คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #235 : มารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิล สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ฺก
เจ้าหญิงมารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิล(ภาษาเยอรมัน:Marie Sophie Friederike von Hessen-Kassel,28 ตุลาคมพ.ศ. 2310 - 22 มีนาคมพ.ศ. 2395) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ และทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น ผู้สำเร็จราชการแห่งเดนมาร์กในระหว่างปีพ.ศ. 2357 ถึง พ.ศ. 2358 ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์กพระสวามีเสด็จประพาสต่างประเทศ ทรงเป็นพระราชินีที่เป็นนิยมของชาวเดนมาร์กซึ่งนับตั้งแต่สมัยเจ้าหญิงหลุยส์แห่งเกรตบริเตนทรง เคยเป็นพระราชินีที่เป็นที่นิยมในเดนมาร์กมาก่อน และชาวเดนมาร์กก็ไม่เคยเห็นว่าพระนางเป็นชาวต่างชาติแต่ได้คิดว่าพระนางทรง เป็นเดนมาร์กทั้งกายและใจ
เนื้อหา |
ภูมิหลัง
เจ้าหญิงมารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิลทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์โตในเจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์-คาสเซิลกับเจ้าหญิงหลุยส์แห่งเดนมาร์ก พระนางทรงประสูติในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2310 ณ เมืองฮาเนา แคว้นเฮสส์ พระอัยกาและพระอัยยิกาฝ่ายพระบิดาของพระนางคือ เฟรเดอริคที่ 2 แลนด์เกรฟแห่งเฮสส์-คาสเซิลและเจ้าหญิงแมรีแห่งบริเตนใหญ่ ซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่กับคาร์โรไลน์แห่งอันสบาค สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร พระอัยกาและพระอัยยิกาฝ่ายพระมารดาของพระนางคือ สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าหญิงหลุยส์แห่งเกรตบริเตนซึ่ง เป็นพระราชธิดาอีกพระองค์หนึ่งของพระเจ้าจอร์จที่ 2 กับพระนางคาร์โรไลน์ พระบิดาของเจ้าหญิงมารี โซฟีทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองของแลนด์เกรฟและผู้ปกครองแห่งเฮสส์-คาส เซิล เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์รองทำให้ทรงไม่มีพระอิศริยยศผู้ปกครองแคว้น ดังนั้นพระองค์จึงทรงดำรงในพระอิศริยยศดังกล่าว และทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์เฮสส์ ราชสำนักเดนมาร์กได้เสนอตำแหน่งต่างๆที่ดีกว่าตำแหน่งจากเฮสส์-คาสเซิลแก่ พระองค์
เจ้าหญิงมารี โซฟีทรงเจริญพระชันษาในเดนมาร์ก ที่ซึ่งพระบิดาของพระนางทรงได้รับพระอิศริยยศของเดนมาร์ก ซึ่งก็คือ ตำแหน่งผู้ว่าการแคว้น พระมารดาของพระนางทรงเป็นพระธิดาพระองค์ที่สามของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 5 แห่งเดนมาร์กกับหลุยส์แห่งเกรตบริเตน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก ซึ่งทำให้เจ้าหญิงทรงมีศักดิ์เป็นพระนัดดาในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์กและทรงเป็นพระญาติชั้นหนึ่งของมกุฎราชกุมารเฟรเดอริค ซึ่งต่อมาคือพระสวามีของพระนาง
อภิเษกสมรสและสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก
ในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 ณ เมืองก็อตธ็อป พระนางทรงอภิเษกสมรสกับพระญาติชั้นหนึ่งคือ มกุฎราชกุมารเฟรเดอริคแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งต่อมาในอนาคตคือ สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก พระสวามีของพระนางทรงดำรงพระอิศริยยศผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตั้งแต่ทรงมีพระ ชนมายุ 16 พรรษาซึ่งตรงกับปีพ.ศ. 2327 ทรงปฏิบัติพระราชกิจแทนสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก พระราชบิดาซึ่งทรงมีพระสติวิปลาส และต่อมาทรงเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2351 ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าคริสเตียน โดยพระเจ้าเฟรเดอริคทรงดำรงอยู่ในพระอิศริยยศผู้สำเร็จราชการในทางพฤตินัย มากกว่า 2 ทศวรรษ เจ้าหญิงมารี โซฟีทรงถูกเลือกโดยมกุฎราชกุมารเฟรเดอริคเพื่อมาเป็นพระชายา ซึ่งการอภิเษกสมรสครั้งนี้พระสวามีของพระนางเห็นว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของพระองค์ในราชสำนักและเป็นประโยชน์ต่อ เดนมาร์ก