ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #241 : สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 222
      0
      27 พ.ค. 55

     

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก(28 มกราคมพ.ศ. 2311 - 3 ธันวาคมพ.ศ. 2382) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก(13 มีนาคมพ.ศ. 2351 - 3 ธันวาคมพ.ศ. 2382)และทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งนอร์เวย์ ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งบริเตนใหญ่ ซึ่งเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร การปกครองของพระองค์เป็นการอธิบายถึงการเป็น พระประมุขสูงสุดที่ทรงภูมิธรรม (an enlightened despot)ในยุคเรืองปัญญา

    คติพจน์ประจำรัชกาลของพระองค์คือ

    พระผู้เป็นเจ้าและความยุติธรรม (Gud og den retfærdige sag)

    เนื้อหา

    ช่วงต้นพระชนม์ชีพ

    พระนางมาทิลดาทรงพระประสูติกาลเจ้าชายเฟรเดอริค ในปี พ.ศ. 2311

    เจ้าชายเฟรเดอริคทรงพระราชสมภพในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2311 ณ พระราชวังคริสเตียนเบอร์กโคเปนเฮเกนราชอาณาจักรเดนมาร์ก พระราชบิดาคือ สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ส่วนพระราชมารดาคือ เจ้าหญิงแคโรไลน์ มาทิลดาแห่งบริเตนใหญ่ ซึ่งทรงเป็นสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษ หลังจากพระราชสมภพ เจ้าชายทรงได้รับพระอิศริยยศ มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์

    พระราชบิดาของพระองค์ทรงมีพระสติวิปลาส ในตอนที่พระนางมาทิลดาทรงประสูติพระโอรสซึ่งก็คือ เจ้าชายเฟรเดอริค ก็ไม่ทำให้พระอาการทุเลาขึ้น หลังการประสูติกาลได้เพียงหนึ่งปี พระนางมาทิลดา พระมารดาได้มีความสัมพันธ์กับ โจฮันน์ ฟรีดิช สตรูเอนซี จิตแพทย์ชาวเยอรมันและแพทย์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าคริสเตียน และทำให้สตรูเอนซีได้ก้าวขึ้นมามีบทบาททางการเมือง

    พระนางมาทิลดาและสตรูเอนซีเป็นผู้กำหนดการศึกษาของพระโอรส ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2314 พระนางมาทิลดาทรงพระประสูติกาลพระธิดาองค์หนึ่งอย่างลับๆ ที่พระราชวังเฮิร์สโชล์ม ซึ่งก็คือ เจ้าหญิงหลุยส์ ออกัสตาแห่งเดนมาร์ก และเป็นที่ลือกันว่าพระบิดาของเจ้าหญิงไม่ใช่พระเจ้าคริสเตียนแต่เป็นสตรู เอนซี แต่พระเจ้าคริสเตียนกลับทรงยินดีที่ได้พระธิดาและทรงเชื่อว่าเป็นสายพระ โลหิตของพระองค์จริง พระองค์ได้ลงพระปรมาภิไธยยอมรับการประสูติกาล ซึ่งทำให้เจ้าหญิงทรงเป็นพระขนิษฐาของเจ้าชายเฟรเดอริคโดยอัตโนมัติ

    ผู้สำเร็จราชการแห่งเดนมาร์ก

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก เมื่อครั้งยังทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ

    ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2315 เจ้าชายเฟรเดอริค ขณะมีพระชนมายุ 3 พรรษา ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ผู้สำเร็จราชการแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ โดยทรงอยู่ภายใต้พระนางมาทิลดา ผู้เป็นพระมารดาและสตรูเอนซี ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี

    ในคืนวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2315 สมเด็จพระพันปีหลวงจูเลียนา มาเรีย พระมารดาเลี้ยงของพระเจ้าคริสเตียนและเหล่าขุนนางที่เป็นศัตรูกับสตรูเอนซี ได้ก่อการรัฐประหารพระนางมาทิลดาและสตรูเอนซี พระนางจูเลียนาและคณะผู้ไต่สวนได้ตัดสินประหารชีวิตสตรูเอนซี ส่วนพระนางมาทิลดาทรงถูกบังคับให้ทรงหย่ากับพระเจ้าคริสเตียนแล้วถูกเนรเทศ ออกจากเดนมาร์ก พระนางสิ้นพระชนม์อย่างโดดเดี่ยวที่เมืองเชลล์

