ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #244 : สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 169
      0
      29 พ.ค. 55

     

    สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส(17 ธันวาคมพ.ศ. 2277 - 20 มีนาคมพ.ศ. 2359,พระนามเต็ม: มาเรีย ฟรานซิสกา อิซาเบล โจเซฟา แอนโทเนีย เจอร์ทรูด ริตา ฮวนนา) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ ตั้งแต่พ.ศ. 2320 จนกระทั่งเสด็จสวรรคต ทรงเป็นที่รู้จักกันในพระนาม มาเรีย ผู้ใจบุญ โดยชาวโปรตุเกส และเป็นที่รู้จักในพระนาม มาเรีย ผู้วิปลาส โดยชาวบราซิล ทรงเป็นพระประมุขพระองค์แรกของโปรตุเกสที่เป็นสตรีเพศ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์โตจากพระธิดาทั้งสี่พระองค์ในสมเด็จพระเจ้าโจเซฟแห่งโปรตุเกสกับเจ้าหญิงมาเรียนา วิกตอเรียแห่งสเปน

    เนื้อหา

    ช่วงต้นของพระชนม์ชีพ

    สมเด็จพระเจ้าโจเซฟและพระนางมาเรียนา วิกตอเรีย ซึ่งเป็นพระบิดาและพระมารดาของเจ้าหญิงมาเรีย

    เจ้าหญิงมาเรียพระราชสมภพที่พระราชวังริเบย์รา ซึ่งต่อมาพระราชวังนี้ได้ถูกทำลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ พระนามเต็มของพระนางคือ มาเรีย ฟรานซิสกา อิซาเบล โจเซฟา แอนโทเนีย เจอร์ทรูด ริตา ฮวนนา ในวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 5 แห่งโปรตุเกสซึ่งเป็นพระอัยกาของพระนาง ได้มอบพระอิศริยยศเจ้าหญิงเป็น เจ้าหญิงแห่งเบย์รา พระนางทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์โตจากทั้งหมด 4 พระองค์

    เมื่อพระราชบิดาได้สืบราชสมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าโจเซฟแห่งโปรตุเกส หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 5 ในปีพ.ศ. 2293 เจ้าหญิงมาเรียได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงแห่งบราซิลซึ่งเป็นพระอิศริยยศตามแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่พระอิศริยยศดัสเชสแห่งบราแกนซา

    เจ้าหญิงมาเรียทรงเจริญพระชันษาในช่วงที่การปกครองของพระราชบิดาและรัฐบาลอยู่ภายใต้อำนาจของมาควิสแห่งพอมบาล พระราชบิดาของพระนางมักจะปลีกตัวพระองค์จากการเมืองมาพำนักที่พระราชวังหลวงเควลูซ ซึ่งต่อมาได้มอบให้กับเจ้าหญิงมาเรียและพระสวามี มาควิสแห่งพอมบาลได้เข้ากุมอำนาจในรัฐบาลหลังจากเหตุการณ์ครั้งร้ายแรงคือ แผ่นดินไหวในลิสบอน พ.ศ. 2298 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2293 วึ่งส่งผลให้ประชาชนกว่าหนึ่งแสนคนต้องเสียชีวิต และพระราชวังริเบย์ราถูกทำลายจนสิ้น

    หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นส่งผลให้พระราชบิดาของพระนางเกิดพระ อาการประหลาดคือ พระองค์มักจะรู้สึกอึดอัดในที่ที่ไม่มีช่องว่าง อันเป็นผลมาจากโรคกลัวที่ปิดทึบ(Claustrophobia) พระเจ้าโจเซฟทรงสร้างที่ประทับในเมืองอาจูดา โดยให้ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งพระราชวังเป็นที่รู้จักในชื่อ พระราชวังเรียล บาร์ราคา เดอ อาจูดา(กระท่อม หลวงแห่งอาจูดา) เนื่องจากว่าทั้งตัวพระราชวังทำจากไม้ทั้งสิ้น พระราชวงศ์ทรงประทับร่วมกันที่พระราชวังนี้และเป็นที่ที่เจ้าหญิงมาเรียทรง พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกด้วย ต่อมาในปีพ.ศ. 2337 พระราชวังนี้ได้ถูกเพลิงเผาจนวอดวายและได้มีการสร้างพระราชวังหลวงอาจูดาขึ้นแทนที่

