ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Xeroth's Storage

    ลำดับตอนที่ #29 : Academy Crinimor : หลักฐานศึกษา 1 ปี 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18
      0
      30 ก.ค. 57

    ACADEMY CRIMINAL

    สถาบันนัก(ฆ่า)ล่าอาชญากร

    วิชาหลักฐานศึกษา


    Adam’s talk : ขอต้อนรับสู่คลาสวิชาหลักฐานศึกษา คลาสแห่งการไขคดี ผม อดัม จะมาทำหน้าที่เป็นโปรเฟสเซอร์ในคลาสวันนี้

    การให้คะแนนวิชาหลักฐานศึกษา
    Roll Play 10 คะแนน
    - การบ้าน 50 คะแนน
    - สอบปลายภาค 40 คะแนน
    รวม 100 คะแนน

                งานของผมไม่มีอะไรมาก ไม่ยาก ไม่ง่าย ใช้ความรู้และสมองเพียงเล็กน้อยก็ส่งงานผมได้แล้วล่ะ

    Xeir : เซียร์จ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความสนใจ

    ก่อนที่เราจะเริ่มคลาส ผมอยากให้คุณช่วยแนะนำตัวสักหน่อยว่าชื่ออะไรมาจาก
    โดมไหน และชอบอะไรไม่ชอบอะไร

    Xeir : "จุติชาติ ไตรภพ หรือเรียกว่าเซียร์ก็ได้ค่ะ... มาจากโทปาซ ชอบ... อื่ม... ไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษนะ แต่ที่แน่ๆ คือเกลียดกระเทียม ... มากๆ ..."

    และต่อไปนี้คือบทเรียนทั้งหมดในครั้งนี้

    LESSON#6 : ความหมายและประเภทของพยานหลักฐาน

     

    ความหมายและประเภทของพยานหลักฐาน

    1.  ความหมายของพยานหลักฐาน

                คำว่า  “พยานหลักฐาน”  นั้น  ความหมายโดยทั่วไปหมายถึง  “สิ่งที่แสดงถึงข้อเท็จจริงใดข้อเท็จจริงหนึ่ง”  เช่น  นายแดงเห็นนายดำและนายขาวโต้เถียงทะเลาะกัน  สุดท้ายนายดำทำร้ายนายขาว  สิ่งที่นายแดงรู้เห็นยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น สิ่งที่นายแดงเห็นจึงใช้เป็นพยานหลักฐานได้

                แต่ความหมายของพยานหลักฐานโดยทั่วไป  อาจต่างจากพยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมายก็ได้  ศาสตราจารย์โสภณ   รัตนากร  ให้ความหมาย  “พยานหลักฐาน” ในความหมายอย่างกว้างและความหมายอย่างแคบไว้ดังนี้

                1.1  สิ่งที่สามารถให้ข้อเท็จจริงแก่ศาล   ความหมายนี้หมายถึงข้อเท็จจริงทุก ๆ อย่างที่อาจพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อศาลได้

                1.2  พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ  ความหมายนี้หมายถึง  เฉพาะพยานหลักฐานที่คู่ความนำเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีเท่านั้น

                1.3  พยานหลักฐานที่ศาลยอมรับ  ความหมายนี้หมายถึง  เฉพาะพยานหลักฐานที่ศาลยอมรับหรือยอมให้นำสืบได้เท่านั้น

                จะเห็นว่า  “พยานหลักฐาน” ตามความเข้าใจโดยสามัญทั่วไปนั้น อาจไม่ใช่พยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมาย เพราะแม้เป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่หากไม่เป็นพยานหลักฐานในประเด็นหรือที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี   ก็ ไม่เป็นพยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมาย และแม้จะเป็นพยานหลักฐานในประเด็น หรือที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีก็ตาม แต่หากเป็นพยานหลักฐานที่ศาลไม่ยอมรับให้นำสืบเข้ามาในคดี ก็ไม่เป็นพยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมายเช่นกัน

                บทบัญญัติและหลักเกณฑ์ของกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน  จะเป็นสิ่งแยกแยะให้รู้ว่าพยานหลักฐานชนิดใด อย่างไร  จึงจะเป็นพยานหลักฐานตามความหมายของกฎหมาย

