ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชวงศ์อังกฤษและยุโรป 2

    ลำดับตอนที่ #93 : เอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 204
      0
      26 พ.ค. 57



    เอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ (12 ตุลาคมพ.ศ. 2437 - 14 พฤศจิกายนพ.ศ. 2499 พระนามเต็ม: เอลิซาเบธ ชาร์ล็อต โจเซฟีน อเล็กซานดรา วิกตอเรีย) ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ พระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ พระนางทรงเป็นพระธิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนียกับเจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ

    พระนางทรงมีพระราชดำรัสสำคัญอยู่ประโยคหนึ่งว่า"ฉันได้กระทำผิดทุกๆอย่าง ในชีวิตของฉันนอกจากการเป็นฆาตกรและฉันไม่ปรารถนาที่จะตายโดยปราศจากการทำ สิ่งเหล่านั้น"

    เนื้อหา

    เมื่อทรงพระเยาว์

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนียกับพระราชินีมารี พระมารดาในปีพ.ศ. 2450

    ในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2437 เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ พระชายาในมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์แห่งโรมาเนียทรงมีพระประสูติกาลพระธิดาที่ปราสาทเปเรส เจ้าหญิงทรงมีพระนามว่า เอลิซาเบธหรือเอลิซาเวตา ซึ่งทรงมีพระนามตามพระปิตุจฉาของพระองค์ คือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย พระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงใช้พระชนมชีพในช่วงต้นที่ปราสาทเปเรส เมืองซินายอา ที่ซึ่งมกุฎราชกุมาร ผู้เป็นพระบิดาทรงพำนักอยู่ ในหนังสือ The Story of My Life พระนิพนธ์ในพระราชินีมารี(เจ้าหญิงมารี) ผู้เป็นพระมารดาทรงบันทึกไว้ว่า "เธอมีผิวที่ขาวดุจดังน้ำนมและมีตาโตสีเขียว มักจะตื่นตกใจกลัวง่าย รักที่จะเก็บและวัดดอกไม้ แต่ในตอนแรกเธอเป็นคนเงียบๆแต่ก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดอกลิลลี่และดอก รักเร่ ดอกใหญ่ ริมสระน้ำ ในตอนอยู่ที่ที่จอดรถใกล้ปราสาท รถม้ากำลังออกตัว ฉันรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเธอได้เล่าเรื่องความฝันของเธอและบอกว่าเธอมี เพื่อนเป็นนางฟ้า ทำให้ฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้ของฉันมีความคิดที่ฉันคาดไม่ถึง" เนื่องจากเจ้าหญิงมารีในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา และเจ้าหญิงเอลิซาเบธกับเจ้าชายคาโรลพระเชษฐาของพระองค์ได้รับการศึกษาร่วมกัน พระราชินีเอลิซาเบธทรงปลูกฝังพระองค์ให้รักศิลปะ

    ตราอักษรย่อของพระองค์

    เมื่อทรงมีพระชนมายุ 5 ชันษาทรงศึกษาเปียโนและไวโอลินกับจอร์จ อีเนสคู นักดนตรีในพระราชินีเอลิซาเบธ พระองค์ทรงมีความสามารถในการวาดภาพ ในเวลาเพียง 1 ปีพระองค์ทรงเรียรู้ไวในการเป็นศิลปิน แต่เป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะน้อยนัก ทรงชื่นชอบที่จะฟังหีบเพลงในห้องที่มีกระจกแบบมูราโน ทรงเต้นรำแบบวอล์ซ ในตอนกลางคืนทรงชอบเล่นเพลงของเฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง,โซนาตาของลุดวิจ ฟาน เบโทเฟิน หรือของโดเมนิโก สการ์เล็ตติ ในฤดูหนาวจัดของซินายอาที่มีภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะล้อมรอบยังตรึงอยู่ในความทรงจำของเจ้าหญิงเอลิซาเบธเสมอ

