ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ RE-Write ] Try..!!! { MarkBam } // THE END

    ลำดับตอนที่ #63 : Level_60 : The End

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.83K
      239
      7 พ.ค. 60



    “แบมแบม”



    “ครับ..” 

    ร่างบางรีบขานรับแทบจะทันที



    “ช่วยหยิบกระถางเปล่าที่วางอยู่ตรงนั้นให้ม๊าหน่อยได้มั้ยลูก” 

    ม๊าชี้ไปที่กองกระถางซึ่งวางซ้อนๆกันอยู่ไจจจม่ไกลจากร่างบางนัก



    “นี่เหรอครับ” 

    แบมแบมลุกขึ้นและเดินไปยังจุดที่ม๊าบอก



    “ใช่จ๊ะ..หยิบมาสักสองสามใบก็พอ”



    “ได้ครับ” 

    สิ้นเสียงร่างบางก็ก้มลงไปหยิบกระถางดังกล่าวขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนเดินมาส่งให้ม๊าที่นั่งรออยู่บริเวณแปลงดอกไม้



    “ขอบใจลูก” 

    ม๊าเอื้อมมือไปรับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ



    “ไม่เป็นไรครับ..ม๊ามีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เลยนะครับ ผมอยากช่วย”



    “งั้นเรามาช่วยม๊าแยกกระถางเจ้าพวกนี้หน่อยก็แล้วกัน” 

    ได้ยินดังนั้นร่างบางก็เดินอ้อมไปย่อตัวลงนั่งข้างๆม๊าก่อนจะมองไปยังแปลงดอกไม้ตรงหน้า



    “ม๊าครับ..นี่ดอกอะไรเหรอครับสวยดี” 

    มือเรียวชี้ไปยังดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมจางๆลอยมาเตะจมูก



    “ดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ จ๊ะ”



    “ดอกอะไรนะครับ” 

    ร่างบางหันไปถามอีกรอบเพราะไม่เคยได้ยินชื่อดอกไม้นี้มาก่อน



    “ชื่อของมันคือ ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ เป็นดอกไม้ที่มีรูปทรงคล้ายระฆังและมีกลิ่นหอมจ๊ะ”



    “ชื่อยาวจังครับ แต่ก็สวยดีแถมหอมด้วย”



    “ส่วนใหญ่เขานิยมใช้ประดับในงานแต่งงานน่ะ”



    “ดอกเล็กขนาดนี้คงใช้เยอะน่าดู”



    “ใช่จ๊ะ..แต่ถึงจะดอกเล็กแต่ความหมายดีมากเลยนะ”



    “มีความหมายด้วยเหรอครับ”



    “มีสิ..ดอกไม้ส่วนใหญ่จะมีความหมายในตัว อย่างเช่น ดอกเยอบีร่าที่อยู่ด้านหลังนั่นหมายถึง จิตใจที่บริสุทธิ์ ส่วนดอกไฮเดรนเยียที่อยู่ถัดมาก็หมายถึง คำขอบคุณ”



    “ว้าว..ม๊ารู้เรื่องดอกไม้เยอะจังครับ งั้นลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์หมายถึงอะไรเหรอครับ”



    “ลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ มีความหมายว่า คุณคือความสุขของฉัน” 

    ม๊าเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า



    “ความหมายดีจริงๆด้วย ผมชอบ”



    “ถ้าชอบงั้นเอากลับไปปลูกมั้ยเดี๋ยวม๊าแยกไว้ให้”



    “ไม่เอาดีกว่าครับผมกลัวทำมันเฉาตาย”



    “ทำไมถึงคิดว่าจะทำมันเฉาตายล่ะ” 

    ม๊าถามออกมาด้วยท่าทีไม่จริงจังนัก




    “ก็ผมไม่ค่อยมีเวลาดูแล เลยกลัวทำมันตายน่ะครับ”



    “แบมแบม..การปลูกต้นไม้ก็เหมือนกับความรักนั้นแหละลูก”



    “เหมือนยังไงเหรอครับ ผมไม่เข้าใจ”



    “ก็ถ้าเราค่อยๆบ่มเพาะความรู้สึกโดยไม่รีบร้อนความรักก็จะค่อยๆงอกเงยเหมือนกับต้นไม้ที่เจริญเติบโตช้าๆ แต่ถ้าเรารีบร้อนและเร่งเร้าจนเกินไปแน่นอนว่าความรักก็จะจืดจางอย่างรวดเร็วและหายไปในที่สุดเหมือนกับต้นไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉาโรยรา”



    “ก็จริงนะครับ..ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลย” 

    ร่างบางยิ้มรับก่อนจะเริ่มลงมือช่วยม๊าแยกกระถางดอกไม้ พวกเขาค่อยๆช่วยกันทำไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็เสร็จจนได้



    “เดี๋ยวแบมแบมไปล้างมือตรงนั้นก็ได้ลูก ทางนี้ม๊าจัดการเอง”



    “ผมช่วยดีกว่าครับ”



    “ไม่เป็นไรลูกเดี๋ยวม๊าเก็บเอง” 

    เมื่ออีกฝ่ายยืนกรานแบมแบมจึงเดินไปล้างมือยังก๊อกน้ำที่อยู่ถัดออกไป



    “แบมแบม” 

    เสียงม๊าดังขึ้นเรียกให้ร่างบางหันกลับไปมอง



    “เหนื่อยมั้ยลูก”



    “ไม่เหนื่อยหรอกครับ..สนุกดี” 

    แบมแบมเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม



    “แล้วเวลาที่เราอยู่กับมาร์ค เราเหนื่อยรึเปล่า” 

    กึก..ร่างบางยืนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะรีบเดินไปหาอีกฝ่ายที่ยังคงนั่งเก็บของเข้าที่โดยไม่ได้หันมาทางเขาแม้แต่น้อย



    “ทำไมม๊าถึงถามอย่างนั้นล่ะครับ” 

    แบมแบมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ



    “งั้นแบมแบมรู้มั้ยว่าม๊าเรียกเรามาคุยเรื่องอะไร” 

    ม๊าค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะเรียกร่างบางให้มานั่งคุยกันที่ม้าหินใกล้ๆแทน



    “ไม่ทราบครับ..” 

