ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #229 : สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 155
      0
      15 มิ.ย. 57



    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก (ภาษาเดนมาร์กFrederik 7. Konge af Danmark, พระนามเดิม: เฟรเดอริค คาร์ล คริสเตียน) (6 ตุลาคม พ.ศ. 2351 -15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2406) ทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเดนมาร์ก ตั้งแต่ พ.ศ. 2391 จนกระทั่งเสด็จสวรรคต พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กพระองค์สุดท้ายซึ่งสืบราชสันตติวงศ์จากราชวงศ์โอลเดนบวร์ก และเป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กพระองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในรัชกาลของพระองค์ ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวเดนมาร์กซึ่งทำให้มีการจัดตั้งรัฐสภาขึ้นและเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญถือว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์เดนมาร์กพระองค์แรกในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ

    พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสละพระราชอำนาจบางส่วน ทำให้พระองค์กลายเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์เดนมาร์กที่ประชาชนรักมากที่สุด ทั้งๆ ที่ในเอกสารหลายฉบับจากรัชสมัยของพระองค์จะกล่าวไว้ว่า โปรดการเสวยน้ำจัณฑ์และทรงพฤติกรรมนอกรีต พระองค์มีพระบุคลิกเรียบง่ายและจริงใจอย่างแท้จริง พระองค์ทรงมักปรากฏพระองค์อย่าง"เรียบง่ายโดยยังคงเกียรติภูมิแห่งพระมหากษัตริย์" พระองค์ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วเดนมาร์กและมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนทั่วไป พระองค์ทรงกระตือรือร้นการค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุและทรงเป็นที่ยอมรับจากปีเตอร์ กล็อบ นักโบราณคดีว่า "พระองค์ มากกว่าผู้ใด ผู้ซึ่งจุดประการความนิยมด้านโบราณวัตถุให้แพร่หลาย""[3]

    คติพจน์ประจำรัชกาลของพระองค์คือ

    ความรักจากพสกนิกร เป็นพลังแก่ข้าพเจ้า (Folkets kærlighed, min styrke)

     

     

     

    ช่วงต้นพระชนม์ชีพ[แก้]

    เจ้าชายเฟรเดอริคขณะมีพระชนมายุ 16 พรรษา พระบรมสาทิสลักษณ์วาดโดย ซี.เอ.เจนเซน ในปีพ.ศ. 2367

    เจ้าชายเฟรเดอริค คาร์ล คริสเตียนประสูติในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังอามาเลียนเบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกนประเทศเดนมาร์ก เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์กซึ่งขณะนั้นยังทรงดำรงเป็นเจ้าชายคริสเตียนกับดัชเชสชาร์ล็อต เฟรเดริกาแห่งเม็คเคลนบวร์ก-ชเวริน พระมเหสีพระองค์แรกซึ่งเป็นพระราชธิดาในเฟรเดอริค ฟรานซิสที่ 1 แกรนด์ดยุกแห่งเม็คเคลนบวร์ก-ชเวรินกับเจ้าหญิงหลุยส์แห่งแซ็กซ์-ก็อตธา-อัลเทนเบิร์ก (1756 - 1808) ต่อมาหลังจากเจ้าชายเฟรเดอริคประสูติเพียง 1 ปี ดัสเชสชาร์ล็อตพระมารดาทรงมีเรื่องอื้อฉาวกับนักร้องชาวสวิส คือ ฌอง แบ็ปติสท์ เอตัวอาร์ต ดู พีย์ เมื่อเจ้าชายคริสเตียนทรงรู้เข้าพระองค์ก็ทรงพิโรธมากและทรงหย่ากับดัสเชสชาร์ล็อตในปีพ.ศ. 2353 หลังจากทรงอภิเษกสมรสมาเป็นเวลา 4 ปี และพระองค์ทรงไม่อนุญาตให้ดัสเชสพบกับพระโอรสอีก แม้พระนางจะทรงวิงวอนก็ตาม หลังจากนั้นพระนางก็ยังทรงมีเรื่องอื้อฉาวมากมายจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ เจ้าชายเฟรเดอริคทรงได้รับการอุปการะจากพระปิตุลาและพระปิตุจฉา ในปีพ.ศ. 2371สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก ผู้เป็นพระปิตุลามีพระราชประสงค์ให้เจ้าชายเฟรเดอริคเสด็จเยือนฝรั่งเศส,อิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์เพื่อให้เจ้าชายทรงได้เข้ารับการศึกษาด้านภาษา,วิชารัฐศาสตร์และกิจการด้านการทหาร ในขณะที่ทรงประทับอยู่ที่เจนีวาที่ซึ่งทรงได้รับการเสนอเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์เนื่องจากทรงเป็นที่นิยมของประชาชนมากระหว่างทรงประทับอยู่ที่เมืองนี้