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเป็นพระธิดาจากพระโอรส-ธิดาทั้งหมด 6 พระองค์ของสมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 กับพระราชินีมารี ทั้งที่ทรงยังไม่เคยเข้าศึกษาในสถานศึกษาใดๆ แต่ทรงพูดได้ถึง 4 ภาษาและทรงได้รับการศึกษาศิลปกรรม,การเต้นรำและประวัติดนตรีและวรรณคดี ทรงชื่นชอบดนตรีและนักดนตรีต่างๆ ว่ากันว่าทรงเก็บผลงานของนักดนตรีต่างๆ รวมถึงแผ่นเสียงไว้ในหีบแผ่นเสียง แต่หีบได้ถูกทำลายในระหว่างที่ครอบครัวถูกคุ้มครองสงครามโลกครั้งที่ 1.[1]

    สิ้นปีพ.ศ. 2457 เกิดเหตุการณืครั้งใหญ่ในชีวิตพระองค์ คือการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 1 แห่งโรมาเนีย และพระบิดาของพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติในพระนาม สมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทำให้พระราชวงศ์ต้องย้ายจากซินายอาไปยังบูคาเรสต์ ที่พระราชวังโคโทรเซนิ ทำให้เจ้าหญิงต้องเสด็จออกตามที่สาธารณะพร้อมพระบิดาและพระมารดา ทรงต้องทำกิจกรรมต่างๆเพื่อการกุศล เจ้าหญิงทรงชื่นชอบครั้งที่อยู่ที่บูคาเรสต์มาก เนื่องจากสภาพอากาศของบูคาเรสต์เหมาะกับผู้ชื่นชอบศิลปะ พระองค์ทรงมีพระสหายเพิ่มมากขึ้นแต่การพำนักที่นี่ต้องทำตามกฎระเบียบเคร่ง ครัด

    ในฤดูร้อน พ.ศ. 2459 เมื่อโรมาเนียเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้พระราชวงศ์และคณะรัฐบาล ถูกบังคับให้ลี้ภัยไปยังเมือง อาซิ เมื่อเยอรมนียึดครองโรมาเนีย ต่อมา 2 ปี พระองค์ต้องลี้ภัยไปยังประเทศมอลโดวา ที่นั่นพระองค์ต้องพำนักที่บ้านในบิคาซ โดยพระราชินีมารี พระมารดาพร้อมกับพระขนิษฐาทั้ง 2 ของพระองค์คือ เจ้าหญิงมาเรียแห่งโรมาเนียและเจ้าหญิงอีเลียนาแห่งโรมาเนีย ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการพยาบาล

    ความสัมพันธ์กับพระราชวงศ์อื่นๆ

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงไม่ค่อยร่วมพบปะกับพระราชวงศ์อื่นๆ และทรงไม่เล่นกับพระอนุชาและพระขนิษฐา พระองค์มักจะพอใจเมื่อทรงอยู่คนเดียวกับสุนัขทรงเลี้ยงและอ่านหนังสือ พระองค์มักจะปฏิเสธในการร่วมเสวยอาหารกับพระราชวงศ์ โดยจะทรงหาข้ออ้างต่างๆนานาเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะกับพระราชวงศ์ น่าเศร้าที่การที่ทรงแยกตัวอยู่ลำพังทำให้พระองค์ทรงเติบโตมาอย่างไม่ดี สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย พระมารดาทรงพยายามชักชวนให้พระองค์รู้จักเข้าสังคมส่วนรวมและอยู่ร่วมกัน บ้าง ทำกิจกรรมต่างๆในครอบครัวบ้าง แต่พระองค์ไม่ยอมและทรงไม่แยแสต่อพระมารดา ทำให้พระมารดาทรงผิดหวังเป็นอันมาก พระนางมักว่าถึงการขาดการให้ความรัก ความอบอุ่นแก่เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระราชินีมารีทรงบันทึกไว้ในบันทึกประจำวันของพระนางว่า "...ความลับอยู่ในความเห็นแก่ตัวทั้งหมด และแน่นอนมันไม่สามารถช่วยอะไรได้แก่ผู้ที่ไม่ให้ความรักความสนใจในชีวิตของ เธอเท่านั้นแต่เธอได้พยายามเก็บกดได้ดีและเก็บความเจ็บปวดซ่อนไว้ในความ รู้สึก การที่เธอมีสิ่งที่ต้องการทำให้เธอป่วยและไม่มีที่ไหนเลยที่เธอเป็น... คุณยินดีที่จะเป็น สิ่งที่คุณทำนั้นไม่มีร่องรอยในความสุขแห่งชีวิตของเธอ เธอรักเรา แต่ในความรักนี้ก็ไม่ทำให้เกิดความสุขเลยแม้แต่น้อย เพราะมันคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น "[2]