    เมื่อนั่งลงแล้วร่างบางก็รีบตอบออกไปทันที



    “ที่ม๊าเรียกเรามาคุยไม่ได้จะดุเราเรื่องที่คบหากับมาร์คหรอกนะ แต่ม๊าอยากรู้ว่าทำไมเราถึงตัดสินใจแบบนี้และถ้าม๊าเดาไม่ผิดเราเองก็คงเคยมีแฟนมาก่อน”



    “ใช่ครับ..ผมเคยมีแฟนมาก่อน”



    “แฟนเป็นผู้ชายหรือว่า..”



    “ผู้หญิงครับ..ผมมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอดจนมาเจอมาร์ค” 

    ร่างบางเอ่ยด้วยเสียงที่หนักแน่น



    “งั้นม๊าถามได้มั้ยว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนใจมาคบผู้ชาย”



    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ จนทุกวันนี้ผมก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงมาคบกับลูกชายม๊า”



    “แต่ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราตัดสินใจแบบนี้จริงมั้ย”



    “นั้นสินะครับ.."

    ร่างบางนิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างออกไป



    "ม๊าครับ..ผมขอถามอะไรม๊าหน่อยได้มั้ยครับ”



    “ได้สิ”



    “ผมอยากรู้ว่าม๊ายอมรับเรื่องนี้ได้รึเปล่าครับ เพราะถ้าม๊ารับไม่ได้จริงๆพวกผมจะพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด ผมไม่อยากเห็นม๊าเสียใจนะครับ” 

    ร่างบางมองไปในดวงตาของอีกฝ่ายพร้อมพูดสิ่งที่คาใจออกไป



    “ม๊าไม่มีปัญหากับเรื่องนี้หรอกจ๊ะ..ม๊าเลี้ยงลูกทุกคนมาให้เขาเติบโตในแบบที่เขาเป็นม๊าดูแลพวกเขาได้แค่ตัวแต่หัวใจเป็นของพวกเขา พวกเขาต้องดูแลกันเองรวมถึงเราด้วยนะแบมแบม ม๊าได้ยินมาว่าเราเป็นลูกคนเดียวใช่มั้ย”



    “ใช่ครับ..ม๊ารู้ได้ยังไง”



    “คิดว่าคนอย่างป๋าจะปิดอะไรม๊าได้ เรื่องของพวกเราม๊าก็รู้มาตั้งนานแล้วเพียงแค่จะรอดูว่าเจ้าลูกชายจะทำยังไงเท่านั้นเอง”



    “จริงหรอครับ..ผมต้องขอโทษม๊าด้วยนะครับที่ไม่ได้บอกตั้งแต่แรก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษผมที่ไม่อยากให้มาร์คบอกเพราะกลัวม๊าจะรับไม่ได้” 

    ร่างบางก้มหน้าสำนึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อม๊าเอื้อมมือมาบีบไหล่เขาเบาๆ



    “ไม่เป็นไรหรอกลูก เป็นม๊าก็คงกลัวเหมือนกัน” 

    ม๊าเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากที่สุดตั้งแต่ร่างบางมาถึงที่นี่



    “ขอบคุณม๊ามากนะครับ..ฮรึก” 

    อยู่ๆแบมแบมก็ปล่อยโฮออกมาจนม๊าเองก็ตกใจไปด้วย



    “ร้องทำไมลูก” 

    ม๊ารีบดึงร่างบางมากอดปลอบ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยนยิ่งทำให้ร่างบางร้องออกมามากกว่าเดิม แบมแบมจึงสวมกอดแม่มาร์คกลับไป



    “ชู่..โตแล้วไม่ร้องสิ จะร้องทำไมม๊าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”



    “ฮรึก..ผม ผมแค่โล่งอกที่ม๊ารับได้ ฮือ..ผมก็แค่รู้สึกดีมากๆ”



    “โถ่..เครียดมากเลยสิเรา ไหนดูสิว่าตาบวมรึเปล่า” 

    ม๊าดันร่างบางออกห่างจากตัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยหยอกขำๆ



    “ตายแล้วแบมแบม..หน้าบวมหมดเลยลูก แบบนี้บวมไปอีกหลายวันแน่ๆ”



    “จริงเหรอครับ !!!” 