    อภิเษกสมรส[แก้]

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 พระปิตุลาทรงจัดให้เจ้าชายเฟรเดอริคอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีแห่งเดนมาร์กพระญาติซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 พิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2368 ณ กรุงโคเปนเฮเกน ได้มีการประพันธ์และแสดงละครเรื่อง "เนินเขาแห่งเอลฟ์(Elverhøj)" เพื่อถวายพระเกียรติในพระพิธีอภิเษกสมรส อย่างไรก็ตามการอภิเษกสมรสได้สร้างความไม่พอพระทัยจากพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ซึ่งเรื่องเกิดจากเจ้าชายเฟรเดอริคเองทรงประพฤติพระองค์เกินขอบเขตและขาดความยั้งคิดโดยพระองค์ทรงทราบเรื่องมาจากพระราชธิดา จนกระทั่งพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ทรงขาดความอดทนในปีค.ศ. 2377 พระองค์ได้สั่งเนรเทศเจ้าชายเฟรเดอริคออกจากพระราชวังและทรงกดดันให้หย่าขาดจากพระราชธิดาของพระองค์ เนื่องจากระหว่างทรงประทับที่พระราชวังเฟรเดอริคเบอร์ก เจ้าชายเฟรเดอริคได้มีความสัมพันธ์กับนางกำนัลนามว่า หลุยส์ ลาสมุสเซน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "เคานท์เตส แดนเนอร์"และต่อมานางมีความสำคัญต่อพระองค์มาก เจ้าชายเฟรเดอริคทรงหย่าขาดกับเจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีในปีพ.ศ. 2380 หลังจากสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 พระปิตุลาเสด็จสวรรคต พระราชบิดาของเจ้าชายเฟรเดอริคทรงครองราชย์สืบต่อ พระนาม สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2382 และทรงแต่งตั้งเจ้าชายเฟรเดอริคเป็นมกุฎราชกุมาร ทรงประกาศยกเลิกการเนรเทศมกุฎราชกุมารและให้ทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการแห่งฟูเนน ซึ่งเป็นตำแหน่งก่อนที่พระบิดาจะทรงขึ้นครองราชย์ มกุฎราชกุมารทรงอภิเษกสมรสอีกครั้งในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2357 อภิเษกกับดัชเชสแคโรไลน์ มารีแอนน์แห่งเมคเคลนบวร์ก พระราชธิดาในแกรนด์ดยุกจอร์จแห่งเมคเคลนบวร์กกับเจ้าหญิงมารีแห่งเฮสส์-คาสเซิล การอภิเษกสมรสครั้งนี้สร้างความไม่พอพระทัยแก่มกุฎราชกุมารเฟรเดอริคอีกครั้ง ทั้งสองพระองค์ทรงประทับแยกกันและทรงหย่าขาดกันในปี พ.ศ. 2389 ต่อมามีพระประสงค์ที่จะอภิเษกสมรสกับหลุยส์ ลาสมุสเซน ทำให้ทรงถูกคัดค้านอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามหลังจากทรงขึ้นครองราชย์พระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสกับนาง

    ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2393 ณ พระราชวังเฟรเดอริคเบอร์ก พระเจ้าเฟรเดอริคทรงอภิเษกสมรสกับหลุยส์ ลาสมุสเซน ในปีเดียวกันพระองค์ทรงสถาปนานางขึ้นเป็นแลนด์เกรฟวีน เดนเนอร์(ในประเทศเดนมาร์ก รู้จักในชื่อเคานท์เตส เดนเนอร์) หลุยส์ ลาสมุสเซนเคยเป็นอดีตนักบัลเล่ต์และเคยเป็นช่างทำหมวกสามัญชน เธอมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเฟรเดอริคมานานหลายปี ชีวิตสมรสเป็นไปอย่างมีความสุข แม้ว่าจะเป็นที่ตระหนกตกใจยิ่งในหมู่ชนชั้นขุนนางและชนชั้นกระฎมพี เคานท์เตสเดนเนอร์ถูกประณามอย่างหยาบคายโดยศัตรูของเธอ แต่ความเป็นคนแข็งแกร่งและวางเฉยทำให้ได้รับการสรรเสริญจากผู้ที่ชื่นชมเธอว่าเป็น"บุตรีแห่งประชาชน" ลักษณะพิเศษเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบที่น่าประทับใจต่อพระองค์ เธอเป็นผู้ทำให้พระองค์เป็นที่นิยมมากขึ้นโดยการให้พระองค์ "เยี่ยมเยือนพสกนิกร" ตามจังหวัดต่างๆ

    สัมพันธภาพนอกสมรสและทายาทที่เป็นไปได้[แก้]

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์กทรงฉายพระรูปคู่กับหลุยส์ ลาสมุสเซน ฉายโดย Moritz Unna

    การที่สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ทรงไม่มีรัชทายาทสืบราชบัลลังก์กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวและแพร่กระจายไปในวงกว้าง แต่เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลไม่ค่อยออกมาแสดงความคิดเห็นหรือสถานะมากนัก ได้มีข่าวลือว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีบุตรไม่ได้ ในช่วงรัชสมัยของพระราชบิดาของพระเจ้าเฟรเดอริค คือ สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์กปัญหาการสืบราชบัลลังก์จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากในภายภาคหน้า

    เอลเซ มาร์เกรเธ บอนโด(ขวา) ผู้ซึ่งเชื่อว่าเธอเองเป็นพระปนัดดาในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7(ซ้าย) และเธอได้อ้างสิทธิเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก ราชวงศ์โอลเดนบวร์ก

    เคยมีการรายงานว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโอรสอยู่ 1 พระองค์คือ เฟรเดอริค คาร์ล คริสเตียน พอลเซน ซึ่งเกิดในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2386 โดยครั้งนั้นพระองค์มีความสัมพันธ์กับนางเอลเซ มาเรีย กูล์ดบอร์ก ปีเดอเซน (หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ มารี พอลเซน) ที่ซึ่งความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นในช่วงการอภิเษกสมรส 2 ครั้งที่ไม่มีความสุข เรื่องราวนี้ได้มีการตีพิมพ์เป็นหนังสือในปีพ.ศ. 2537 และตีพิมพอีกครั้งในปีพ.ศ. 2552 จากบทความในหนังสือพิมพ์ Politiken เจ้าของหนังสือคือ นางเอลเซ มาร์เกรเธ บอนโด ผู้ซึ่งเชื่อว่าเธอเองเป็นพระปนัดดาในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 และเธอได้อ้างสิทธิเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก เธอได้อ้างจากจดหมายลายพระหัตถ์ของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ที่ทรงเขียนถึงมารี พอลเซนโดยทรงยินยอมรับเป็นพระบิดาของเฟรเดอริค คาร์ล คริสเตียน พอลเซน จดหมายเหล่านี้ได้ถูกอ้างอิงในหนังสือด้วย[1][4][5] แต่อย่างไรก็ตามในทางกฎหมายสัมพันธภาพนอกสมรสและทายาทที่เกิดมาจะไม่มีสิทธิสืบราชสันตติวงศ์ในราชบัลลังก์เดนมาร์กทุกกรณี

