ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #177 : จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 159
      0
      6 มิ.ย. 57



    จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย หรือ สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี (พระนามเต็ม: คาร์ล ฟรานซ์ โจเซฟ ลุดวิก ฮิวเบิร์ต จอร์ช มาเรีย; Karl Franz Josef Ludwig Hubert Georg Maria von Habsburg-Lothringen, ภาษาฮังการี: Károly Ferenc József) ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรีย และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 ถึง พ.ศ. 2461 หลังจากที่ราชวงศ์อิมพีเรียลถูกโค่นอำนาจ เมื่อตอนที่ทรงเถลิงวัลย์ราชสมบัติ พระองค์ทรงได้รับพระนามอย่างเป็นทางการว่า จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย (สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี) ; His Imperial and Royal Apostolic Majesty the Emperor Karl I of Austria and the Apostolic King Karl IV of Hungary

    เนื้อหา

    พระราชประวัติ

    ขณะทรงพระเยาว์

    จักรพรรดิคาร์ลพระราชสมภพเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมพ.ศ. 2430 ณ ปราสาทเพอร์เซ็นบูร์ก ประเทศออสเตรีย ในช่วงแรก ทรงพระนามว่าอาร์ชดยุกคาร์ลแห่งออสเตรีย (His Imperial and Royal Highness Archduke Karl of Austria) เป็นพระราชโอรสองค์โตใน อาร์ชดยุกอ๊อตโต้ ฟรานซ์แห่งออสเตรีย และ เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟ่าแห่งแซ็กโซนี และเป็นพระราชนัดดาในอาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรีย-เอสต์ เมื่อทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงเข้ารับการศึกษาทางคาทอลิกอย่างเข้มงวด

    อาร์ชดยุกคาร์ลทรงได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี หลังจากที่อาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ พระราชปิตุลาเสด็จสวรรคตจากการลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโวบอสเนีย เมื่อปี พ.ศ. 2457 ซึ่งเป็นจุดชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 20 พฤศจิกายนพ.ศ. 2459 พระองค์ทรงได้เถลิงวัลย์ราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก พระอัยกาของพระองค์ พระองค์จึงทรงได้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย

    ช่วงเวลาแห่งการครองราชย์

    ในวันที่ 2 ธันวาคมพ.ศ. 2459 นอกจากพระองค์จะทรงเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพราชนาวีออสเตรีย-ฮังการีแล้ว ยังทรงเป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพราชนาวีทั้งหมดแทนอาร์ชดยุกเฟรเดอริค พระปิตุลาของพระองค์

    ในปีพ.ศ. 2460 พระองค์ทรงมีการติดต่อเจรจาสันติภาพกับประเทศฝรั่งเศสอย่างลับๆ และยังส่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพระองค์ เคานท์อ๊อตโตการ์ เซอร์นิน ไปเจรจาเพื่อเจริญความสัมพันธไมตรีกับประเทศเยอรมนี ส่วนพระองค์ก็ทรงกระชับเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส โดยเสด็จไปยังประเทศฝรั่งเศสพร้อมกับเจ้าชายซิกซ์ตัสแห่งบูร์บอง-ปาร์มา ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทัพราชนาวีเบลเยี่ยม และเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระจักรพรรดินีซีตา พระชายาของพระองค์ด้วย ในขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ข่าวก็ถูกเผยแพร่เกี่ยวกับการเจรจาเจริญสันติสัมพันธไมตรี เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 พระองค์จึงรีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับการเจรจานี้เลย ทำให้นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส จอร์เจส คลูมองโซ ส่งพระราชสาส์นมาถึงพระองค์ และรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศประกาศลาออกจากตำแหน่ง ที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทำให้กองทัพราชนาวีของพระองค์เป็นที่พึ่งพาของกอง ทัพราชนาวีเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องทีผิดในสายตาของกองทัพอื่นๆ

    สิ้นสุดการครองราชย์

    จักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการีถูกล้มล้างโดยความวุ่นวายภายใน ในช่วงเวลาสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมาพร้อมกับความตึงเครียดของหลายๆ กลุ่ม ซึ่ง ณ จุดนี้ นายวูดโรว์ วิลสันประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ได้เรียกร้องให้จักรวรรดิให้ความเป็นเอกราช และตั้งใจแน่วแน่ในการปกครองบ้านเมือง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเห็นด้วยที่จะลงประชามติต่อสภาอิมพีเรียล และอนุญาตให้มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐของแต่ละกลุ่มในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปนั้นได้อยู่เหนือการควบคุม และไม่ขึ้นตรงสภากลางในกรุงเวียนนา

