คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ล่ารัก 1
นครรีโอ เดจานิโร
ดินแดนแห่งอารยะธรรมอันหลากหลาย หากความสวยงามนั้นเลื่องชื่อ ที่แห่งนี้ก็เป็นแดนสวรรค์ของพวกที่ชื่นชอบอยู่ในเงามืดด้วยเช่นกัน นอกจากความสวยงามที่ติดอันดับของโลกแล้ว ยังขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรมอันร้ายแรงติดอันดับต้นๆ อีกด้วย ในขณะที่นักเที่ยวมากหน้าที่กำลังเมามายกับอบายมุกและกิเลสตันหา ในมุมหนึ่ง หญิงสาวสาวรูปร่างผอมบางเท้าก้าวยาวๆ ไปตามริมถนน เส้นผมสีเข้มตัดกับดวงหน้าขาวผ่องไร้สีเลือด ลักษณะแบบคนเอเชีย ดวงตาคู่เฉี่ยวนั้นแลดูตื่นตระหนก คอยเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง อาการลุกลี้ลุกลนราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างอยู่ เธอหลบเลี่ยงพวกขี้เมาที่ร้องโห่แซวเมื่อเดินผ่าน จนเมื่อมาถึงมุมตึก อีกนิดเดียวเท่านั้นเธอก็จะถึงที่หมาย เบื้องหน้าคืออพาร์ตเม้นต์ของเธอ แต่ทว่า...เธอไม่อาจกลับไปถึง เมื่อมีรถยนต์หรูสีดำเข้ามาจอดดักหน้าอย่างกระชั้นชิดก่อนที่เธอจะได้ข้ามไปยังอีกฝั่งได้สำเร็จ หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์จึงกรูกันลงมา
“ไม่...ไม่ได้โปรด” เสียงอ้อนวอนนั้นไม่ได้ทำให้คนพวกนั้นหยุดการกระทำแต่อย่างใด เรือนร่างอันเปราะบางถูกหิ้วไปที่รถ ก่อนที่มันจะแล่นออกไปโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ชะตากรรมของตน
ณ โกดังร้างแห่งหนึ่ง หญิงสาวผู้มีแววตาตาตื่นกลัวถูกพาเข้าไปอย่างทุลักทุเล เธอถูกผลักจนหน้าคว่ำลงไปกับพื้นและหมอบอยู่แทบเท้าของใครคนหนึ่ง ความประหวั่นพรั่นพรึงส่งวาบออกมาจากดวงตาที่คลอหน่วย จ้องมองคนที่ยืนตระหง่านค้ำศีรษะตน เธอรีบคลานเข้าไปกอดขาอย่างลนลาน
“ได้โปรด อย่าทำฉัน” น้ำเสียงสั่นเครืออยู่เหนือการควบคุม ลมหายใจขาดห่วงเมื่อรู้ว่าต้องเจอกับอะไร
“รู้ใช่ไหมว่าจุดจบของคนทรยศมันจะเป็นอย่างไร” คนเอ่ยย่อตัวลงพร้อมแววตาเหี้ยมเกรียม
“ฉะ..ฉันไม่ได้ตั้งใจ ได้โปรด ขอโอกาสให้ฉันอีกสักครั้ง” วอนขออย่างขลาดเขลาเมื่อจนแต้ม เพียงแต่รอยยิ้มที่สะแยะมันเย็นยะเยือกไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องดังลั่นลอยไปกับสายลมแต่กลับไม่มีใครได้ยิน ก่อนที่มันจะเงียบลงทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน
เสียงล้อรถแล่นบดไปตามถนนเส้นแคบ ซอยเล็กและเปลี่ยวแยกไปหลายสาย แต่รถยนต์คันนี้มุ่งไปอย่างชำนิชำนาญ ตรงไปยังหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวร้าง เพราะมันอยู่ชานเมืองของกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนอย่างคับคั่ง หญิงสาวนำรถคันเก่าเข้าไปจอดหน้าบ้าน เมื่อเครื่องยนต์ดับสนิท นพิษฐา วิธิสรรค์เจ้าของร่างเพรียวสมส่วนก้าวลงมา ยกมือเสยผมที่ระหน้าให้ปาดไปด้านหลังด้วยความรำคาญ จากนั้นตรงไปที่ตู้จดหมายเป็นอันดับแรก ซึ่งมันเต็มไปด้วยบิลค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบัตรเครดิตที่เธอไม่ได้เป็นคนใช้ หากแต่เป็นของหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาสีซีดตัวเก่าต่างหากล่ะ และเจ้าตัวกำลังฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถืออย่างสบายอารมณ์ จนเมื่อได้ยินเสียงซองจดหมายที่ถูกโยนลงไปบนโต๊ะถึงสะดุ้งลืมตาขึ้นมามอง รีบดึงหูฟังออก
“นพิษ! ตกใจหมด มาไม่ให้สุ่มให้เสียงเลย” หล่อนบ่นอุบเพราะจู่ๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ก่อนบิดตัวอย่างงัวเงียและเกียจคร้าน
“ก็พี่นันนั่นแหล่ะมัวแต่หลับเพลิน ฉันเปิดประตูเสียงดังพี่ยังไม่รู้เลย นี่วันหยุดเอาแต่นอนตีพุงอยู่บ้านตามเคยล่ะสิท่า” เอ่ยเย้าอย่างคนรู้ทัน นันภัทร พรกรัณย์ ซึ่งเป็นรูมเมทและเพื่อนสนิทของนพิษฐา อีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ
“ก็เออน่ะสิ ไม่งั้นจะให้ไปไหน แล้วนี่ที่โรงยิมเป็นไงมั่ง” นันภทรย้อนถามกลับ นพิษฐาจึงชี้ที่ใบหน้าของตน อีกฝ่ายจึงเพิ่งจะได้สังเกตว่ามันมีรอยแดงจางๆ ที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ คนถามพลันส่ายหน้า “ฉันไม่เข้าใจแกเลย งานออฟฟิศก็มีออกเยอะแยะ แกจะไปเป็นกระสอบทรายให้คนอื่นซ้อมเล่นทำไมเนี่ย?”