    ในปีพ.ศ. 2327 มกุฎราชกุมารเฟรเดอริคทรงได้รับสิทธิตามกฎหมายโดยพระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 16 พรรษา ซึ่งเลยกำหนดที่พระพันปีหลวงจูเลยนาจะมอบพระราชอำนาจคืนถึง 2 ปี พระนางทรงพยายามชักจูงให้พระนัดดาทรงมอบพระราชอำนาจให้พระนางไปก่อน หรือไม่ก็อาศัยคำแนะนำของพระนางในด้านต่างๆ และพระนางทรงบังคับให้พระเจ้าคริสเตียนทรงลงนามในพระราชกฤษฎีกาโดยกำหนดให้ มกุฎราชกุมารต้องยินยอมในคำแนะนำปรึกษาตั้งแต่ทรงเริ่มดำรงพระยศจนถึง ปัจจุบัน โดยทรงต้องรับฟังบุคคล 3 คน ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดี,เจ้าชาย เฟรเดอริค ผู้สำเร็จราชการและสมเด็จพระพันปีหลวงจูเลียนา[1]. พระนางทรงร่วมมือกับโอฟ โฮห์-กํลด์เบิร์กซึ่ง เป็นายกรัฐมนตรีในตอนนั้นพยายามยึดอำนาจเจ้าชายเฟรเดอริค อย่างไรก็ตามมกุฎราชกุมารทรงพยายามขจัดอำนาจของพระนางจูเลียนา พระอัยยิกาและพระโอรสของพระนาง และในการร่วมสภาครั้งแรกของพระองค์ พระองค์ทรงไล่คณะรัฐบาลหลวงโดยที่ไม่ได้แจ้งแก่พระนางจูเลียนา และทรงแต่งตั้งคนของพระองค์เข้ารับตำแหน่ง อีกทั้งมกุฎราชกุมารทรงบังคับให้พระบิดาซึ่งทรงมีพระจริตฟั่นเฟือนลงนามใน เอกสารแต่งตั้งพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างผู้สนับสนุนมกุฎราชกุมารปับผู้สนับสนุนพระพันปี หลวงจูเลียนา พระนางทรงพยายามแย่งชิงกษัตริย์จากพระหัตถ์ของพระนัดดา แต่ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะคือ มกุฎราชกุมารเฟรเดอริค ซึ่งนับเป็นจุดจบในระบอบเก่าสมัยยุคกลางของเดนมาร์ก รัชกาลที่ปกครองโดยพระพันปีจูเลียนาและพระโอรสของพระนางสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารในพ.ศ. 2327 โดยชาวเดนมาร์กต่างยินดีกันทั่งหน้าซึ่งจบสิ้นยุคสมัยของพระพันปีหลวงซึ่ง ปกครองเดนมาร์กอย่างกดขี่และทารุณ พระองค์ทรงดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการจนกระทั่งพระเจ้าคริสเตียน พระบิดาทรงเสด็จสวรรคตในปีพ.ศ. 2351

    ในระหว่างทรงดำรงเป็นผ้สำเร็จราชการ มกุฎราชกุมารทรงทำการปฏิรูปเดนมาร์กให้เป็นไปตามแนวทางแบบเสรีนิยมร่วมกับรัฐมนตรีแอนเดรียส ปีเตอร์ เบิร์นสตอฟ ซึ่งทรงประกาศยกเลิกระบบมาเนอร์ที่มีมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง ในปีพ.ศ. 2331 วิกฤตที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือ ทรงไม่เห็นด้วยที่ชาวอังกฤษลำเลียงสินค้าส่งทางเรืออย่างไม่เป็นธรรม ทำให้สหราชอาณาจักรได้ประกาศสงครามกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ ซึ่งเป็นสมรภูมิทางทะเลเกิดขึ้นที่โคเปนเฮเกน เรียกว่า สมรภูมิโคเปนเฮเกน ส่งผลให้เดนมาร์กพ่ายแพ้อย่างหนัก