    ร่างบางรีบปาดน้ำตาออกพร้อมกับจับไปทั่วใบหน้าตนเอง



    “บวมมากเหรอครับม๊า”



    “ใช่ลูก..บวมฉึ่งเลย” 

    ม๊าเอ่ยขำๆ ที่จริงเธอก็แค่อยากให้ร่างบางเลิกร้องไห้เท่านั้นเอง



    “ทำไงดีครับม๊า เอาน้ำแข็งประคบจะหายมั้ย”



    “แบมแบม” 

    และขณะที่แบมแบมกำลังวุ่นวายอยู่กับใบหน้าของตน ม๊าก็เรียกชื่อเขาขึ้นมาทำให้ร่างบางเงยหน้าไปมองอีกฝ่ายทันที



    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ต้วนแฟมิลี่ จากนี้ไปเราเป็นลูกชายอีกคนของม๊าแล้วนะ” 

    สิ่งที่ม๊าพูดออกมาเรียกให้น้ำตาที่พึ่งแห้งไปกลับมาเอ่ออีกครั้ง ร่างบางพยักหน้ารับทั้งน้ำตาเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะรู้สึกผูกพันกับคนอื่นได้มากเท่าแม่ของเขาและมาร์ค ทำไมมาม๊าต้วนถึงทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้มากมายขนาดนี้



    “ขอบคุณครับม๊า” 

    แบมแบมเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างขณะที่น้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่หยุด



    “ถ้าเป็นลูกชายม๊าก็ต้องเลิกร้องไห้”



    “ครับ..ไม่ร้องแล้วครับ” 

    ร่างบางรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มก่อนจะส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย



    “ดีมาก..ไหนเมื่อกี้เราคุยถึงไหนแล้วนะ”



    “ถึงม๊าบอกว่าผมเป็นลูกคนเดียว”



    “อ๋อ..ใช่ แล้วนี่ครอบครัวเรารู้เรื่องแล้วใช่มั้ย”



    “ใช่ครับ..”



    “แล้วเขาว่าอะไรรึเปล่า”



    “ไม่ครับ..แม่ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้แถมยังอวยพรให้ผมกับมาร์คด้วย”



    “ดีแล้วลูก..แต่ที่ม๊าจะบอกคือการที่เราตัดสินใจแบบนี้อาจจะมีปัญหาตามมาเรารู้ใช่มั้ย”



    “ทราบครับ..ถึงครอบครับจะรับได้แต่สังคมก็ยังไม่เปิดกว้างพอสำหรับเรื่องแบบนี้” 

    แบมแบมเอ่ยออกไปตามที่คิด ม๊าจึงพยักหน้ารับเพราะสิ่งที่เธอเห็นที่ซุปเปอร์มาเก็ตทำให้อดเป็นห่วงทั้งสองคนไม่ได้



    “ใช่..เพราะฉะนั้นม๊าถึงอยากให้พวกเราวางตัวอยู่ในความพอดี ม๊ารู้ว่าเราไม่ต้องใส่ใจสิ่งที่คนอื่นพูดหรือคิดก็ได้แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ”



    “ม๊าไม่ต้องห่วงหรอกครับ..พวกผมรับมือได้” 

    เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้ทั้งสองคนหันไปมอง และเป็นมาร์คที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังร่างบาง



    “ม๊ารู้...แต่คนเป็นแม่ก็ต้องคิดเป็นธรรมดา” 

    ม๊าเงยหน้าไปพูดกับลุกชาย มาร์คจึงเดินอ้อมไปสวมกอดแม่จากทางด้านหลัง



    “ผมรู้ครับว่าม๊าห่วงพวกเรากลัวจะโดนคนอื่นมองไม่ดี ผมเองก็เคยกลัวก่อนจะคิดได้ว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างคนที่รักเรากับคนที่แทบจะไม่รู้จักเราเลย เพราะงั้นม๊าสบายใจได้เรื่องแค่นี้ผมเอาอยู่ ขอแค่ม๊ารับได้และรักแบมแบมเหมือนที่ผมรักแค่นี้ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว” 

    คำพูดที่หนักแน่นและแฝงไปด้วยความอ่อนโยนทำให้ร่างบางมองไปยังคนรักด้วยสายตาไหววูบ มาร์คเองก็มองกลับมาเช่นกัน



    “โอเค..ถ้าเราพูดถึงขนาดนี้ม๊าก็จะเชื่อ แต่ถ้ามีเรื่องอะไรต้องรีบบอกม๊าห้ามเก็บไว้อีก เข้าใจมั้ย”



    “รับทราบครับ..ผมรักม๊านะครับ” 

    มาร์คก้มลงไปหอมแก้มม๊าฟอดใหญ่ ขณะที่ร่างบางนั่งมองสองแม่ลูกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



    “นั่งยิ้มอะไร..ลุกมานี่" 

    มาร์คกวักมือเรียกร่างบางให้มาหาตน และเมื่อแบมแบมเดินไปใกล้ร่างหนาก็คว้ามือร่างบางก่อนดึงเข้ามาหาตัว



    "จะทำอะไร" 

    แบมแบมหันไปกระซิบถาม



    "ก็แนะนำมึงให้ม๊ารู้จักอย่างเป็นทางการไง" 

    ร่างหนาหันมาตอบก่อนจะหันหน้าไปหาม๊าพร้อมกับร่างบาง


    "ม๊าครับ..นี่แบมแบมแฟนผม ผมขอโทษที่บอกช้าแต่ผมอยากให้ม๊ารู้ว่าผมรักเขาจริงๆ"

    มาร์คเอ่ยเสียงดังฟังชัด ทำให้ร่างบางหันไปมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงระเรือขณะที่ม๊านั่งอมยิ้มมองมายังพวกเขา



    "เอ้า..ยืนนิ่งทำไม ฝากเนื้อฝากตัวกับม๊าดิ"

    ร่างหนาสะกิดคนข้างตัวทำให้แบมแบมรีบหันไปหาม๊าหน้าตื่น



    "ผะ..ผม แบมแบม กันต์พิมุก ภูวกุล เป็นแฟนมาร์คครับ ฝากตัวด้วยนะครับ"

    แบมแบมเอ่ยขึ้นเรียกเสียงหัวเราะจากม๊าได้ในทันที



    "จร้าๆ..คงเพราะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้สินะถึงคบกันได้"

    ม๊าเอ่ยขำๆก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้าไปสวมกอดลูกชายทั้งสองคนเอาไว้



    "รักกันในแบบที่เราเป็นนะลูก ความรักเป็นสิ่งสวยงามเพราะฉะนั้นรักษามันเอาไว้ให้ดีๆ"



    "ครับม๊า..พวกผมจะทำให้ดีที่สุด"

    มาร์คและแบมแบมสวมกอดม๊ากลับไป ก่อนที่ม๊าจะผละออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่สินะความรักของพ่อแม่ที่ไม่หวังอะไรตอบแทน ร่างบางได้แต่คิดในใจขณะมองไปยังหญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้ให้กำเนิด...




