คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #175 : กรมหมื่นไกรสรวิชิต ปราชญ์ราชบัณฑิตในรัชกาลที่ 3
เจ้าพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์คลี่ สุทัศน์) แต่งกายชุดพระยายืนชิงช้า ในรัชกาลที่ ๕ |
ในบรรดาเจ้านายที่เป็นกวีนั้น กรมหมื่นไกรสรวิชิต องค์หนึ่ง กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์อีกองค์หนึ่ง ไม่สู้จะมีผู้รู้จักพระองค์ท่านเท่าใดนัก ทั้งๆที่ทรงเป็นกวีอย่างปราชญ์ คือมิใช่แต่งโคลงกลอนเรื่องรักๆใคร่ๆอย่างที่เรียกกันว่าโคลงกลอนสังวาส และเพลงยาวสังวาส และหรือกลอนเรื่องประโลมโลกเท่านั้นหากแต่ทรงนิพนธ์อย่างเป็นตำรา คือโคลงกลอนกลบทและกลอักษรต่างๆ ซึ่งแต่งยากเนื่องจากลักษณะของโคลงหรือกลอนมี ‘กล’ บังคับตายตัว
กรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์ เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๓ ต้นราชสกุล ‘คเนจร ณอยุธยา’ เก็บท่านไว้ก่อน ไว้เล่าโอกาสหน้า
อันโคลงหรือกลอน กลบท กลอักษร ต่างๆนั้น บางบทก็มีมาแต่โบราณ แต่บางบทกวีท่านก็แต่งขึ้นใหม่เป็นตำรา
ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อโปรดฯให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิตแต่งกลอนกลบทจารึกไว้ที่เสาระเบียงพระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ฯกรมหมื่นไกรสรวิชิต เป็นกวีพระองค์หนึ่ง ซึ่งทรงพระนิพนธ์ กลอนกลบทไว้ ๕ แบบด้วยกัน คือ กลบทมังกรคาบแก้ว กลบทพยัคฆ์ข้ามห้วย กลบทพิณประสานสาย กลบทมยุราฟ้อนหาง
นอกจากกลอนกลบทที่ทรงนิพนธ์เองแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตระหนักในพระปรีชาสามารถทางกวีของกรมหมื่นไกรสรวิชิต ในการทรงพระราชนิพนธ์กลอนกลอักษร ๖ บท จารึกที่เสาระเบียงวัดพระเชตุพนฯนั้น จึงโปรดให้กรมหมื่นไกรสรวิชิต ทรงนิพนธ์โคลงบอกกลอักษร (คือ อธิายลักษณะและวิธีแต่ง) เอาไว้ท้ายทุกกลอักษร
กลอนกลบท คือเล่นบทในวรรคหรือในบาทดังเช่น กลบทบัวบานกลีบขยาย ซึ่งส่วนมากจดจำท่องเล่นกันมาแต่ในรัชกาลที่ ๓ (ทรงพระราชนิพนธ์) ที่ขึ้นต้นว่า
“เจ้างามพักตร์ผ่องเพียงบุหลันฉาย |
วรรคสุดท้ายนี้ ขอแจงสักหน่อย งาม ‘วงวิลาส’ คือไว้ผมปีก หรือผมทรงฝักบัวกลางศีรษะ แล้วกันไรเป็นวงรอบทรงผมนั้น
ส่วนกลอนกลอักษร คือเล่นอักษรนั่นเอง
กลอนกลอักษร ที่ท่องจำกันมาแพร่หลาย เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๓ เช่นกัน ชื่อ กลอักษรถอยหลังเข้าคลอง (เป็นชื่อเพลงไทยด้วย) ขึ้นต้นว่า
“เจ้างามสรรพสารพางค์ดังนางสวรรค์ |
กลอักษรถอยหลังเข้าคลองนี้ กรมหมื่นไกรสรวิชิต ทรงนิพนธ์โคลงบอกกลอักษรไว้ท้ายบทว่า
กลสารเสาวเลขนี้ นามสนอง |
ในบรรดากลอนกลอักษรพระราชนิพนธ์ทั้ง ๖ บท ที่น่าทึ่งที่สุดคือ กลอักษรลิ้นตะกวด
