คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #244 : สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส
สมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกส(17 ธันวาคมพ.ศ. 2277 - 20 มีนาคมพ.ศ. 2359,พระนามเต็ม: มาเรีย ฟรานซิสกา อิซาเบล โจเซฟา แอนโทเนีย เจอร์ทรูด ริตา ฮวนนา) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ ตั้งแต่พ.ศ. 2320 จนกระทั่งเสด็จสวรรคต ทรงเป็นที่รู้จักกันในพระนาม มาเรีย ผู้ใจบุญ โดยชาวโปรตุเกส และเป็นที่รู้จักในพระนาม มาเรีย ผู้วิปลาส โดยชาวบราซิล ทรงเป็นพระประมุขพระองค์แรกของโปรตุเกสที่เป็นสตรีเพศ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์โตจากพระธิดาทั้งสี่พระองค์ในสมเด็จพระเจ้าโจเซฟแห่งโปรตุเกสกับเจ้าหญิงมาเรียนา วิกตอเรียแห่งสเปน
เนื้อหา |
ช่วงต้นของพระชนม์ชีพ
เจ้าหญิงมาเรียพระราชสมภพที่พระราชวังริเบย์รา ซึ่งต่อมาพระราชวังนี้ได้ถูกทำลายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ พระนามเต็มของพระนางคือ มาเรีย ฟรานซิสกา อิซาเบล โจเซฟา แอนโทเนีย เจอร์ทรูด ริตา ฮวนนา ในวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 5 แห่งโปรตุเกสซึ่งเป็นพระอัยกาของพระนาง ได้มอบพระอิศริยยศเจ้าหญิงเป็น เจ้าหญิงแห่งเบย์รา พระนางทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์โตจากทั้งหมด 4 พระองค์
เมื่อพระราชบิดาได้สืบราชสมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าโจเซฟแห่งโปรตุเกส หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 5 ในปีพ.ศ. 2293 เจ้าหญิงมาเรียได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงแห่งบราซิลซึ่งเป็นพระอิศริยยศตามแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่พระอิศริยยศดัสเชสแห่งบราแกนซา
เจ้าหญิงมาเรียทรงเจริญพระชันษาในช่วงที่การปกครองของพระราชบิดาและรัฐบาลอยู่ภายใต้อำนาจของมาควิสแห่งพอมบาล พระราชบิดาของพระนางมักจะปลีกตัวพระองค์จากการเมืองมาพำนักที่พระราชวังหลวงเควลูซ ซึ่งต่อมาได้มอบให้กับเจ้าหญิงมาเรียและพระสวามี มาควิสแห่งพอมบาลได้เข้ากุมอำนาจในรัฐบาลหลังจากเหตุการณ์ครั้งร้ายแรงคือ แผ่นดินไหวในลิสบอน พ.ศ. 2298 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2293 วึ่งส่งผลให้ประชาชนกว่าหนึ่งแสนคนต้องเสียชีวิต และพระราชวังริเบย์ราถูกทำลายจนสิ้น
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นส่งผลให้พระราชบิดาของพระนางเกิดพระ อาการประหลาดคือ พระองค์มักจะรู้สึกอึดอัดในที่ที่ไม่มีช่องว่าง อันเป็นผลมาจากโรคกลัวที่ปิดทึบ(Claustrophobia) พระเจ้าโจเซฟทรงสร้างที่ประทับในเมืองอาจูดา โดยให้ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งพระราชวังเป็นที่รู้จักในชื่อ พระราชวังเรียล บาร์ราคา เดอ อาจูดา(กระท่อม หลวงแห่งอาจูดา) เนื่องจากว่าทั้งตัวพระราชวังทำจากไม้ทั้งสิ้น พระราชวงศ์ทรงประทับร่วมกันที่พระราชวังนี้และเป็นที่ที่เจ้าหญิงมาเรียทรง พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกด้วย ต่อมาในปีพ.ศ. 2337 พระราชวังนี้ได้ถูกเพลิงเผาจนวอดวายและได้มีการสร้างพระราชวังหลวงอาจูดาขึ้นแทนที่
การอภิเษกสมรสและทายาท
เจ้าหญิงมาเรียทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเปโดร ซึ่งเป็นพระปิตุลาของพระนาง และเป็นผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ปกครองร่วมกับพระนางมาเรียเมื่อพระนางขึ้น ครองราชย์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสได้จัดขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2303 ซึ่งเจ้าสาวทรงมีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา ส่วนเจ้าบ่าวทรงมีพระชนมายุ 43 พรรษา ถึงแม้จะเป็นการอภิเษกสมรสที่ต่างพระชันษากันมาก แต่ก็จัดเป็นคู่อภิเษกสมรสที่มีความสุขคู่หนึ่งซึ่งปรากฏพบได้ยากในการแต่ง งานของราชวงศ์ ทั้งสองพระองค์ทรงให้กำเนิดโอรสและธิดารวม 6 พระองค์ ได้แก่