    มีการกล่าวหาว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพวกรักร่วมเพศโดยทรงมีความสัมพันธ์กับคาร์ล เบอร์ลิง บรรณาธิการหนังสือพิมพ์Berlingske Tidende เบอร์ลิงเป็นพวกรักร่วมสองเพศโดยมีบุตรนอกกฎหมายกับหลุยส์ ลาสมุสเซน ชื่อว่า คาร์ล คริสเตียนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัวมาก พระองค์ทรงเลือกวันที่จะลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตรงกับวันเกิดครอบรอบ 8 ปีของคาร์ล คริสเตียนในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2392 เพื่อต้องการรักษาธรมเนียมอันชอบธรรม พระองค์อภิเษกสมรสกับหลุยส์ ลาสมุสเซน และทั้งงามคนได้ย้ายเข้าอาศัยในพระราชวังที่ซึ่งเบอร์ลิงได้รับแต่งตั้งให้เป็นมหาดเล็กจนกระทั่งพ.ศ. 2404 การอภิเษกสมรสโดยต่างฐานันดรศักดิ์ครั้งนี้ได้รับการกล่าวขานจนเป็นที่รู้จักกันดี แต่สาเหตุที่มีไม่ค่อยได้รับการอธิบายอย่างละเอียด[6][7]

    การล่มสลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และปัญหาชเลสวิก-โฮลชไตน์[แก้]

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์กทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2392

    สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 พระราชบิดาเสด็จสวรรคตในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2391 ณ พระราชวังอามาเลียนเบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก สิริพระชนมายุ 61 พรรษาเจ้าชายเฟรเดอริคเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ด้วยพระชนมายุ 39 พรรษา พระองค์ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากสาธารณะในช่วงแรกจากการที่ทรงไม่มีประสบการณ์ พระองค์ทรงเป็นสมาชิกในคณะกรรมการกฤษฎีกาแห่งเดนมาร์กตั้งแต่พ.ศ. 2384 แต่ก็ไม่ทรงแสดงออกว่าทรงสนพระทัยการเมือง อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ปวงชนชาวเดนมาร์กรักและเป็นที่นิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์เดนมาร์ก อันเนื่องมาจากทรงยกเลิกระบอบการปกครองที่ดำรงมาอย่างยาวนานเมื่อครั้งอดีตและพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งเดนมาร์กที่เสรีภาพในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2392 ผลกระทบจากการปฏิวัติฝรั่งเศสปีพ.ศ. 2391 ได้ส่งผลถึงเดนมาร์ก และในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2391 เยอรมันเรียกร้องสิทธิในดัชชีชเลสวิกให้รวมอยู่ในสมาพันธรัฐเยอรมันและเรื่องดัชชีนี้ได้รับการไกล่เกลี่ยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เสรี ข้อเรียกร้องเหล่านี้ทำให้มีการประชุมของพรรคเสรีแห่งชาติเดนมาร์กในวันที่ 20 มีนาคม เรียกว่า การประชุมคาสิโน เนื่องจากประชุมที่โรงละครคาสิโนที่ซึ่งการพูดคุยกันทำให้สับสน ออร์ลา เลห์มานน์ได้เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีของพระมหากษัตริย์จัดสรรรัฐธรรมนูญที่เสรีแก่ทั้งเดนมาร์กและชเลสวิก ออร์ลาได้กล่าวว่า "พวกเราไม่เชื่อว่าฝ่าพระบาทจะทรงขับเคลื่อนประเทศนี้ซึ่งสิ้นหวังในการช่วยเหลือตนเองได้" ภายใต้คำขวัญที่ว่า "Danmark til Ejderen" ทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงโดยผู้แทนพลเมืองในวันถัดมาที่จตุรัสหน้าพระราชวัง รัฐบาลได้ลาออกอย่างฉลาดโดยลาออกก่อนครบวาระและพระเจ้าเฟรเดอริคเสด็จไปพบปะกับกลุ่มผู้ประท้วงโดยมีพระราชดำรัสว่า "ข้าพเจ้ายินดีที่ได้บอกพวกท่านว่าข้าพเจ้าเข้าใจในเรื่องที่ซึ่งพวกเขาได้บอกแก่ข้าพเจ้าแล้ว คณะรัฐมนตรีชุดเก่าได้สิ้นสุดลงแล้ว" การปฏิวัติเดนมาร์กเดือนมีนาคมจึงสำเร็จ