    ด้วยความงดงามของเจ้าหญิง ทำให้ต้องมีคู่ครองซึ่งทำให้เจ้าหญิงทรงขัดแย้งกับพระราชินีมารี เนื่องจากพระนางประสงค์ให้พระธิดาของพระนางสมรสกับเจ้าชายรัชทายาทองค์ใด องค์หนึ่งในประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน ในปีพ.ศ. 2466 การแบ็ฟติสท์พระโอรสองค์แรกของพระขนิษฐาของพระองค์ที่เบลเกรด ได้มีข่าวลือว่าสมเด็จพระราชาธิบดีอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย ผู้เป็นพระสวามีในพระขนิษฐา ได้เกี้ยวพาราสีเจ้าหญิงเอลิซาเบธ เมื่อพระราชินีมารีทรงทราบ พระนางได้ให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธเสด็จกลับบูคาเรสต์ในทันที นับเป็นเรื่องอื้อฉาวเรื่องแรกของพระองค์[3]

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงไม่สนิทกับพระเชษฐาของพระองค์ผู้ซึ่งชอบใช้อารมณ์ พระมารดาของพระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า "ภายใต้ใบหน้าอันงดงามของเธอได้แฝงไปด้วยความขุ่นเคือง,ความไม่พอใจและความ ริษยาในความอับโชคของเธอ ในครั้งหนึ่งเธอได้แสดงทัศนคติต่อซิทตา(เจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์กผู้ เป็นพระชายาในเจ้าชายคาโรล พระเชษฐาของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ)หรือหนึ่งในพี่น้องของเธอ เธอได้กล่าวถ้อยคำที่รุนแรง พูดในสิ่งที่เธอไม่พอใจซึ่งเป็นจุดอ่อนของทุกคน คาโรลและน้องคนอื่นๆของเธอต่างเกรงกลัวเธอและมักจะทะเลาะกับคาโรลเสมอ ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายประนีประนอม"[4]

    เจ้าหญิงอีเลียนาแห่งโรมาเนีย พระขนิษฐาของเธอซึ่งเป็นพระธิดาลับของพระราชินีมารี ผู้อื้อฉาวกับบาร์บู สเตอร์เบย์ เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงไม่สงสารพระขนิษฐาซึ่งประสูติท่ามกลางความอื้อฉาวของพระมารดาแต่กลับล้อเลียนเจ้าหญิงอีเลียนาเสมอ คอนสแตนติน อากโทรเอียนนูได้ เรียบเรียงเหตุการณ์จากความทรงจำว่า เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงกล่าวกับเจ้าหญิงอีเลียนาว่า "อีเลียนามาที่หน้าต่างเร็วเข้า มาดูพ่อของเธอ" ซึ่งบาร์บู สเตอรืเบย์ได้ออกจากรถพอดี[5]

    การอภิเษกสมรสกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนียและสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ ในปีพ.ศ. 2464 วันอภิเษกสมรส

