คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบตเต็นเบิร์ก
เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก (Princess Victoria Eugenie of Battenberg; พระนามเต็ม วิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนา; 24 ตุลาคมพ.ศ. 2430 - 15 เมษายนพ.ศ. 2512) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปน และพระราชนัดดาพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย นอกจากนี้สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาร์ลอสที่ 1 แห่งสเปน ยังทรงเป็นพระราชนัดดาของพระองค์อีกด้วย
เนื้อหา |
พระชนม์ชีพในวัยเยาว์
เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีประสูติเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมพ.ศ. 2430 ณ ปราสาทบัลมอรัลมณฑลอเบอร์ดีนไชร์ประเทศสก็อตแลนด์ พระชนกของพระองค์คือ เจ้าชายเฮนรี่แห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก พระโอรสองค์ที่สี่และองค์ที่สองในเจ้าชายอเล็กซานเดอร์แห่งเฮสส์และไรน์ ที่ประสูติกับเค้านท์เตส จูเลีย ฟอน ฮ็อค ส่วนพระชนนีคือ เจ้าหญิงเบียทริซแห่งสหราชอาณาจักร พระราชธิดาองค์ที่ห้าและองค์เล็กในสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย
เนื่องจากพระชนกของเจ้าหญิงทรงประสูติจากการอภิเษกสมรสต่างฐานันดรศักดิ์ (morganatic marriage) จึงยังผลให้เจ้าชายเฮนรี่ทรงดำรงพระอิสรยยศเป็นเจ้าชายแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ กจากพระชนนี ซึ่งได้รับการเฉลิมพระยศเป็นเจ้าหญิงแห่งแบ็ตเต็นเบิร์กตามสิทธิ์ของตน ฉะนั้นพระธิดาในเจ้าชายเฮนรี่จะต้องทรงเป็น เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก (HSH Princess Victoria Eugenie of Battenberg) แต่ในวันที่ 13 ธันวาคมพ.ศ. 2429 สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีพระบรมราชโองการให้พระโอรสและธิดาใน เจ้าชายเฮนรี่และเจ้าหญิงเบียบริซดำรงพระอิสริยยศชั้น Highness (ซึ่งเข้าใจกันว่าสูงกว่าชั้น Serene Highness สำหรับระบอบราชาธิปไตยที่ไม่ใช่ละติน) เจ้าหญิงทรงได้รับการขนานพระนามตามพระอัยยิกาสองทั้งพระองค์และตามแม่ทูนหัว คือ สมเด็จพระจักรพรรดินียูเจนีแห่งมอนติโจ พระมเหสีม่ายชาวสเปนในอดีตสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ซึ่งประทับลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ พระนามสุดท้ายของพระองค์ที่ตั้งขึ้นจากการประสูติในสก็อตแลนด์ (เจ้าชายมอริส พระอนุชาทรงมีพระนาม "โดนัลด์" เป็นพระนามสุดท้ายในพระนามเต็มด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน) : เจ้าหญิงเบียทริซทรงเขียนว่า "Eua" ในเอกสารการประสูติ (ซึ่งเป็นชื่อภาษาเกลิก) แต่ดร. คาเมรอน ลีส์ ซึ่งเป็นประธานในพิธีศีลจุ่มได้อ่านผิดเป็น "Ena" ต่อมาเจ้าหญิงจึงทรงเป็นที่รู้จักในพระราชวงศ์และสาธารณชนอังกฤษทั่วไปว่า "เอนา" (Ena)
เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีทรงเจริญพระชนม์ขึ้นในราชสำนักของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย เนื่องจากองค์พระประมุขแห่งอังกฤษได้ทรงพระราชทาน พระบรมราชานุญาตอย่างลังเลพระราชหฤทัยให้เจ้าหญิงเบียทริซอภิเษกสมรสได้บน เงื่อนไขที่ว่าพระองค์จะยังคงทรงเป็นผู้ดูแลพระชนนีที่ใกล้ชิดตลอดเวลาและ ราชเลขานุการส่วนพระองค์ เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีจึงทรงดำรงพระชนม์ชีพในวัยเยาว์ที่ปราสาทวินด์เซอร์ ปราสาทบัลมอรัล และตำหนักออสบอร์น บนเกาะไวท์ พระชนกของพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ขณะทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทางทหารหลังจากทรงประชวรด้วยโรคไข้ป่าในทวีปแอฟริกาในปี พ.ศ. 2439 ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียในปี พ.ศ. 2444 ครอบครัวแบ็ตเต็นเบิร์กได้ย้ายไปยังกรุงลอนดอนและเข้าไปประทับในพระราชวังเคนซิงตัน ในช่วงฤดูร้อนที่ตำหนักออสบอร์น เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีทรงพบกับแกรนด์ดยุคบอริส วลาดิมีโรวิชแห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพระญาติในสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แกรนด์ดยุคทรงต้องพระทัยในเจ้าหญิงอังกฤษแสนงามพระองค์นี้มากและเมื่อทรงพบกันอีกครั้งในปี พ.ศ. 2448 ที่เมืองนิซา พระองค์ก็ทรงขออภิเษกกับเจ้าหญิง เจ้าหญิงทรงเกือบจะตอบรับแต่ก็ทรงปฏิเสธในตอนสุดท้าย
การหมั้นหมาย
ในปี พ.ศ. 2448สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปนได้เสด็จเยือนประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชปิตุลาของเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีได้พระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์แห่ง สเปนที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม พระองค์ประทับอยู่ระหว่างกลางของสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดราและเจ้าหญิงเฮเลนา พระขนิษฐาในองค์พระประมุขแห่งอังกฤษ ทันใดนั้นก็ได้ทรงสังเกตเห็นเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีและจึงตรัสถามเจ้าหญิงเฮเลนาว่าเจ้าหญิงที่มีเส้นพระเกศาเกือบจะสีขาว เป็นผู้ใด เมื่อเจ้าหญิงทรงรู้สึกว่ากษัตริย์แห่งสเปนกำลังทอดพระเนตรพระองค์ก็ทรง รู้สึกประหม่าเขินอาย ทุกพระองค์ล้วนทรงทราบว่าสมเด็จพระราชาธบิดีอัลฟองโซทรงกำลังมองหาเจ้าสาว ที่เหมาะกับตำแหน่งพระราชินีแห่งสเปนและหนึ่งในผู้ที่น่าได้รับเลือกมากที่ สุดคือ เจ้าหญิงแพทริเซียแห่งคอนน็อต พระธิดาในเจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุคแห่งคอนน็อตและสแตรเธิร์น พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แต่ในตอนนี้เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีทรงทำให้พระองค์หันมาสนพระทัยแทนได้และเจ้าหญิงแพทริเซียมิได้ทรงทำ ให้องค์พระประมุขแห่งสเปนพอพระทัยสักเท่าใดนัก พระองค์ทรงสนพระทัยในเจ้าหญิงมากขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นการเกี้ยวพาราสีจึงเริ่มขึ้นและเมื่อพระองค์เสด็จกลับยังประเทศสเปนแล้วก็ยังคงทรงส่งไปรษณียบัตรมาหาเจ้าหญิงอยู่บ่อยครั้งและทรงมีพระทัยจดจ่อกับเจ้าหญิงอย่างมาก สมเด็จพระราชินีมาเรีย คริสตินา พระบรมราชชนนีมิได้ทรงเห็นด้วยกับการเลือกว่าที่พระราชินีของพระองค์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตระกูลแบ็ตเต็นเบิร์กไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง อันเนื่องจากภูมิหลังอันคลุมเครือของพระมารดาในเจ้าชายเฮนรี่ และอีกส่วนหนึ่งมาจากพระองค์ทรงต้องการให้พระโอรสอภิเษกในพระราชวงศ์ของ พระองค์เองคือ ราชวงศ์ฮับส์บูร์กจากออสเตรีย นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีและพระองค์ทรงได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เจ้าหญิงทรงเป็นพาหะที่น่าเป็นไปได้ของโรคเฮโมฟีเลีย ที่เป็นโรคเกี่ยวกับพระโลหิตซึ่งถ่ายทอดมายังเชื้อสายบางพระองค์จากสมเด็จ พระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ในความจริงแล้ว เจ้าชายเลโอโพลด์ พระอนุชาในเจ้าหญิงทรงเป็นโรคเฮโมฟีเลีย (ผู้แต่งบางท่านยังกล่าว่า เจ้าชายมอริส พระอนุชาพระองค์เล็กก็ทรงเป็นโรคฮีโมฟีเลียด้วยเช่นกัน) ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ 50 เปอร์เซนต์ที่เจ้าหญิงจะทรงเป็นพาหะของโรคและถ้ากษัตริย์อัลฟองโซอภิเษกสมรส กับพระองค์ พระราชโอรสและธิดาอาจทรงติดโรคมาด้วย แต่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยกับภยันตรายครั้งนี้ และยังคงทรงตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกกับเจ้าหญิงอยู่ดี
หลังจากช่วงหนึ่งปีของข่าวลือเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งสเปนจะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงองค์ใด ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2449 สมเด็จพระราชินีมาเรีย คริสตินา ทรงยอมรับการเลือกว่าที่พระราชินีของพระโอรสและทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าหญิงเบียทริซเกี่ยว กับความรักของพระโอรสที่มีต่อเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีและการขอติดต่อกับสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 อย่างไม่เป็นทางการ ในหลายวันต่อมาที่ปราสาทวินด์เซอร์ พระองค์ทรงแสดงความปีติยินดีกับพระราชนัดดาในเรื่องการหมั้นหมายในอนาคต
เจ้าหญิงเบียทริซและพระธิดาเสด็จถึงยังเมืองบิอาร์ริตใน วันที่ 22 มกราคมและประทับอยู่ในตำหนักมอริสโกต์ ซึ่งกษัตริย์อัลฟองโซได้เสด็จมาพบในอีกหลายวันต่อมา และในที่นี้พระองค์และอนาคตเจ้าสาวของพระองค์ได้ทรงอยู่ในช่วงเวลาสามวัน แห่งความรัก หลังจากนั้นก็ทรงนำเจ้าหญิงและพระชนนีไปยังเมืองซานเซบาสเตียนเพื่อพบกับสมเด็จพระราชินีมาเรีย คริสตินา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ กษ้ตริย์อัลฟองโซก็เสด็จออกจากเมืองซานเซบาสเตียนเพื่อไปยังกรุงมาดริดและเจ้าหญิงกับพระชนนีเสด็จไปยังเมืองแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นที่ทรงรับการถวายคำสอนตามแบบคาทอลิก ในฐานะที่จะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสเปนในอนาคต พระองค์จะต้องทรงเปลี่ยนจากศานาคริสต์นิกายลูเธอรันมาเป็นนิกายโรมันคาทอลิก การรับเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีเข้ามาในนิกายโรมันคาทอลิกอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในวันที่ 5 มีนาคมพ.ศ. 2449 ณ พระราชวังมิรามาร์ เมืองซานเซบาสเตียน
เงื่อนไขในการอภิเษกสมรสได้ทำออกมาเป็นข้อตกลงสองแบบคือ สนธิสัญญามหาชนและการจัดทำเอกสารสัญญาแบบไม่เป็นทางการ สนธิสัญญาได้จัดทำขึ้นระหว่างประเทศสเปนกับสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมพ.ศ. 2449 ณ กรุงลอนดอน โดยผู้มีอำนาจเต็มจากทั้งสองประเทศคือ ดอน ลุยส์ โปโล เด แบร์นาเบ เอกอัครราชทูตสเปนประจำราชสำนักเซนต์เจมส์ และ เซอร์ เอ็ดเวิร์ด เกรย์ บารอนเน็ต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ การอนุมัติสนธิสัญญาได้แลกเปลี่ยนกันในวันที่ 23 ของเดือนเดียวกัน นอกจากเงื่อนไขต่างๆ แล้ว ในสนธิสัญญายังกำหนดข้อต่อรองไว้ดังนี้