    50%




    หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนได้พูดคุยกับมาม๊าต้วน  มาร์คก็พาร่างบางกลับเข้ามาในตัวบ้านก่อนจะพากันเข้าไปในห้องนอน



    “เฮ้อ..โล่งชิบหาย” 

    ร่างบางทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างทันที



    “ทีนี้ก็เลิกฟุ้งซ่านได้สักทีนะมึง” 

    มาร์คที่ตามลงไปนอนข้างๆหันไปพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม



    “เออ..รู้งี้กูให้มึงบอกม๊าตั้งนานแล้วไม่ปล่อยไว้นานขนาดนี้หรอก”



    “ว่าแต่ม๊าเขาพูดอะไรกับมึงบ้าง”



    “ก็ไม่มีอะไรนะ เขาแค่ถามว่าทำไมกูถึงเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชาย”



    “แล้วมึงตอบไปว่าไง” 

    ร่างหนาเปลี่ยนมานอนตะแคงโดยหันหน้าไปทางร่างบางพร้อมกับยกมือขึ้นมาเท้าหัวเอาไว้



    “ไม่ได้ตอบ”



    “แล้วทำไมไม่ตอบ” 

    มาร์คขมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ



    “ก็กูไม่รู้จะตอบว่าไงนิ จะให้กูบอกว่าเพราะผมได้กับลูกม๊าแล้วผมเลยลองคบดูเล่นๆงี้เหรอ”



    “นี่มึงพูดจริงพูดเล่นเนี่ย”



    “จริง”



    “เอาดีๆ”



    “กูก็เอาดีตลอดนะ”



    “สัส..อย่ากวนดิ”



    “ฮ่าๆๆ..นี่มึงยังกล้าคิดอีกเหรอว่าที่กูคบกับมึงกูคบเล่นๆ”



    “ก็ไม่ได้คิดหรอก จนมึงพูดเนี่ย”



    “มึงก็รู้ว่าคนอย่างกูตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ชอบบอกชอบ เกลียดบอกเกลียด”



    “แล้วถ้ารักจะบอกว่ารักด้วยรึเปล่า” 

    มาร์คยักคิ้วกวนๆส่งไปให้ร่างบาง ทำให้แบมแบมเด้งตัวขึ้นนั่งก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย



    “ไม่รู้โว้ย..” 

    แบมแบมตะโกนใส่หน้ามาร์คก่อนจะรีบลงจากเตียงและวิ่งเข้าห้องน้ำไป



    “ไอ้เด็กปากแข็งเอ้ย” 

    ร่างหนามองตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับส่ายหัวไปมาขำๆ



    “ถ้าจะอาบน้ำก็อาบเลยนะ เดี๋ยวพาไปบ้านไอธาน” 

    มาร์คที่เดินไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำพูดขึ้น



    “โอเค” 

    เสียงตอบรับดังมาจากด้านใน



    “แล้วต้องการคนถูหลังมั้ย กูว่างอยู่นะ”



    “ไม่ต้อง..ไปไกลๆเลย” 

    แบมแบมตะโกนออกมาอีกครั้ง



    “แต่กูถูสะอาดมากเลยนะ ไม่สนจริงอ่ะ”



    “ก็บอกว่าไม่เอาไง” 

    ร่างบางเปิดประตูออกมาเพื่อจะไล่อีกฝ่าย จุ๊บ..มาร์คได้ทียื่นหน้าเข้าไปขโมยจูบจากริมฝีปากอิ่มก่อนจะผละออกมาพร้อมรอยยิ้มโชว์เขี้ยว



    “โอเค..ไปอาบได้” 

    พูดจบก็เดินถอยออกมาจากหน้าห้องน้ำก่อนจะเดินไปหยิบของตรงหัวเตียงแล้วออกจากห้องไปโดยปล่อยให้ร่างบางยืนมองตามด้วยใบหน้าร้อนผ่าว



    “แม่งเอ้ย..” 

    ร่างบางสบถเบาๆก่อนจะหายกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง เขาใช้เวลาไม่นานก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แบมแบมเดินไปส่องกระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อยอีกเล็กน้อยก่อนเดินออกไปหามาร์คที่รออยู่บริเวณห้องนั่งเล่น



    “เสร็จแล้วไปเลยมั้ย”



    “กูเปลี่ยนใจไม่ไปบ้านไอธานแล้ว”



    “อ้าว..ทำไมอ่ะ”



    “ขี้เกียจ”



    “ห๊ะ !!! ขี้เกียจเนี่ยนะ“ 

    ร่างหนาอุทานออกมาทันที



    “เออ..วันนี้นอนเล่นอยู่บ้านและกัน กูโทรไปบอกพวกมันแล้วว่าจะไม่ไป”



    “กูก็อุตส่าห์อาบน้ำแต่งตัว” 

