ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Xeroth's Storage

    ลำดับตอนที่ #81 : [ AC ] [ Art of Survival 2 ] [ Homework ]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 34
      0
      9 ส.ค. 58

    การบ้าน #3

     


    ชื่อ – นามสกุล : จุติชาติ ไตรภพ

    ชื่อเล่น : เซียร์

    Dormitory : Topaz

    รหัสประจำตัว : ACT13

    ตำแหน่ง : Criminor

    สถานภาพการขาดส่งงาน 1

    การบ้านวิชา : ศิลปะการเอาตัวรอด

    คำสั่ง Criminors ปี 2 ทุกคนถูกจับไปปล่อยในเกาะร้างที่ห่างไกลผู้คน มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทึบและสัตว์ร้ายนานาชนิด แต่ละคนจะมีกระเป๋าคนละหนึ่งใบซึ่งภายในมีขนมปัง เข็มทิศ มีดเดินป่า และเชือก  ให้ Criminors ปี เอาชีวิตรอดออกมาจากเกาะมรณะให้ได้ โดยที่พวกเธอมีระยะเวลาในการบันทึกเรื่องราว 72 ชั่วโมง หรือ 3 วันนั้นเอง 555+

    สถานที่ส่ง : ห้องศจ. เจแปน

    ชื่ออาจารย์ผู้สอน : ศจ. เจแปน

     

    ll ส่วนเนื้อหา ll

     

    ชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น : ความซวยของบุคคลที่ชื่อว่าเซียร์

    อัตราความเสี่ยงในเหตุการณ์ของคุณ : 86%

    เรียบเรียงเหตุการณ์การทำภารกิจในการเอาตัวรอด :

     Day 1

              อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใ--- เอ้ย ไม่ใช่สิ เอาใหม่ แสงแรกของเช้าวันใหม่ปรากฏขึ้นเหนือเมฆหมอกและผืนป่าอันเขียวชอุ่ม เป็นสัญญาณแรกต้อนรับโอกาสใหม่ๆ และเรื่องราวของชีวิตที่จะดำเนินต่อไป หลายๆ คนต้องฝืนตัวเองตื่นตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เห็นแสงแรกนี้เพื่อเร่งรีบไปทำงานทำการของตนให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย และก็ยังมีอีกหลายๆ คนเช่นกันที่ไม่สนฟ้าสนตะวันนอนต่อไปแบบไม่รู้เรื่องราว

              [ ครอก ฟรี้… ]

              และรายนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในนั้น เปลือกตาของหญิงสาวร่างเล็กปิดสนิทปิดบังนัยน์ตาสีแดงเลือดสด ปกป้องเจ้าของมันจากเศษฝุ่นและแสงแดดที่จะเล็ดรอดเข้ามา ร่างกายยับเขยื่อนเล็กน้อยเมื่อแสงแดดผ่านกระทบเปลือกตาทะลุไปถึงม่านตาเหมือนจะจัดท่าทางให้อยู่ท่าที่สบายเหมาะสำหรับนอน

              ป๊อกๆ ป๊อกๆ

              เสียงอะไรบางอย่างกระทบกันดังข้างๆ หูของเธอ รบกวนการนอนของเซียร์ คิ้วสองข้างค่อยๆ ขมวดหากันในขณะที่เปลือกตายังปิดอยู่ มือข้างหนึ่งโบกไปม่าในอากาศด้วยความเคยชินเหมือนจะพยายามปิดเจ้านาฬิกาปลุกน่ารำคาญนี่ หากแต่ไม่เพียงแค่หาไม่เจอเท่านั้น เสียงของมันยังดังขึ้นและถี่ขึ้น สร้างความหงุดหงิดให้กับร่างเล็กเพิ่มขึ้นไปอีก

            ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อ---

              [ หนวกหูโว้ย ! ]

              ฟุบ ปึก! กริ๊ก

            [ หะ กริ๊ก ? ] มือของสาวห้าวสะบัดอย่างแรงจนไปชนอะไรสักอย่างแข็งๆ เข้าแล้วเธอก็รู้สึกถึงว่าตัวเองโยกไปมาในอากาศตามแรงโน้มถ่วง สร้างความฉงนให้คนที่ยังมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจนต้องเบิกตามองตามเสียง

              เบื้องหน้าระยะประชิดคือสายอะไรสักอย่างหลายสายที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าที่เซียร์สะพายไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ มันเป็นสายที่แข็งแรงเอาเรื่อง แข็งแรงพอที่จะแขวนคนๆ หนึ่งไว้ในอากาศอย่างไม่มีปัญหามากนัก เสียงกริ๊กนั่นคงจะมาจากโลหะที่ทำหน้าที่เหมือนตัวล็อกสายรั้งเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่ามือของเธอจะไปปลดสลักนั่นเข้า

            [ เฮ้ย เดี๊ยว สายแบบนี้สายร่มชูชีพ ถ้างั้นก็… ]

              ไม่ทันจะได้คิดอะไร เสียงพรืดจากสายก็ดังขึ้นพร้อมกับปลดตัวมันออกกระเป๋าร่มชูชีพ ส่งมนุษย์ที่สะพายกระเป๋านั่นอยู่ร่วงหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วง เสียงว้ากดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อเซียร์เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง

              [ ชีวิตตรูทำไมซวยเง้~ อุก!! แอก! อัก! เอิ้ก! ]  โผละ!

            เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดปนจุกดังออกมาทุกครั้งเมื่อร่างเล็กกระแทกกับกิ่งไม้ที่ขวางทางตามแนวดิ่งร่วงลงพื้นไปเหมือนกับพินบอล ร้ายสุดคือตอนกระแทกพื้นดันไปกระแทกกับกิ่งไม้ล่างสุดที่สูงจากพื้นดินเกือบสิบเมตรส่งให้หญิงสาวม้วนตัวอยู่ในอากาศสองสามรอบก่อนจะเอาหน้าไปสำรวจชีวิตมดอยู่ในผืนดิน ส่งสติที่เหลืออยู่น้อยนิดให้บินว่อนลอยออกจากร่างไป

    .

    .

    .

              ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง

              สัมผัสเย็นๆ เล็กๆ ที่ต้นคอช่วยปลุกเซียร์ขึ้นมาจากภวังค์ได้เล็กน้อย เธอลืมตาขึ้นอยางเหม่อลอยแต่สิ่งที่พบกลับมืดมิด เธอกะพริบตาถี่ๆ หลายๆ รอบก่อนจะพบว่าตอนนี้หัวเธอขยับไม่ได้ หญิงสาวลอบตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจสภาพของตนเอง

            [ หัวตรูปักดินเรอะ… ]

            เหมือนจะตกมาสูง ตรูรอดได้ไงว่ะ? หลังจากคิดไร้สาระไป เซียร์ก็พยายามดันตัวเองออกจากรูขึ้นมาดิน แต่ดูเหมือนว่าการดึงออกจะยากกว่าที่คิด

            [ ฮึบ! ป๊อก !” โฮ่ยชีวิต ]

            หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็สามารถเอาหัวออกจากพื้นได้พร้อมกับเสียงที่เหมือนดึงจุกค๊อกออกจากขวดไวน์ เซียร์ส่ายหัวไปมาไล่ความมึนที่ยังคงค้างอยู่พร้อมกับปัดเศษดินออก เซียร์มองไปด้านบนก็พบกับเงาแมกไม้ที่บดบังแสงอาทิตย์จนมิด ร่มชูชีพสีขาวลางๆ ที่มีไม่มีเครื่องหมายใดๆ สามารถมองเห็นได้สูงขึ่นไปจากพื้นดิน เธอเดาว่านั่นคงเป็นจุดที่เธออยู่เมื่อครู่ เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาเมื่อนึกถึงบางสิ่งที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ศาตราจารย์ที่มีชื่อเล่นเป็นชื่อประเทศประเทศหนึ่งบนเกาะห่างออกไปจากชายฝั่งจีน

              [ หนอย ครั้งที่แล้วก็ทริปฟรีลีมูดำน้ำ นี่ยังมีทัวร์ท่องเที่ยวชมแมกไม้ธรรมชาติอีกหรอเนี่ย โปรเฟย์เจแปน]

              เซียร์เคลื่อนตัวเข้าไปในป่าเมื่อเห็นว่าหยดน้ำน้อยๆ เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับแสงสว่างอันน้อยนิดที่เริ่มจะหายไปหมด แต่จะว่าไป เมื่อกี้เหมือนเห็นนกหัวขวานด้วยแฮะคิดไปพลางเคลื่อนตัวไปเรื่อย เธอจำได้ว่าคาบเรียนอาทิตย์นี้นั่นเธอทิ้งโดรนเอาไว้ตัวนึงแล้วยังไม่ได้ดูบันทึกย้อนหลัง หลังจากหาที่กำบังได้แล้ว ดูท่าเธอจะต้องอ่านข้อมูลก่อนเสียแล้ว

     

     

              [ อืม เดาไว้ไม่ผิด เป็นอย่างงี้เองสินะ ]

            เซียร์พูดขึ้นด้วยความเหนื่อยหน่าย ตอนนี้เบื้องหน้าเธอปรากฏจอโฮโลแกรมฉายภาพของห้องเรียนที่ถูกบันทึกไว้ในโดม เนื้อหาของศิลปะการเอาตัวรอดเวอร์ชันสองถูกถ่ายทอดออกมา ดูเหมือนว่าระหว่างที่เธอกำลังทำธุระที่ปานามา เธอจะถูกวางยาเข้าซะแล้ว และหลังจากนั้นก็ถูกจับโยนมาเกาะร้างอะไรสักอย่าง ของที่ติดตัวมามีแค่อุปกรณ์รับสัญญาณจากโดรนเท่านั้น อย่างอื่นเธอไม่ได้พกเอาไว้ด้วยตอนก่อนที่จะสลบไป

            [ นี่ถึงกับลงทุนวางยาข้ามประเทศเลยรึไงเนี่ยแถมเกาะนี่ไม่น่าจะใช่ซันบลาสหรือโบกัสเดลโตโรซะด้วย ตรูอยู่ไหนฟร่ะ ]

            วางยาข้ามโลกอีกตะหาก~!” เซียร์ตบมุขตัวเองแบบไม่ต้องง้อใคร ขณะนี้เธออยู่ในที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นด้วยการสานไม้ไผ่ผ่าครึ่งสลับคว่ำหงายแบบที่เห็นได้ทั่วไปบนหลังคาบ้านปรกติที่ใช้สังกะสี ตรงกลางที่พักมีกองไฟขนาดย่อมๆ ตั้งไว้อยู่พอให้ความอบอุ่นได้บ้าง ข้างๆ มีกิ่งไม้ปักเอาไว้ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบราวตากผ้าโดยใช้เถาวัลซึ่งมีความเหนียวพอสมควรมัดไว้ ที่แขวนเอาไว้คือเสื้อผ้าของเธอซึ่งยังไม่แห้งดีนักตากเอาไว้เกือบทั้งหมด เพื่อรักษาอุณหภูมิ การใส่เสื้อผ้าเปียกเป็นอะไรที่อันตรายมากต่อสุขภาพกลางป่าแบบนี้