     

    2.ประเภทของพยานหลักฐาน

    การแบ่งแยกพยานหลักฐานออกเป็นประเภทต่าง ๆ  นั้นแบ่งได้หลายวิธีตามลักษณะ   ชนิด หรือคุณภาพของพยานหลักฐานนั้น ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะพิจารณาพยานหลักฐานในแง่มุมใด  เท่าที่รวบรวมได้มีการแบ่งประเภทของพยานหลักฐานเป็นดังนี้

    2.1พยานบุคคล  พยานเอกสาร  และพยานวัตถุ

    การแบ่งวิธีนี้มุ่งที่สภาพของพยานหลักฐานและเป็นวิธีแบ่งที่ยอมรับกันทั่วไป  แม้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา  226  ก็บัญญัติถึงพยานทั้งสามชนิดนี้อย่างชัดแจ้ง

    1.  พยานบุคคล   คือ  พยานหลักฐานที่เกิดขึ้นจากคำเบิกความของบุคคลต่อศาล  จะเห็นว่าผู้ที่มาเบิกความเป็นพยานเรียกว่า พยาน (Witness) แต่ตัวบุคคลไม่ใช่พยานหลักฐาน ถ้อยคำหรือข้อเท็จจริงที่บุคคลผู้นั้นเบิกความต่อศาลต่างหากที่เป็นพยานหลัก ฐาน แม้ศาลจะได้บันทึกคำเบิกความไว้ในเอกสารก็ยังคงเรียกว่าเป็น “พยานบุคคล” แต่หากนำเอกสารที่บันทึกถ้อยำพยานนั้นไปใช้ในคดีเรื่องอื่น พยานหลักฐานนั้นก็จะเรียกว่า “พยานเอกสาร

    อาจกล่าวได้ว่าพยานบุคคลเป็นพยานที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในคดีอาญา  และแม้ในคดีแพ่งที่ใช้เอกสารเป็นพยานมากก็ตาม  ก็ต้องอาศัยพยานบุคคลเบิกความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเอกสารนั้น

    2. พยานเอกสาร  คือ ข้อความที่บันทึกไว้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด  และไม่ว่าจะบันทึกในวัสดุใดที่สามารถสื่อ  หรือแสดงความหมายของสิ่งที่บันทึกไว้ให้ศาลเข้าใจได้ ข้อความนั้นจะเป็นตัวอักษร   ตัวเลข  เครื่องหมาย  สัญลักษณ์  จะเกิดขึ้นด้วยการเขียน  พิมพ์ แกะสลัก  และจะทำลงบนกระดาษ   ผ้า  ผนัง  ก้อนหัน  ไม้  โลหะก็ได้ทั้งสิ้น  ขอเพียงแต่เสนอพยานนั้นเพื่อสื่อความหมายที่บันทึกอยู่ในพยานชิ้นนั้น  บางครั้งจึงสับสนระหว่างพยานเอกสารกับพยานวัตถุ  เช่น  นำสืบว่าข้อความที่สลักลงบนก้อนหินมีความหมายอย่างไร   เป็นการนำสืบข้อความในก้อนหินในฐานะเป็นพยานเอกสาร  แต่ถ้านำสืบว่าได้มีการสลักข้อความไว้ที่ก้อนหินหรือไม่ เป็นการนำสืบก้อนหินที่มีข้อความในฐานนะเป็นพยานวัตถุ

    3.  พยานวัตถุ   คือ  สิ่งใด ๆ ที่เสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลตรวจดู  มิใช่การอ่านหรือพิจารณาข้อความในวัสดุนั้น  เช่น  นำสืบมีดที่คนร้ายใช้แทงผู้ตายว่ามีความกว้างยาวเท่าใด  นำสืบบาดแผลบนตัวผู้เสียหายว่าเป็นกรณีเสียโฉมหรือไม่