เพราะพระนางทรงมีพระโลหิตชาวเดนมาร์กผ่านทางพระมารดาซึ่งเป็นเจ้าหญิง เดนมาร์กและจะทำให้ประชาชนยอมรับในพระนางได้ง่าย ถึงแม้ว่าพระบิดาของพระนางจะเป็นชาวเยอรมัน การอภิเษกสมรสตรั้งนี้เป็นที่ตื่นเต้นในสายตาชาวเดนมาร์กที่จะได้ราชินีซึ่ง เป็นชาวเดนมาร์กไม่ใช่ชาวต่างชาติอย่างในอดีต เมื่อพระนางเสด็จมาถึงกรุงโคเปนเฮเกนทรง ได้รับการต้อนรับจากพสกนิกรชาวเดนมาร์กอย่างเนืองแน่น แต่เมื่อทรงประทับในราชสำนักเดนมาร์ก พระนางทรงถูกลดความสำคัญเพราะขณะนั้นผู้ที่มีความนิยมในขณะนั้นคือ เจ้าหญิงหลุยส์ ออกัสตาแห่งเดนมาร์กพระ ขนิษฐาของพระสวามี ซึ่งได้รับการขนานพระนามว่าทรงเป็น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของราชสำนักเดนมาร์ก พระนางมารี โซฟีทรงถูกกดดันจากการให้กำเนิดบุตร การที่พระเจ้าเฟรเดอริคทรงร่วมพระแท่นกับพระราชินีครั้งล่าสุด ทำให้พระนางทรงได้รับการประชวรทำให้ไม่สามารถมีพระบุตรได้อีกซึ่งทำให้พระ สวามีทรงเสียพระทัยมากเพราะพระองค์ประสงค์ที่จะได้พระโอรสที่มีพระพลานามัย สมบูรณ์ พระนางมารี โซฟีทรงถูกบังคับให้ยอมรับการที่พระเจ้าเฟรเดอริคทรงรับเฟรเดอริเก เดนเนมานด์มาเป็นพระสนม ซึ่งทำให้พระนางทรงเสียพระทัยมาก
ในระหว่างสงครามนโปเลียน พระเจ้าเฟรเดอริคทรงนำเดนมาร์กเข้าสู่สงครามโดยเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส แต่หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1แห่งฝรั่งเศสทรงพ่ายแพ้และหลบหนีออกจากมอสโก ในปีพ.ศ. 2356 ทำให้ทรงถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา การปราชัยครั้งนี้ส่งผลให้เดนมาร์กอยู่ในสถานะผู้แพ้ สวีเดนโดยรัชทายาทคาร์ล จอห์นแห่งสวีเดนได้รีบดำเนินการอย่างรวดเร็วทรงส่งกองทัพที่ประจำอยู่ที่โฮลชไตน์เพื่อการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเดนมาร์กและสวีเดนในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2357 โดยในสนธิสัญญากำหนดให้เดนมาร์กต้องมอบนอร์เวย์ให้แก่สวีเดน และสวีเดนจะยกแคว้นโพเมราเนียและรูเกนให้เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์กเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน และจ่ายเงินสมทบสำหรับการเสียนอร์เวย์แก่เดนมาร์ก ซึ่งเรียกว่า สนธิสัญญาเคล และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า การสูญเสียนอร์เวย์ของเดนมาร์ก พระเจ้าเฟรเดอริคทรงยอมในสนธิสัญญาเคล พระองค์ทรงเห็นว่าสวีเดนและอังกฤษพยายามจะแบ่งประเทศเดนมาร์ก และทรงเห็นว่ารัชทายาทแห่งสวีเดนจะคุกคามเดนมาร์กทุกเมื่อถ้ามีโอกาส พระองค์ทรงพิจารณาว่าภัยคุกคามของสวีเดนต่อเดนมาร์กนั้นรุนแรง พระองค์ทรงดำริที่จะดึงมหาอำนาจมาช่วยเหลือเดนมาร์กจากการคุกคามของสวีเดน อังกฤษและรัสเซีย โดยพระเจ้าเฟรเดอริคทรงเข้าร่วมในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาใน ปีพ.ศ. 2357 ทำให้ช่วยรับประกันเอกราชของเดนมาร์กได้ ในช่วงที่พระเจ้าเฟรเดอริคเสด็จไปประชุมที่เวียนนา พระนางมารี โซฟีทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างพ.ศ. 2357 ถึงพ.ศ. 2358 หลังจากการสูญเสียนอร์เวย์ให้แก่สวีเดนทำให้ทั้งสองพระองค์สูญเสียพระอิศริ ยยศในนอร์เวย์ซึ่งก็คือ พระอิศริยยศ "สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์"
ในระหว่างพระสวามีเสด็จไปประชุมที่เวียนนา พระนางทรงบริหารจัดการกิจการของประเทศเป็นอย่างดีในระหว่างพ.ศ. 2357 ถึงพ.ศ. 2358 พระนางทรงสนพระทัยในเรื่องการเมืองและลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูล และพระนางทรงนิพนธ์และเผยแพร่หนังสือ Exposé de la situation politique du Danemarc ในปีพ.ศ. 2350 ถึงพ.ศ. 2357 ซึ่งเกี่ยวกับการเมืองของเดนมาร์ก และในปีพ.ศ. 2365 ถึงพ.ศ. 2367 ทรงตีพิมพ์หนังสือ Supplement-Tafeln zu Joh เกี่ยวกับลำดับวงศ์ตระกูล หนังสือเริ่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้พระสวามีใช้ในภายหลังในการรับเจ้าชาย คริสเตียนซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก พระนางทรงอุปถัมภ์องค์กรการกุศล Det Kvindelige Velgørende Selskab ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2358
บั้นปลายพระชนม์ชีพ
พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ทรงเสด็จสวรรคตในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2382 ณ พระราชวังอามาเลียนเบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน สิริพระชนมายุ 71 พรรษา พระนางทรงดำรงเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง ใน 2 รัชกาลถัดมาคือ สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์กและสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก พระนางทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างสงบและทรงเป็นที่เคารพจากการทีทรงเป็นเสาหลัก ของราชวงศ์เก่าแก่ พระนางมารี โซฟีทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2395 ณ พระราชวังเฟรเดอริคเบอร์กโคเปนเฮเกนประเทศเดนมาร์ก สิริพระชนมายุ 84 พรรษา พระบรมศพถูกฝังที่มหาวิหารร็อคสไลด์เคียงข้างพระบรมศพของพระสวามี
พระโอรส-ธิดา
พระนางมารี โซฟีและพระเจ้าเฟรเดอริคทรงมีพระโอรส-ธิดารวมกัน 8 พระองค์แต่ 6 พระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้ทรงเหลือพระธิดา 2 พระองค์ที่ดำรงพระชนม์ชีพจนสูงพระชันษา เนื่องจากทรงไม่มีพระโอรสที่ยังดำรงพระชนม์ชีพ ทำให้เมื่อพระเจ้าเฟรเดอริคสิ้นพระชนม์ ราชบัลลังก์จึงไปได้แก่พระญาติซึ่งครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก พระโอรส-ธิดาของพระนางได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส (ประสูติและสิ้นพระชนม์) และพระโอรส-ธิดา | |
เจ้าชายคริสเตียน | 22 กันยายน พ.ศ. 2334 | 23 กันยายน พ.ศ. 2334 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงมารี หลุยส์ | 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2335 | 12 ตุลาคม พ.ศ. 2336 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งเดนมาร์ก | 28 ตุลาคม พ.ศ. 2336 | 31 มันาคม พ.ศ. 2424 | อภิเษกสมรส 1 สิงหาคม พ.ศ. 2372 เจ้าชายเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก (พ.ศ. 2335–2406) ไม่มีพระโอรสธิดา | |
เจ้าหญิงหลุยส์ | 21 สิงหาคม พ.ศ. 2338 | 7 ธันวาคม พ.ศ. 2338 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าชายคริสเตียน | 1 กันยายน พ.ศ. 2340 | 5 กันยายน พ.ศ. 2340 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงจูเลียนา หลุยส์ | 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2345 | 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2345 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงเฟรเดอริเก มารี | 3 มิถุนายน พ.ศ. 2348 | 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2348 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีแห่งเดนมาร์ก | 18 มกราคม พ.ศ. 2351 | 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 | อภิเษกสมรสครั้งแรก 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2371 เจ้าชายเฟรเดอริคแห่งเดนมาร์กซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก (พ.ศ. 2351–2406) ต่อมาทรงหย่า ไม่มีพระโอรสธิดา อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 ดยุคคาร์ลแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ชอนเดนบวร์ก-กลีคสบวร์ก (พ.ศ. 2356 - พ.ศ. 2421) ซึ่งต่อมาเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก ไม่มีพระโอรสธิดา |
พระราชินีมารี โซฟีทรงไม่มีพระโอรสและพระราชนัดดาสายตรงเลย ในขณะที่เจ้าหญิงหลุยส์ แคโรไลน์แห่งเฮสส์-คาสเซิลพระ ขนิษฐาองค์สุดท้องของพระนางทรงมีทายาทมากมายและยังทรงพระเยาว์มาก พระราชินีมารีจึงทรงรับไว้อุปการะโดยทรงให้การศึกษาตามแบบราชวงศ์ เนื่องจากพระนัดดาที่ทรงรับอุปการะยังทรงพระเยาว์กว่าพระราชธิดาทั้งสองของ พระนางมารีมาก ทำให้บางพระองค์ทรงคิดว่าพระราชินีซึ่งเป็นพระมาตุจฉาคือพระอัยยิกาของ พระองค์ ซึ่งหนึ่งในพระราชนัดดาที่ทรงรับเลี้ยงคือ เจ้าชายคริสเตียนแห่งไลค์สเบอร์ก ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก
เจ้าชายคริสเตียนแห่งไลค์สเบอร์กและเจ้าหญิงหลุยส์แห่งเฮสส์พระ ชายา ทรงตั้งพระนามพระธิดาพระองค์หนึ่งว่า มารี โซฟี เฟรเดอริเก แด็กมาร์แห่งไลค์สเบอร์ก ตามพระนามของพระราชินีมารี โซฟี และต่อมาพระธิดาพระองค์นี้ทรงเป็น จักรพรรดินีมาเรีย เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย พระมเหสีในจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย
ความคิดเห็น