    เมื่อวันที่16 ตุลาคม พระองค์ทรงแจกจ่ายการประกาศอย่างเป็นทางการของออสเตรียให้กับกลุ่มสหพันธ์ ทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เลขานุการของรัฐ โรเบิร์ต แลนซิ่ง ตอบกลับมาว่า เช็กสโลวัก และ สลาฟใต้ จะเข้าร่วมมือ (ที่จริงแล้ว รัฐบาลชั่วคราวของเชกโกสโลวักเกียข้าร่วมมือในวันที่ 14 ตุลาคม) เพราะฉะนั้น การเป็นเอกราชของแต่ละชาติไม่ค่อยยืนยาวนัก

    จักรพรรดิคาร์ลเมื่อทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษก ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2459

    ด้วยความที่จะรักษาความเป็นจักรวรรดิ การประกาศความเป็นเอกราช ซึ่งพระองค์จะต้องมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นอย่างไม่แน่ไม่นอน เมื่อวันที่31 ตุลาคมประเทศฮังการีประกาศยุติความสัมพันธ์สหภาพระหว่างออสเตรียและฮังการี ทำให้เกิดจุดจบของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีใน ที่สุด และพระองค์ทรงไม่ยอมรับโดยสภาเยอรมัน-ออสเตรีย นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพระองค์ เฮ็นริค แลมมาส ได้แนะนำพระองค์ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป

    ในวันที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของสงครามโลก พระองค์ทรงประกาศว่าจะทรงยอมรับให้ประกาศเอกราชแก่ประชาชน ซึ่งประชาชนยังคงมีความจงรักภักดี อีก 3 วันต่อมา พระองค์ประกาศเอกราชแก่ฮังการี และทรงหวังที่จะกลับมาครองราชย์ในออสเตรียเพียงประเทศเดียว แต่วันต่อมา ก่อให้เกิดสาธารณรัฐออสเตรียขึ้น พระองค์จึงทรงอพยพไปที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อการลี้ภัย ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 สภาของออสเตรียล้มเลิกกฎหมาย และเนรเทศราชวงศ์อิมพีเรียลออกนอกประเทศ และล้มล้างราชบัลลังก์ได้ในที่สุด

    สมเด็จพระจกรพรรดิและพระราชวงศ์ขณะทรงลี้ภัย ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
    จักรพรรดิคาร์ล สมเด็จพระจักรพรรดินี และมกุฏราชกุมารอ๊อตโต้ เมื่อทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษก

    ประชาชนที่จงรักภักดีต่อพระองค์ในประเทศฮังการี พระองค์ยังคงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี แต่ไม่สามารถกลับไปปกครองได้ เนื่องจากสถานการณ์ไม่อำนวย เพราะเพิ่งสิ้นสุดสงครามโลก พระองค์จึงทรงแต่งตั้งมิคลอส ฮอร์ตี้ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งนายมิคลอสมุ่งหวังที่จะสถาปนาราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ล้มเหลว ดังนั้น พระองค์จึงได้ครองราชย์แต่ในนามตั้งแต่ปีพ.ศ. 2462เป็นต้นมา

    ช่วงเวลาสุดท้ายของพระชนม์ชีพ

    พระตำหนักที่พระองค์ทรงใช้เวลาช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
    โลงพระศพจักรพรรดิคาร์ลที่เกาะมาไดร่า

    จักรพรรดิคาร์ลทรงใช้เวลาช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพที่เกาะมาไดรา ประเทศโปรตุเกส ซึ่งเป็นเกาะที่พระราชวงศ์อิมพีรียลออสเตรียทรงพักผ่อนกันเป็นประจำ พระองค์ได้ประทับอยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนเสด็จสวรรคตด้วยโรคปอดบวม เมื่อวันที่ 1 เมษายนพ.ศ. 2465 ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์และพระราชวงศ์ทรงอพยพและพักผ่อนที่เกาะมาไดรา พระศพของพระองค์ฝังไว้ที่โบสถ์ Igreja Nossa Senhora do Monte ในเกาะมาไดรา พระองค์เป็นพระบรมศานุวงศ์ออสเตรียพระองค์เดียวที่ไม่ได้ทรงฝังพระศพไว้ที่ วิหารฮับส์บูร์ก อิมพีเรียลคริปต์ ในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพพระราชวงศ์ออสเตรียทุกพระองค์ รวมไปถึงสมเด็จพระจักรพรรดินีซีต้า พระชายาของพระองค์ด้วย