    แบมแบมทำหน้าเซ็งๆก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆมาร์ค



    “นี่มึงใส่น้ำหอมด้วยเหรอ” 

    เสียงทุ้มเอ่ยแซวเมื่อกลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก



    “ก็นิดนึง..ทำไมฉุนเหรอ” 

    มือเรียวรีบจับเสื้อขึ้นมาดมทันที



    “ไม่ฉุนแต่งกูไม่ชอบกลิ่นนี้ แล้วขวดที่กูซื้อให้ไปไหนอ่ะ”



    “ไม่ได้เอามา..แต่ถึงมึงไม่ชอบกลิ่นนี้แล้วไง ก็กูชอบอ่ะหอมจะตาย” 

    ร่างบางยื่นหน้ายื่นตาเถียงตามนิสัย ทำให้โดนมาร์คดึงเข้าหาตัวก่อนจมูกโด่งจะกดลงไปดมไหล่บางแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา



    “แต่คนดมคือกูไม่ใช่มึง” 

    เสียงทุ้มดังข้างหูพร้อมลมร้อนทำให้ร่างบางถึงกับหดคอหนี



    “ทีนี้เข้าใจแล้วนะ ปะ..ไปข้างนอกกัน” 

    ร่างหนาผละออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง



    “อ้าว..ไหนว่าจะอยู่บ้านไง แล้วจะออกไปไหนอ่ะ”



    “ไปหาไรกินดิ วันนี้เขาไปงานเลี้ยงกันไม่มีใครอยู่ ถ้าไม่ออกไปหาจะเอาไรแดกล่ะ”



    “ไปทุกคนเลย ??



    “เออสิ..งานแต่งญาติกูเอง แต่กูขี้เกียจไปหรือมึงอยากไปเปิดตัว”



    “หึ..ไม่เอาด้วยหรอก” 

    แบมแบมส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธทันที



    “ก็นั้นไง..งั้นลุกขึ้นเร็ว จะได้รีบไปรีบกลับ” 

    มาร์คยืนมือไปดึงร่างบางให้ลุกขึ้นก่อนจะพากันไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน



    “จะไปกันแล้วเหรอลูก” 

    เป็นเสียงม๊าที่ทักขึ้นก่อนที่พวกเขาจะเดินออกประตูบ้านไป



    “พวกผมจะออกไปหาไรกินน่ะครับ เดี๋ยวกลับมาเฝ้าบ้านให้”



    “อ้าว..แล้วเราไม่ไปบ้านนาธานแล้วเหรอ”



    “ไม่ไปแล้วครับ..ผมอยากอยู่บ้านมากกว่า แล้วนี่ม๊าจะไปงานกี่โมง”



    “ม๊าว่าอีกสักพักก็จะไปแล้วล่ะ”



    “งั้นเดี๋ยวผมรีบไปรีบกลับ  พวกผมไปนะม๊า”



    “โอเคลูก ขับรถดีๆนะมาร์ค” 

    ม๊าเอ่ยกำชับร่างหนาจึงพยักหน้ารับและดันตัวร่างบางให้ออกประตูไป ทั้งสองคนพากันเดินไปขึ้นรถก่อนที่มาร์คจะขับออกไป



    “อยากกินอะไรมั้ย” 

    จังหวะติดไฟแดงมาร์คก็หันไปถามร่างบางที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายวิวข้างทางไม่หยุดตั้งแต่ออกจากบ้านมา



    มึงเป็นเจ้าบ้านก็เสนอมาสิว่าที่นี่อะไรอร่อยบ้าง” 

    แบมแบมลดกล้องลงพร้อมกับถามกลับไป



    “กูนี่ไง  อร่อยเด็ดเสร็จทุกท่า”



    “สัส..สโลแกนเลวมาก” 

    ร่างบางส่ายหน้าไปมาขำๆ



    “หรือไม่จริง..มึงก็กินออกบ่อยทำมาเป็น”



    “พอๆ..กูอยากกินพาสต้าอ่ะ มีร้านไหนอร่อยๆบ้าง” 

    แบมแบมเปลี่ยนมาพูดถึงอาหารก่อนจะเลยเถิดไปกันใหญ่



    “มีอยู่ร้านนึงเด็ดมาก”



    “พาสต้า”



    “เปล่า..พนักงานเสริฟอ่ะเด็ดมาก” 

    มาร์คเอ่ยขำๆ



    “เอาสิ..กูก็อยากลองแดกพนักงานเสริฟเหมือนกัน แดกทั้งผ้ากันเปื้อนก็ไม่เลว”



    “ไม่ห้ามกูแล้วยังจะแดกด้วยอีกนะ”



    “ทำไมต้องห้าม..โตๆกันแล้ว อีกอย่างมึงไม่แดกหอยกูจำได้” 

    ปากอิ่มยกยิ้มร้ายทำให้โดนมาร์คขยี้หัวจนยุ่งเหยิงไปหมด



    “รู้ดีนักนะ..สรุปจะแดกพาสต้า”



    “อืม..”



    “โอเค..เดี๋ยวพาไปซื้อ แล้วเอาของหวานด้วยมั้ย”



    “เอาพุ..”