ขอให้ทุกคนที่ร่วมอยู่ในการทำสัญญาแจ้งแก่ใจว่าสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอง โซที่สิบสาม กษัตริย์แห่งสเปนทรงเห็นสมควรที่จะประกาศพระราชประสงค์ในการเข้าพิธีอภิเษก สมรสกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจินี จูเลีย เอนาแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก พระภาติยะในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ และดินแดนในปกครองของอังกฤษโพ้นทะเลต่างๆ จักรพรรดิแห่งอินเดีย และพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเบียทริซ แมรี่ วิกตอเรีย ฟีโอดอร่า (เจ้าหญิงเฮนรี่แห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก)...มาตราที่ 1 เป็นการสรุปและเห็นชอบแล้วว่าการอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอง โซที่สิบสามที่ได้กล่าวไปแล้วกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนาแห่งแบ็ตเต็นเบิร์กที่ได้กล่าวไปแล้วจะประกอบพิธีทางศาสนาด้วยพระองค์ เองที่กรุงมาดริดทันทีที่การอภิเษกดังกล่าวเสร็จสิ้นอย่างราบรื่นแล้ว มาตราที่ 2 สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่สิบสามที่ได้กล่าวไปแล้วทรงรับปากที่จะทำให้ เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนาแห่งแบ็ตเต็นเบิร์กที่ได้กล่าวไปแล้วแน่พระทัยถึงวันอภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระราชาธิบดี และจะทรงได้รับเบี้ยหวัดประจำปีจำนวนสีแสนห้าหมื่นเปเซตา ตลอดระยะเวลาของการอภิเษกสมรส สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่สิบสามที่ได้กล่าวไปแล้วยังทรงรับปากเจ้าหญิง วิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนาแห่งแบ็ตเต็นเบิร์กที่ได้กล่าวไปแล้วด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ว่าในกรณีที่ทรงเป็นม่าย เพื่อรับรองเจ้าหญิงจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์ จะทรงได้รับเบี้ยหวัดประจำปีจำนวนสองแสนห้าหมื่นเปเซตา ยกเว้นหรือจนกว่าเจ้าหญิงจะทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสครั้งที่สอง เงินเบี้ยหวัดทั้งสองได้รับการลงมติจากรัฐสภาสเปนเรียบร้อยแล้ว ข้อตกลงลับต่างๆ ที่จะทำจากแต่ละฝ่ายเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบ และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในสนธิสัญญาคนละฉบับ ซึ่งอย่างไรก็ดีจะถือว่าเป็นการสร้างส่วนสำคัญหนึ่งในสนธิสัญญาฉบับปัจจุบัน มาตราที่ 3 คณะการร่างสัญญาระดับสูงจดบันทึกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามสำเนาเอกสารที่ เหมาะสมของกฎหมายแห่งอังกฤษที่ว่าเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนี จูเลีย เอนา ทรงสละพระราชสิทธิตกทอดทั้งหมดในการสืบราชบัลลังก์และรัฐบาลแห่งบริเตน ใหญ่...[1]