    ในปีพ.ศ. 2454 ในวันพระราชสมภพของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระองค์ทรงได้พบปะกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ พระโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 1 แห่งกรีซ ราชวงศ์กรีซตอบรับคำเชิญของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ให้เสด็จเยือนโรมาเนียที่ กรุงบูคาเรสต์ การพบปะกับเจ้าชายชาวกรีซครั้งแรก เจ้าหญิงทรงปฏิเสธข้อเสนอในการสมรส ซึ่งทำให้ทุกพระราชวงศ์ต่างประหลาดใจ เพราะเจ้าหญิงยังทรงศึกษาอยู่ ก่อนปีพ.ศ. 2457 เจ้าชายจอร์จทรงขอเจ้าหญิงเอลิซาเบธสมรสอีกครั้ง แต่ก็ได้รับการตอบปฏิเสธจากพระองค์เช่นเดิม ซึ่งตอนนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงปฏิเสธจากคำแนะนำของพระปิตุจฉา พระนางคาร์เมน ซิลเวีย(อดีต พระราชินีเอลิซาเบธ) ที่ไม่ประสงค์ให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ เนื่องจากทรงเชื่อว่า เจ้าหญิงเอลิซาเบธจะสามารถพบพระสวามีที่ดีสำหรับเธอได้ด้วยพระองค์เอง[6]

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ประทุขึ้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2457 ทำให้การอภิเษกสมรสในกาลข้างหน้าของเจ้าหญิงยุ่งยากขึ้น จุดจบของการนองเลือดในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2461 พระราชวงศ์ได้เสด็จกลับบูคาเรสต์ซึ่งสงบจากสงครามแล้ว พระราชินีมารีทรงตระเตรียมในการหาพระสวามีให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธและพระชายา ให้เจ้าชายคาโรล ในปีพ.ศ. 2463 พระราชินีมารีและพระธิดาได้เสด็จไปพักผ่อนที่ลูกาโน เพื่อไปเสด็จเยี่ยมพระมารดาและพระขนิษฐา

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนียกับพระขนิษฐา เจ้าหญิงอีเลียนา ในวันอภิเษกสมรส

    พระราชินีมารีออกเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ทรงวางแผนที่จะให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอิตาลี[7] ผู้ซึ่งทางพระราชวงศ์ได้ตระเตรียมการสมรสแล้ว แต่การพบปะก็ล้มเหลว เจ้าหญิงเสด็จกลับไปที่สวิตเซอร์แลนด์ ในตอนนั้นเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซตกอยู่ในภาวะลำบาก เนื่องจากพระราชวงศ์ถูกเนรเทศจากกรีซในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และพระราชวงศ์อยู่ระหว่างการลี้ภัย เพราะหลังจากสงครามมีหลายประเทศที่ประกาศล้มล้างระบอบกษัตริย์ พวกต่อต้านราชวงศ์มีกำลังกล้าแข็งขึ้น ดังนั้นการสมรสของพระธิดากับพระราชวงศ์ที่ยังเหลืออยู่ในยุโรปเป็นที่ยาก ยิ่งสำหรับพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย เจ้าหญิงเอลิซาเบธตอบตกลงในการอภิเษกสมรสกับเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซในขณะที่มี การจัดเตรียมพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเฮเลนแห่งกรีซและเดนมาร์กกับเจ้าชายคาโรลพระ เชษฐา ในการตอบตกลงครั้งนี้เจ้าหญิงเอลิซาเบธยังทรงลังเลพระทัย เจ้าหญิงทรงเขียนบัทึกลับว่า "ตอนนี้ฉันอายุ 26 ปีและฉันรู้สึกหนักใจ เบื่อในความหวังและความคิดที่ผิดที่ยังคงมาไม่ถึง!" ด้วยแรงกดดันจากพระราชวงศ์เจ้าหญิงเอลิซาเบธต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายจอร์จ แห่งกรีซ ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2463 สมเด็จพระราชินีมารีทรงบันทึกไว้ว่า "วันนี้ช่างเป็นวันที่เสียอารมณ์จริงๆ กว่าเอลิซาเบธจะยอมรับการหมั้นอย่างเป็นทางการ... เธอมีความคิดแปลกคือไม่ได้ประทับใจในเจ้าชายจอร์จ เธอไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าชายจอร์จและเธอคิดว่าการแต่งงานนี้จะทำ ให้ไม่มีความสุข แต่เธอบอกว่าไม่มีวันที่จะยกเลิกงานหมั้น เนื่องจากเธอมีมุมมองที่ต่างจากนั้นและเธอรู้ว่าอายุเท่านี้เธอควรจะแต่งงาน ได้แล้ว หลังอาหารกลางวันเธอรู้สึกเศร้ามากทั้งๆที่วันนั้นเป็นวันดี แต่แหมฉันจะได้เห็นการเรียนรู้ต่อไปในชีวิตเธอด้วยเธอเอง!"[8]

