ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ล่ารักหัวใจทมิฬ

    ลำดับตอนที่ #2 : ล่ารัก 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 168
      1
      9 มิ.ย. 59


               LUI MAGAZINE: Marlon Teixeira & Josephine Skriver in "Contre Sa Peau" by Photographer Tom Munro:



    CR.SQW



    อีกด้านของคนล่ะซีกโลก ภายในเพ้นเฮาส์สุดหรูหราย่านจกลางเมือง ชายหนุ่มยืนพิงกระจกใสทอดสายคมเข้มมองแสงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นน้ำอย่างช้าๆ มันสาดส่องไปทั่ผืนน้ำมหาสมุทรอันกว้างไกล อรุณรุ่งทอแสงฉาบไล้ที่ปลายขอบฟ้า มุมปากเรียวหยักรูปกระจับนั้นยิ้มพรายรับวันใหม่ เรือนกายกำยำที่มีเพียงกางเกงยีนส์ตัโปรดประดับกาย อกแกร่งกระเพื่อมช้าๆ เมื่อเขาสูดเอาอากาศยามเช้าเข้าปอด คิ้วหนาเป็นแพยาวพาดเฉียงรับกับใบหน้าเข้มมักขมดเข้าหากันเสมอ แต่นั่นกลับเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามได้ดีนัก เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นถูกปาดไปด้านหลังอย่างลวกๆ วงหน้าดกครึ้มไปด้วยหนวดเคราแต่ทรงเสน่ห์แสนเย้ายวนใจให้สาลุ่มหลงจนยอมทอดกายโดยที่เขาไม่ต้องร้องขอ ไหล่แกร่งนั้นยืดผายประดุจราชสีห์หนุ่มรูปงาม

    แอนเดรส พรอสเพโร ชายหนุ่มสายเลือดบราซิลวัยสามสิบ เจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมมอเตอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์พาหนะ ถือเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงในยุคที่มีการแข่งขันกันทางธุรกิจ ด้วยชั้นเชิงและประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีจนสามารถพาบริษัทเล็กๆเติบโตจนมาอยู่แถหน้าได้ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ทรงอิทธิพลนั้นนิยมสร้างอานาเขตครอบคลุมถิ่น จึงตั้งตนเป็นมาเฟียแตกเหล่าออกเป็นกลุ่มๆ หากแต่เขาไม่ขึ้นตรงอยู่ฝ่ายใด ตั้งตัเป็นกลาง แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่อิทธิพลของเขาก็ยังเป็นที่เกรงกลัวอยู่จึงไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย ชายหนุ่มถือคติรักสงบแต่ไม่อ่อนแอ มีหลายกลุ่มที่อยากได้เขาไปเป็นหัวเรือใหญ่ หากแต่ชายหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธจึงเป็นที่ไม่พอใจกับใครหลายคน แต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะคนเหล่านั้นต้องการนายทุนคอยออกหน้าเพื่อทำสิ่งผิดกฎหมาย เขาปฏิเสธที่จะให้คามร่มมือ หากแต่เพราะเป็นคนเด็ดขาด และเยือกเย็นจึงเป็นที่เกรงขาม เมื่อทำผิดจะไม่มีคำว่าประนีประนอมจากเขาทั้งสิ้น กิตติศัพท์นี้ใครๆ ต่างก็รู้ดี

    ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังชื่นชมกับแสงรุ่มอรุณอยู่นั้น เรือนร่างเสลาขยับลุกจากเตียงนุ่มมือรบเอาผ้าห่มคลุมกายที่เปล่าเปลือยตรงไปหาชายหนุ่ม ประทับใบหน้าสยบนแผ่นหลังอันแข็งแรงของเขา

    “ตื่นแล้วหรือ” คนเสียงใหญ่เอ่ยถาม

    “ค่ะ” ตอบแบบนุ่มนลพร้อม่ามือบางนั้นลูบแผ่นอกอย่างหลงใหล

    “ฉันจะให้บารอนไปส่ง” เขาบอกโดยไม่หันมามองเธอ มันทำให้หญิงสาวแสดงอาการไม่พอใจอย่างเงียบๆ ก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เขาไม่เคยให้เธออยู่นาน

    “ฉันยังไม่อยากกลับ ขอฉันอยู่ต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ” ใช้เสียงหานออดอ้อนพรหมจูบบนแผ่นหลังอันแข็งแกร่งมือนุ่มลูบไล้แผงอกของเขา แต่เจ้าของร่างกลับดึงมือเธอออก

    “เลน่า..กลับไปเถอะ ฉันต้องทำงานต่อ” น้ำเสียงนั้นเย็นชาแบบเดิมที่เคยเป็น

    แม้รู้ว่าเขาไม่คิดอะไรกับเธอมากไปกว่าคู่นอน แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ เขาไม่ได้ดูยินดีที่อยากให้เธออยู่ แต่เป็นเธอเองที่ร้องขอที่จะมา เมื่อสบตาอันคมกล้าคู่นั้นมันเฉียบขาดและมาดมั่นเธอจึงไม่กล้าเ้าซี้

    “ก็ได้ค่ะ” จำยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

     