ซึ่งกรมหมื่นไกรสรวิชิต ท่านทรงนิพนธ์โคลงบอกกลอักษรลิ้นตะกวดนี้ เอาไว้ว่า
คันโลงลักษณเช่นชี้ เชิงเชลง นี้นา |
คือกลอนกลอักษรลิ้นตะกวดนี้ มี ๒ บท เล่นอักษรกลับคำกลางและท้ายวรรค การมี ๒ บทพลิกอักษรกลับไปกลับมา จึงเปรียบกับลิ้นตะกวดที่มี ๒ แฉก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงพระราชนิพนธ์กลอนกลอักษรได้ทั้งๆที่น่าจะทรงงง พูดอย่างภาษาชาวบ้านต้องว่า ท่านยอดทีเดียว
ขอยกตอนต้นของลิ้นตะกวดทั้ง ๒ บท หรือ ๒ แฉก คือ
กลอักษรลิ้นตะกวด (ที่ ๑)
“ได้ทราบสารเสนหาน่าเสสรวล |
ทีนี้ กลอักษรลิ้นตะกวด (ที่ ๒)
(อ่านแล้วย้อนกลับไปอ่านกลฯที่ ๑ เปรียบเทียบทีละวรรค)
“ได้ทราบสารเสนหาน่าสรวลเส |
เพียงแค่ลอกของท่านมาก็ยังงงๆ
ขบวนแห่พระยายืนชิงช้า ไปตามถนนบำรุงเมือง |
พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๑ ที่ว่ากันว่าเปรื่องปราชญ์อีกพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ (พระองค์เจ้าคันธรส)
เคยเล่าแล้วหรือมิฉะนั้นก็เป็นที่ทราบกันโดยมากแล้วว่า เจ้านายพระองค์นี้ต้องพระราชอาญาในรัชกาลที่ ๒ เพราะทรงทอดบัตรสนเท่ห์ หรือ ทิ้งหนังสือ ว่ากล่าวพาดพิงหยาบช้าต่อแผ่นดิน
ในรัชกาลที่ ๒ นั้น การแช่งด่าพาดพิงถึงแผ่นดิน เป็นโทษร้ายแรงมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ไม่กริ้วอะไรเหมือนกริ้วเรื่องทอดบัตรสนเท่ห์ว่าร้ายแผ่นดิน ในรัชกาลของพระองค์ พระเจ้าน้องนางเธอพระองค์หนึ่ง คือ พระองค์เจ้ากระษัตรี (หรือกษัตรีย์) ต้องพระราชอาญาถูกสำเร็จโทษด้วยเรื่องนี้ องค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งก็คือกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ เมื่อไต่สวนได้ความแน่ชัดแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็โปรดให้คุมขังพระองค์ไว้ ว่าจองจำด้วยเครื่องสังขลิก คือโซ่ตรวนที่ใช้ผ้าขาวหุ้ม อันใช้เฉพาะการพันธนาการเจ้านายที่ต้องโทษ ขั้นรุนแรงทั้งองค์ชายองค์หญิง
ทว่ายังไม่ทันลงพระราชอาญาอื่นใดอีก กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ก็ประชวรแล้วสิ้นพระชนม์เสียก่อน พระชนม์เพียง ๓๐ พรรษา ไม่ปรากฏว่าทรงมีเชื้อสายสืบราชสกุล
กรมหมื่นศรีสุเรนทร์ ประสูติ พ.ศ.๒๓๓๐ ปีเดียวกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ สูงพระชันษากว่ากรมหมื่นไกรสรวิชิต ๙ ปี เป็นชั้น ‘อา’ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รุ่นเดียวกันกับ กรมหมื่นศักดิพลเสพ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย) กรมหมื่นเทพพลภักดิ์ (พระองค์เจ้าอภัยทัต) กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ (พระองค์เจ้าฉัตร) ซึ่งล้วนแต่ประสูติ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๘-๒๓๓๓
ความคิดเห็น