    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 ที่โบสถ์เมโทรโปลิแทน บนยอดเขาในบูคาเรสต์ ได้มีพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ใช้เวลา 2 วันร่วมกันที่สครอวิสเทีย และในวันที่ 7 มีนาคม ได้เสด็จออกจากประเทศโรมาเนียไปยังกรีซ ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2464 มีการจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายคาโรลกับเจ้าหญิงเฮเลนที่เอเธนส์

    จากมกุฎราชกุมารีสู่สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ

    ในฤดูใบไม้ผลิ ปีพ.ศ. 2464 เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเหยียบผืนแผ่นดินกรีซครั้ง แรกในฐานะ พระชายาในมกุฎราชกุมารแห่งกรีซ สถานะของพระราชวงศ์กรีกในตอนนั้นเริ่มดีขึ้น สมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 1 ทรงได้กลับคืนสู่พระราชบัลลังก์ หลังจากต้องลี้ภัยในต่างประเทศถึงหลายปี ในตอนนั้นชาวกรีกแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย คือ พวกนิยมปฏิวัติกับพวกนิยมกษัตริย์และพระราชวงศ์ ความขัดแย้งของสองพวกนับว่าตึงเครีนดมาก

    ภาพ พระราชินีเอลิซาเบธแห่งกรีซ โดย อันโตนิโอ อาร์กนานิ

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงปรับตัวไม่ได้กับประเทศใหม่ ทรงมีความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์กรีกอย่างเย็นชาตามอุปนิสัยของพระองค์ พระองค์ทรงขาดความรู้ในการเป็นชาวกรีกและเชื้อพระวงศ์กรีก และเชื่อว่าชาวกรีกจะไม่ยอมรับพระองค์ในฐานะมกุฎราชกุมารีหากทรงไม่มีพระ ประสูติกาล

    ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2465 เจ้าหญิงเอลิซาเบธพร้อมพระสวามีได้เสด็จกลับโรมาเนียครั้งแรกหลังจากอภิเษก สมรส ในฤดูใบไม้ผลิ พระองค์ทรงพระประชวรอย่างหนักด้วยไข้ไทฟอยด์ พระราชินีมารีต้องเสด็จไปยังกรีซเพื่อดูแลอาการประชวรของเจ้าหญิง การประชวรครั้งนี้สร้างความทรมานอย่างยาวนานแก่เจ้าหญิง ในฤดูร้อน พระอาการประชวรของเจ้าหญิงได้ทุเลาลงมาก พระองค์ได้เสด็จกลับโรมาเนีย เข้าร่วมพระราชพิธีราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของพระบิดาและพระมารดา ระหว่างทรงประทับอยู่ที่โรมาเนีย ได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในกรีซคือ สมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 1 ทรงถูกยึดอำนาจในเดือนกันยายน พ.ศ. 2465 และต้องเสด็จออกจากประเทศอีกครั้ง พระองค์ได้สละราชบัลลังก์ เจ้าชายจอร์จ พระโอรสได้ครองราชย์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 แห่งกรีซ

    ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2465 เจ้าหญิงเอลิซาเบธได้เสด็จกลับกรีซในฐานะ "สมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ" ทรงตระหนักถึงความไม่พร้อมที่จะเผชิญสถานการณ์ทางการเมืองในกรีซ พระองค์เริ่มจะปฏิเสธงานเลี้ยง,งานรับรองหรืองานทูตอย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะประทับที่ภาคใต้ของกรีซอย่างสงบ พระราชินีเอลิซาเบธทรงเพาะปลูกพรรณไม้ ขยายพันธุ์พืชแปลกๆ และทรงใช้เวลาในการอ่านหนังสือภาษากรีก และทั้งในฉบับภาษาเยอรมัน ทรงวาดภาพและเล่นเปียโน รวมทั้งทรงเสด็จประพาส เวียนนา,ฟลอเรนซ์,ปารีสและลอนดอน