    3.พยานชั้นหนึ่ง  และพยานชั้นสอง

    การแบ่งวิธีนี้มุ่งที่ความใกล้ชิดของพยานกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  คำว่า  “พยานชั้นหนึ่งและพยานชั้นสอง”  นั้น  ไม่ปรากฏในกฎหมายไทย   การแบ่งแบบนี้มาจากหลักกฎหมายพยานของอังกฤษที่ว่า  “ศาลจะรับฟังแต่เฉพาะพยานหลักฐานที่ดีที่สุดเท่านั้น   (The  best  evidence  rule)”  หากมีพยานหลักฐานใดที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงในคดีได้โดยตรง  ย่อมมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากกว่าพยานอื่น  เช่น  คดีมีประเด็นว่า  “มีการทำสัญญาพิพาทหรือไม่”  ผู้ที่เป็นพยานในสัญญาย่อมยืนยันข้อเท็จจริงได้ดีที่สุดเพราะรู้เห็นการทำสัญญาและได้ลงชื่อเป็นพยานไว้  หากจะนำบุคคลอื่นที่จะลายมือชื่อคู่สัญญาได้มาสืบ  ย่อมมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือน้อยกว่า

                หลักพยานที่ดีที่สุด (Best  Evidence  Rule)  เป็นหลักที่แพร่หลายในประเทศอังกฤษ  เมื่อประมาณ  ค.ศ. 1700  Gillbert  นักกฎหมายอังกฤษอธิบายหลักนี้ว่า  “เป็นหลักของกฎหมายที่ต้องการให้พิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานที่ดีที่สุดในเรื่องนั้น ๆ  หากอยู่ในวิสัยที่จะนำพยานหลักฐานที่ดีที่สุดมาได้แต่มานำมา  ย่อมก่อให้เกิดข้อสงสัยได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่คู่ความฝ่ายนั้นต้องการปกปิดไว้”  ดังนั้นคู่ความจึงต้องเสนอพยานหลักฐานที่ดีที่สุด  หากนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาไม่ได้ก็ต้องนำพยานที่ดีที่สุดในลำดับถัดไปมาเสนอต่อศาล  เช่น  คู่ฉบับเอกสารย่อมเป็นพยานที่ดีกว่าสำเนาเอกสารและสำเนาเอกสารย่อมเป็นพยานที่ดีกว่าพยานบุคคล  (Villers  V. Villers, 1740)  แต่ประมาณปี ค.ศ. 1800  นักกฎหมายว่าหลักนี้ทำให้การพิสูจนข้อเท็จจริงลำบาก  เพราะบางครั้งหาพยานชั้นหนึ่งไม่ได้หรือหาได้ยากมาก  จึงเริ่มยอมรับฟังพยานชั้นสองได้  แต่การไม่ยอมนำพยานชั้นหนึ่งมาสืบจะทำให้ความน่าเชื่อถือของพยานชั้นสองลดลง  หลักกฎหมายพยานข้อนี้ในปัจจุบันไม่ค่อยกล่าวอ้างกันมากนักเนื่องจากมีหลักอื่นที่พัฒนาต่อมามีขอบเขตกว่างกว่า

    1.  พยานชั้นหนึ่ง (Primary Evidence) หมายถึง พยานที่ดีที่สุดที่พึงมีสำหรับข้อเท็จจริงนั้น ๆ   เช่น เป็นคู่สัญญาหรือพยานที่ลงชื่อในสัญญา กรณีพยานเอกสารก็คือต้นฉบับเอกสาร หรือกรณีพยานวัตถุก็คือตัววัตถุพยาน

                2 .พยานชั้นสอง (Second Evidence) หมายถึง พยานอื่นที่มีพยานที่ดีที่สุด เช่นนำสืบสำเนาเอกสารแทนที่จะนำสืบต้นฉบับ หรือนำสืบบุคคลที่จำลายมือชื่อของผู้ที่ลงชื่อในสัญญาแทนที่จะนำสืบพยานที่ เห็นการลงชื่อในสัญญา

                กฎหมายลักษณะพยานของไทยยอมรับหลักเรื่องพยานที่ดีที่สุดเช่นกัน  ดังจะเห็นได้จากการกำหนดให้ต้องอ้างต้นฉบับเอกสาร (ป.ว.พ. มาตรา 93)  พยานบุคคลที่มาเบิกความต้องรู้เห็นเหตุการณ์มาด้วยตนเองโดยตรง (ป.ว.พ.มาตรา 95)