การอ้างอิงถึงการสละพระราชสิทธิในการสืบราชสมบัติอังกฤษของเจ้าหญิงใน สนธิสัญญาไม่ได้สะท้อนให้เห็นทั้งคำติเตียนของรัฐบาลอังกฤษต่อความเป็น พันธมิตรและการสละพระราชสิทธิ์ใดๆ ที่กระทำโดยเจ้าหญิงเลย แต่มันค่องข้างจะเป็นการรับรู้ในความเป็นจริงได้อย่างชัดเจนว่าการอภิเษก สมรสกับชาวคาทอลิก ทำให้เจ้าหญิงทรงสูญเสียสิทธิในการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ อันเป็นผลมาจากพระราชบัญญัติการสืบราชสมบัติของอังกฤษ การตัดสิทธิเกิดขึ้นเฉพาะบุคคลและมีขอบเขต กล่าวคือ เชื้อสายของเจ้าหญิงคนใดที่ไม่ใช่โรมันคาทอลิกจะยังคงอยู่ในสายลำดับการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ
สนธิสัญญาข้างต้นมิได้เป็นการปฏิบัติตามกฎระเบียบของพระราชบัญญัติการอภิเษกสมรสในพระราชวงศ์ปี พ.ศ. 2315 (Royal Marriages Act of 1772) ที่กำหนดว่าเชื้อสายในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตจากองค์พระประมุขแห่งอังกฤษก่อนหน้าที่จะอภิเษก สมรสด้วยพระบรมราชโองการที่พระราชทานโดยคำแนะนำจากองคมนตรี (Order-in-Council) ในขณะที่มีข้อยกเว้นบางประการในพระราชบัญญัติเกิดขึ้นกับเชื้อสายในเจ้าหญิง ต่างๆ ที่อภิเษก "เข้าไปยังราชวงศ์ต่างประเทศ" พระชนกในเจ้าหญิงก็ได้ทรงแปลงสัญชาติเป็นชาวอังกฤษมาก่อนการอภิเษกสมรสแล้ว แต่กระนั้นความห่วงใยในปฏิกิริยาต่อการอภิเษกสมรสของชาวโปรเตสแตนต์กระตุ้น ให้รัฐบาลอังกฤษหลีกเลี่ยงการขอความเห็นชอบจากองค์พระประมุขต่อการอภิเษก สมรสในคณะองคมนตรีในพระองค์ การละเว้นเช่นนี้จะทำให้การอภิเษกสมรสไม่มีผลตามกฎหมายในประเทศอังกฤษ แต่รัฐบาลยึดหลักที่ว่าเจ้าหญิงมิได้ทรงผูกติดกับพระราชบัญญัติการอภิเษกใน พระราชวงศ์ ซึ่งอิงอยู่บนการใช้กฎหมายในการสร้าง"ครอบครัวต่างประเทศ"แบบละมุนละม่อม อย่างชัดเจน เนื่องจากพระชนกในเจ้าชายเฮนรี่ทรงเป็นชาวเยอรมันและพระชนนีเป็นชาวโปแลนด์
สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน
เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีได้ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซในวันที่ 31 พฤษภาคมพ.ศ. 2449 ณ พระอารามหลวงซานเคโรนิโม ในกรุงมาดริด โดยมีพระชนนีม่ายของเจ้าหญิง พร้อมด้วยเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ (ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรี่) ซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิดของเจ้าหญิงเสด็จมาร่วมในงานพระราชพิธี
หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ขบวนเสด็จกำลังมุ่งหน้ากลับสู่พระราชวังหลวงเมื่อมีเหตุการลอบปลงพระชนม์ องค์พระประมุขและพระมเหสีองค์ใหม่ (ซึ่งตอนนี้คือ "สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนีย" หรือ "พระราชินีเอนา" ในแบบเป็นไม่เป็นทางการ) มาเตอู มอร์ราล ซึ่งเป็นพวกลัทธิอนาธิปไตยได้ ขว้างระเบิดลูกหนึ่งจากระเบียงตึกไปยังรถม้าพระที่นั่ง พระราชินีทรงปลอดภัยเนื่องจากขณะที่เกิดการระเบิดขึ้นทรงหันพระพักตร์ไป เพื่อจะทอดพระเนตรโบสถ์เซนต์แมรี่ ซึ่งพระราชสวามีกำลังทรงชี้ให้ทอดพระเนตร พระองค์ทรงรอดพ้นจากการบาดเจ็บ แม้ว่าฉลองพระองค์จะเต็มไปด้วยจุดเลือดของราชองครักษ์ ซึ่งได้ขี่ม้าขนาบข้างรถม้าพระที่นั่งก็ตาม