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา | |
เจ้าชายโจเซแห่งบราซิล | 20 สิงหาคม พ.ศ. 2304 | 11 กันยายน พ.ศ. 2331 | อภิเษกสมรส 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320 เจ้าหญิงเบเนดิกตาแห่งโปรตุเกส ผู้เป็นพระมาตุจฉา ไม่มีรัชทายาท | |
เจ้าชายโจอาว ฟรานซิสโกแห่งโปรตุเกส | 16 กันยายน พ.ศ. 2306 | 10 ตุลาคม พ.ศ. 2306 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
เจ้าหญิงมาเรีย อิซาเบลแห่งโปรตุเกส | 23 ธันวาคม พ.ศ. 2309 | 14 มกราคม พ.ศ. 2320 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ | |
สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 6 แห่งโปรตุเกส | 13 มีนาคม พ.ศ. 2310 | 10 มีนาคม พ.ศ. 2369 | อภิเษกสมรส 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2328 เจ้าหญิงคาร์ลอตา โจวควินาแห่งสเปน มีรัชทายาท 9 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย เทเรซาแห่งเบย์รา เจ้าชายฟรานซิสโก อันโตนิโอแห่งเบย์รา มาเรีย อิซาเบลแห่งโปรตุเกส สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน สมเด็จพระจักรพรรดิเปโดรที่ 1 แห่งบราซิล เจ้าหญิงมาเรีย ฟรานซิสกาแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงอิซาเบล มาเรียแห่งโปรตุเกส สมเด็จพระเจ้ามิเกลแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงมาเรีย ดา อัสซันโคแห่งโปรตุเกส เจ้าหญิงอนา เดอ จีซัส มาเรียแห่งโปรตุเกส | |
เจ้าหญิงมาเรียนา วิกตอเรียแห่งโปรตุเกส | 15 ธันวาคม พ.ศ. 2311 | 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2331 | อภิเษกสมรส 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2371 เจ้าชายกาเบรียลแห่งสเปน มีรัชทายาท 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายเปโดร คาร์ลอสแห่งสเปนและโปรตุเกส เจ้าหญิงมาเรีย คาร์ลอตาแห่งสเปน เจ้าชายคาร์ลอสแห่งสเปน | |
เจ้าหญิงมาเรีย คลีเมนทีนาแห่งโปรตุเกส | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2317 | 27 มิถุนายน พ.ศ. 2319 | สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์ |
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและพระอาการวิปลาส
ในปีพ.ศ. 2320 เจ้าหญิงมาเรียได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถพระองค์แรกแห่ง โปรตุเกสและอัลเกรฟ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 26 พระสวามีของพระนางได้เป็นพระประมุขร่วม พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าเปโดรที่ 3 แห่งโปรตุเกส แม้ว่าพระสวามีจะดำรงเป็นผู้ปกครองร่วมแต่แท้จริงแล้วอำนาจทั้หมดกลับตกอยู่ ในพระหัตถ์ของพระนางมาเรีย พระนางทรงเป็นนักปกครองที่ดีและชาญฉลาดถ้าไม่เกิดพระอาการวิปลาสของพระนาง
บทบาทแรกในการเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระนางคือ การปลดมาควิสแห่งพอมบาล ผู้เป็นที่นิยมออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและทรงประกาศไม่ให้เขาเข้าใกล้ พระองค์เป็นระยะ 20 ไมล์ มาควิสแห่งพอมบาลเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทาวอรา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าโจเซฟในรัชกาลก่อน และผลลัพธ์คือคนในตระกูลทาวอราถูกสั่งประหารชีวิต ซึ่งคนในตระกูลนี้เป็นปรปักษ์กับมาควิสแห่งพอมบาล จนทำให้มาควิสแห่งพอมบาลมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ จนเรียกได้ว่า ยุคภูมิธรรมของพอมบาล และเป็นผู้ต่อต้านคณะเยซูอิต ซึ่งพระนางมาเรียไม่ทรงโปรดพอมบาลพระนางจึงสั่งปลดเขา ในช่วงนี้ประเทศโปรตุเกสได้เข้าเป็นสมาชิกในสันนิบาตแห่งความเป็นกลางทางกองทัพ (เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2325)