            ที่ภายนอกนั้นฝนยังตกอยู่ แม้จะถูกกั้นด้วยปราการธรรมชาติอย่างใบไม้ตามต้นไม้สูงๆ แต่เม็ดฝนจำนวนมากก็ยังผ่านลงมาสู่ผืนดินได้อยู่ดี ท้องฟ้าเองก็มืดครึ้มตลอดเวลาจนไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาไหนกันแน่ แต่จากเวลาที่ผ่านมาแล้ว คาดว่าตอนนี้ใกล้จะพลบค่ำเต็มที การเดินทางตอนกลางคืนในสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลแบบนี้อันตรายมาก เธอจึงเลือกสร้างที่พักชั่วคราวแทน

            ก่อนหน้านี้เธอได้ทำสัญลักษณ์เป็นรูปลูกศรชี้ไปในทิศทางที่เธอไปตามต้นไม้ หิน หรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นสัญลักษณ์ได้โดยเอาหินขูด เข็มทิศที่เธอพบอยู่ในกระเป๋าร่มชูชีพถูกใช้เพื่อพาเธอไปยังทิศเหนือซึ่งเธอเห็นเนินขนาดใหญ่จนเกือบจะเป็นภูเขาอยู่ อย่างน้อยเธอต้องการทราบสภาพพื้นที่โดยรอบเสียก่อน เซียร์เก็บของในกระเป๋าร่มชูชีพออกมาทั้งหมดอันได้แก่เชือก มีดเดินป่า และขนมปังก้อนเท่าฝ่ามือแข็งๆ ที่ดูแล้วหาความอร่อยจากมันไม่ได้เลย เธอคาดเชือกไว้ที่บ่าแนวเฉียงเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง มีดเดินป่านั่นคาดเอาไว้ที่เข็มขัดด้านหลังและพันด้วยผ้าเพื่อป้องกันคมของมันจะบาดตัวเอง ขนมปังเธอตัดสินใจว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เธอจะไม่กินเด็ดขาด มันถูกพันไว้ด้วยใบไม้ขนาดใหญ่และมัดด้วยเถาวัลเพื่อป้องกันความชื้น

            ตลอดการเดินทางของเธอนั้นฟ้าฝนก็มืดครึ่มและตกอยู่ตลอดเวลาจนเสื้อผ้าของเธอเปียกปอนจนสามารถมองทะไปถึงข้างในได้ แต่มีหรือเซียร์จะอาย? ความด้านและบ้าในตัวเธอนั้นเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อไป อย่างอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีใครอยู่ก็ไม่รู้จะอายไปทำไมอีกเช่นกัน

            ตามทางเธอก็พบสัตว์เล็กสัตว์น้อยบ้าง ซึงเซียร์ก็ล่าพวกมันด้วยมีดเดินดงและจัดแจงรีดเลือดและเก็บไว้กินในภายหลัง บางครั้งและหลายๆ ครั้งเธอก็พบงูที่พยายามจะฉกผู้รุกรานอานาเขตเช่นเซียร์ แต่อนิจจา พวกมันไม่ทันจะได้ฉกเซียร์ก็ตวัดมีดเฉือนร่างยาวๆ ของมันขาดกระเด็นไปก่อนจะได้รู้เสียอีกว่ามันตายด้วยอะไร

            ถามว่าทำไมเซียร์ถึงรู้การเคลื่อนไหวนั่นได้? คำตอบคือก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเธอเคยถูกฝึกอยู่ในกองกำลังสเปซนาซ (กองปฏิบัตการณ์ภารกิจเดนตายของรัสเซีย) ซึ่งขึ้นชื่อด้วยความอำมหิตและความเก่งกาจ เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ถูกฝึกตั้งแต่อายุยังน้อยเนื่องจากพรสวรรค์ของเธอ การฝึกทุกวันนั้นใช้คำว่าอยู่ในนรกคงไม่พอ ต้องบอกว่าเหมือนโดนนรกถีบส่งไปยังแดนประหารที่แม้แต่ปีศาจยังขยาด หากเทียบกับหน่วยซีลของอเมริกาที่ถูกฝึกให้อดทนต่อความเจ็บปวดแล้ว สเปซนาซนั้นต้องใช้คำว่า ถูกฝึกให้รักความเจ็บปวดนั่นเอง หน่วยของเธอถูกฝึกทุกอย่างตั้งแต่การใช้อาวุธ การสังหาร หรือการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าให้เฉียบคมที่สุดยามสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ซึ่งขณะนี้เอง ประสาทหูและการรับรู้กลิ้นถูกใช้เพื่อการณ์นี้เอง