     

    4.ประจักษ์พยาน  และพยานบอกเล่า

                การแบ่งพยานด้วยวิธีนี้  มุ่งที่คุณสมบัติของพยานว่า  ได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่เบิกความต่อศาลมาด้วยวิธีการใด

                1.  ประจักษ์พยาน  หมายถึง  พยานที่ได้รู้เห็นหรือสัมผัสกับเหตุการณ์ที่มาเบิกความด้วยตนเองโดยตรง  ทั้งนี้ไม่ว่าจะรู้เห็นมาด้วยประสาทสัมผัสใด  เช่น  เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง  ได้ยินเสียงด้วยหูของตนเอง  สัมผัสความร้อนเย็นด้วยตนเอง

                2.  พยานบอกเล่า  หมายถึง  พยานที่เบิกความถึงข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการบอกเล่ามาจากบุคคลอื่น  เช่น  เบิกความว่านายแดงเล่าให้ฟังว่าเห็นนายดำแทงนายขาว  อย่างไรก็ตามการเบิกความถึงสิ่งที่ได้รับฟังมาอาจไม่เป็นพยานบอกเล่าเสมอไป หากเบิกความเป็นความจริง  เช่น  พนักงานสอบสวนเบิกความว่า  นายดำรับสารภาพโดยสมัครใจต่อพนักงานสอบสวน  เป็นข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนรับรู้มาด้วยตนเองโดยตรงจึงเป็นประจักษ์พยาน  แต่ข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนเบิกความว่า  นายดำเป็นผู้แทงนายขาวเป็นข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนไม่ได้รู้เห็นเอง  แต่รับฟังมาจากคำบอกเล่าของนายดำจึงเป็นพยานบอกเล่า  เดิมพยานบอกเล่าหมายถึง  พยานบุคคลเท่านั้น  เพราะเป็นผู้รับฟังการบอกเล่ามาจากผู้อื่น  แต่ปัจจุบันหมายความรวมถึงบันทึกถ้อยคำของบุคคลที่ไม่ได้มาเบิกความต่อศาลด้วยตนเองด้วย  คำเบิกความที่พยานบุคคลได้เบิกความและศาลได้บันทึกไว้ในคดีหนึ่ง  หากนำไปอ้างอิงในอีกคดีหนึ่งเป็นการอ้างพยานเอกสารที่เป็นพยานบอกเล่า

    5.พยานโดยตรง และพยานแวดล้อมกรณี

                การแบ่งวิธีนี้มุ่งที่ลักษณะการให้ข้อเท็จจริงของพยานนั้น

    1.       พยานโดยตรง (Direct Evidence) คือ  พยานที่ให้ข้อเท็จจริงซึ่งบ่งชี้หรือยืนยัน

    ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้โดยตรง  เช่น  นายแดงเบิกความว่าอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุและเห็นนายดำแทงนายขาว  ข้อที่นายแดงเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในคดีได้ทันทีว่านายดำแทงนายขาว

    2.       พยานแวดล้อมกรณี (Circumstantial Evidence)  คือ  พยานที่เบิกความข้อเท็จจริง

    ที่ต้องพิจารณาใช้ความเป็นเหตุเป็นผลของเหตุการณ์  จึงอนุมานได้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร  เช่น  นายแดงเบิกความว่าตนยืนอยู่นอกบ้านที่เกิดเหตุได้ยินเสียงต่อสู้กัน  และเห็นนายดำวิ่งออกมาจากบ้านที่เกิดเหตุพร้อมมีดเปื้อนเลือดเล่มหนึ่ง  ข้อที่นายแดงเบิกความไม่ได้ยืนยันในทันทีว่าใคร  แทงนายขาว  แต่จากข้อเท็จจริงอนุมานได้ว่านายดำเป็นผู้แทงนายขาว  พยานแวดล้อมกรณีนี้นักกฎหมายบางท่านเรียกว่า “พยานประพฤติเหตุแวดล้อมกรณี” บางท่านเรียกว่า “พยานเหตุผล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×