    “พุดดิ้งอีกล่ะสิ..ไม่คิดจะแดกอย่างอื่นเลยใช่มั้ย” 

    ร่างหนาพูดแทรกขึ้นมา



    “รู้แล้วจะถามทำซากอะไร”



    “ก็ถามไปงั้นๆแหละ เอ่อ..แล้วของฝากเพื่อนมึงอ่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปซื้อนะ ถามพวกมันเอาแล้วกันว่าอยากได้อะไร”



    “โอเค..เดี๋ยวคืนนี้ค่อยถาม” 

    ทั้งสองคนนั่งคุยกันไปแหย่กันไปจนถึงร้านที่มาร์คบอก พวกเขาจึงเดินเข้าไปสั่งอาหารและนั่งรอ ใช้เวลาไม่นานอาหารที่สั่งไปก็เสร็จเรียบร้อย



    “ปะ..กลับบ้านกัน” 

    เมื่อได้รับของมาร์คก็เดินนำไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าร้าน



    “อ้าว..ไหนมึงบอกว่าจะพากูไปซื้อพุดดิ้งไง” 

    ร่างบางรีบแย้งขึ้นมาแทบจะทันที



    “เหรอ..กูพูดเหรอ จำไม่เห็นได้เลย”



    “อย่ากวน..ก็มึงบอกเองว่าร้านเพื่อนมึง”



    “เรื่องกินนี่จำแม่นเหลือเกินนะ” 

    เสียงทุ้มเอ่ยแซวขำๆ



    “ก็มึงพูดจริงๆอ่ะ”



    “เออๆ รู้แล้ว..ไปขึ้นรถสิ หรือไม่ไปแล้ว”



    “ไปดิ..” 

    ร่างบางรีบวิ่งไปขึ้นรถตามที่มาร์คบอกก่อนจะพากันไปยังร้านของหวานซึ่งมีเพื่อนของมาร์คเป็นเจ้าของ



    “ยินดีต้อนรับค่ะ” 

    เมื่อพวกเขาเปิดเข้าไปในร้านก็มีเสียงต้อนรับดังขึ้นทันที



    “ไง..เมแกน”



    “มาร์ค..นั้นยูเหรอ” 

    หญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์รีบวิ่งออกมาหาพวกเขาทันที



    “ใช่ฉันเอง...” 

    มาร์คตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกอดทักทายหญิงสาว



    “ก็ยูเล่นหายหน้าหายตาไปเลยนิ มาๆนั่งก่อน” 

    เมแกนเดินนำพวกเขาไปนั่งด้านใน



    “เป็นไงมาไงถึงโผล่มาร้านฉันได้” 

    หญิงสาวถามไถ่เพื่อนทันทีที่พวกเขานั่งลงแล้ว



    “พอดีแฟนอยากกินพุดดิ้งเลยต้องพามาร้านดังประจำย่านนี้ซะหน่อย” 

    มาร์คเอ่ยตอบขำๆ



    “ดีมาก..แล้วไหนแฟนยู”



    “ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไง” 

    ร่างหนาพยักเพยินหน้าไปทางร่างบางที่กำลังมองเขากับหญิงสาวสลับกันไปมา



    “อาร์ ยู ซีเรียส !!!”



    “เยส..นี่แบมแบมแฟนฉันเอง”



    “สวัสดีครับ..ผมชื่อแบมแบมนะครับ” 

    ร่างบางหันไปยิ้มให้หญิงสาวเธอจึงยิ้มรับและหันไปสนใจร่างบางทันที



    “สวัสดีจ๊ะ...ตายจริง พี่ต้องขอโทษด้วยนะที่เมื่อกี้เสียมารยาทไปหน่อย พี่ชื่อเมแกนนะเป็นเพื่อนมาร์ค”



    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”



    “เช่นกันนะจ๊ะ ว่าแต่ทำไมถึงหลงผิดมาคบกับมันได้ล่ะ” 

    เมแกนเอ่ยแซวเพื่อนขำๆ



    “อ้าว..นี่ฉันเพื่อนแกนะ” 

    มาร์คขัดขึ้นไม่จริงจังนัก



    “ขำๆน่า..แล้วนี่ยูแวะไปหาแมททิวมารึยัง” 

    เมแกนถามขึ้นทำให้ร่างบางขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะมีชื่อคนเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว



    “ไม่ต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้นก็ได้” 

    มาร์คเห็นร่างบางทำหน้าสงสัยเลยแกล้งแหย่อีกฝ่าย



    “แมททิวเป็นพี่ชายพี่เอง เขาเปิดร้านขายเครื่องประดับอยู่ถัดไปสองล็อคน่ะ เมื่อก่อนเขาชอบพาพวกพี่ไปแฮงเอาท์บ่อยๆ” 

    เป็นเมแกนที่ช่วยขยายความจนร่างบางเข้าใจมากขึ้น



    “อ๋อ..ครับ” 

    แบมแบมพยักหน้ารับ



    “พูดแล้วก็ไปหาสักหน่อย เดี๋ยวเฮียจะหาว่ามาแล้วไม่แวะไปทักทาย  ยังไงฉันฝากแบมแบมด้วยนะ” 

    มาร์คพูดกับเพื่อนก่อนจะลุกขึ้นยืน



    “ไปด้วยดิ” 

    ร่างบางเงยหน้าไปมองอีกฝ่าย



    “ไม่ต้องหรอกกูไปแปปเดียว  มึงก็สั่งขนมไปก่อนกูกลับมาจะได้กลับเลยเดี๋ยวไม่มีคนอยู่บ้าน”



    “อืม” 

    แบมแบมขานรับในลำคอ ก่อนจะมองตามมาร์คที่เดินออกจากร้านไป และเมื่อมาร์คไม่อยู่เมแกนก็เริ่มชวนร่างบางคุยและจัดขนมที่ร่างบางต้องการมาให้ ผ่านไปไม่นานมาร์คก็กลับมาที่ร้าน



    “ปะ..ได้ขนมเรียบร้อยรึยัง” 

    มาร์คเดินเข้าไปหาร่างบางที่นั่งรออยู่ในร้าน



    “ได้แล้ว”



    “โอเคงั้นไปกัน..เมแกนค่าขนมเท่าไหร่” 

    ร่างหนาหันไปถามเพื่อที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก



    “ไม่เป็นไร..ถือว่าฉันเลี้ยงต้อนรับแบมแบมก็แล้วกัน” 

    เมแกนตอบพร้อมรอยยิ้ม



    “แต่..”