    การอภิเษกสมรสและทายาท

    เจ้าหญิงมาเรียทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเปโดร ซึ่งเป็นพระปิตุลาของพระนาง และเป็นผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ปกครองร่วมกับพระนางมาเรียเมื่อพระนางขึ้น ครองราชย์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสได้จัดขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2303 ซึ่งเจ้าสาวทรงมีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา ส่วนเจ้าบ่าวทรงมีพระชนมายุ 43 พรรษา ถึงแม้จะเป็นการอภิเษกสมรสที่ต่างพระชันษากันมาก แต่ก็จัดเป็นคู่อภิเษกสมรสที่มีความสุขคู่หนึ่งซึ่งปรากฏพบได้ยากในการแต่ง งานของราชวงศ์ ทั้งสองพระองค์ทรงให้กำเนิดโอรสและธิดารวม 6 พระองค์ ได้แก่

      พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา
    D. José de Bragança, príncipe do Brasil.jpg เจ้าชายโจเซแห่งบราซิล 20 สิงหาคม
    พ.ศ. 2304
    11 กันยายน
    พ.ศ. 2331
    อภิเษกสมรส 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320
    เจ้าหญิงเบเนดิกตาแห่งโปรตุเกส ผู้เป็นพระมาตุจฉา
    ไม่มีรัชทายาท
    Coat of arms of the Kingdom of Portugal (Enciclopedie Diderot).svg เจ้าชายโจอาว ฟรานซิสโกแห่งโปรตุเกส 16 กันยายน
    พ.ศ. 2306
    10 ตุลาคม
    พ.ศ. 2306
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    Coat of arms of the Kingdom of Portugal (Enciclopedie Diderot).svg เจ้าหญิงมาเรีย อิซาเบลแห่งโปรตุเกส 23 ธันวาคม
    พ.ศ. 2309
    14 มกราคม
    พ.ศ. 2320
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
    Henrique José da Silva - Retrato de Dom João VI.JPG สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 6 แห่งโปรตุเกส 13 มีนาคม
    พ.ศ. 2310
    10 มีนาคม
    พ.ศ. 2369
    อภิเษกสมรส 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2328
    เจ้าหญิงคาร์ลอตา โจวควินาแห่งสเปน
    มีรัชทายาท 9 พระองค์ ได้แก่
    เจ้าหญิงมาเรีย เทเรซาแห่งเบย์รา
    เจ้าชายฟรานซิสโก อันโตนิโอแห่งเบย์รา
    มาเรีย อิซาเบลแห่งโปรตุเกส สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน
    สมเด็จพระจักรพรรดิเปโดรที่ 1 แห่งบราซิล
    เจ้าหญิงมาเรีย ฟรานซิสกาแห่งโปรตุเกส
    เจ้าหญิงอิซาเบล มาเรียแห่งโปรตุเกส
    สมเด็จพระเจ้ามิเกลแห่งโปรตุเกส
    เจ้าหญิงมาเรีย ดา อัสซันโคแห่งโปรตุเกส
    เจ้าหญิงอนา เดอ จีซัส มาเรียแห่งโปรตุเกส
    Coat of arms of the Kingdom of Portugal (Enciclopedie Diderot).svg เจ้าหญิงมาเรียนา วิกตอเรียแห่งโปรตุเกส 15 ธันวาคม
    พ.ศ. 2311
    2 พฤศจิกายน
    พ.ศ. 2331
    อภิเษกสมรส 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2371
    เจ้าชายกาเบรียลแห่งสเปน
    มีรัชทายาท 3 พระองค์ ได้แก่
    เจ้าชายเปโดร คาร์ลอสแห่งสเปนและโปรตุเกส
    เจ้าหญิงมาเรีย คาร์ลอตาแห่งสเปน
    เจ้าชายคาร์ลอสแห่งสเปน
    Coat of arms of the Kingdom of Portugal (Enciclopedie Diderot).svg เจ้าหญิงมาเรีย คลีเมนทีนาแห่งโปรตุเกส 9 มิถุนายน
    พ.ศ. 2317
    27 มิถุนายน
    พ.ศ. 2319
    สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์

    สมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและพระอาการวิปลาส

    พระนางมาเรียและพระสวามีในวันขึ้นครองราชสมบัติ
    พระราชวังหลวงเควลูซ

    ในปีพ.ศ. 2320 เจ้าหญิงมาเรียได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถพระองค์แรกแห่ง โปรตุเกสและอัลเกรฟ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 26 พระสวามีของพระนางได้เป็นพระประมุขร่วม พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าเปโดรที่ 3 แห่งโปรตุเกส แม้ว่าพระสวามีจะดำรงเป็นผู้ปกครองร่วมแต่แท้จริงแล้วอำนาจทั้หมดกลับตกอยู่ ในพระหัตถ์ของพระนางมาเรีย พระนางทรงเป็นนักปกครองที่ดีและชาญฉลาดถ้าไม่เกิดพระอาการวิปลาสของพระนาง

    บทบาทแรกในการเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระนางคือ การปลดมาควิสแห่งพอมบาล ผู้เป็นที่นิยมออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและทรงประกาศไม่ให้เขาเข้าใกล้ พระองค์เป็นระยะ 20 ไมล์ มาควิสแห่งพอมบาลเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทาวอรา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าโจเซฟในรัชกาลก่อน และผลลัพธ์คือคนในตระกูลทาวอราถูกสั่งประหารชีวิต ซึ่งคนในตระกูลนี้เป็นปรปักษ์กับมาควิสแห่งพอมบาล จนทำให้มาควิสแห่งพอมบาลมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ จนเรียกได้ว่า ยุคภูมิธรรมของพอมบาล และเป็นผู้ต่อต้านคณะเยซูอิต ซึ่งพระนางมาเรียไม่ทรงโปรดพอมบาลพระนางจึงสั่งปลดเขา ในช่วงนี้ประเทศโปรตุเกสได้เข้าเป็นสมาชิกในสันนิบาตแห่งความเป็นกลางทางกองทัพ (เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2325)

    พระนางมาเรียทรงทรมานจากการที่ทรงเคร่งครัดในพระศาสนามากเกินไปและทรงเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นพระอาการแบบเฉียบพลันทำให้พระนางไม่สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองได้ พระนางทรงเป็นพระโรคเดียวกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งทรงพระประชวรด้วยโรคพอร์ฟีเรีย

    นายพลฌอง-อันดอเช ชูโนต์แห่งกองทัพฝรั่งเศส

    พะอาการวิปลาสของพระนางเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นในปีพ.ศ. 2329 เมื่อพระนางมาเรียทรงถูกกุมพระองค์กลับมายังพระตำหนักด้วยพระอาการคลุ้ม คลั่ง สภาพจิตใจของพระนางเลวร้ายยิ่งขึ้น และในปีเดียวกันพระสวามีของพระนางเสด็จสวรรคตในเดือนพฤษภาคม สภาพจิตใจของพระนางเหมือนแหลกสลายทรงออกประกาศห้ามให้มีความบันเทิง และการฉลองรัฐพิธีต่างๆให้เป็นไปตามพิธีกรรมทางศาสนาทั้งสิ้น สภาพจิตใจของพระนางสูญเสียมากขึ้นเมื่อพระราชโอรสพระองค์โตสิ้นพระชนม์ขณะมี พระชนมายุ 27 พรรษาด้วยไข้ทรพิษ และหลังจากการสารภาพบาปของพระนางในปีพ.ศ. 2334 ก็มีผลให้พระอาการเลวร้ายยิ่งขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2335 พระนางทรงได้รับการรักษาจากฟรานซิส วิลลิส นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร วิลลิสประสงค์ให้พระนางเสด็จไปรับการรักษาที่ประเทศอังกฤษแต่ทางราชสำนักได้ปฏิเสธแผนการนี้ เจ้าชายจอห์น พระราชโอรสพระองค์สุดท้องได้ใช้พระราชอำนาจปกครองประเทศภายใต้พระนามของพระ ราชมารดา และทรงได้ดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ในปีพ.ศ. 2342 เมื่อพระราชวังเรียล บาร์ราคา เดอ อาจูดาได้ถูกเพลิงเผาผลาญจนสิ้นในปีพ.ศ. 2337 พระราชวงศ์ได้ย้ายไปประทับที่พระราชวังเควลูซ ซึ่งเป็นที่ซึ่งพระนางมาเรียทรงถูกบังคับให้อยู่บนพระแท่นบรรทมโดยทรงถูกผูก ติดกับพระแท่นตลอดทั้งวันโดยไม่ให้เสด็จออกจากห้อง แขกผู้มาเยือนราชสำนักโปรตุเกสต่างได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของพระนาง มาเรียซึ่งจะมีเสียงสะท้อนกลับทั่วทั้งพระราชวัง

