ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซวานเนญ่า โรงเรียนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #16 : ภาค 1)นักเวทย์มือใหม่ : 16. เมืองคบเพลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 634
      1
      27 มิ.ย. 56

    เมืองคบเพลิง

     

                     กริ๊งงง!

                     เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นนักเรียนทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้อง แต่ละคนต่างก็เดินไปกับเพื่อนของตน บางกลุ่มก็กลับหอ บางกลุ่มก็ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารของโรงเรียนต่อ ทุกคนล้วนมีท่าทีผ่อนคลาย หลังเลิกเรียนอะไรก็ดีไปหมด แต่มีนักเรียนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียดก้าวเดินฉับๆไปยังหอของตน

               

                     “เอวี่ เธอว่าครั้งนี้เราจะได้อะไรเพิ่มขึ้นมั้ย?” นอเอลเอ่ยปากถามเอวี่ขณะที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่

                     ตั้งแต่ใกล้เลิกเรียนแล้วที่สองสาวดูตื่นตัวเป็นพิเศษเพราะมัวแต่คิดเรื่องการสำรวจครั้งนี้ เพราะวางแผนไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ยังไงก็ควรจะมีอะไรคืบหน้า แค่คิดก็อยากรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

                     “ไม่รู้สินอเอล ฉันรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะยากขึ้นทุกทีๆ ยิ่งเจอเบาะแส ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันคงไม่ง่ายเหมือนแค่เกมตามหาของทั่วๆไป มันยากกว่านั้นเยอะ” เอวี่ตอบหลังจากที่สวมเสื้อแขนยาวสีดำพอดีตัวเสร็จ

                     “ป่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกคุณชายจะบ่นเอา” เอวี่พูดพร้อมแลบลิ้นเล็กน้อยแถมยังล้อเลียนท่าทางของเอลอีกต่างหาก นั่นทำให้นอเอลหัวเราะออกมาแล้วคิดว่า เอวี่คงหายเครียดเหมือนช่วงแรกๆแล้วล่ะ

     

                     “ให้พวกเรารอซะนานเลยนะแม่คุณนายทั้งสอง” เอลว่ายิ้มๆทันทีที่เห็นคุณนายทั้งสองเดินมา

                     เมื่อได้ยินดังนั้นสองสาวผู้ถูกกล่าวหาก็หันไปหัวเราะกันทันที แหม เป็นอย่างที่พูดจริงๆ

                     “หัวเราะอะไรกะ...!!” เอลตั้งท่าจะโวยวายแต่ถูกฟรานซ์สะกัดดาวรุ่งซะก่อนโดยหายเอื้อมมือมาปิดหน้าเอลแล้วผลักไปด้านหลังใส่เมอร์เดนที่มองอยู่ขำๆ เป็นเหตุให้คนที่ไม่ทันระวังสองคนเป็นอันต้องนอนแผ่หลากันอยู่บนพื้น

                     “ปล่อยสองคนนั้นไปเถอะ เข้าเรื่องดีกว่า...อย่างที่เราคุยกันไว้ว่าจะไปสำรวจแถวๆสระบัว ตอนนี้เวลากำลังดีเพราะคนดูแลสวนเพิ่งเลิกงาน พวกนักเรียนกับอาจารย์ก็ไปอยู่ที่โรงอาหารกันหมด แล้วก็คงไม่มีใครไปที่สระบัวเพราะแดดมันจ้า” เมื่อทุกคนพยักหน้าเข้าใจ (ยกเว้นสองหนุ่มที่ยืนโวยวายอยู่ด้านหลังแต่ไม่มีใครสนใจ) ฟรานซ์จึงพูดต่อ แต่อย่างว่า ตอนนี้มันยังกลางวัน แล้วเราก็ไม่อยากเสียเวลา ดังนั้นเราจึงต้อง...แอบดอดเข้าไปถ้าคนอย่างฟรานซ์ใช้คำว่า แอบดอดก็แปลว่าต้อง แอบดอดจริงๆนะนี่...

                      “งั้นเราก็รีบไปตอนนี้เลยเถอะ ก่อนที่จะมีใครนึกพิเรนทร์อยากไปนั่งเล่นกลางแสงแดดน่ะ” เมอร์เดนที่สงบสติอารมณ์ลงได้แล้วว่าพลางหาวหวอดไปด้วย...คือนายจะไปสำรวจหรือไปหาที่หลับ??!!