    ร่างบางทำท่าจะค้านแต่ก็ถูกหญิงสาวเอ่ยขัดซะก่อน



    “ไม่มีแต่...พี่อยากเลี้ยง แล้วอย่าลืมแวะมาอีกนะ”



    “ขอบคุณนะครับ”



    “จ้า..”



    “งั้นพวกฉันไปก่อนนะ แล้วจะแวะมาใหม่”



    “โอเค..ขับรถดีๆนะยู บาย”



    “บาย” 

    มาร์คเอ่ยลาเพื่อนก่อนจะพาร่างบางออกไปขึ้นรถและขับตรงกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านก็เหมือนว่าทุกคนจะออกไปกันแล้วเพราะบ้านปิดไฟมืดมีเพียงไฟหน้าบ้านที่ถูกเปิดทิ้งไว้



    “สงสัยไปกันแล้ว..ปะ เข้าบ้านกันกูหิวแล้ว”

    มาร์คพูดขณะเปิดประตูลงจากรถ แบมแบมจึงตามลงไปทั้งคู่ช่วยกันหิ้วของที่ซื้อมาเข้าบ้านก่อนจะไปช่วยกันจัดใส่จานและมานั่งกินบริเวณริมสระว่ายน้ำ



    “อร่อยมั้ย..”

    มาร์คถามร่างบางที่กำลังตักพาสต้าเข้าปาก



    “อืม..อร่อยดี มึงลองชิมดิ” 

    มือเรียวตักพาสต้ายืนไปให้อีกฝ่ายมาร์คก็งับเข้าไปอย่างไม่รีรอ



    “เออ..อร่อยดีวะ ไม่ได้กินนานแล้ว” 

    พวกเขานั่งกินกันไปคุยกันไปเหมือนทุกครั้งพอจัดการอาหารที่ซื้อมาจนอิ่มแปล้ มาร์คก็เดินหายเข้าไปในตัวบ้านก่อนจะกลับออกมาพร้อมขวดใส่น้ำสีอำพันในมือ



    “จิบสักหน่อยมั้ย” 

    มือหนาส่ายขวดในมือไปมา



    “เอาดิ” 

    ร่างบางพยักหน้ารับ พวกเขาเลยย้ายไปนั่งหย่อยขาบริเวณขอบสระแทน



    “แดกเบาๆหน่อยนะ เพราะถ้ามึงเมาเหมือนเมื่อวานคงรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”



    “ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าอยากให้กูเมาเหรอ”



    “หึ..รู้ใจสมกับเป็นเมียกูจริงๆ” 

    มาร์คเอ่ยขำๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดเพลงและกลับมานั่งข้างๆร่างบางเหมือนเดิม



    “มาร์ค...จะว่าไปมึงอยู่ที่นี่ก็สะดวกสบายดี ทำไมถึงย้ายไปเรียนที่โน่นวะ” 

    อยู่ๆร่างบางก็ถามขึ้นมาเรียกให้ร่างหนาหันไปมองทันที



    “ก็กูติดหญิงไง” 

    มาร์คตอบออกไปตามตรงซึ่งร่างบางก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ



    “พี่แอชลี่เหรอ”



    “อืม...ตอนนั้นแอชมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนกู พอหมดเทอมเขาต้องย้ายกลับกูเลยย้ายตามไปด้วย” 

    มาร์คเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆไม่ได้จริงจังนัก พร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่ม



    “แล้วที่บ้านมึงเขาไม่ว่าอะไรเลยเหรอ”



    “ก็ไม่นะ..”



    “มึงคงรักเขามากเลยเนอะ ถึงกล้าย้ายไปอยู่ที่โน่นคนเดียว”



    “ตอนนั้นอ่ะใช่...แต่กูก็ต้องขอบใจแอชนะเพราะถ้ากูไม่ย้ายตามเขาไปกูก็คงไม่ได้เจอกับมึง” 

    ร่างหนาหันมาพูดกับร่างบางที่กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน



    “ก็จริง..เอาตรงๆถ้าตอนนี้กูไม่ได้คบอยู่กับมึง กูก็อาจจะใช้ชีวิตเสเพลมั่วไปทั่วไม่ก็เป็นโรคตายห่าไปแล้ว”



    “รู้ตัวเหมือนกันนิ” 

    มาร์คยกยิ้มนิดๆ



    “กูก็รู้ตัวตลอดนั้นแหละ แต่บ้างอย่างมันห้ามกันไม่ได้"



    “อย่างเช่นอะไรที่ห้ามไม่ได้”



    “ก็การมีแฟนเป็นตัวผู้เหมือนกันนี่ไง..ใครเขาจะคิดว่าเพลย์บอยตัวพ่ออย่างกูจะทำอะไรแบบนี้”



    “เรื่องนี้กูก็ห้ามไม่ได้เหมือนกัน  ทำไงได้ก็รักไปแล้วนิ” 

    มาร์คพูดออกมาพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้วก่อนจะยื่นหน้าไปหาร่างบางและค่อยๆประคองใบหน้าหวานให้เข้ามาใกล้ ร่างหนาประกบริมฝีปากลงไปขณะที่แบมแบมเปิดปากรับน้ำรสขมจากอีกฝ่ายอย่างรู้งาน



    “อื้ม..” 