หลังจากการเริ่มต้นที่ไม่เป็นมงคลของการดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระ ราชินีแห่งสเปน พระองค์ทรงโดดเดี่ยวจากพสกนิกรชาวสเปนและไม่เป็นที่นิยมชมชอบในประเทศใหม่ ของพระองค์ แต่ชีวิตการสมรสของพระองค์ก็พัฒนาขึ้นเมื่อทรงมีประสูติกาลพระโอรสและ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์คือ เจ้าชายอัลฟองโซ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจ้าชายน้อยกำลังทรงรับการขลิบอวัยวะเพศนั้น เหล่าแพทย์ได้สังเกตว่าพระโลหิตไม่หยุดไหล อันเป็นสัญญาณแรกที่เจ้าชายรัชทายาททรงเป็นโรคฮีโมฟีเลีย พระราชินีทรงเป็นต้นตอของสาเหตุอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทรงถ่ายทอดไปยังพระโอรสองค์ใหญ่และองค์เล็ก ทั้งนี้แตกต่างจากการตอบสนองของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งพระราชโอรสและรัชทายาทในราชบัลลังก์อันประสูติแต่พระราชนัดดาอีกพระองค์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรง ได้รับความทุกข์ทรมานที่คล้ายคลึงกัน สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซมิเคยพระราชทานอภัยโทษแก่พระราชินีเอนาหรือทรง ตระหนักถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแม้แต่น้อยเลย แม้กระนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 และสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียทรงมีพระราชโอรสและธิดาเจ็ดพระองค์ พระราชโอรสห้าพระองค์และพระราชธิดาสองพระองค์ พระธิดาทั้งสองพระองค์มิได้ทรงเป็นพาหะของโรคเฮโมฟีเลีย
หลังจากการประสูติของพระราชโอรสและธิดาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างของพระราชินีเอนากับกษัติรย์อัลฟองโซก็คลอนแคลนมากขึ้น กษัตริย์อัลฟองโซทรงถูกระแวงว่ามีความสัมพันธ์นอกสมรสมากมาย รวมถึงการทรงใช้เวลาว่างอย่างเสเพลกับเจ้าหญิงเบียทริซแห่งออร์เลอ็อง-บอร์บอน พระญาติชาวอังกฤษของพระราชินีเอนา
พระราชินีเอนาทรงอุทิศพระองค์ในการทรงงานในโรงพยาบาลและการช่วยเหลือคน ยากจน รวมถึงการศึกษาด้วย พระองค์ยังทรงมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดตั้งองค์กรกาชาดแห่งสเปนขึ้นมาใหม่อีกด้วย
การเสด็จลี้ภัยไปยังต่างแดน
พระราชวงศ์สเปนได้เสด็จลี้ภัยออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 14 เมษายนพ.ศ. 2474 หลังจากการเลือกตั้งเทศบาลได้ทำให้พวกริพับลิกันขึ้นมามีอำนาจตามเมืองใหญ่ส่วนมาก ซึ่งนำไปสู่การประกาศสาธารณรัฐสเปนครั้งที่สอง สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 ทรงหวังว่าการเสด็จออกนอกประเทศอย่างโดยดีอาจจะช่วยป้องกันสงครามกลางเมือง ระหว่างพรรคริพับลิกันกับพรรคชาตินิยมได้ พระราชวงศ์ก็ได้เสด็จไปประทับยังประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ต่อมาพระราชินีเอนาและกษัตริย์อัลฟองโซทรงแยกทางกัน พระองค์ทรงประทับในประเทศอังกฤษบ้างและประเทศสวิตเซอร์แลนด์บ้าง ในปี พ.ศ. 2482 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น พระราชินีเอนาทรงถูกขอให้เสด็จออกจากสหราชอาณาจักร ในฐานะที่มิได้ทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษแล้ว พระองค์ได้ทรงซื้อปราสาทหลังหนึ่งคือ Vielle Fontaine นอกเมืองโลซานน์
ในปี พ.ศ. 2481 พระราชวงศ์ทั้งหมดได้รวมตัวกันที่กรุงโรมในงานพิธีศีลจุ่มของเจ้าชายฆวน คาร์ลอสแห่งสเปน พระโอรสองค์โตในเจ้าชายฆวน และเมื่อวันที่ 15 มกราคมพ.ศ. 2484 สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 ซึ่งทรงรู้สึกว่าพระองค์ใกล้จะเสด็จสวรรคตจึงได้โอนพระราชสิทธิทั้งหมดในราชบัลลังก์สเปนให้แก่เจ้าชายฆวน เค้านท์แห่งบาร์เซโลนา พระราชโอรส ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พระองค์ทรงมีอาการพระหทัยวายเป็นครั้งแรกและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2484