    มกุฎราชกุมารเฟรเดอริคทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิล พระญาติชั้นหนึ่งและเป็นสมาชิกราชวงศ์เยอรมันและการอภิเษกครั้งนี้จะเป็นการ เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์เดนมาร์กและอังกฤษ ทั้ง 2 พระองค์อภิเษกสมรสที่ก็อตธ็อปใน วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2333 ทรงมีพระโอรสและพระธิดาร่วมกัน 8 พระองค์ แต่ทรงมีพระธิดาเพียง 3 พระองค์ทรงรอดพระชนม์ชีพจากวัยเยาว์มาได้ เจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีแห่งเดนมาร์กพระธิดาองค์สุดท้องต่อมาทรงได้เป็นพระชายาในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก เนื่องจากทรงไม่มีพระราชโอรสซึ่งดำรงพระชนม์ชีพ เมื่อพระองค์สวรรคต ราชบัลลังก์จึงไปได้แก่ สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก พระญาติของพระองค์ ซึ่งเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระพันปีหลวงจูเลียนา มาเรีย

    สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเดนมาร์กและปัญหาราชบัลลังก์สวีเดน

    เจ้าชายเฟรเดอริคทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็น สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเดนมาร์กในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังเฟรเดอริคเบอร์ก

    เจ้าชายเฟรเดอริคทรงชึ้นครองราชสมบัติเป็น สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเดนมาร์กในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2351 ในปีพ.ศ. 2351 ราชบัลลังก์สวีเดนเริ่มปรากฏสัญญาณแห่งการว่างลง เนื่องจากสมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 4 อดอล์ฟแห่งสวีเดนทรง ถูกปฏิวัติรัฐประหารและทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ พระเจ้าเฟรเดอริคทรงหวังว่าจะได้รับเลือกให้เป็น สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสวีเดน พระเจ้าเฟรเดอริคทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์พระองค์แรก ที่ทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 1 แห่งสวีเดน ผู้ซึ่งประกาศอิสรภาพสวีเดนหลังจากยุคสมัยของสหภาพที่รวมด้วยประเทศในแถบคาบ สมุทรสแกนดิเนเวีย (นอกจากนี้พระขนิษฐาของพระเจ้าเฟรเดอริคยังทรงเป็นเชื้อสายของพระเจ้ากุสตา ฟโดยผ่านทางพระมารดาของพระนาง ตลอดจนเจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์พระปิตุลาของพระองค์ด้วย ซึ่งเป็นทายาทของพระราชินีจูเลียนา) ในตอนแรก เฟรเดอริค คริสเตียนที่ 2 ดยุคแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ซอนเดอร์บวร์ก-ออกัสเตนเบิร์กพระขนิษฐภรรดา(น้องเขย)ของพระเจ้าเฟรเดอริกทรงได้รับการเลือกให้เป็นกษัตริย์แห่งสวีเดนองค์ต่อไปซึ่งจะมีผลหลังจากสมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดนสวรรคต แต่ในภายหลังจอมพลฌอง เบอร์นาดอตต์ซึ่งได้รับเลือกจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 13 ให้สืบราชบัลลังก์ต่อเป็น สมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 14 จอห์นแห่งสวีเดน นับเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์โฮลชไตน์-ก็อตธ็อปและเริ่มต้นราชวงศ์เบอร์นาด็อตต์ของสวีเดน ในสงครามนโปเลียน พระองค์ทรงนำเดนมาร์กเข้าสู่สงครามโดยเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส

    การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา

    หลังจากที่

    จักรพรรดินโปเลียนที่ 1ทรงหนีออกจากมอสโก และความปราชัยของพระองค์ในสมรภูมิไลป์ซิก ในปีพ.ศ. 2356 ทำให้ทรงถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา การปราชัยครั้งนี้ส่งผลให้เดนมาร์กอยู่ในสถานะผู้แพ้ สวีเดนโดยรัชทายาทคาร์ล จอห์นได้รีบดำเนินการอย่างรวดเร็วทรงส่งกองทัพที่ประจำอยู่ที่โฮลชไตน์เพื่อการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเดนมาร์กและสวีเดนในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2357 โดยในสนธิสัญญากำหนดให้เดนมาร์กต้องมอบนอร์เวย์ให้แก่สวีเดน และสวีเดนจะยกแคว้นโพเมราเนียและรูเกนให้เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์กเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน และจ่ายเงินสมทบสำหรับการเสียนอร์เวย์แก่เดนมาร์ก ซึ่งเรียกว่า สนธิสัญญาเคล และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า การสูญเสียนอร์เวย์ของเดนมาร์ก พระเจ้าเฟรเดอริคทรงยอมในสนธิสัญญาเคล พระองค์ทรงเห็นว่าสวีเดนและอังกฤษพยายามจะแบ่งประเทศเดนมาร์ก และทรงเห็นว่ารัชทายาทแห่งสวีเดนจะคุกคามเดนมาร์กทุกเมื่อถ้ามีโอกาส พระองค์ทรงพิจารณาว่าภัยคุกคามของสวีเดนต่อเดนมาร์กนั้นรุนแรง พระองค์ทรงดำริที่จะดึงมหาอำนาจมาช่วยเหลือเดนมาร์กจากการคุกคามของสวีเดน อังกฤษและรัสเซีย