    ร่างบางรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ไหลเข้ามาในปากพร้อมกับเหล้า จึงเบิกตากว้างและดันมาร์คออกไปก่อนจะหยิบสิ่งนั้นออกมาดู



    “นี่มัน..” 

    แบมแบมมองไปที่มาร์คด้วยหัวใจพองโต เพราะสิ่งที่เขาถืออยู่ตอนนี้คือแหวนเงินที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร มันเป็นแหวนเงินเรียบๆที่มีตัวอักษรอะไรบางอย่างสลักไว้ด้านใน



    “ก็กูสัญญาไว้แล้วว่าจะหาของจริงมาแทนแหวนพลาสติก"

    มาร์คพูดพร้อมรอยยิ้มโชว์เขี้ยว



    “มาร์ค..คือกู” 

    แบมแบมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายไม่เต็มเสียงนักเพราะเขาไม่รู้ว่าควรพูดยังไงในตอนนี้ จะมีก็เพียงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามจนดังก้องไปทั่ว



    “มา..เดี๋ยวกูใส่ให้” 

    มาร์คเอื้อมไปหยิบแหวนมาถือไว้พร้อมกับจับมือร่างบางขึ้นมา



    “เดี๋ยว..กูเห็นข้างในสลักอะไรไว้ด้วย มันเขียนว่าไง” 

    แบมแบมเอ่ยขึ้นก่อนที่มาร์คจะสวมมันให้เขา



    You are mine , I am your…” 

    มาร์คตอบ



    “เน่าวะ” 

    ร่างบางเอ่ยขำๆ อันที่จริงเขาก็แค่พูดแก้เขินไปอย่างนั้นเอง



    “เน่าแล้วชอบมั้ย”



    “กะ..ก็ชอบ” 

    แบมแบมเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง เพราะเขามั่นใจว่าตอนนี้ทั้งหน้าทั้งหูของเขาต้องแดงมากแน่ๆ



    “ถ้าชอบก็หันมาหน่อย กูจะสวมให้” 

    สิ้นเสียงทุ้มร่างบางก็ยอมหันไปเผชิญหน้ากับมาร์ค มือหนาประคองมือเขาเอาไว้ก่อนจะค่อยๆสวมแหวนเข้าไป แบมแบมมองทุกอิริยาบถอย่างตั้งใจก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกมา



    “กูรักมึงนะมาร์ค ขอบคุณที่คอยเตือนคอยสอน กูในหลายๆเรื่อง กูรู้ว่ากูชอบดื้อกับมึง แต่มึงรู้มั้ยว่าสำหรับกูมึงไม่ได้เป็นแค่คนรักหรอกนะ มึงยังเป็นพี่ชายที่คอยดุด่าและตามใจกู แถมยังเป็นเพื่อนที่กูปรึกษาได้ทุกเรื่อง เพราะอย่างงี้มึงถึงพิเศษกว่าใคร และที่กูไม่บอกรักมึงบ่อยๆไม่ใช่ว่ากูไม่รักมึง แต่กูอายเวลาพูดอะไรแบบนี้เพราะงั้นห้ามงอนกูเวลากูไม่ยอมพูด  และสุดท้าย ขอบคุณที่มึงรักกูนะ” 

    ร่างบางพูดความในใจออกไปจนหมดทำให้มาร์คอดที่จะยื่นหน้าเข้าไปจูบปากอิ่มตรงหน้าไม่ได้ ร่างหนากดจูบค้างเอาไว้แบบนั้นโดยไม่ได้ลุกล้ำใดๆก่อนผละออกมาและใช้หน้าผากชนกับหน้าผากของร่างบางเอาไว้



    “เรามาพนันกันมั้ยแบมแบม” 

    เสียงทุ้มพูดออกมาขณะที่ยังเอาหน้าผากชนกันอยู่



    “พนันอะไร”



    “ก็พนันกันว่า ถ้าใครบอกเลิกก่อนคนนั้นแพ้ไง” 

    แบมแบมจ้องเข้าไปในตาคมตรงหน้าทันทีที่ได้ยิน



    “แล้วรางวัลคืออะไร”



    “ทุกอย่างในชีวิตกู”



    “น่าสนนิ..แล้วถ้าแพ้ล่ะ”



    “ไม่มี...เพราะกูมั่นใจว่ากูไม่มีวันแพ้แน่นอน”



    “งั้นตกลง...เรามาพนันกัน” 

    แบมแบมเอาพร้อมรอยยิ้ม



    “ดีล”



    “ดีล”  

    ทั้งคู่ผละออกมามองกันเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มกว้างและประกบริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้งอย่างอ่อนโยน ใครจะคิดว่าเสือผู้หญิงกับเจ้าชายน้ำแข็งจะลงเอยกันได้ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมาและก็ผ่านพ้นไป มีทั้งเรื่องสุข เศร้า เคล้าน้ำตาปะปนกัน ต่อจากนี้จะเป็นยังไงคงไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้แต่ที่รู้ๆตอนนี้พวกเขามีกันและกันก็เพียงพอแล้ว...


    ความรักคือสิ่งสวยงามที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานที่และทุกเวลา โดยที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมาในรูปแบบไหนและเมื่อคุณพบกับมันแล้วก็จงรักษามันเอาไว้ให้ดีๆให้สมกับการได้พบเจอกับสิ่งนี้... Love is Love ???

     




    +++  THE END  +++

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×