            จนกระทั่งเธอมาถึงบริเวณหนึ่งซึ่งมีแรงกดอากาศต่ำกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร เธอเห็นกอไผ่อยู่เป็นประปราย เซียร์บ่นพึมพำ ไม่มีอะไรในกอไผ่สินะ…” พลางคิดถึงที่พัก เธอใช้มีดตัดไม้ไผ่บางส่วนและผ่ากลางเพื่อสร้างหลังคากันฝนที่จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หยุดตกอีก ไม้แห้งนั้นเป็นอะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หากจะหาในที่แบบนี้ แต่โชคเข้าข้าง มีบริเวณหนึ่งที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลงมาและกิ่งไม้ข้างใต้นั้นมีเพียงแค่ความชื่นเล็กน้อยเท่านั้น เธอจึงตัดสินใตสร้างที่พักเสียตรงนั้น หลังจากที่เอาเศษหญ้าเศษไม้มาสุมๆ กันแล้ว เซียร์ก็นำไม้ชิ้นเล็กๆ มาผูกไว้กับเถาวัลที่หัวกับท้าย จากนั้นก็เอาเศาไม้ที่ทำเหมือนคันธนูนั่นไปพันหลวมๆ กับเศษไม้อีกชิ้นหนึ่งแบบเกลียวเพื่อสร้างสกรูไม้ขึ้นมา เธอนำสกรูนั่นไปวางไว้บนเศษไม้แบนๆ อีกชิ้นและนำเศษหญ้าบางสนมาคลุมไว้ จากนั้นเธอก็ดึงคันธนูจิ๊วเข้าหาตัวและออกจากตัวอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างจับสกรูไม้ไว้ไม่ให้ขยับแลปล่อยให้มันหมุนไปตามตามแรงถึง ในเวลาไม่นานนัก เธอก็สามารถสร้างกองไฟได้สำเร็จเมื่อเธอนำเศษไม้ที่ติดไฟนั้นไปสุมกับกองไม้กองหญ้า สุดท้ายเธอก็นำก้อนหินมาวางไว้รอบเพื่อไม่ให้ไฟลามไปเผาป่า ถึงดูจะเป็นไปไม่ได้เพราะสภาพอากาศในตอนนี้ก็เถอะ

    .

    .

    .

            เปร๊ยะ เปรียะ

            เสียงไม้หักดังเปาะแปะจากเปลวเพลิงที่เผาผลาญไม้นั่นดังควบคู่ไปกับเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ดังขึ้นมายามค่ำคืน เซียร์กัดเนื้อกระต่ายย่างพลางมองดูสภาพอากาศโดยรอบ ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนซึ่งสัตว์นักล่าส่วนใหญ่จะออกหากินในยามนี้ อันตรายโดยรอบนั้นทวีคูณขึ้นอย่างร้ายกาจ แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่สนใจมากนัก เธอยังเคี้ยวเนื้อกระต่ายต่อไป

            เมื่อเสร็จสิ้นมื้อค่ำแล้ว เธอก็จัดแจงสวมเสื้อผ้าที่เพิ่งแห้งได้ไม่นานนักแล้วใช้ดินธุลีมาทาตามร่างกายเพื่อปกปินกลิ่นของตัวเอง และนำเศษอาการที่เหลือทั้งหมดไปทิ้งไว้ที่อื่นเพื่อป้องกันกลิ่นทีจะนำพาสัตว์ร้ายมาหาเธอได้ เธอปีนต้นไม้ขึ้นไปพร้อมเชือกแล้วตรวจสภาพความแข็งแรงของกิ่งไม้ เมื่อมันใจว่าแข็งแรงดีแล้วเธอก็จัดแจงผูกตัวเองไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกันการตกจากที่สูง

              [ หนึ่งวันจะผ่านไปแล้วสินะ… ]

            เธอพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่เปลือกตาอันหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้าของเธอจะปิดลงช้าๆ ค่ำคืนอันสงบคืนแรกก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

     

     

     Day 2


              จิ๊บๆ จิ๊บๆ

            เสียงนกร้องออกจากรังดังไปทั่วพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดลงมาจากช่องว่างของใบไม้ทำให้เซียร์ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเช่นเดิม

            เธอแก้มัดเชือกตัวเองก่อนจะไต้ลงไปเอาสัมภาระข้างล่างเพื่อเดินทางต่อไป ตอนนั้นเองทีเธอสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติบางอย่าง เมื่อกองไฟที่มอดแล้วนั้นกระจัดกระจายไปทั่วพร้อมกับรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ที่เดินวนรอบที่พักของเธอ

            [ รอยเท้าแบบนี้ หมี? กลางเกาะเนี่ยนะ? ]

              หลังจากทีก้มลงมองแล้ว ปรากฏว่ารอยเท้าพวกนั้นเป็นของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เป็นที่น่ากลัวของนักเดินป่าทั้งหลาย มันคือรอยเท้าของหมีกริซลี่ที่ว่ากันว่าดุร้ายนัก [ ไม่ใช่ว่าตรูอยู่รัสเซียนะเฮ้ย ] เซียร์บ่นเบาๆ ก่อนจะนำเข็มทิศขึ้นมาดูอีกครั้งและมุ่งตรงไปยังทิศเหนือต่อไปยังปลายทาง เนินสูงที่หมายนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

    .

    .

    .

            หลายชั่วโมงผ่านไปโดยอาหารมีแค่เนื้อที่เหลือเมื่อคืนและขนมปังดิบ ขณะนี้ร่างกายของเธออ่อนล้าลงเรื่อยๆ จากการขาดน้ำ แต่กำลังใจของเธอยังเต็มเปี่ยมโดยไม่หวาดกลัวอะไรทั้งนั้ง เธอยังคงก้าวเดินต่อไปอย่าง หน้าตาย ไม่สนอะไรมากมายนัก สัตว์ร้ายตามทางก็โดนฆ่าจนเหี้ยน สัตว์ไม่ร้ายก็ตายเกลื่อน ถ้าใครมาเห็นเซียร์ที่สภาพเลือดเต็มตัวและในมือที่ถือมีดที่ยังมีหยดเลือดหยดลงมาแล้วนั้น ถ้าใครมาเห็นคงจะเข้าใจเป็นว่ามีฆาตกรโรคจิตหลุดออกมาแน่ๆ ก็ดันโชกเลือดแถมยังทำหน้าตาหน้ากลัวขนาดนั้น ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว~

            [ พูดงี้มาต่อยกันไหมเซ? ]

              อุ ดูเหมือนว่าไรต์จะโดนหมายหัวซะแล้ว เราจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกันนะ

              เวลาผ่านไปไม่นานนัก โชคก็เป็นของเซียร์ เมือ่เธอพบกับลำธารสายเล็กๆ มราไหลไม่แรงนัก รอยยิ้มปนจิ เอ้ย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซียร์ เธอฉีกยิ้มกว้างและวิ่งสวนทางน้ำไป เป้าหมายใหม่นั้นคือต้นน้ำที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อนนั่นเอง [ ตรุรอดแล้วโว้ย~! ] พลางตะโกนไปด้วยความดีใจ

            เมื่อเธอมาถึงเธอก็พบกับจุดเริ่มต้นของลำน้ำสายน้อยๆ เซียร์ไม่รอช้าใช้กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดผ่าเปิดเอาไว้กรองน้ำขึ้นมาดื่มทันที

            [ อ่า สดชื่น แต่ถ้าเทียบกับไอ้การฝึกนรกแตกนั่นแล้ว แบบนี้ดีกว่าเยอะเลยวุ้ย ]

            นั่นหมายถึงการฝึกครั้งหนึ่งของสเปซนาซนั่นเอง ในครั้งนั้นเธอไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดกิน อดอยากขนาดต้องกรองของเหลวจากร่างกายขึ้นมารีไซเคิลอีกครั้งหนึ่ง เป็นอะไรที่ไม่น่าจดจำมากนัก แถมสถานที่ที่โดนปล่อยทิ้งไว้คือทะเลทรายที่มองไปทางไหนก็มีแต่ทราย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยงของกระบองเพชรหรือสัตว์อะไรให้เห็นเลย ที่เธออยู่ได้นั้นคือแรงใจและแรงบ้าล้วนๆ

              โฮกกก~!!

              ระหว่างทิ่คิดไร้สาระนั่นเอง เสียงอันไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างขนาดใหญ่ของสัตว์ที่มีขนสีน้ำตาลสั้นๆ หูกลมมนและปากขนาดใหญ่ของมันเป็นเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวของนักเดินป่าทั้งมวล

            [ หมี กริซลี่ว่ะ… ]

            เซียร์เอ่ยด้วยสายตาปลาตาย เบื้องหน้าเธอคือหมีกริซลี่ตัวมหึมา ด้วยความสูงกว่าสามเมตรเมื่อยืนด้วยสองขาแล้ว มันเป็นหมีที่ตัวใหญ่มาก มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง? เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของเซียร์ บนเกาะแบบนี้เป็นไปได้ยากที่จะมีหมีกริซลี่ออกมาเพ่นพ่าน นอกเสียจากว่าจมีคนเอามาปล่อยล่ะนะ ตอนนี้ถ้าเธอเจออนาคอนดาหรือเมกาโลดอนเธอคงจะไม่ประหลาดใจแล้ว หรือว่าควรประหลาดใจดี? เรื่องนี้เซจะไม่ยุ่ง

            ไม่มีเวลาให้เตรียมตัว เจ้าหมีนั่นก็พุ่งเข้าใส่เซียร์อย่างแรง กล้ามเนื้ออันทรงพลังขับเคลือนร่างกายของมันให้พุ่งตรงมาหาเซียร์ด้วยความเร็วที่ไม่อาจคิดได้ว่าจะมาจากสัตว์ตัวใหญ่ๆ เช่นมัน

            ความคิดที่ว่าสัตว์ตัวใหญ่ต้องเคลื่อนไหวช้าน่าตัดทิ้งไปได้เลย

            [ โว้ว~! ]

            เซียร์ตอบสนองด้วยการกลิ้งตัวหลบออกข้างไปข้างหลังของมัน แต่ด้วยความเร็วแล้ว เซียร์เกือบจะโดนชนจนเสียหลักล้มลงไป หากล้ม เราก็จบ เธอคิดเช่นนั้น มีดในมือของเธอถูกหยิบออกมากำไว้แน่น เจ้าสัตว์ร้ายขนาดยักษ์หันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

            มันเป็นสายตาที่มองเหยื่อ อาหารอันโอชะของมัน

            ตาต่อตา เซียร์และหมีกริซลี่จ้องตากันจนแทบจะเห็นภาพหลอนเป็นสายฟ้าเชื่อมเข้าด้วยกัน ในจังหวะนี้ การเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งจะตัดสินทุกอย่าง

            ทันใดนั้น บุคคลที่เคลื่อนไหวก่อนกลับเป็นเซียร์ จิตสัง (?) พวยพุ่งขึ้นมาด้วยแรงอาฆาต ใบหน้าของเธอนั้นแทบจะกลายเป็นใบหน้าของมารร้ายที่คอยช่วงชิงทุกชีวิต สัญชาติญาณเอาตัวรอดของหมีกริซลี่ถูกปลุกขึ้นมาจนมันชะงัก และเซียร์ก็ไม่พลาด เธอฉกฉวยโอกาสอันน้อยนั้นก่อนจะโจมตี!

     

            ป๊อก

     

            เสียงๆ เดียวดังขึ้นเมื่อหินก้อนหนึ่งลอยมากระทบกับใบหน้าของสัตว์ร้ายอย่างแรง มันส่ายหัวไล่ความมึนก่อนที่จะเห็นเหยื่อของมันพุ่งเข้ามพร้อมอาวุธในมือ !

    .

    .

    .

            ซะเมื่อไหร่ บัดนี้ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของมันทำลายความคิดของมันจนสิ้น เมื่อมันเห็นเหยื่อของมันวิ่งหนีเข้าป่าไปอีกคราพร้อมกับตะโกน [ ลาขาดละโว้ยหมีหัวเน่า~! ]

            เนื่องจากมันเป็นหมีฉลาด (?) ภาพเบื้องหน้าของมันทำมันสตั๊นไปถึง 3 วินาที ก่อนที่เส้นเลือดบนหัวของมันจะปูดโปนออกมา มันปล่อยอาหารหนีไปได้! เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันไม่เคยทำให้เหยื่อรายไหนหนีรอดไปได้! นี่เป็นความอับอายอย่างที่สุด!!