    พระราชาธิบดีจอร์จกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนียระหว่างลี้ภัยที่ลอนดอน ในปีพ.ศ. 2474

    จากการที่สถานการณ์ภายในประเทศไม่ดีขึ้น ชนชั้นกลางได้โกรธแค้นและก่อการปฏิวัติกรีซขึ้นในปีพ.ศ. 2467 หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 เพียง 15 เดือน พระองค์ทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์(ซึ่งทรงครองราชย์อีกครั้งในปีพ.ศ. 2478) พระราชินีเอลิซาเบธทรงถูกถอดพระอิศริยยศ ซึ่งทำให้พระองค์โล่งพระทัย

    หลังจากทรงลี้ภัยที่บูคาเรสต์ แล้วในลอนดอน ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 พระองค์เริ่มเลวร้ายลง ทั้ง 2 พระองค์ทรงแยกกันประทับ และทรงหย่าอย่างเป็นทางการจนกระทั่งพ.ศ. 2478 อดีตพระราชินีเอลิซาเบธทรงกลับคืนสู่พระยศ "เจ้าหญิง" และเสด็จกลับโรมาเนียหลังจากทรงหย่า พระราชินีมารีทรงเล่าถึงความผิดหวังในพระธิดาว่า "ก่อนหย่า จอร์จได้พยายามหลายโอกาสที่จะคืนดีแต่พูดคุยกันผ่านผนังห้อง! เอลิซาเบธตอบโดยอ้างคนนั้นคนนี้ ดูเหมือนภรรยาของเขาซึ่งเป็นลูกฉันพยายามทำบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ จะมีใครเข้าใจเธออีกไหม?"[9]

    เสด็จกลับสู่โรมาเนีย

    จากซ้าย:พระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย,เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย อดีตสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ และ เจ้าหญิงมิกนอล พระขนิษฐา

    หลังจากเสด็จกลับโรมาเนีย พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงเป็นเจ้าหญิงแห่งโรมาเนีย คอนสแตนติน อาร์กเทียนูได้จดจำได้ถึงข่าวลือที่เล่าต่อๆกันไปในเวลานั้นเกี่ยวกับ พระองค์ว่า "พวกเขากล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จในเขตต่างๆ ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อคลุมยาว และมักครวญเพลงของสครูเบิร์ต ลีเดอร์ ทรงสร้างความประหลาดใจมากภายในฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร ทรงประทับใจในห้องที่มืดและประดับด้วยผ้าม่านสีซีด ทรงตื่นบรรทมในตอนกลางคืนและทรงเล่นเปียโนเพื่อขับร้องเพลงจนถึงย่ำรุ่ง ในบทเพลงของโมสาร์ท ทรงวาดภาพบ่อยๆ แต่ทรงเริ่มประพันธ์บทกลอน พระองค์ทรงเดินทางด้วยเงินบำเหน็จรายปีไปที่เวนิสและนีซ ไม่มีใครเห็นพระองค์อยู่กับคนใดเลย!"[10]

    ไม่กี่ปีหลังจากขึ้นครองราชบัลลังก์โรมาเนีย ในปีพ.ศ. 2473 สมเด็จพระราชาธิบดีคาโรลที่ 2 แห่งโรมาเนียผู้เป็นพระเชษฐาของพระองค์ ทรงกระทำการอันน่าแปลกใจ คือทรงสร้างพระราชวังขนาดเล็กและสวยงามแก่เจ้าหญิงเอลิซาเบธบนฝั่งทะเลสาบเฮราสทรู รู้จักกันในนาม พระราชวังเอลิซาเบตาและต่อมาจะเป็นที่ที่พระนัดดาของเจ้าหญิงคือ สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนีย ทรงถูกยึดอำนาจโดย เปทรู กรอซาและจอร์เก จอร์จิอู-เด็จ ทรงถูกบังคับให้ลงพระนามสละราชบัลลังก์ และปัจจุบันที่นี้คือที่ประทับของพระราชวงศ์โรมาเนีย ตอนแรกเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงประทับที่นี่แต่ทรงเสด็จออกไปประทับเพียงลำพัง โดยทรงไปเล่นกอล์ฟเมื่อยามว่าง

