส สเมโม พระราชาคณะแห่งออสโลได้กล่าวไว้ว่า "ในหัวใจของพวกเราชาวนอร์เวย์ พระองค์ได้ทรงเป็นพระราชินีของพวกเรามานานแล้ว และจะทรงเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดไป"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×