“เอาน่า มันก็ได้เงินเหมือนกันแหล่ะ พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ชอบนั่งโต๊ะ เห็นเอกสารทีไรปวดขมับทุกที” เธอว่าพลางทิ้งร่างลงนั่ง ชำเลืองมองนันภัทรหยิบซองจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน “เรื่องยัยกั้งไปถึงไหนแล้ว”
“เหมือนเดิม...ยังเงียบอยู่”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น นพิษฐาจึงเอนหลังพิงเก้าอี้โซฟาอย่างกลุ้มใจ
“ฉันทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มันน่าจะมีอะไรคืบหน้าบ้างสิ นี่ก็ร่วมสองเดือนแล้วที่ยัยกั้งหายไป” ดวงหน้าสวยขมวดมุ่นอย่างกลัดกลุ้มกับชะตากรรมของเพื่อนรักที่ขาดการติดต่อไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากที่สองเดือนก่อนจู่ๆ เธอก็ได้รับจดหมายที่ไม่มีต้นทางส่งมาหา เป็นลายมือกังสดาลเพื่อนสนิทของเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ ใจความที่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากมาย นั่นมันยิ่งทำให้เธอเป็นกังวล
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ฉันก็เป็นห่วงยัยกั้งไม่แพ้แก สถานทูตเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตามเรื่องให้เราอยู่” นันภัทรบอกเสียงเศร้า
โดยนพิษฐานั้นนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด นึกย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน กังสดาล ภุชมัธธย์ เพื่อนรักของเธอได้มาบอกข่าวที่น่าตกใจว่าจะไปทำงานต่างประเทศ ทั้งเธอและนันภัทรต่างก็ห้ามแล้ว แต่กังสดาลนั้นกลับไม่ฟังเสียงค้าน เพราะเป็นคนรักความก้าวหน้า ไม่อยากย่ำอยู่กับที่ คิดจะแสวงหาสิ่งใหม่เพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้น แต่ไปได้ไม่กี่เดือนเธอกลับได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือ แม้ตนจะเป็นห่วงแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากรอคอยข่าวคราวที่นับวันยิ่งหายเงียบไปอย่างช้าๆ
ทั้งเธอ นันภัทร และกังสดาลเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี สนิทสนมคุ้นเคยไม่ต่างจากพี่น้อง นันภัทรนั้นทำงานเป็นเลขานุการในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ส่วนตัวเธอเองไปเป็นครูฝึกสอนมวยไทยในโรงยิมใกล้ๆ บ้าน ด้วยความที่ทั้งสามสนิทกันมากเมื่อเพื่อนมีปัญหาเธอจึงอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป
“ฉันว่า ฉันคงอยู่เฉยไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่เรื่องของยัยกั้งจะหายสาบสูญไปตามกาลเวลา”
“นี่แกคงไม่...”
“ฉันตกลงใจแล้วว่าจะไปบราซิล” เมื่อเอ่ยบอกเจตจำนง นันภัทรจึงร้องท้วงขึ้นมาทันที
“แกจะบ้าเหรอนพิษ แกจะไปยังไง รู้จักใครที่นั่นเหรอ แล้วถ้าแกเกิดหายไปอีกคนไม่แย่หรอกเหรอ คิดดูให้ดีๆ นะ เราไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง ถึงฉันจะไม่เคยไป แต่ก็เคยอ่านข่าวมาบ้าง ที่นั่นเต็มไปด้วยพวกมาเฟียคุมถิ่น แกหัวเดียวกระเทียมลีบจะอยู่ได้ยังไง ไม่เอาฉันไม่ให้ไป” เธอค้านเสียงแข็งในฐานะที่อาวุโสสุดในบรรดาสามคน แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครฟังเธออยู่ดี
“โธ่..พี่นัน พี่ไม่ห่วงยัยกั้งเหรอ จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวเลย ฉันไม่อาจนิ่งดูดายได้ อย่างน้อยก็ได้ทำอะไรบ้างสักนิดเถอะ เอาแต่รอแล้วรออีกแบบนี้ ไม่เห็นความคืบหน้าฉันจะประสาทกินอยู่แล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอกฉันเอาตัวรอดได้ ฉันจะลองไปสืบดูที่ทำงานของยัยกั้ง”
“นี่นพิษแกไม่คิดเหรอว่าถ้ามันมีหลักฐานอะไรเหลืออยู่ทางสถานทูตเขาจะไม่รู้” นันภัทรแย้งขึ้น
“ก็ไม่แน่ มันอาจจะมีอะไรหลงหูหลงตาก็ได้ใครจะรู้ ฉันยื่นเรื่องขอวีซ่าไปเรียบร้อยแล้ว พี่อยู่ทางนี้ก็คอยตามเรื่องจากสถานทูตก็แล้วกัน ช่วยกันทั้งสองทางมันอาจจะดีกว่ารออยู่เฉยๆ” น้ำเสียงหนักแน่นและแววตามุ่งมั่นเอาจริงจนคงมองถอนใจอย่างกลุ้มอก เพราะรู้ว่าค้านไปก็คงไม่มีประโยชน์ เพื่อนรุ่นน้องคนนี้ใจคอเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าอะไรดี หากคิดจะทำใครก็ห้ามไม่ได้
ความคิดเห็น