     

                     เมื่อทั้งหมดมาถึงสระบัวสองสาวก็นำทั้งหมดไปยังบริเวณที่ทั้งสองเคยเจอปลากลอริฟามาก่อน

                      เนื่องจากเอวี่บอกว่าปลากลอริฟาจะมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือจะชอบอยู่ในบริเวณที่น้ำเย็นตลอดเวลาเหมือนที่พวกมันอาศัยอยู่ที่น่านน้ำของเผ่ากริฟเฟนที่มีความพิเศษอยู่อย่างคืออุณหภูมิที่ต่ำเช่นทุกวันนี้ตลอดมา และตรงที่ทั้งสองเคยเจอก็เป็นเงาร่มไม้ที่แดดส่องไม่ค่อยถึงดังนั้นฝูงปลาพวกนั้นคงอาศัยอยู่แถวๆนี้

                     “นั่นไง! พวกเธอหมายถึงปลาพวกนั้นรึเปล่า” เมอร์เดนที่ตั้งท่าจะหาวเบิกตาขึ้นก่อนจะชี้นิ้วไปยังฝูงปลาที่กระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เสียงที่ตะโกนตามมาทำให้ฟรานซ์หันนไปส่งสายตาดุๆให้

                      “อ๊ะ ใช่แล้วล่ะ” สาวน้อยตาสีท้องทะเลตอบก่อนจะเดินนำไปริมสระ

                      “คุณนายเอวี่ เอาไงต่อ?” หนุ่มหล่อทำหน้ากวนถามเอวี่ที่หันมาถลึงตาใส่

                      “ชิ! ...ฉันว่า..ถ้าปลาพวกนี้หมายถึงเบาะแสล่ะก็ อะไรบางอย่างที่พวกเราตามหาอาจจะอยู่แถวๆนี้ เหมือนที่ปลากลอริฟาชอบน้ำเย็นๆ” เอวี่วิเคราะห์ออกมาด้วยท่าทางครุ่นคิด “...ชิ้นส่วนของมงกุฎ...ก็ต้องอยู่ในที่เย็นๆและมีไอพลังเวทน้ำสูง! ฉันลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย” เมื่อคิดออก สาวน้อยก็หันไปหาเพื่อนๆที่รอฟังอย่างตั้งใจ

                      “งั้นก็แปลว่า เราควรจะเริ่มหาไอเวทจากบริเวณรอบๆนี้สินะ!” หนุ่มเซอร์สุกซ่าเอ่ยขึ้นอย่างหึกเหิม เอาล่ะ ได้เวลาสนุกแล้วซิ!

     

                      “เอวี่ เราหามานานแล้วนะ นี่ก็ยังไม่เจออะไรเลยนอกจากไอเวทที่ลอยคลุ้งอยู่ตรงนี้ แต่มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” นอเอลเอ่ยขึ้นพร้อมกับปากเหงื่อบนใบหน้าออก

                      หลังจากที่เอลจับไอเวทที่ลอยอยู่รอบๆต้นไม้ต้นใหญ่ข้างสระได้ ทั้งหมดก็มารุมดอมดม...เอ้ย! มาสำรวจรอบต้นไม้ แต่กลับไม่เจออะไรพิเศษเลย

                      “นี่ เอาความเห็นฉันมะ?” เมอร์เดนเดินเข้ามาหาสองสาวพลางเลิกคิ้วถาม

                      “ไม่” สาวน้อยทั้งสองตอบอย่างไม่ต้องคิด พลอยให้หลุ่มฮอตทั้งสองหลุดขำออกมาให้ความหน้าแตกของเมอร์เดนที่ตอนนี้เจ้าตัวทำหนู้ดเป็นตูดเป็ดอยู่ ก็แหม ภาพลักษณ์นายมันดูเป็นพวกใช้แต่กำลังนี่นา

                      “แหม! ฟังกันบ้างก็ได้นะ! ...ฉันว่า ถ้าเกิดไอเวทนั่นแค่ลอยอยู่รอบต้นไม้นี่ ไม่มีจุดไหนเป็นพิเศษ มันอาจจะหมายถึงต้นนี้ทั้งต้นเลยก็ได้นะ”

                      “...นายหมายความว่ายังไง” ฟรานซ์เอ่ยถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม

                      “ก็แบบ…” หนุ่มกวนทำท่าคิดหนัก “...ทางลับ ประตูลับอะไรอย่างนี้ไง!” เมื่อทุกคนได้ยินก็ทำหน้าแบบ เออ ใช่!’