พระราชินีเอนาเสด็จกลับยังประเทศสเปนช่วงสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นแม่ทูนหัวในงานพิธีศีลจุ่มของเจ้าชายเฟลิเป พระราชปนัดดาซึ่งทรงเป็นพระโอรสในเจ้าชายฆวน คาร์ลอสแห่งสเปน (ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาร์ลอสที่ 1 แห่งสเปน) กับ เจ้าหญิงโซฟีแห่งกรีซและเดนมาร์ก (ต่อมาคือ สมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน
ปลายพระชนม์ชีพ
พระราชินีเอนาเสด็จสวรรคตในวันที่ 15 เมษายนพ.ศ. 2512 ณ เมืองโลซานน์ ซึ่งมีช่วงระยะเวลา 38 ปีพอดีหลังจากการเสด็จลี้ภัยออกนอกประเทศสเปน พระศพของพระองค์ฝังอยู่ที่โบสถ์พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ (Sacré Coeur) ในเมืองโลซานน์ ต่อมาในวันที่ 25 เมษายนพ.ศ. 2528 พระอัฐิของพระองค์ได้ถูกนำกลับสู่ประเทศสเปนและฝังลงที่ห้องใต้ดินหลวง พระอารามหลวงเอสกอเรียล ตั้งอยู่นอกกรุงมาดริด เคียงข้างพระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 พระราชสวามี เจ้าชายอัลฟองโซ เจ้าชายไฆเม และเจ้าชายกอนซาโล พระราชโอรสของพระองค์
พระอิสริยยศ
- พ.ศ. 2430 - พ.ศ. 2449: สมเด็จพระองค์เจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก (Her Highness Princess Victoria Eugenie of Battenberg)
- พ.ศ. 2449: สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก (Her Royal Highness Princess Victoria Eugenie of Battenberg)
- พ.ศ. 2449 - พ.ศ. 2484: สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน (Her Majesty The Queen of Spain)
- พ.ศ. 2484 - พ.ศ. 2512: สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน (Her Majesty Queen Victoria Eugenia of Spain)
พระราชโอรสและธิดา
-
สมเด็จเจ้าฟ้าชายอัลฟองโซแห่งสเปน เจ้าชายแห่งอัสตูเรียส (อัลฟองโซ ปิโอ คริสติโน เอดูอาร์โด ฟรานซิสโก กิลแยร์โม คาร์ลอส เอ็นริเก แฟร์นันโด อันโตนิโอ เบนันซิโอ บอร์บอน อี บัตเต็นแบร์ก; 10 พฤษภาคมพ.ศ. 2450 - 6 กันยายนพ.ศ. 2481) ทรงเป็นโรคเฮโมฟีเลีย และ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองไมอามีมลรัฐฟลอริดาประเทศสหรัฐอเมริกา
- ทรงสละพระราชสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์สเปนทั้งหมดของพระองค์เองและเชื้อ สายของพระองค์ (เนื่องจากการอภิเษกต่างฐานันดรศักดิ์โดยตั้งใจ) ในวันที่ 11 มิถุนายนพ.ศ. 2476 ภายหลังทรงได้ดำรงพระอิสริยยศเป็น เค้านท์แห่งโคบาดองกา
- อภิเษกสมรสครั้งแรกวันที่ 21 มิถุนายนพ.ศ. 2476 ณ เมืองโลซานน์ ต่อมาทรงหย่าร้างวันที่ 8 พฤษภาคมพ.ศ. 2480 กับ ดอนญา เอเดลมิรา อิกนาเซีย อาเดรียนา ซัมเปรโด อี โรคาบาโต (5 มีนาคมพ.ศ. 2449 - 23 พฤษภาคมพ.ศ. 2537)
- อภิเษกสมรสครั้งที่สองในวันที่ 3 กรกฎาคมพ.ศ. 2480 ณ กรุงฮาวานาประเทศคิวบา ต่อมาทรงหย่าร้างวันที่ 8 มกราคมพ.ศ. 2481 กับ มาร์ธา เอสเธอร์ โรคาฟอร์ต อี อัลตูซาร์รา (18 กันยายนพ.ศ. 2456 - 4 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2536)
-