    ใน 2 วันถัดมาได้มีการเลือกคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยมีทั้งฝ่ายเสรีภาพและอนุรักษนิยมเข้าร่วมประชุมด้วย พระเจ้าเฟรเดอริคทรงประกาศต่อต้านคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ซึ่งทรงพืจารณาแล้วว่าเป็นการล้มล้างระบอบเก่าแก่แต่โบราณและพระองค์เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยทรงประกาศว่า "ในหลวงจะทรงเข้ารับฟังการประชุมของทางรัฐเมื่อได้รับเชิญเท่านั้น" หลังจากพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการประชุมที่น่าเบื่อพระองค์มีพระราชดำรัสออกมาอย่างสั้นๆว่า "ในตอนนี้ ฉันสามารถนอนได้ตราบใดที่ฉันรู้สึกอยาก"

    ช่วงปีพ.ศ. 2373 เกิดการเคลื่อนไหวของประชาชนชาวเยอรมันซึ่งต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นเสรีแก่รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ที่ซึ่งรัฐชเลสวิกอันเป็นดินแดนของราชอาณาจักรเดนมาร์กจะถูกรวมเข้ากับสมาพันธรัฐเยอรมัน ส่วนรัฐโฮลชไตน์และเลาว์บูร์กได้เข้าร่วมแล้ว และได้กำหนดแนวพรมแดนระหว่างรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์โดยใช้แม่น้ำคองเกียและแม่น้ำเอลเบอ และเหตุนี้ได้นำไปสู่ความเห็นของขบวนการแห่งชาติเดนมาร์ก พรรคเสรีแห่งชาติเดนมาร์กได้เสนอให้ล้มล้างดัชชีแห่งชเลสวิกและรวมเข้ากับราชอาณาจักรเดนมาร์ก คาบสมุทรจัตแลนด์ควรจะกำหนดพรมแดนทางใต้ไว้ที่แม่น้ำอีเดอร์ รัฐชเลสวิกให้เป็นชายแดนทางภาษาระหว่างเดนิชและเยอรมัน รัฐบาลเดนมาร์กยืนยันว่ารัฐชเลสวิกจักต้องอยู่ภายในราชอาณาจักรเดนมาร์กต่อไปส่วนรัฐโฮลชไตน์ยินดีที่ถอนตัวจากเดนมาร์กและเข้าร่วมในสมาพันธรัฐเยอรมัน ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2391 ชาวเยอรมันในรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ก่อการจลาจลต่อต้านรัฐบาลใหม่แห่งเดนมาร์กและก่อตั้งรัฐบาลของตนเองที่เมืองคีล ซึ่งนำไปสู่ สงครามชเลสวิกครั้งที่หนึ่งหรือสงครามสามปี ระหว่างเดนมาร์กกับกองกำลังพันธมิตรของชเลสวิก-โฮลชไตน์ซึ่งได้แก่ ปรัสเซียและจักรวรรดิเยอรมัน ผลปรากฏว่ากองทัพเดนมาร์กได้ชัยชนะและเข้าครอบครองรัฐชเลสวิกได้ที่แม่น้ำอีเดอร์

    กองทัพเดนมาร์กเดินทางกลับสู่โคเปนเฮเกนพร้อมการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่จากการรบชนะสมาพันธรัฐเยอรมันในสงครามชเลสวิกครั้งที่หนึ่งในปีพ.ศ. 2392 ภาพวาดโดย ออตโต บาช จิตรกรชาวเดนมาร์ก