    สองอาทิตย์ต่อมา

    นพิษฐาเงยมองอพาร์ตเม้นต์เก่าๆ โทรมๆ สลับกับแผ่นกระดาษที่อยู่ที่เธอจดมา เพื่อตรจเช็คให้แน่ใจ่าเธอมาถูกที่แล้ว ตึกหลังนี้มีขนาดหกชั้น เธอสืบจนได้ความว่าตอนที่กังสดาลอยู่บราซิลกังสดาลพักอยู่ที่นี่กับรูมเมตคนหนึ่ง หญิงสาได้แจ้งเธอไว้แล้วว่าจะมา รออยู่ไม่นักหญิงนางหนึ่งเดินอ้าปากหาลงมาหน้าตาดูอิดโรย ผมเผ้าฟูฟ่องแบบคนเพิ่งตื่นนอน นพิษฐาดูรูปถ่ายที่ได้มาเทียบกับตัวจริง ในรูปแต่งหน้าสีจัดจ้านฉูดฉาด แต่ตัจริงกับโทรมีดพอๆ กับอพาร์ตเม้นต์ เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าเป็นคนๆ เดียวกันเธอจึงเดินไปทัก

    “สวัสดีค่ะ แคลร์ใช่ไหม” เธอทักทายเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนมาก็ได้สืบประัติเธอคนนี้มาเรียบร้อยแล้ แคลร์เป็นสาวชาวฟิลิปินแต่มาทำงานที่นี่พร้อมกับกังสดาล ทั้งคู่เป็นบาเทนดี้อยู่ในไนต์คลับแห่งหนึ่ง เจ้าตัพยักหน้าแบบมึนรากับคนที่ยังไม่ตื่นดี “ฉันนพิษฐานะ เรียกนพิษเฉยๆ ก็ได้” หยิบยื่นมิตรไมตรีให้อย่างยินดี อีกฝ่ายแค่พยักหน้ารับ

    “ขึ้นมาสิ”

    นพิษฐาตามเธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่สี่ ชั้นทั้งชั้นเงียบกริบและดูอึมครึม เพราะแสงส่างที่เข้ามาไม่ถึงทางเดินบรรยากาศจึงดูสลั แคลร์พาเธอมาหยุดอยู่ห้องด้านในสุด เมื่อไขประตูเข้าไป ตัห้องแม้ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่คับแคบจนเกินไป บริเวณกลางห้องมีชุดโซฟาเก่าๆ มีห้องนอนแยกเป็นสัดส่วนอยู่สองห้อง

    “นั่นห้องกังสดาล ฉันยังไม่ได้เอาของเธอออก เผื่อเธออาจะกลับมาเอา ตามสบายนะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันพาไปสมัครงาน” แคลร์่าจากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป

    นพิษฐาไม่ได้บอกเธอว่ามาที่นี่เพื่ออะไร บอกเพียงแต่ว่าเป็นเพื่อนกังสดาลและจะมาหางานทำ ยังดีที่แคลร์ไม่ได้เป็นคนอยากรู้อยากหรือขี้สงสัยจึงไม่ได้ถามซอกแกอะไรมากมาย

    หญิงสาวนำของเข้าไปเก็บ ก่อนจะเริ่มสำรวจห้องพัก ที่ดูจากสภาพแล้วคงมีการมาตรวจค้นหลายครั้ง อาจจะเป็นคนของสถานทูตเพื่อหาหลักฐาน แต่คิดว่าคงไม่เจออะไร บนโต๊ะเครื่องแป้งเครื่องสำอางที่วางเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ มีรูปถ่ายสามสาวเพื่อนสนิท เธอหยิบมันขึ้นมาอดยิ้มอย่างเศร้าๆ ไม่ได้ ทั้งสามสาวที่ต่างบุคลิกต่างฉายยิ้มผ่านเลนส์กล้องอย่างสดใส นันภัทรนั้นออกจะหัวโบราณหน่อย ขี้บ่นและเรียบร้อยจนบางทีเธอกับกังสดาลมักล้ออยู่บ่อยๆ ว่าเป็นป้า ส่วนกังสดาลนั้นเป็นคนรักสวยรักงาม วงหน้าโฉบเฉี่ยวเชิดรั้นนิดๆ ผิดจากเธอที่ออกไปทางทโมนแก่นแก้ว เมื่อคิดถึงวันเวลาเก่าๆ แล้วอดสะท้อนใจไม่ได้

    กั้งเธอไปอยู่ไหนนะ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ปลอดภัยดีไหม เธอจะรู้ไหม่าฉับกับพี่นันเป็นห่วงแค่ไหน ทำไมเธอไม่ฟังเราแต่แรก ไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่ประสบเรื่องร้ายแบบนี้หรอก ฉันสัญญานะ ฉันจะหาเธอให้เจอ ฉันจะไม่กลับเมืองไทยเด็ดขาดหากไม่มีเธอกลับไปด้

    คิดไปพลางหยดน้ำใสๆ ก็ไหลรินออกมาเธอใช้หลังมือปาดมันออกก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างยื่นออกมาจากซอกเล็กๆ ข้างหลังโต๊ะเครื่องแป้ง หากไม่เพราะสายตาปะทะเข้ากับมันพอดีเธอก็คงไม่เห็นเพราะโต๊ะเครื่องแป้งทับมันอยู่ เธอเอานิ้วสอดเข้าไปเขี่ยมันออกมา เป็นแผ่นกระดาษแผ่นเล็ก มันคือนามบัตร

    แอนเดรส พรอสเพโร” อ่านเสียงเบาๆ พร้อมนิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด เธอไม่เคยได้ยินชื่อคนๆ นี้มาก่อน แต่กลับมีลางสังหรณ์ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก ต่อมคามอยากรู้อยากเห็นเริ่มทำงานอีกครั้งไม่่าจะเป็นใครแต่มันคือเบาะแสที่อาจจะนำเธอไปหากังสดาลก็เป็นได้


    ................................................................................................................
    เรื่องนี้ไรต์เขียนจบแล้วนะคะ เอามาลงให้อ่านใหม่ คาดว่าจะลงเป็นอีบุกประมาณปลายเดือน ฝากติดตาม เม้น โหวต แอดแฟน ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ




     








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×