            แล้วมันก็พุ่งตามเซียร์ไปก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายเข้าไปในป่าดงดิบที่มืดทึบนั้น

     

     

            [ แฮ่ก แฮ่ก เหนื่อยวุ้ย ]

            เสียงหอบหายใจและฝีเท้าดังถี่รัวพร้อมกับร่างเล็กที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในป่าใหญ่ เบืองหลังของเธอปรากฏร่างมหึมาของหมีกริซลี่ที่ไล่ตามมาติดๆ พร้อมเสียง โฮก~! และเสียงต้นไม้ตามทางหักล้มลงไป

            [ เอ็งจะตามตรูข้าไปถึงเมื่อไหร่ว้า~! ]

            ถึงจะเคยเป็นทหารเดนตายที่ไหนมาก่อน เซียร์ที่วิ่งหนีหมีมาหลายชั่วโมงย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา คนย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ ยังไงก็ไม่มีทางสู้หมีมือเปล่าได้ ยิ่งเจ้าหมียักษ์นั่นที่ดูแล้วโคตรอึด ยังไงก็ไม่มีทางวิ่งแข่งกันไหวแน่นอน

            [ เพราะตรูตัวเล็กใช่ไหม! ใช่ไหม!! ตอบ!! ]

            ว่ากันว่าหมีเป็นสัตว์ที่ชอบล่อลวงเด็กๆ หรือผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปกิน (?) หรือในบางครั้งก็มีเหยื่อเป็นเด็กผู้ชายหน้าหวานบ้าง (??) การที่เซียร์ซึ่งมีความสูงประมาณ 151 ก็อาจถูกจัดให้อยู่ในจำพวกนี้ได้ เพียงแค่คิด เซียร์ก็รู้สึกถึงลมเย็นๆ ผ่านสันหลังของเธอให้ขนลุกแล้ว

            โฮกกกก~!

            แล้วมันก็เหมือนจะร้องตอบคำถามของเซียร์ด้วย เป็นอันไขกระจ่างว่าหมีตัวนี้คือหมีเปโ**

            [ แบบนี้เราเหนื่อยตายก่อนจะหนีรอดแน่โปรเฟย์นะโปรเฟย์ กลับไปสลับเหล่าให้ใส่ดีกรีสัก 99.99% เลยคอยดู~! ]

            หญิงสาวเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ล้มลงพาดกับผืนดิน เธอตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปและกระโดดขึ้นต้นไม้นั้นแล้ววิ่งต่อไปยังสุดทาง จากนั้นก็กระโดดไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดแล้วกระโดดต่อไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ

            [ เพียงแค่นี้ก็น่าจะรอดแล้ว *ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!* - มั้ง…]

            เสียงอันน่ากลัวข้างหลังนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้เล็กจำนวนมากถุกหักโค่นลงด้วยร่างอันมหึมาของสสิ่งที่ไล่ตามเธอมา เสียง โฮก~! ยังดังอย่างต่อเนื่องเสมือนว่ามันไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างไร เป้าหมายของมันยังคงเป็นร่างเล็กที่กระโดดไปตามต้นไม้เหมือนมือสังหารที่ชื่อว่าค*นเ**ร์

            [ เอ้าเจ้านี่ไม่ใช่หมีแล้ว! สัตว์ประหลาดชัดๆ! ]

            เซียร์ตะโกนออกมาด้วยความตระหนก นี่เธออยู่ในเกาะกาลาปากอสรึไงกัน? ทำไมถึงมีสัตว์ประหลาดแบบนี้โผล่ออกมาได้!?

            ในสมองของเซียร์พยายามประมวลผลออกมาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เธอยังคงปิดป่ายต้นไม้ต่อไป จนในที่สุดเธอก็ได้คำตอบ

            [ เอาว่ะ เสี่ยงช่างมัน ลองดูก็ไม่เสียหาย! (?) ]

            ทันใดนั้น เซียร์ก็หยุดอยู่กับที่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เจ้าหมียักษ์ที่ไล่ตามมาไม่สามารถเบรคได้ทันเวลาเมื่ออยู่ๆ เหยื่อของมันกลับหายไปอยู่ด้านหลัง เซียร์ฉวยโอกาศนี้กระโดดลงมาบนหลังของมันแล้วใช้มีดเดินป่าปักจนมิดด้าม!

            [ ยะฮู้วววว~!!! ]

            โฮกกกกกกก~!!!!!

            เจ้ากริซลี่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แค่มีหรือแค่มีดธรรมดาๆ เล่มเดียวจะจบชีวิตมันได้? มันเป็นสัตว์อันยิ่งใหญ่ มันเป็นราชาแห่งป่า มีหรือมันจะยอมให้มนุษย์ตัวกระจ้อยฆ่ามันได้ง่ายๆ!?