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก

    ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2357 ทรงเสด็จประพาสเวียนนาเป็นการส่วนพระองค์ พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่หน้าประตูเมือง พระเจ้าเฟรเดอริกและพระจักรพรรดิเสด็จประทับรถม้าพระที่นั่งไปยังพระราชวังฮอฟบวร์ก พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากชาวออสเตรียอย่างอบอุ่น แต่ชาวออสเตรียบางคนกล่าวว่าการต้อนรับของจักรพรรดิครั้งนี้เป็นเพียง ประเพณีและทั้งสองพระองค์มีกตรัสเรื่องส่วนพระองค์มากกว่าเรื่องการเมือง

    การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา

    อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ออสเตรียในระหว่างการเสด็จ ประพาสกรุงเวียนนาของพระเจ้าเฟรเดอริคได้รับการบรรยายว่าดูดีที่สุด ในการประชุมข้อเสนอของพระองค์ที่เวียนนาทำให้ขัดต่อพระประมุขของรัฐอื่นๆมาก ที่สุด แต่พระองค์กลับได้รับความนิยมจากประชาชนในกรุงเวียนนาอย่างมากในการเรียก ร้องสิทธิของเดนมาร์ก เนื่องจากความขัดแย้งกับประมุขรัฐต่างๆทำให้ทรงถูกประณามจากพระประมุขรัฐ ต่างๆว่า เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ

    ในการประชุมที่เวียนนาครั้งนี้ พระเจ้าเฟรเดอริคทรงไม่ได้รับการให้เกรียติเทียบเท่าพระประมุขรัฐอื่นๆ แต่การประชุมที่เวียนนาครั้งนี้มีผู้มาเข้าชมมากมาย มีการเต้นรำและความบันเทิง ซึ่งทำให้ถูกเรียกว่า "การประชุมเต้นรำ" และมีเรื่องน่าขบขันคือ "สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งออสเตรียทรงสนุกสนานกับทุกสิ่ง สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งรัสเซียทรงรักทุกอย่างและสมเด็จพระราชาธิบดีแห่ง เดนมาร์กทรงดำริถึงทุกคน" ในระหว่างทรงประทับอยู่ที่เยนนา ทรงรับเอาแคโรไลน์ เซาเฟิร์ต สตรีชาวออสเตรียที่เป็นนักเต้นรำในการประชุมวัย 18 ปีมาเป็นพระสนม โดยเธออยู่ร่วมกับพระเจ้าเฟรเดอริคในเวลาอันสั้นตลอดเวลาที่ประทับในเวียนนา


    แม้ว่าจะมีการจัดการให้มีความบันเทิงในการประชุมที่ตึงเครียด รัชทายาทคาร์ล จอห์นแห่งสวีเดนทรงเชื่อมั่นว่า พระเจ้าเฟรเดอริคจะไม่สามารถต้านทานกระแสการต่อต้านจากชาวนอร์เวย์ และจากสนธิสัญญาเคลทำให้เศรษฐกิจเดนมาร์กซบเซาอย่างมาก

    เมื่ออาณาจักรล้มละลาย ทูตรัสเซียได้รายงานว่า "น่าแปลกในดินแดนนี้ นำมาซึ่งความรุ่งเรืองครั้งสุดท้ายและกลายเป็นซากจากการคุกคาม ต้องมีการแก้ปัญหา"