                       “อื้มมม นั่นสิ เป็นไปได้นะเนี่ย” เอวี่เริ่มพยักหน้าคล้อยตาม คนอื่นๆก็เริ่มมองๆไปทางต้นไม้หา ทางลับ

                       “นั่น...อะไรน่ะ” เอวี่ขมวดคิ้วแล้วเดินไปทางโคนต้นไม้

                       สิ่งที่เอวี่หยิบขึ้นมาเป็นม้วนกระดาษเล็กๆม้วนหนึ่ง เมื่อคลี่ออกก็พบกลอนบทหนึ่ง

     

                       “...สายเลือดข้นไฉน         คือสายใยความผูกพัน

    จากชนสู่ราชัน                               จุดเกิดนั้นอยู่ที่ใด...

     

                        ทุกคนมองหน้ากันอย่างสงสัย

                        “จุดเกิดงั้นเหรอ? หมายถึงอะไรล่ะ” เอวี่ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นรอบที่ล้านของวัน

                        “ก็กระดาษแผ่นนี้มันวางอยู่ที่โคนต้นไม้นี่ มันก็ต้องหมายถึงต้นไม้สิ” เมอร์เดนตอบง่ายๆแบบไม่คิดอะไร

                        “...ใช่แล้ว! นายฉลาดมากเมอร์เดน! ถ้ามันหมายถึงต้นไม้ล่ะก็...โคนต้นไม้ๆ!!” นอเอลโพล่งขึ้นท่ามกลางท่าทางที่งงเป็นไก่ตาแตกของเมอร์เดน

                       สาวน้อยที่เดินมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งยองๆข้างๆโคนต้นไม้ลองใช้มือปาดหน้าที่ขึ้นรอบๆลงก็พบตัวอักษรที่น่าจะเป็นภาษากริฟเฟนถ้าเธอเดาไม่ผิด

                       “นั่นมัน...” เอวี่ที่เดินตามมาพร้อมกับคนอื่นๆเพ่งมองตัวอักษรนั้นก่อนจะอ่านมันออกมาอาลเบอร์น่า เดลกิเอว่า...ต่อจากนั้น...เธออ่านไม่ออก...แต่แล้วเสียงของเอก็ดังแทรกขึ้นมา

                       “เบอิเค นาเวดา”

                       จู่ๆแสงสว่างก็ส่องออกมาจากรอยอักษรนั้น แสงเจิดจ้าทำให้ทุกคนต้องหลับตาลง

                        ...ฉากนี้มันคุ้นๆนะ ว่ามั้ย?...

     

                      เอวี่รู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปยังที่ไกลๆ...ปวดหัวไปหมด ลืมตาก็ไม่ได้ อะไรกัน... จากนั้นก็ร็สึกเหมือนถูกคว้าตัวไปจากนั้นแผ่นหลังก็กระทบอะไรบางอย่าง อืม...ลืมตาได้แล้วนี่นา...?

                      “นี่ เป็นอะไรรึเปล่า?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เอวี่หันไปดูก็พบว่า... เธอกำลังนอนอยู่บนตัวของ...เอล!!

                     ชายหนุ่มมองเอวี่อย่างขำๆ ตาที่เบิกกว้างซะแทบถลนทำให้เอลกลัวว่าลูกตาจะหลุดออกมาจริงๆ

                     เอวี่ที่ตั้งสติได้ตั้งท่าจะลุกแต่เอลรีบคว้าตัวเอวี่เอาไว้ก่อนแล้วชี้ให้ดูข้างๆ เมื่อเธอหันไปดูก็พบว่า...มันว่างเปล่า! พอลองดูดีๆก็เห็นว่าพวกเธอนอนอยู่บนซะพานไม้ที่ไม่ค่อยกว้างนักและไม่มีราว ถ้าเมื่อกี้เอลไม่คว้าตัวเธอเอาไว้ก็คง...ซี้ดดด

                     “เธอค่อยๆลุกละกันนะ เดี๋ยวฉันจะคอยประคองเอาไว้ให้” เอลบอกเอวี่ที่กำลังกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกๆ

                     “แบบนั้น...นายจะหนักรึเปล่าน่ะ” เอวี่เอียงหน้ามาถามพร้อมใบหน้าที่ขึ้นสีนิดๆ

                     “ฮะๆ ไม่หรอก เธอตัวนิดเดียวเอง” เอลตอบยิ้มๆ ซึ่งนั่นทำให้เอวี่ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ “อ่ะ เธอค่อยๆลุกนะ”

                     เอวี่ค่อยๆยันตัวขึ้นตามที่เอลบอกโดยที่มือของเขาก็ประคองเบาๆตรงช่วงเอว สาวน้อยเลยหน้าแดงแปร๊ดเลยทีนี้

                     เมื่อเอวี่ลุกขึ้นมานั่งได้เอลก็ค่อยๆยันตัวขึ้นตาม เมื่อเขาลุกขึ้นนั่งชันเข่าก็กลายเป็นว่าขาทั้งสองข้างอยู่ข้างตัวเอวี่ทำให้ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากอย่างช่วยไม่ได้