    ก่อนถึงวันที่เสด็จสวรรคตนั้น พระองค์ทรงเป็นครูสอนศาสนา ทรงเผยแพร่ศาสนาให้แก่ประชาชนในเกาะมาไดร่ พระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นนักบุญแห่งมาไดราอีกด้วย (St. Karl of Madeira) ส่วนพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ได้ทรงประทับอยู่ร่วมกันบนเกาะจนจักร พรรดิคาร์ลสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์

    การอภิเษกสมรส

    อาร์ชดยุกคาร์ลและเจ้าหญิงซีต้า เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรส

    สมเด็จพระจักรพรรดิทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงซีต้าแห่งบูร์บอง-ปาร์มา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนพ.ศ. 2454 ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส 5 พระองค์ และพระราชธิดา 3 พระองค์ รวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้

    • อาร์ชดัชเชส เอลิซาเบธ ชาร์ลอต อัลฟองซ่า คริสติน่า เธเรเซีย แอนโตเนีย โจเซฟ่า โรเบิร์ตต้า อ๊อตโตเนีย ฟรานซิสก้า อิสซาเบลล่า ปิอา เจ้าฟ้าหญิงแห่งลิกเตนสไตน์ ทรงประสูติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมพ.ศ. 2465 สวรรคตเมื่อวันที่ 7 มกราคมพ.ศ. 2536 ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าชายเฮ็นริคแห่งลิกเตนสไตน์ มีพระราชโอรส-ธิดารวม 5 พระองค์

    พระราชอิสริยยศ

    By the Grace of God, His Imperial and Royal Apostolic Majesty Karl Franz Josef Ludwig Hubert Georg Maria, Karl the first, Emperor of Austria, Apostolic King of Hungary, of this name the Fourth, King of Bohemia, Dalmatia, Croatia, Slavonia, and Galicia, Lodomeria, and Illyria; King of Jerusalem etc., Archduke of Austria; Grand Duke of Tuscany and Cracow, Duke of Salzburg, of Styria, of Carinthia, of Carniola and of the Bukovina; Grand Prince of Transylvania; Margrave of Moravia; Duke of Upper and Lower Silesia, of Modena, Parma, Piacenza and Guastalla, of Auschwtiz and Zator, of Teschen, Friuli, Ragusa and Zara; Princely Count of Habsburg and Tyrol, of Kyburg, Gorizia and Gradisca; Prince of Trent and Brixen; Margrave of Upper and Lower Lusatia and in Istria; Count of Hohenems, Feldkirch, Bregenz, Sonnenberg, etc.; Lord of Trieste, of Cattaro, and in the Wendish Mark; Grand Voivode (Grand Duke) of the Voivodship (Duchy) of Serbia

    ด้วยอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า คาร์ล ฟรานซ์ โจเซฟ ลุดวิก ฮิวเบิร์ต จอร์ช มาเรีย, คาร์ลที่ 1, จักรพรรดิแห่งออสเตรีย, และคาร์ลที่ 4, กษัตริย์แห่งฮังการี ซึ่งเปรียบเสมือนเบื้องขวาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า, กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย, ดาลมาเทีย, โครเอเชีย, สโลเวเนีย, และ กาลิเซีย, โลโดเมเรีย, และ อิลีเรีย, กษัตริย์แห่งเยรูซาเลม, อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย, แกรนด์ ดยุก แห่งทัสคานีและคราโคว, ดยุกแห่งซาล์ซบูร์ก,สตีเรีย, คารินเธีย, คาร์นิโอล่า, และ บูกิโนว่า, เจ้าฟ้าชายแห่งทรานซิลเวเนีย, มาร์เกรฟแห่งโมราเวีย, ดยุกแห่งซีลีเซีย, โมเดน่า, ปาร์มา, ปิอาเซนซ่าและกูแอสตาลล่า, ออสวิตซ์และเซเตอร์, เทสเชน, ฟริวลี่, รากูซ่าและซาร่า, ท่านเค้านท์แห่งฮับส์บูร์กและทีรอล, คายบูร์ก, กอริเซียและกราดิสก้า, เจ้าชายแห่งเทรนต์และบริกเซน, มาร์เกรฟแห่งลูซาเทียและอิสเตรีย, เค้านท์แห่งโบเฮเน็มส์, เฟลด์เคิร์ช, เบรอเจนส์, ซอนเนอเบิร์ก, ลอร์ดแห่งไทรส์ต, แคตตาโร่, และ เว็นดิช มาร์ก, แกรนด์ ดยุกแห่งเซอร์เบีย...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×