    เจ้าหน้าที่เดนมาร์กทำงานอย่างหนัก เพื่อให้รัชทายาทคาร์ล จอห์นแห่งสวีเดนทรงปฏิบัติตามสนธิสัญญาเคล ในการชดเชยการสูญเสียนอร์เวย์ อย่างไรก็ตามสวีเดนได้เกิดความล้มเหลวจากการสัมปทานแผ่นดินที่ได้มา และรัสเซียจำต้องลดค่าบำรุงกองทัพรัสเซีย

    ในเดนมาร์ก

    แม้ว่าด้วยความติ้นรนของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ในการประชุมที่เวียนนาจะสามารถช่วยประเทศเดนมาร์กของพระองค์จากการคุกคาม ของมหาอำนาจได้ แต่ก็ทรงผิดหวังที่ประเทศไม่ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่าที่ควร ในช่วงที่เสด็จกลับโฮลชไตน์และเดนมาร์ก ได้มีการฉลองชัยชนะของพระองค์ ซึ่งมีกระแสความนิยมระบอบกษัตริย์ แต่มีประชาชนบางกลุ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวที่สถาบันพระมหากษัตริย์จะกุม อำนาจเบ็ดเสร็จ ในทุกๆที่ของเมืองอัลโทนา พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับจากประตูเมืองอย่างสมพระเกียรติ มีการยิงสลุตและฝูงชนที่ปิติยินดีมาถวายการต้อนรับ ในเมืองเรนส์บูร์ก พระองค์ทรงประทับรถพระที่นั่งผ่านในเวลากลางคืนเพื่อเสด็จไปประทับที่ พระราชวัง ทุกสิ่งสว่างไสว เหล่าสตรีออกมาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ และการจัดงานเฉลิมฉลองพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 มีทุกท้องที่จนถึงเมืองหลวง

    อนุสาวรีย์พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ในกรุงโคเปนเฮเกน

    เนื่องจากความต้องการประชาธิปไตยในประชาชนมีสูง รวมทั้งความนิยมในพระองค์ก็สูงเช่นกัน พระองค์ทรงไม่เต็มใจที่สละพระราชอำนาจในวิธีการประชาธิปไตย พระองค์ทรงให้มีการเลือกตั้งstænderforsamlingerทั้ง 4 เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินระบอบประชาธิปไตยแม้ว่าพระองค์จะทรงเห็นว่า พวกเขาเป็นเพียงคณะที่ปรึกษาเท่านั้น โดยให้มีการเลือกตั้งกันทั่งราชอาณาจักร

    ในปีพ.ศ. 2380 ได้มีการจัดแสดงศิลปะวัตถุประจำชาติเพื่อเพิ่มรายได้ของประเทศในการสร้าง พิพิธภัณฑ์ในโคเปนเฮเกน ซึ่งผู้รับผิดชอบโครงการคือ เบอร์เทล โทรวัลด์เซน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2381 โทรวัลด์เซนจึงเดินทางกลับเดนมาร์กหลังจากอาศัยอยู่ที่โรมเป้ นเวลา 40 ปี และในปีนั้นพระเจ้าเฟรเดอริคทรงมอบที่ดินสำหรับสร้างพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ ถัดจากพระราชวังคริสเตียนเบอร์กไปทางขวา นครโคเปนเฮเกนได้เจริญขึ้นจากการที่มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง ซึ่งสถกปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย ไมเคิล ก็อตท์ทีบ บินเดสโบล์ ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2391 ได้มีการเปิดพิพิธภัณฑ์โทรวัลด์เซน ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของเดนมาร์ก