                     “โอ๊ย!” เสียงร้องของเอลที่ดังขึ้นทำให้เอวี่หันหน้าไปดูอย่างตกใจ ก่อนจะพบว่าเธอตัดสินใจพลาดเสียแล้ว

                     ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์ ความใกล้ชิดที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เอวี่นิ่งค้างอ่างตกใจ

                      เอลที่ถูกเสี้ยนตำมือเมื่อกี้จ้องมองดวงตาสีอเมทิสต์นั้นอย่างหลงใหล ดวงตาคู่สวยที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกครั้งที่ได้สบตา เขามองไล่มาเรื่องจากดวงตามาที่จมูกรั้นเล็ก ไล่มาจนถึงริมฝีปากอิ่มเล็กสีระเรื่อน่าสัมผัส ไวเท่าความคิด เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้า

    ไปใกล้โดยที่เธอก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น เหมือนว่าทั้งสองลืมไปซึ่งทุกอย่าง...

                     “โอ๊ยยยย!!” เสียงของเมอร์เดนที่ดังมาจากอีกฝั่งของสะพานทำให้ทั้งสองหลุดจากภวังค์ เอวี่เม้มปากหน้าแดงเถือกแล้วรีบลุกขึ้น แต่เธอดันลืมไปว่าสะพานมันมีอยู่แค่นี้ทำให้เอลที่กำลังยกมือขึ้นเสยผมเหมือนปลุกตัวเองต้องรีบลุกขึ้นตามแล้วเอื้อมมือไปประคองร่างของเอวี่เอาไว้ เธอสะดุ้งเล็กน้อย แล้วค่อยๆทรงตัว จากนั้นทั้งสองจึงค่อยๆเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งที่มีเมอร์เดรนอนคว่ำหน้าชันขาขึ้นทำก้นโด่งแล้วใช้มือข้างนึงจับก้นเอาไว้

                      “นายเป็นอะไรรึเปล่า?” เอวี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางพิสดารของเมอร์เดนแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเมอร์เดนหันมาพร้อมน้ำตาคลอเบ้า

                     “เจ็บก้นนน!! พอลุกขึ้นมาก็ปวดร้าวระบมตูดไปหมดเลย ต้องหล่นลงมากระแทกแน่เลยอ่ะ” เอวี่และเอลยิ้มแหยๆให้กับท่าทางนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้

                     “แล้วนอเอลกับฟรานซ์ล่ะ?” เอวี่ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองรอบๆก็พบทั้งสองคนนอนสลบอยู่แถวพุ่มไม้ที่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร เอวี่จึงรีบวิ่งไปดูพร้อมกับเอลที่ตามไปโดยทิ้งเมอร์เดนให้นอนร้องโอดโอย...เพียงลำพัง โถๆๆน่าสงสารจริงๆหนอ

                    

                    “นอเอลๆ เป็นอะไรรึเปล่า?” เอวี่เขย่าตัวนอเอลเบา สาวน้อยก็ค่อยๆลืตาขึ้น

                    “อืม...เอวี่เหรอ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันน่ะ?” เธอค่อยๆยันตัวขึ้นแล้วเอ่ยปากถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

                    “ไม่รู้เหมือนกัน” เอวี่ตอบก่อนจะหันไปมองฟรานซ์ที่ได้สติแล้วและกำลังลุกขึ้น

     

                    “ปัญหาคือว่า ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะกลับไปยังไง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้เมื่อไหร่” ฟรานซ์กล่าวขึ้นอย่างเครียดๆหลังจากที่ทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก่อนหน้านั้นพวกเขาลองสำรวจดูรอบๆก็ไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจากพุ่มไม้บางช่วงเพราะมืดไปหมด มีแต่แสงรางๆที่ส่องมาจากทิศไหนสักทิศ...