พระนางมาเรียทรงทรมานจากการที่ทรงเคร่งครัดในพระศาสนามากเกินไปและทรงเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นพระอาการแบบเฉียบพลันทำให้พระนางไม่สามารถมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองได้ พระนางทรงเป็นพระโรคเดียวกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งทรงพระประชวรด้วยโรคพอร์ฟีเรีย
พะอาการวิปลาสของพระนางเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นในปีพ.ศ. 2329 เมื่อพระนางมาเรียทรงถูกกุมพระองค์กลับมายังพระตำหนักด้วยพระอาการคลุ้ม คลั่ง สภาพจิตใจของพระนางเลวร้ายยิ่งขึ้น และในปีเดียวกันพระสวามีของพระนางเสด็จสวรรคตในเดือนพฤษภาคม สภาพจิตใจของพระนางเหมือนแหลกสลายทรงออกประกาศห้ามให้มีความบันเทิง และการฉลองรัฐพิธีต่างๆให้เป็นไปตามพิธีกรรมทางศาสนาทั้งสิ้น สภาพจิตใจของพระนางสูญเสียมากขึ้นเมื่อพระราชโอรสพระองค์โตสิ้นพระชนม์ขณะมี พระชนมายุ 27 พรรษาด้วยไข้ทรพิษ และหลังจากการสารภาพบาปของพระนางในปีพ.ศ. 2334 ก็มีผลให้พระอาการเลวร้ายยิ่งขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2335 พระนางทรงได้รับการรักษาจากฟรานซิส วิลลิส นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร วิลลิสประสงค์ให้พระนางเสด็จไปรับการรักษาที่ประเทศอังกฤษแต่ทางราชสำนักได้ปฏิเสธแผนการนี้ เจ้าชายจอห์น พระราชโอรสพระองค์สุดท้องได้ใช้พระราชอำนาจปกครองประเทศภายใต้พระนามของพระ ราชมารดา และทรงได้ดำรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ในปีพ.ศ. 2342 เมื่อพระราชวังเรียล บาร์ราคา เดอ อาจูดาได้ถูกเพลิงเผาผลาญจนสิ้นในปีพ.ศ. 2337 พระราชวงศ์ได้ย้ายไปประทับที่พระราชวังเควลูซ ซึ่งเป็นที่ซึ่งพระนางมาเรียทรงถูกบังคับให้อยู่บนพระแท่นบรรทมโดยทรงถูกผูก ติดกับพระแท่นตลอดทั้งวันโดยไม่ให้เสด็จออกจากห้อง แขกผู้มาเยือนราชสำนักโปรตุเกสต่างได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของพระนาง มาเรียซึ่งจะมีเสียงสะท้อนกลับทั่วทั้งพระราชวัง
สงครามนโปเลียนและเสด็จสวรรคต
ในปีพ.ศ. 2344 มานูเอล โกดอย นายกรัฐมนตรีเผด็จการแห่งสเปนได้ส่งกองทัพบุกโปรตุเกสด้วยการสนับสนุนจากนโปเลียน แต่ในปีเดียวกันก็ถูกสั่งระงับแผนการไว้ อย่างไรก็ตามในสนธิสํญญาบาดาจอซในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2344 โปรตุเกสได้ถูกบังคับให้มอบโอลิเวนซาและส่วนหนึ่งของกายอานาแก่สเปน
รัฐบาลโปรตุเกสปฏิเสธที่จะร่วมในแผนการบุกเกาะอังกฤษของฝรั่งเศสและสเปนในปีพ.ศ. 2350 กองทัพฝรั่งเศส-สเปนนำโดยนายพลฌอง-อันดอเช ชูโนต์ได้ บุกโปรตุเกส กองทัพโปรตุเกสพ่ายแพ้ นายพลชูโนต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินโปรตุเกสโดยการ ตัดสินพระทัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ประสงค์ให้ทำลายราชอาณาจักรโปรตุเกส จากการร้องขอของรัฐบาลอังกฤษ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2350 พระราชวงศ์บราแกนซาตัดสินพระทัยลี้ภัยไปยังบราซิลและก่อตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในราชอาณาจักรบราซิลขึ้น พระนางและพระราชวงศ์ประทับเรือพระที่นั่งปรินซิเป เรียล ระหว่างการเสด็จจากพระราชวังมายังท่าเรือ พระนางทรงกรีดร้องและกรรแสงตลอดทางและเป็นเช่นนี้ตลอดจนถึงบราซิล สมเด็จพระราชินีทรงเริ่มมีภาวะสมองเสื่อม พระนางทรงหวาดผวาโดยทรงคำนึงว่าพระองค์จะทรงถูกนำไปทรมานหรือทรงถูกนำไปปล้นในระหวางการเดินทางโดยเหล่านางสนองพระโอษฐ์ของพระนางเอง
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2351 เจ้าชายจอห์นและพระราชวงศ์เสด็จถึงซาลวาดอร์ ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงเปิดการค้าระหว่างบราซิลกับมิตรประเทศซึ่งรวมทั้ง ประเทศอังกฤษ กฎหมายนี้เป็นสิ่งสำคัยที่จะยกเลิกสัญญาอาณานิคมซึ่งใช้บราซิลเป็นแผ่นดิน หลักแทนโปรตุเกส
ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2358 นายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์(ต่อมาคือ ดยุคแห่งเวลลิงตัน)แห่งกองทัพอังกฤษได้บุกเข้าสู่กรุงลิสบอนอันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามคาบสมุทร(Peninsular War) วันที่ 28 สิงหาคม นายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์ได้ชัยชนะเหนือนายพลฌอง-อันดอเช ชูโนต์ในสมรภูมิไวเมโร และถือเป็นการขจัดอำนาจของนายพลชูโนต์และเป็นการปลดแอกโปรตุเกสในการประชุมแห่งซินทรา วันที่ 30 สิงหาคม อย่างไรก็ตามนายพลอาร์เธอร์ เวลเลสลีย์ได้กลับมาโปรตุเกสอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายนปีถัดมาเพื่อประกาศสงคราม โปรตุเกสภายใต้กองทัพอังกฤษมีความสามารถในการป้องกันประเทศตามเส้นทางแห่งตอร์เรส เวดราสและการบุกรุกของสเปนและฝรั่งเศส
ในปีพ.ศ. 2358 รัฐบาลพลัดถิ่นและราชวงศ์ได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่บราซิลในฐานะราช อาณาจักรอย่างเต็มรูปแบบ และพระนางมาเรียทรงได้รับพระอิศริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรโปรตุเกส,บราซิลและอัลเกรฟ เมื่ออำนาจของนโปเลียนสิ้นสุดลงในปีพ.ศ. 2358 พระนางมาเรียและพระราชวงศ์ยังทรงประทับอยู่ที่บราซิล
ช่วงเวลา 9 ปีในบราซิลซึ่งเป็นที่ที่พระนางประทับอย่างไร้ความสุข พระนางมาเรียเสด็จสวรรคตที่คาร์เมลิต คอนแวนต์ ณ กรุงรีโอเดจาเนโรใน ปีพ.ศ. 2359 สิริพระชนมายุ 81 พรรษา ซึ่งทรงดำรงพระชนม์ชีพยืนยาวที่สุดในบรรดากษัตริย์โปรตุเกสนับตั้งแต่สถาปนา ราชอาณาจักรโปรตุเกส เจ้าชายจอห์น พระโอรสได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อ พระนาม สมเด็จพระเจ้าจอห์นที่ 6 แห่งโปรคุเกส พระบรมศพของพระนางมาเรียได้ส่งกลับมายังลิสบอน และฝังที่สุสานในโบสถ์แห่งเอสเตอราที่ซึ่งพระนางทรงอุปถัมภ์
ต่อมาพระบรมรูปหินอ่อนของพระนางได้ถูกสร้างขึ้นในห้องสมุดแห่งชาติกรุง ลิสบอนโดยคณะนักศึกษาของ โจอาคิม มาร์ชาดา เดอ คัสโตรซึ่งเป็นผู้กำกับโครงการ
ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรสยาม
พระนางเจ้ามาเรียที่ 1 แห่งโปรตุเกสถวายพระราชสาส์นโดยตรงจากกรุงลิสบอนสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ในปีพ.ศ. 2329 ซึ่งเป็นปีที่ 5 ในรัชกาลที่ 1 แห่งสยาม ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรง ทราบ ก็ทรงตระหนักถึงการให้ความสำคัญของโปรตุเกสต่อรัตนโกสินทร์ที่เพิ่งตั้งได้ เพียง 5 ปี จึงได้ทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้เตรียมการรับราชทูตแห่งโปรตุเกส อย่างสมเกียรติ แต่พระราชสาส์นของพระนางมาเรียได้สูญหาย จึงทำให้ปัจจุบันไม่ทราบความในพระราชสาส์น แต่ในพระราชสาส์นตอบของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นทำให้ ทราบว่าทางพระราชินีโปรตุเกสได้กราบบังคมทูลขอตั้งสถานีการค้าในกรุงเทพมหา นครขึ้นและความช่วยเหลือทางการทหารเข้ามาด้วย นับเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เข้ามายังสยามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[1]
พระอิศริยยศ
- 17 ธันวาคม พ.ศ. 2277 - 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 : เจ้าหญิงแห่งเบย์รา,ดัสเชสแห่งบาร์เชลอส
- 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2293 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320 : เจ้าหญิงแห่งบราซิล,ดัสเชสแห่งบราแกนซา
- 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2320 - ธันวาคม พ.ศ. 2358 : สมเด็จพระราชินีนาถแห่งโปรตุเกสและอัลเกรฟ
- ธันวาคม พ.ศ. 2358 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2359 : สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรโปรตุเกส,บราซิลและอัลเกรฟ
ความคิดเห็น