    ในช่วงนั้นได้มีปัญหาเกี่ยวกับการมีทาส พระองค์ทรงพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างหนัก ในระหว่างปีพ.ศ. 2344 ซึ่งเกิดสงครามกับอังกฤษในสมรภูมิโคเปนเฮเกน มีทาสชาวนิโกรสองคนคือ ฮันส์ โจนาธานและปีเตอร์ ซามูเอลจาก ทะเลแคริบเบียน ในมาถึงกรุงโคเปนเฮเกนในระหว่างสงคราม ทั้งสองคนได้ร่วมสู้กับกองทัพเรืออังกฤษ หลังสิ้นสุดสงคราม พระองค์ทรงประทานตำแหน่งในกองทัพเรือเป็นรางวัล แต่ทั้งสองปฏิเสธเพราะตนเองเป็นทาสและต้องกลับไปทำงานรับใช้นายจ้างของตน โดยใช้แรงงานไร่กาแฟทางภาคตะวันตกของอินเดีย พระองค์จึงริเริ่มหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องทาส ด้วยการบริหารของพระเจ้าเฟรเดอริค ปีเตอร์ แอนเดรียส ไฮเบิร์กนัก ปรัชญาชาวเดนมารก ได้ออกมาวิพากย์วิจารณ์การบริหารของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกว่าไฮเบิร์กดูถูกพระองค์ตลอดเวลาตั้งแต่ในวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2333 ขณะยังทรงเป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อพระองค์และพระนางมารี โซฟีพระชายาซึ่งทรงเป็นที่สนใจในวงการสังคม และไฮเบิร์กได้บรรยายถึงพระองค์ว่า "ของตกแต่งในพระตำหนักจัดอย่างน่าเกลียด เหล่าขุนนางจับปากกาและผูกริบบินเหมือนพวกโบราณ...อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาท พวกเขาดูดีอยู่อย่างเดียวคือ การที่ไม่ได้ประดับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ของพระองค์" พระองค์ทรงตอบกลับว่า"ความจริงแล้วข้าพเจ้ายินดีต้อนรับสุภาพบุรุษเหล่านี้ ทุกคน แต่เพียงคุณเท่านั้นที่ข้าพเจ้าจะไม่เมตตาอีกต่อไป" ในคริสต์มาสอีพ พ.ศ. 2342 ไฮเบิร์กถูกเนรเทศตลอดชีวิต

    สวรรคต

    พระราชพิธีฝังพระศพสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์กในปีพ.ศ. 2382

    พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ทรงเสด็จสวรรคตในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2382 ณ พระราชวังอามาเลียนเบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน สิริพระชนมายุ 71 พรรษา พระบรมศพได้ถูกฝังที่มหาวิหารร็อคสไลด์ พระองค์ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลาทั้งหมด 55 ปี โดย 24 ปีแรกทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าคริสเตียนที่ 7 และอีก 31 ปี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก

    การสืบราชบัลลังก์

    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก,พระราชินีมารี โซฟี และพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ในปีพ.ศ. 2364

    พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 เสด็จสวรรคตโดยปราศจากพระราชโอรสที่สามารถสืบราชบัลลังก์ เนื่องจากพระโอรสของพระองค์ซึ่งประสูติแต่พระราชินีมารี โซฟีสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์และพระโอรสที่ประสูติแต่พระสนม เฟรเดอริเก เดนเนมานด์ ก็ไม่มีสิทธิในราชบัลลังก์ ทำให้ราชบัลลังก์ไปได้แก่ เจ้าชายคริสเตียน เฟรเดอริก พระราชโอรสในเจ้าชายเฟรเดอริค รัชทายาทแห่งเดนมาร์กและนอร์เวย์ พระปิตุลาของพระเจ้าเฟรเดอริคและทรงเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระพันปีหลวงจูเลียนา มาเรีย พระอัยยิกาซึ่งเคยเป็นศัตรูกับพระเจ้าเฟรเดอริคในช่วงแรก เจ้าชายคริสเตียนได้ขึ้นครองราชย์ พระนาม สมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก

    หลังจากพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 สวรรคต พระโอรสของพระองค์ได้ครองราชย์ต่อเป็น สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีแห่งเดนมาร์ก พระราชธิดาในพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 แต่หลังจากนั้นทรงหย่ากันโดยไม่มีพระโอรส-ธิดา ซึ่งหมายความว่าเชื้อสายของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ซึ่งเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้หมดสิ้นลง คงเหลือแต่พระโอรสและพระธิดาที่ประสูติแต่พระสนม เฟรเดอริเก เดนเนมานด์ ที่มีทายาทสืบสกุลของพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6 ต่อไปแต่ไม่มีสิทธิในราชวงศ์

    พระโอรส-ธิดา

    พระโอรส-ธิดาที่ประสูติแต่เจ้าหญิงมารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิล

    เจ้าหญิงมารี โซฟีแห่งเฮสส์-คาสเซิลพระมเหสีในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 6
      พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ คู่สมรส (ประสูติและสิ้นพระชนม์) และพระโอรส-ธิดา
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าชายคริสเตียน 22 กันยายน
    พ.ศ. 2334
    23 กันยายน
    พ.ศ. 2334
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าหญิงมารี หลุยส์ 19 พฤศจิกายน
    พ.ศ. 2335
    12 ตุลาคม
    พ.ศ. 2336
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    Arveprinsesse Caroline.jpg เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งเดนมาร์ก 28 ตุลาคม
    พ.ศ. 2336
    31 มันาคม
    พ.ศ. 2424
    อภิเษกสมรส 1 สิงหาคม พ.ศ. 2372
    เจ้าชายเฟอร์ดินานด์ รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก (พ.ศ. 2335–2406)
    ไม่มีพระโอรสธิดา
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าหญิงหลุยส์ 21 สิงหาคม
    พ.ศ. 2338
    7 ธันวาคม
    พ.ศ. 2338
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าชายคริสเตียน 1 กันยายน
    พ.ศ. 2340
    5 กันยายน
    พ.ศ. 2340
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าหญิงจูเลียนา หลุยส์ 12 กุมภาพันธ์
    พ.ศ. 2345
    23 กุมภาพันธ์
    พ.ศ. 2345
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    National Coat of arms of Denmark.svg เจ้าหญิงเฟรเดอริเก มารี 3 มิถุนายน
    พ.ศ. 2348
    14 กรกฎาคม
    พ.ศ. 2348
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    Vilhelmine Marie.jpg เจ้าหญิงวิลเฮลมิเน มารีแห่งเดนมาร์ก 18 มกราคม
    พ.ศ. 2351
    30 พฤษภาคม
    พ.ศ. 2434
    อภิเษกสมรสครั้งแรก 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2371
    เจ้าชายเฟรเดอริคแห่งเดนมาร์กซึ่งต่อมาคือ
    สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่ 7 แห่งเดนมาร์ก (พ.ศ. 2351–2406) ต่อมาทรงหย่า
    ไม่มีพระโอรสธิดา

    อภิเษกสมรสครั้งที่ 2
    ดยุคคาร์ลแห่งชเลสวิก-โฮลชไตน์-ชอนเดนบวร์ก-กลีคสบวร์ก (พ.ศ. 2356 - พ.ศ. 2421) ซึ่งต่อมาเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก
    ไม่มีพระโอรสธิดา

    พระโอรสธิดาที่ประสูติแต่พระสนมเฟรเดอริเก เดนเนมานด์

    พระสนมเฟรเดอริเก เดนเนมานด์ ในปีพ.ศ. 2405
    • โลวีซา เคานท์เตสแห่งเดนเนมานด์ (16 เมษายน พ.ศ. 2353 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2481) สมรสในปีพ.ศ. 2379 กับวิลเลียม ฟาน ซาชารี(พ.ศ. 2350 - พ.ศ. 2414) มีบุตรธิดา
    • คาโรไลน์ เคานท์เตสแห่งเดนเนมานด์ (พ.ศ. 2355 - พ.ศ. 2387) สมรสในปีพ.ศ. 2380 กับอดอล์ฟ เฟรเดอริค ชาค ฟาน บร็อคดอร์ฟ(พ.ศ. 2353 - พ.ศ. 2402) มีบุตรธิดา
    • เฟรเดอริก เคานท์แห่งเดนเนมานด์ (20 กรกฎาคม พ.ศ. 2356 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2431) สมรสครั้งแรกในปีพ.ศ. 2383 กับฟรานซิสกา ฟาน สชอเทน(พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2387) ไม่มีบุตรธิดา,สมรสครั้งที่สองในปีพ.ศ. 2388 กับโลวีซา เกรฟวินด์ ชชูลิน(พ.ศ. 2358 - พ.ศ. 2427) ไม่มีบุตรธิดา,สมรสครั้งที่สามในปีพ.ศ. 2427 กับวิลเฮลมินา เลาว์เซน(พ.ศ. 2383 - พ.ศ. 2433) ไม่มีบุตรธิดา
    • วัลเดมาร์ เคานท์แห่งเดนเนมานด์ (6 มิถุนายน พ.ศ. 2362 - 4 มีนาคม พ.ศ. 2373)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×