    จากการเข้ามาในราชวงศ์ของแม็กดา ลูเพสคู พระชายาองค์ใหม่ของพระเชษฐา พระองค์ทรงไม่อยากขัดพระทัยพระเชษฐาในเรื่องรายได้ ทรงประหยัดทรัพย์สินและทรงซื้ออดีตคฤหาสน์กอร์ฟ บานาท ในเขตเมืองบันล็อก ที่แห่งนี้แม่บ้าน 2 คนที่เคยรับใช้พระองค์พยายามรักษาปราสาทแห่งนี้จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต และวาดภาพปราสาทนี้ไว้ด้วยสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ ซึ่งภาพนี้ได้ตีพิมพ์ลงในพระนิพนธ์ของพระมารดาของพระองค์คือเรื่อง The Country That I Love ( "Land that I love " ) ในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2490 เจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงทราบข่าวจากโทรเลขว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 2 อดีตพระสวามีเสด็จสวรรคต ในสมุดบันทึกของทรงจำของเจ้าชายนิโคลัสแห่งโรมาเนีย พระอนุชาของพระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า ทรงถามพระเชษฐภคินีว่า รู้สึกอย่างไรกับข่าวที่เศร้าเช่นนี้ เจ้าหญิงทรงตอบว่า "ถ้าฉันตอบว่าฉันรักเขาล่ะ" เจ้าชายนิโคลัสทรงร้องอุทานว่า "ยากที่จะเข้าใจพี่เอลิซาเบธของพวกเราอีกครั้งแล้ว!"[11]

    เสด็จลี้ภัยและสิ้นพระชนม์

    เหล่าคอมมิวนิสต์มีอำนาตเต็มหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาได้พยายามต่อต้านประเทศที่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์และสาธารณรัฐและ พยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นคอมมิวนิสต์ และปัญหานี้ยังคงยืดเยื้อในโรมาเนีย สมเด็จพระราชาธิบดีไมเคิลที่ 1 แห่งโรมาเนียทรง ถูกบังคับให้ลงนามสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2490 พระราชวงศ์ทุกพระองค์ต้องเสด็จออกจากแผ่นดินโรมาเนีย ในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 รถไฟพระที่นั่งที่ซึ่งมีพระราชาธิบดีไมเคิล,สมเด็จพระราชชนนีเฮเลนและ เจ้าหญิงอีเลียนา มุ่งหน้าสู่บันล็อก บนชานชลาไม้ของบันล็อก มีสตรี 3 คนรออยู่ซึ่งก็คือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อดีตพระราชินีแห่งกรีซ พร้อมทั้งนางสนองโอษฐ์อีก 2 คน ทั้ง 3 ยืนรอด้วยความหนาวเย็นพร้อมสัมภาระส่วนพระองค์ แต่หลังจากทรงขึ้นรถไฟได้ไม่นาน พระองค์ทรงระลึกถึงความทรงจำที่ตรึงในจิตใจอยู่เบื้องหลัง ประเทศนี้เป็นที่ที่พระองค์ทรงเจริญพระชันษา ที่ที่ประทับอยู่ทั้งสุขและทุกข์ พระองค์ทรงรู้สึกว่าจะต้องแยกจากที่แห่งนี้อีกตลอดกาลโดยทรงทราบว่าพระชนม์ ชีพจะอยู่ไม่ถึง 10 ปี [12]

    ปราสาทบันล็อก ที่ประทับที่สุดท้ายของเจ้าหญิงเอลิซาเบธในโรมาเนีย ปัจจุบันทรุดโทรมลงมาก

    หลังจากใช้เวลาอันสั้นประทับร่วมกับพระราชวงศ์ในเยอรมนี ที่ซิกมารินเกน เจ้าหญิงทรงเสด็จไปประทับที่เมืองคานส์ ซึ่งทรงเช่าอพาร์ทเมนต์ ทรงใช้พระชนม์ชีพบั้นปลายด้วยการเล่นเปียโน เจ้าหญิงเอลิซาเบธ อดีตพระราชินีแห่งกรีซทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 สิริพระชนมายุ 62 พรรษา พระศพถูกฝังที่เฟรนซ์ รีเวียรา