    สงครามนำมาซึ่งชัยชนะของกองทัพเดนมาร์กแต่เสถียรภาพของการเมืองยังคงเหมือนเดิม ชาวเดนส์ยกเลิกการส่งทหารที่แม่น้ำอีเดอร์ และในปีพ.ศ. 2398 ฝ่านอนุรักษนิยมได้แนะนำให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์ก,ชเลสวิกและโฮลชไตน์ แต่ 3 ปีให้หลังจากการประกาศให้โฮลชไตน์เป็นสมาชิกในสมาพันธรัฐเยอรมันกลับไม่ถูกต้องเพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎข้อตกลงสากลที่เดนมาร์กได้ลงนามหลังจากสงครามสามปียุติ ปรัสเซียได้สนับสนุนชเลสวิก-โฮลชไตน์ให้รวมกับสมาพันธรัฐเยอรมัน ในขณะที่เดนมาร์กต้องการรวมชเลสวิกเข้าในราชอาณาจักร ในปีพ.ศ. 2406 ฝ่ายเสรีแห่งชาติได้ประกาศ Novemberforfatningen หรือ รัฐธรรมนูญพฤศจิกายน แทนที่รัฐธรรมนูญปีพ.ศ. 2398 อย่างไรก็ตามสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคเสด็จสวรรคตในปีนั้นก่อนที่จะทรงลงพระปรมาภิไธยใน Novemberforfatningen ให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

    ในระหว่างสงครามได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยสภาที่ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เสรี สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ทรงลงพระปรมาภิไธยลงในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2392 เป็นกฎหมายพื้นฐาน แม้ว่าพระองค์จะทรงแคลงพระทัยในกฎข้อบังคับบางประการ นับเป็นเวลา 187 ปีแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 แห่งเดนมาร์ก เดนมาร์กได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย

    สวรรคต[แก้]

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์กเสด็จสวรรคตในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2406 ณ กลีคสบวร์ก รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ สิริพระชนมายุ 55 พรรษา พระบรมศพถูกฝังที่มหาวิหารร็อคสไลค์ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายในราชวงศ์โอลเดนบวร์ก เนื่องจากทรงไม่มีรัชทายาททำให้เกิดวิกฤตราชบัลลังก์เดนมาร์กในกาลต่อมา

    วิกฤตการสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก[แก้]

    พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์กทรงฉลองพระองค์ประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์แห่งฟรีเมสัน ไม่ปรากฏชื่อผู้วาด

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์กทรงอภิเษกสมรส 3 ครั้ง แต่ไม่ทรงมีรัชทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในความเป็นจริงพระองค์ทรงเจริญพระชันษาสู่วัยกลางคนโดยปราศจากทายาท ซึ่งหมายความว่า เจ้าชายคริสเตียนแห่งกลึคสบวร์ก(1818–1906) ผู้ซึ่งเป็นทายาทสืบเชื้อสายจากพระญาติของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์กได้ถูกเลือกให้เป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิสืบราชบัลลังก์โดยชอบธรรมในปีพ.ศ. 2394 เมื่อสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2406 เจ้าชายคริสเตียนได้สืบราชบัลลังก์ต่อเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก

    เนื่องมาจากกฎหมายแซลิกการสืบราชบัลลังก์หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริคซึ่งไร้รัชทายาทยังเป็นปัญหาที่ยังถกเถียง ซึ่งเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นแต่ก็เกิดสงครามขึ้น กลุ่มชาตินิยมของประชาชนผู้ใช้ภาษาเยอรมันในรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ตั้งใจว่าจะไม่มีการแก้ปัญหาซึ่งให้ดัชชีรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเดนมาร์กซึ่งเป็นที่พอใจมาก ดัชชีทั้งสองต้องการประมุขที่สืบสายพระโลหิตตามกฎหมายแซลิกในหมู่ทายาทของเฮลวิกแห่งชวมบูร์ก ผู้อาวุโสของราชสกุลได้ประกาศตั้งตนเป็นเจ้าชายเฟรเดอริค ดยุกแห่งออกัสเตนเบิร์ก(ผู้ซึ่งตั้งตนเป็น เฟรเดอริคที่ 8 ดยุกแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์ หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริค) เจ้าชายเฟรเดอริคแห่งออกัสเตนเบิร์กพระองค์นี้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของชาตินิยมเยอรมันในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องอิสรภาพแก่รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ ตั้งแต่ในสมัยของพระบิดาของพระองค์ซึ่งทรงแลกกับเงินโดยทรงยอมสละสิทธิในราชบัลลังก์ทั้งชเลสวิกและโฮลชไตน์ตามมาด้วยการทำพิธีสารลอนดอนในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 ที่ซึ่งจัดทำหลังสิ้นสุดสงครามชเลสวิกครั้งที่หนึ่ง เนื่องมาจากพระบิดาทรงสละสิทธิ ส่งผลให้เจ้าชายเฟรเดอริคทรงถูกเห็นว่าขาดคุณสมบัติที่จะสืบราชบัลลังก์

    เดนมาร์กอยู่ภายใต้กฎหมายแซลิก แต่จำกัดสิทธิที่ทายาทเชื้อสายของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 แห่งเดนมาร์กเท่านั้น(ผู้ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในระบอบสืบราชสันตติวงศ์ โดยก่อนรัชสมัยของพระองค์กษัตริย์จะมาจากการเลือกตั้ง) ในขณะนั้นสมาชิกในราชสกุลชเลสวิก-โฮลชไตน์สายออกัสเตนเบิร์กและกลึคสบวร์กซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายชายของพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้รับการอนุญาตให้มีสิทธิสืบราชบัลลังก์ภายใต้ข้อบัญญัติ การสืบราชบัลลังก์ทรงฝ่ายชายของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 ได้มาสิ้นสุดลงหลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 และในจุดนั้น กฎหมายว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ที่ประกาศใช้โดยพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 ได้รวมการสืบราชบัลลังก์แบบ "กฎหมายกึ่งแซลิก" อย่างไรก็ตามมีการทดแทนในการสืบราชสันตติวงศ์ที่เป็นไปได้ไม่ว่าจะเป็นพระญาติฝ่ายหญิงที่ใกล้ชิดที่สุด ปัญหาจะได้รับการแก้ไขโดยการเลือกตั้งหรือการแบกกฎหมายเพื่อยอมรับรัชทายาทองค์ใหม่

    เจ้าชายคริสเตียนได้สืบราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ส่งผลให้สิ้นสุดราชวงศ์โอลเดนบวร์กสายตรงและวิกฤตการสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก

    พระญาติฝ่ายหญิงที่ใกล้ชิดพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 มากที่สุดคือ เจ้าหญิงหลุยส์ ชาร์ล็อตแห่งเดนมาร์กพระปิตุจฉาของพระองค์ ผู้ซึ่งอภิเษกสมรสกับแลนด์เกรฟแห่งเฮสส์ อย่างไรก็ตามทรงมิใช่เชื้อสายที่สืบทอดทางบุรุษและทรงไม่มีสิทธิสืบราชบัลลังก์ในชเลสวิก-โฮลชไตน์ รัชทายาทซึ่งเป็นราชนิกุลฝ่ายหญิงได้มีการกำหนดมาจากสิทธิของบุตรหัวปีโดยพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 จากการไร้บุตรของพระราชธิดาในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 หลังจากการเริ่มต้นของสิทธิของบุตรหัวปีได้ส่งผลถึงสิทธิของทายาทในเจ้าหญิงหลุยส์ ออกัสตาแห่งเดนมาร์ก พระขนิษฐาในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ผู้ซึ่งอภิเษกสมรสกับดยุกแห่งออกัสเตนเบิร์ก ทายาทของสายนั้นก็เหมือนกับเจ้าชายเฟรเดอริคแห่งออกัสเตนเบิร์กแต่โอกาสของพระองค์มาถึงหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในพ.ศ. 2406