สมเด็จเจ้าฟ้าชายไฆเมแห่งสเปน ดยุคแห่งเซโกเบีย (พระนามเต็ม ไฆเม ลูอิตโพลด์ อิซาเบลิโน เอ็นริเก อัลแบร์โต อัลฟองโซ วิกตอร์ อาคาซิโอ เปโดร มาเรีย เด บอร์บอน อี บัตเต็นแบร์ก; 23 มิถุนายนพ.ศ. 2451 - 20 มีนาคมพ.ศ. 2518)
- ทรงสละพระราชสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์สเปนทั้งหมดของพระองค์เองและเชื้อสายของพระองค์ (เนื่องจากความบกพร่องทางร่างกาย) ในวันที่ 21 มิถุนายนพ.ศ. 2476 เมื่อพระชนมายุ 4 พรรษา ทรงประชวรด้วยโรคปุ่มกกหูของกระดูกขมับอักเสบ (mastoiditis) และผลจากการผ่าตัดทำให้พระองค์ทรงหูหนวก การพูดของพระองค์ไม่เคยพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์เลย
- อภิเษกสมรสครั้งแรกวันที่ 4 มีนาคมพ.ศ. 2478 ณ กรุงโรม ต่อมาทรงหย่าร้างวันที่ 4 พฤษภาคมพ.ศ. 2490 และ สิ้นสุดลงวันที่ 3 มิถุนายนพ.ศ. 2492 กับ วิตตอเรีย ฌานน์ โจเซฟีน ปิแยร์ เอมานูเอลา เดอ ดัมปิแยร์ (เกิด 8 พฤศจิกายนพ.ศ. 2456)
- อภิเษกสมรสครั้งที่สองวันที่ 3 สิงหาคมพ.ศ. 2492 ณ เมืองอินส์บรุคประเทศออสเตรีย กับ ชาร์ล็อต หลุยส์ ออกุสตา ทีเดมันน์ (2 มกราคมพ.ศ. 2462 - 3 กรกฎาคมพ.ศ. 2522)
- สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเบียทริซแห่งสเปน (พระนามแบบเต็ม เบียบริซ อิซาเบล เฟเดริกา อัลฟองซา เอวเคเนีย คริสตินา มาเรีย เทเรซา เบียนเบนิดา ลาดิสลา เด บอร์บอน อี บัตเต็นแบร์ก; 22 มิถุนายนพ.ศ. 2452 - 22 พฤศจิกายนพ.ศ. 2545)
- สมเด็จเจ้าฟ้าชายแฟร์นันโดแห่งสเปน (ประสูติ และ สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2453)
- สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมาเรีย คริสตินาแห่งสเปน (พระนามรูปเต็ม มาเรีย คริสตินา กัวดาลูเป มาเรีย เด ลา กอนเซปซิโอน อิลเดฟอนซา วิกตอเรีย เอวเคเนีย เด บอร์บอน อี บัตเต็นแบร์ก; 12 ธันวาคมพ.ศ. 2454 - 23 ธันวาคมพ.ศ. 2539)
-
สมเด็จเจ้าฟ้าชายฆวนแห่งสเปน เค้านท์แห่งบาร์เซโลนา (พระนามรูปเต็ม ฆวน คาร์ลอส เทเรซา ซิลเวสเตร อัลฟองโซ เด บอร์บอน อี เด บัตเต็นแบร์ก; ประสูติ 20 มิถุนายนพ.ศ. 2456 สิ้นพระชนม์ 1 เมษายนพ.ศ. 2536)
- ทรงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นรัชทายาทที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ในราชบัลลังก์สเปน และดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งอัสตูเรียส (มกุฎราชกุมารแห่งสเปน) ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายนพ.ศ. 2476 แต่ประสงค์ที่จะดำรงพระอิสริยยศเป็น เค้านท์แห่งบาร์เซโลนา ต่อมาได้ทรงสละพระราชสิทธิ์ทั้งหมดในราชบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายฆวน คาร์ลอสแห่งสเปน พระโอรสในวันที่ 14 พฤษภาคมพ.ศ. 2520
- อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมพ.ศ. 2478 ณ กรุงโรม กับ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมาเรีย เด ลาส แมร์เซเดส คริสตินา เจนารา อิซาเบล หลุยซา แคโรลินา วิกตอเรียแห่งราชอาณาจักรซิซิลีทั้งสอง (23 ธันวาคมพ.ศ. 2453 - 2 มกราคมพ.ศ. 2543) มีพระโอรสและธิดา 3 พระองค์
- สมเด็จเจ้าฟ้าชายกอนซาโลแห่งสเปน (พระนามแบบเต็ม กอนซาโล มานูเอล มาเรีย แบร์นาโด นาซิโซ อัลฟองโซ มอริซิโอ เด บอร์บอน อี บัตเต็นแบร์ก; 24 ตุลาคมพ.ศ. 2457 - 13 สิงหาคมพ.ศ. 2477) ทรงเป็นโรคเฮโมฟีเลีย และ สิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศออสเตรีย
ความคิดเห็น