    การอ้างสิทธิในพระราชทรัพย์ของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ

    ก่อนปีพ.ศ. 2549 ทรัพย์สินและที่ดินของพระองค์แถบบันล็อก ซึ่งปัจจุบันทรุดโทรมลงมาก ได้ถูกอ้างสิทธิและทำการซ่อมแซมโดยพอล-ฟิลิปเป โฮเฮนโซลเลิร์น พระนัดดาในเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นทายาทอย่างไม่เป็นทางการของพระราชาธิบดีคาโรลที่ 2 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 การบูรณะต้องหยุดชะงักเพราะตามกฎพระราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์น ไม่ยอมรับ"เลือดสีฟ้า"ของพอล-ฟิลิปเป ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์ของพระราชวงศ์[13] พอล-ฟิลิปเป โฮเฮนโซลเลิร์นยังอ้างสิทธิในเงิน,เหรียญตรา,เครื่องประดับ,วัตถุทอง,แพลททิ นัมและโลหะมีค่าต่างๆของพระราชวงศ์ ที่ถูกยึดโดยคอมมิวนิสต์และทรัพย์สินที่เป็นของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ,พระ ราชาธิบดีคาโรลที่ 2 และเจ้าชายนิโคลัส ซึ่งในปีพ.ศ. 2491 คอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดวังบันล็อกได้ยึดเครื่องประดับ,เหรียญที่ระลึกและ เหรียญทอง 708 เหรียญ ปัจจุบันทางเมืองได้ซื้อวังนี้ในวาระ 49 ปีก่อตั้งมณฑลบานาท[14]

    เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโรมาเนีย อดีตพระราชินีแห่งกรีซ

    คำอ้างอิง

    • "ฉันรักเธอมากเท่าไหน เปเรส สวรรค์วัยเด็กของฉันที่จะหายไป!คุณจะรู้ไหมเกี่ยวกับแสงและเงา,เสียงและ กลิ่นไอ เป็นที่แห่งความเหงา! เมื่อเราหายใจในปัจจุบันจะทำให้เราคิดกลับสู่อดีต ที่ซึ่งเป็นที่พักในความฝันและมายา สงสัยดังเช่นบทกวี <หิมะอยู่ที่ไหนในปีกลาย?>"- ที่มาจากไดอารี่ของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ระหว่างทรงลี้ภัยในฝรั่งเศส
    • "พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วยการตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง และไม่แสวงหาผลประโยชน์ พระราชินีมารีได้ขึ้นเป็นพระราชินีด้วยความรัก ความทุ่มเทในโรมาเนีย และทรงมีความเฉลียวฉลาด แต่ก็ไม่มีใครสามารถเป็นครูที่ดีแก่ลูกๆได้ ... เกี่ยวกับคาโรล ทายาทที่ไม่มีใครอยากพูดถึง! ลูกคนที่สอง เอลิซาเบธ ไม่สามารถทำหน้าที่พระราชินีแห่งกรีซรวมทั้งเจ้าหญิงแห่งโรมาเนียได้เต็มที่ เธอมักจบวันนั้นในโรงแรมซึ่งทรงเป็นนักผจญภัยที่เดินทางไปทุกที่ มิกนอล ลูกสาวอีกคนกลับได้รับการยอมรับในฐานะพระราชินีแห่งเซอร์เบีย เพราะมือเหล็กของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบียและสิ่งแวดล้อมที่เคร่ง ครัดในเซอร์เบีย แต่มิกนอลได้ลืมเลือนว่าตนเป็นชาวโรมาเนีย มีเพียง 2 คนก่อนเมอร์เชียเท่านั้นคือ นิโคลัสและอีเลียนานับเป็นชาวโรมาเนียที่แท้จริง.."-ที่มาจากเลขาส่วนตัวของ เจ้าชายนิโคลัส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×