    สงครามนโปเลียนและเสด็จสวรรคต

    พระราชินีนาถมาเรียที่ 1 และพระราชวงศ์บราแกนซาเสด็จถึงท่าเรือเพื่อลี้ภัยไปยังบราซิล

    ในปีพ.ศ. 2344 มานูเอล โกดอย นายกรัฐมนตรีเผด็จการแห่งสเปนได้ส่งกองทัพบุกโปรตุเกสด้วยการสนับสนุนจากนโปเลียน แต่ในปีเดียวกันก็ถูกสั่งระงับแผนการไว้ อย่างไรก็ตามในสนธิสํญญาบาดาจอซในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2344 โปรตุเกสได้ถูกบังคับให้มอบโอลิเวนซาและส่วนหนึ่งของกายอานาแก่สเปน

    รัฐบาลโปรตุเกสปฏิเสธที่จะร่วมในแผนการบุกเกาะอังกฤษของฝรั่งเศสและสเปนในปีพ.ศ. 2350 กองทัพฝรั่งเศส-สเปนนำโดยนายพลฌอง-อันดอเช ชูโนต์ได้ บุกโปรตุเกส กองทัพโปรตุเกสพ่ายแพ้ นายพลชูโนต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินโปรตุเกสโดยการ ตัดสินพระทัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ประสงค์ให้ทำลายราชอาณาจักรโปรตุเกส จากการร้องขอของรัฐบาลอังกฤษ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2350 พระราชวงศ์บราแกนซาตัดสินพระทัยลี้ภัยไปยังบราซิลและก่อตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในราชอาณาจักรบราซิลขึ้น พระนางและพระราชวงศ์ประทับเรือพระที่นั่งปรินซิเป เรียล ระหว่างการเสด็จจากพระราชวังมายังท่าเรือ พระนางทรงกรีดร้องและกรรแสงตลอดทางและเป็นเช่นนี้ตลอดจนถึงบราซิล สมเด็จพระราชินีทรงเริ่มมีภาวะสมองเสื่อม พระนางทรงหวาดผวาโดยทรงคำนึงว่าพระองค์จะทรงถูกนำไปทรมานหรือทรงถูกนำไปปล้นในระหวางการเดินทางโดยเหล่านางสนองพระโอษฐ์ของพระนางเอง

    ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2351 เจ้าชายจอห์นและพระราชวงศ์เสด็จถึงซาลวาดอร์ ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงเปิดการค้าระหว่างบราซิลกับมิตรประเทศซึ่งรวมทั้ง ประเทศอังกฤษ กฎหมายนี้เป็นสิ่งสำคัยที่จะยกเลิกสัญญาอาณานิคมซึ่งใช้บราซิลเป็นแผ่นดิน หลักแทนโปรตุเกส

    ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2358 นายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์(ต่อมาคือ ดยุคแห่งเวลลิงตัน)แห่งกองทัพอังกฤษได้บุกเข้าสู่กรุงลิสบอนอันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามคาบสมุทร(Peninsular War) วันที่ 28 สิงหาคม นายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์ได้ชัยชนะเหนือนายพลฌอง-อันดอเช ชูโนต์ในสมรภูมิไวเมโร และถือเป็นการขจัดอำนาจของนายพลชูโนต์และเป็นการปลดแอกโปรตุเกสในการประชุมแห่งซินทรา วันที่ 30 สิงหาคม อย่างไรก็ตามนายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์ได้กลับมาโปรตุเกสอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายนปีถัดมาเพื่อประกาศสงคราม โปรตุเกสภายใต้กองทัพอังกฤษมีความสามารถในการป้องกันประเทศตามเส้นทางแห่งตอร์เรส เวดราสและการบุกรุกของสเปนและฝรั่งเศส

    ในปีพ.ศ. 2358 รัฐบาลพลัดถิ่นและราชวงศ์ได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่บราซิลในฐานะราช อาณาจักรอย่างเต็มรูปแบบ และพระนางมาเรียทรงได้รับพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรโปรตุเกส,บราซิลและอัลเกรฟ เมื่ออำนาจของนโปเลียนสิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2358 พระนางมาเรียและพระราชวงศ์ยังทรงประทับอยู่ที่บราซิล

    ช่วงเวลา 9 ปีในบราซิลซึ่งเป็นที่ที่พระนางประทับอย่างไร้ความสุข พระนางมาเรียเสด็จสวรรคตที่คาร์เมลิต คอนแวนต์ ณ กรุงรีโอเดจาเนโรใน ปีพ.ศ. 2359 สิริพระชนมายุ 81 พรรษา ซึ่งทรงดำรงพระชนม์ชีพยืนยาวที่สุดในบรรดากษัตริย์โปรตุเกสนับตั้งแต่สถาปนา ราชอาณาจักรโปรตุเกส เจ้าชายจอห์น พระโอรสได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อ พระนาม สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 6 แห่งโปรคุเกส พระบรมศพของพระนางมาเรียได้ส่งกลับมายังลิสบอน และฝังที่สุสานในโบสถ์แห่งเอสเตอราที่ซึ่งพระนางทรงอุปถัมภ์

    ต่อมาพระบรมรูปหินอ่อนของพระนางได้ถูกสร้างขึ้นในห้องสมุดแห่งชาติกรุง ลิสบอนโดยคณะนักศึกษาของ โจอาคิม มาร์ชาดา เดอ คัสโตรซึ่งเป็นผู้กำกับโครงการ

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

    ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรสยาม

    สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส ผู้ถวายพระราชสาส์นจากโปรตุเกสสู่สยามในสมัยรัตนโกสินทร์

    พระนางเจ้ามาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกสถวายพระราชสาส์นโดยตรงจากกรุงลิสบอนสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ในปีพ.ศ. 2329 ซึ่งเป็นปีที่ 5 ในรัชกาลที่ 1 แห่งสยาม ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรง ทราบ ก็ทรงตระหนักถึงการให้ความสำคัญของโปรตุเกสต่อรัตนโกสินทร์ที่เพิ่งตั้งได้ เพียง 5 ปี จึงได้ทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้เตรียมการรับราชทูตแห่งโปรตุเกส อย่างสมเกียรติ แต่พระราชสาส์นของพระนางมาเรียได้สูญหาย จึงทำให้ปัจจุบันไม่ทราบความในพระราชสาส์น แต่ในพระราชสาส์นตอบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นทำให้ ทราบว่าทางพระราชินีโปรตุเกสได้กราบบังคมทูลขอตั้งสถานีการค้าในกรุงเทพมหา นครขึ้นและความช่วยเหลือทางการทหารเข้ามาด้วย นับเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามายังสยามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[1]

    พระอิศริยยศ

    • 17 ธันวาคม พ.ศ. 2277 - 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 : เจ้าหญิงแห่งเบย์รา,ดัสเชสแห่งบาร์เชลอส
    • 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320 : เจ้าหญิงแห่งบราซิล,ดัสเชสแห่งบราแกนซา
    • 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320 - ธันวาคม พ.ศ. 2358 : สมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ
    • ธันวาคม พ.ศ. 2358 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2359 : สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรโปรตุเกส,บราซิลและอัลเกรฟ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×