                     “ฉันว่าเราน่าจะลองเดินไปทางนั้นดูนะ เหมือนฉันได้ยินเสียงแว่วๆมาจากทางนั้นเลย ได้ยินกันมั้ย?” เมอร์เดนที่ยืนลูบก้นป้อยๆเสนอขึ้นพร้มกัชี้ไปทางที่มีแสงสว่างเล็กๆอยู่ไกลๆ

                     “อืม นั่นสิ แต่ว่า...เราจะเอายังไงกับเรื่องที่โรงเรียนดีล่ะ?” เอลเอ่ยถามขึ้น เมื่อเมอร์เดนได้ยินดงนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายแบบคาดตัวที่เขาพกมา

                    “อะแฮ่ม ฉันภูมิใจเสนอ...ลูกแล้วสร้างร่าง! เจ้านี่จะสามรถสร้างร่างขึ้นมาใหม่ได้โดยมีรูปลักษณ์ท่าทางเหมือนคนสร้างทุกกระเบียดนิ้ว!” ทุกคนมองลูกแก้วลูกเล็กบนมือของเมอร์เดนอย่างสนใจ

                      “ของที่แอบจิ๊กมาจากน้าเกลฟี่น่ะ ฮี่ๆ เอาล่ะ ให้ทุกคนแตะลูกแก้วนี้นะ แล้วก็นึกถึง...ห้องที่หอละกัน แล้วมันจะสร้างร่างของเราขึ้นมาใหม่ที่นั่น ส่วนเรื่องการเรียนอะไรไม่ต้องห่วง เมื่อเรากลับไปถึงเราจะสามารถดึงความทรงจำของร่างปลอมมาได้ทั้งหมด...”

     

                     “อีกไกลมั้ยเนี่ย” เอวี่เอ่ยขึ้นพลางทำปากปลาบู่

                     หลังจากที่ทุกคนจัดการสร้างร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็เริ่มออกเดิน จนตอนนี้ก็ยังไม่เจออะไรนอกจากพุ่มไม้

                     “เอ๊ะ! นั่น...น้ำรึเปล่า?” เอวี่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะเพ่งมองไปข้างหน้า เมื่อทุกคนเดินเข้าไปใกล้ๆก็พบแม่น้ำกว้างทอดยาวไปข้างหน้า และมีเรือคันหนึ่งผูกเชือกลอยอยู่ติดฝั่ง

                     “เรืองั้นเหรอ...?” นอเอลมองเรือขนาดพอจุคนได้หกเจ็ดคนอย่าฉงน

                     “แลดูเตรียมพร้อมจังเลยนะ มีแม่น้ำก็มีเรือให้” ฟรานซ์ว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆและพบกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับวางอยู่ในเรือ “อะไรน่ะ?”

                     เอลเดินเข้าไปหาฟรานซ์แล้วอ่านข้อความในกระดาษออกมาให้ทุกคนฟัง

                     “...เวลาที่ผันพ่าน                 ทุกเหตุการณ์และเวลา

    ดวงไฟจากราชา                                    จะนำพาสู่ดวงใจ”

                     “หืม? ถ้ามีใครสักคนส่งสารช่วยเราอยู่อย่างนี้ แปลว่าเราคงมาถูกทางแล้วมั้ง?” เมอร์เดนเลิกคิ้ว

                     “ก็จริง บางทีมงกุฎอาจจะอยู่ในทางข้างหน้านี้ก็ได้ ในเมื่อเบาะแสทั้งหมดที่เราหามานำพาเรามาที่นี่ เราก็ต้องเดินต่อไป ถึงจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้าสินะ” เอวี่กล่าวด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องระวังตัว เพราะบางทีมันอาจจะเป็นกับดักก็ได้” ทุกคนพยักหน้าให้กับคำพูดของเอวี่ก่อนที่ทั้งหมดจะหันกลับมายังเรือลำน้อย

                     “เหลือทางเลือกเดียวแล้วนี่เนอะ เหอๆๆ” เมอร์เดนหัวเราะแห้งๆ

     

                     ตอนนี้ทั้งหมดอยู่บนเรือลำน้อยโดยมีเมอร์เดนและเอลพายเรือสลับกับฟรานซ์ ส่วนสองสาวก็นั่งอยู่ด้านหน้า

                     พายไปก็เสียวไป ตลอดทางมืดแต่กลับมีเหมือนเสียงร้องเพลง...หรือโหยหวน สักอย่างดังคลออยู่ตลอดทางจนกระทั่งพายมาได้สักพักก็เริ่มเห็นแสงสีส้มด้านหน้า

                     “หืม...แสง...แสงคบเพลิงรึเปล่าน่ะ?” นอเอลเพ่งมองไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น เมื่อพายเข้าไปใกล้พอก็พบว่าเป็นคบเพลิงจริงๆ และก็เป็นคบเพลิงที่จุดอยู่ข้างทางไปตลอดทาง

                     เมื่อทั้งหมดพายตามทางที่มีคบเพลิงข้างทางมาได้สักพักก็พบซุ้มประตูที่มีป้ายห้อยอยู่เขียนว่า

     

    ยินดีต้อนรับสู่เมืองคบเพลิง เมืองท่าแห่งอรีลีน

     

                   

              

                 

     

               

                    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×