            เจ้าหมียักษ์วิ่งสะบัดไปมาอย่าบ้าคลั่งเอาตัวกระแทกต้นรายทางจนล้มระเนระนาดหวังจะให้สิ่งที่น่ารำคาญบนหลังของมันหายไป แต่อนิจจา เพราะเซียร์ตัวเล็กและประสาทดี เธอจึงหลบเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสและการตกจากหลังหมีได้ เธอใช้มีดเป็นที่ยึด และเมื่อไหร่ที่เจ้าหมีวิ่งหรือขยับ หรือสะบัดชนกับต้นไม้ มีดนั่นก็จะปาดสร้างบาดแผลยาวมากยิ่งขึ้น

            [ ไม่ได้แดร๊กตรูร๊อก~! แอ้ก! ]

            เธอกล่าวออกมาอย่างสะใจ แต่ไม่ทันขาดคำ กิ่งไม้ก็ชนเข้ากับหน้าเธออย่างจังจนสติแทบปลิว เธอเสียการทรงตัวจนหล่นจากหลังหมี แต่โชคยังดีที่มือของเธอจับมีดไว้ได้แน่นพอที่จะไม่ร่วงลงพื้นจนบาดเจ็บสาหัส เธอเหวี่ยงตนเองขึ่นกหลังหมีอีกครั้งพร้อมถอบใบมีดแล้วปักเข้าไปที่ลำคอของมันตรงกลางอีกครั้ง!

            โฮกกกก~!

            เจ้าหมีคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด ส่งผลให้มันยิ่งคลั่งไปกว่าเดิม บัดนี้มันไม่สนใจอะไรแล้ว มันต้องเอาเจ้าตัวบนหลังของมันออกไปให้จงได้!

            เซียร์ที่เรื่องจะเกาะไม่อยู่เพราะความล้าคว้าเชืองของตนออกมาแล้วสะบัดฟาดหมีไปจนคล้ายแซ่พร้อมตะโกน โอ้ววว~! อย่างสะใจ

            บัดนี้เซียร์กลายเป็นคนขี่หมีไปเสียแล้ว ทำให้อดนึกถึงท่านผู้นำชื่อว่าปู***ไม่ได้เลย

            หลังจากที่พยายามทรงตัวอยู่นาน เซียร์ก็กระหน่ำแทงมีดลงไปที่คอของหมีไม่ยั้ง และทุกๆ ครั้งเจ้าหมียักษ์จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าของเซียร์ตอนนี้บิดเบี่ยวไปด้วยความสะใจอย่างถึงที่สุด ปากของเธอยิ้มอย่างเลือดเย็น นัยน์ตาของเธอบัดนี้ไร้ซึ่งแวว หากแต่เปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง ความบ้าคลั่งในการเอาตัวรอด

    .

    .

    .

            จิตชิบ

     

            [ ว่างายน้า~! ]

     

            เปล่าครับ

    .

    .

    .

            หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดเจ้าหมีนั้นก็ไร้ซึ่งเรียวแร่ง คอของมันห้องต่องแต่งออกจากร่างจนเห็นเส้นเลือดและกระดูกแบบชัดๆ จะๆ มันหยุดวิ่งลงปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของมันไถลลงไปบนพื้นดั่งตุ๊กตาชักใยที่ไร้สายควบคุม

            เซียร์เดินออกมาจากร่างนั้นอย่างเหนื่อยหอบ ร่างกายของเธอที่เปื้อนเลือดอยู่แล้วบัดนี้ชะโลมไปด้วยโลหิตของเจ้าหมีนั่นทั่วตัว เสื้อกั๊กและเชืทตัวโปรดของเธอเละไม่เป็นชินดี ร่างกายของเธอเมื่อความตึงเครียดคลายลงก็ไม่มีแรงเหลือที่จะเดินต่อไปแล้ว แต่เธอต้องไปต่อการจะทิ้งตัวเองให้โชกเลือดแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ฉลาดนัก เบื้องหน้าของเธอเป็นลำธารสายเก่าที่กว้างกว่าเดิมเพราะห่างจากจุดเดิมพ่อสมควร มันรวมกับลำธารส่ายอื่นๆ จนกลายเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ไม่ลึกมากนัก

            เซียร์พาร่างตัวเองลงไปชำระล้างเลือดนั้นออกจากเสือและตากไว้ หลังจากแห่งแล้วเธอก็สวมเสื้อแล้วหยิบขนมปังที่ได้มาตอนแรกขึ้นมากิน จากนั้นก็เดิมตามเข็มทิศ ไปยังปลายทางของเธอต่อไป

    .

    .

    .

            เวลาใกล้ค่ำ แสงอาทิตย์ยามเย็นสีส้มนั้นฉายผ่านความงามแห่งท้องป่า เสียงนกร้องหลับรังมากมายสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน เซียร์ที่ในที่สุดก็มาถึงยอดเนินได้มองไปทั่วบริเวณ

            บนเกาะที่เธออยู่นั้นเป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ขนาดกลางๆ โดยมีผืนป่าทั่วทั้งเกาะ ภายนอกนั้นมีเกาะเล็กๆ อีกสี่ห้าเกาะด้วยกัน นอกจากนั้นก็เป็นทะเล ทะเล แล้วก็ทะเล ไม่มีเครื่องหมายแสดงถึงอารยธรรมใดๆ บนเกาะนี้เลย

            [ เฮ่อ วันนี้เหนื่อยจริงๆ … ]

            เซียร์บ่นพร้อมกับแผ่ตัวลงกับผืนหญ้าบนเนินที่ไม่มีต้นไม้มากนักและมีที่กว้างมากพอ เธอตัดสินใจที่จะพักลงคืนนี้ ตั้งแคมป์ไฟกองหนึ่งและพักลงในคืนนั้น

     


      Day 3


            วันที่สามหลังจากการติดเกาะ เวลาประมาณช่วงเที่ยง เซียร์นั้นนั่งเบื่ออยู่ตรงกลางแคมป์ไฟสามกองที่ตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยมและข้อความ SOS ขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งลานกว้าง ข้างๆ มีไม้เสียบกบย่างที่กินเหลือไว้และกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยสักหยด

            [ rescue… rescue … ]

            เธอกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ แต่ไม่ว่าจะรอยังไง ความช่วยเหลือก็ไม่มาถึงเสียที

            [ นี่พวกเอ็งลืมตรูแล้วใช่ไหม… ]

            เธอมองไปยังท้องฟ้าสาครามที่แสนสงบนั่น วันนี้อากาศยังดีสินะ ตัวของเธอเองก็จ้องมองเมฆก้อนใหญ่อย่างไร้ความหมายใดๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่รอ

            เวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ หนักๆ เหมือนเครื่องยนต์กำลังมาทางจุดที่เธออยู่ นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างมองไปยังบนฟ้าทันที แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีครามเช่นเดิม ไร้วี่แววของสิ่งใดๆ ปรากฏขึ้น แต่ว่าเสียงหึ่งๆ ก็ยังดังอย่างต่อเหนื่องอย่างไร้ที่มา จนกระทั่งเธอเห็นจุดสีดำจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาหาเธอ เพียงแค่เห็นเท่านั้น เหงื่อเม็ดโตก็ผุกขึ้นมาบนหน้าของเธอ

            [ โฮ ลี่ ชูท!! ]

            เอ๊วิ่งสิ เอ๊วิ่ง!! คำๆ นี้ผุดขึ้นในหัวของเธอทันทีเมื่อฝูงต่อจำนวนมากกำลังพุ่งมาหาเธอ ขาที่เมื่อยล้าของเธอถูกใช้งานอีกครา คราวนี้เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

            สู่ลำธาร! เธอคิดพลางใส่เกียร์ชีร์ต้าวิ่งลงเนินไปยังลำธารก่อนหน้า

            [ จะตามทันแล้ว! จะตามทันแล้ว!! มันมาทันแล้วโว้ยยย!!! ]

            บินย่อมไวกว่าวิ่ง ฝูงต่อฝูงมหึมาเพียงไม่กี่นาทีก็บินมาถึงจุดที่เซียร์กำลังวิ่งอยู่ หากแต่ว่าลำธารนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น! อีกนิดหนึ่ง อีกนิดหนึ่ง อีกนิด…!

            พรืด~…

            เสียงอันไม่พึงประสงค์พร้อมกับร่างของเซียร์ที่ล้มลงไถลลงไปกับพื้น เธอหันมามองข้างหลังด้วยความตระหนก รองเท้าของเธอลื่นเข้ากับซากหมีจนเธอต้องเสียหลักล้มลงไปทั้งๆ ที่ลำธารก็อีกแค่เอื้อมเท่านั้น

            [ ไอ้ หมีบ้า~! เอ็งตายแล้วยังจะมารังควาญตรูอีกเร้อ! ไอ้บ้า~!!! ]

            เธอโหวกเหวกอย่างเหลืออด เบื้อหน้าของเธอคือฝูงต่อขนาดยักษ์ที่ห่างจากเธอไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร [ ลาก่อนชีวิตนี้~ ] เธอพึมพำออกมาก่อนยอมรับชาตากรรม สภาพเธอตอนนี้แค่ลุกก็ไม่น่าจะไหวแล้ว ภาพต่อไปคงจะเป็นภาพเดิมๆ ที่เธอไปโผล่ในทีแปลกๆ อีกแล้วสินะ

            หึ่งๆๆๆๆๆๆๆ~!! หึ่งๆๆๆ หึ่งๆหึ่ง…. หึ่ง ~

            หากแต่ภาพนั้นกลับไม่มาถึงเสียที เซียร์ลืมตาขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้นอีก แต่ไม่ว่าจะหันไปตรงไหน ก็ไร้วี่แววของต่ออีก... จนเธอมองไปข้างหลังก็พบต่อฝูงนั้นบินผ่านเธอไปเสียเฉยๆ

            [ เออะ อะ วอท… ]

            สตั๊นไปอีก 3 นาที สมองของเธอคำนวณไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันเมินเธอซะอย่างนั้น? แล้วตรูจะวิ่งมาเพื่อ!? โลกนี่แกล้งตรูใช่ไหม

            โลกไม่แกล้งแต่ผมแกล้ง

     

            [ … ]

            [ … ไปตายไปเอ็ง … ]

    .

    .

    .

     

            ไม่นานนัก การช่วยเหลือก็มาถึง เสียงเครื่องยนต์และใบพัด (ของจริง) ดังกระหึ่มเมื่อเฮลืคอปเตอร์ที่ติดตราสถาบันเอาไว้ลงจนลงบนเนิน พร้อมกับชายผู้หนึ่งที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า เปิดประตูออกมาต้อนรับเธอ ศาสตราจารย์เจแปน

            [ ยินดีด้วยที่รอดมาได้ ว่าไง? สนุกกับสวิชานี้ไห- ] โผละ!!

            หมัดลุ่นๆ ถูกประเคนใส่ชายเบื้องหน้าอย่างไม่ยั้งมือ ส่งร่างนั้นลอยลงพื้นไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นจนคนบน ฮ. ต้องรีบเข้ามาห้ามไว้

     

            สนุกกับผีสิ


    ผลที่ได้เมื่อรอดจากเหตุการณ์นั้น 

         -ความอาฆาตแค้นศจ. เจแปนที่ล้นหลาม

         -จิตใจที่ปลิวว่อน

         -เจ็บหัว...

         -เหนื่อย...

         -กล้ามเนื้อฉีก...

         -กลายเป็นปูติ*(?)

         -ฝึกทักษะทางการทหาร (??)

    อุปสรรคในระหว่างการทำภารกิจ : 

         -หมียักษ์

         -ฝน

         -ต่อ

         -ขาดน้ำ

         -ขาดอาหาร

         -ไมเกรนขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×