    บางสิทธิได้เป็นของสายกลึคสบวร์กซึ่งเป็นสายที่ยังอ่อนอาวุโสมากในราชวงศ์ สายตระกูลนี้เป็นทายาทของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 ผ่านทางบรรพบุรุษหญิงซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์กและมีทายาทชายอ่อนอาวุโสซึ่งมีสิทธิในชเลสวิก-โฮลชไตน์ ซึ่งก็คือ เจ้าชายคริสเตียนแห่งกลึคสบวร์ก(1818–1906)และพระเชษฐาสองพระองค์ พระองค์โตทรงไร้รัชทายาทแต่พระองค์รองมีพระโอรส

    เจ้าชายคริสเตียนแห่งกลึคสบวร์ก(1818–1906)เป็นพระนัดดาบุญธรรมในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์กกับสมเด็จพระราชินีมารี โซฟี ดังนั้นทำให้ทรงคุ้นเคยดีกับพระราชประเพณีและธรรมเนียมของราชวงศ์ เจ้าชายคริสเตียนเป็นพระปนัดดาในสมเด็จพระราชินีมารี โซฟีและทรงเป็นเชื้อสายของพระญาติชั้นหนึ่งในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 พระองค์ถูกส่งมายังเดนมาร์กเพื่อประทับในพระราชวงศ์และตรัสภาษาเดนมาร์กและไม่ทรงเป็นชาตินิยมเยอรมัน แม้ว่าสิ่งที่ทางราชวงศ์ทำจะไม่เป็นไปตามกฎหมาย แต่ราชวงศ์ทำให้เจ้าชายทรงเป็นที่นิยมและเป็นจุดสนใจในชาวเดนมาร์ก ในขณะเป็นทายาทชายซึ่งอ่อนอาวุโส พระองค์ทรงมีสิทธิในราชบัลลังก์ชเลสวิก-โฮลชไตน์ แต่ไม่ใช่พระองค์แรกในราชสันตติวงศ์ เนื่องจากทรงเป็นเชื้อสายของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 3 ทำให้ทรงมีสิทธิสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก แต่ก็ไม่ใช่พระองค์แรกในราชสันตติวงศ์ อย่างไรก็ตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ยังไม่ชัดเจน

    เจ้าชายคริสเตียนแห่งกลึคสบวร์กอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงหลุยส์แห่งเฮสส์-คาสเซิลพระธิดาองค์โตในเจ้าหญิงหลุยส์ ชาร์ล็อตแห่งเดนมาร์กพระปิตุจฉาของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายหญิงที่ใกล้ชิดพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 มากที่สุด พระมารดาและพระอนุชาของเจ้าหญิงหลุยส์ได้สละสิทธิในการสืบราชบัลลังก์แก่เจ้าหญิงหลุยส์และพระสวามี ทำให้พระชายาในเจ้าชายคริสเตียนเป็นพระญาติซึ่งใกล้ชิดพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 มากที่สุด

    "กฎหมายกึ่งแซลิก"ในการสืบราชสันตติวงศ์ที่สลับซับซ้อนได้ถูกแก้ปัญหาโดยเจ้าชายคริสเตียนแห่งกลึคสบวร์กได้ถูกเลือกในปีพ.ศ. 2395 ให้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2406 เจ้าชายคริสเตียนได้สืบราชบัลลังก์ต่อเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก

    ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2406 เจ้าชายเฟรเดอริคแห่งออกัสเตนเบิร์กทรงอ้างสิทธิเหนือรัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์โดยสืบบัลลังก์ดัชชีทั้งสองต่อจากการสวรรคตของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 ปรัสเซียและออสเตรียประกาศสงครามชเลสวิกครั้งที่สองกับเดนมาร์ก ซึ่งผลของสงครามคือ เดนมาร์กพ่ายแพ้และสูญเสียดัชชีทั้งสอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×