คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : [ AC ] [ Art of Survival 2 ] [ Homework ]
การบ้าน #3
ชื่อ – นามสกุล : จุติชาติ ไตรภพ
ชื่อเล่น : เซียร์
Dormitory : Topaz
รหัสประจำตัว : ACT13
ตำแหน่ง : Criminor
สถานภาพการขาดส่งงาน : 1
การบ้านวิชา : ศิลปะการเอาตัวรอด
คำสั่ง :
สถานที่ส่ง : ห้องศจ. เจแปน
ชื่ออาจารย์ผู้สอน : ศจ. เจแปน
ll ส่วนเนื้อหา ll
ชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น : ความซวยของบุคคลที่ชื่อว่าเซียร์
อัตราความเสี่ยงในเหตุการณ์ของคุณ : 86%
เรียบเรียงเหตุการณ์การทำภารกิจในการเอาตัวรอด :
Day 1
อรุณเบิกฟ้า
นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใ---
เอ้ย ไม่ใช่สิ … เอาใหม่
แสงแรกของเช้าวันใหม่ปรากฏขึ้นเหนือเมฆหมอกและผืนป่าอันเขียวชอุ่ม
เป็นสัญญาณแรกต้อนรับโอกาสใหม่ๆ และเรื่องราวของชีวิตที่จะดำเนินต่อไป หลายๆ คนต้องฝืนตัวเองตื่นตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เห็นแสงแรกนี้เพื่อเร่งรีบไปทำงานทำการของตนให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย
และก็ยังมีอีกหลายๆ คนเช่นกันที่ไม่สนฟ้าสนตะวันนอนต่อไปแบบไม่รู้เรื่องราว…
[ ครอก… ฟรี้…
]
และรายนี้ก็จัดเป็นหนึ่งในนั้น
เปลือกตาของหญิงสาวร่างเล็กปิดสนิทปิดบังนัยน์ตาสีแดงเลือดสด ปกป้องเจ้าของมันจากเศษฝุ่นและแสงแดดที่จะเล็ดรอดเข้ามา
ร่างกายยับเขยื่อนเล็กน้อยเมื่อแสงแดดผ่านกระทบเปลือกตาทะลุไปถึงม่านตาเหมือนจะจัดท่าทางให้อยู่ท่าที่สบายเหมาะสำหรับนอน
ป๊อกๆ… ป๊อกๆ…
เสียงอะไรบางอย่างกระทบกันดังข้างๆ
หูของเธอ รบกวนการนอนของเซียร์ คิ้วสองข้างค่อยๆ
ขมวดหากันในขณะที่เปลือกตายังปิดอยู่
มือข้างหนึ่งโบกไปม่าในอากาศด้วยความเคยชินเหมือนจะพยายามปิดเจ้านาฬิกาปลุกน่ารำคาญนี่
หากแต่ไม่เพียงแค่หาไม่เจอเท่านั้น เสียงของมันยังดังขึ้นและถี่ขึ้น
สร้างความหงุดหงิดให้กับร่างเล็กเพิ่มขึ้นไปอีก
ป๊อก!
ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อก! ป๊อ---
[ หนวกหูโว้ย
! ]
ฟุบ
ปึก! กริ๊ก
[
หะ กริ๊ก ? ] มือของสาวห้าวสะบัดอย่างแรงจนไปชนอะไรสักอย่างแข็งๆ
เข้าแล้วเธอก็รู้สึกถึงว่าตัวเองโยกไปมาในอากาศตามแรงโน้มถ่วง สร้างความฉงนให้คนที่ยังมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจนต้องเบิกตามองตามเสียง…
เบื้องหน้าระยะประชิดคือสายอะไรสักอย่างหลายสายที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าที่เซียร์สะพายไว้ตอนไหนก็ไม่รู้
มันเป็นสายที่แข็งแรงเอาเรื่อง แข็งแรงพอที่จะแขวนคนๆ หนึ่งไว้ในอากาศอย่างไม่มีปัญหามากนัก
เสียงกริ๊กนั่นคงจะมาจากโลหะที่ทำหน้าที่เหมือนตัวล็อกสายรั้งเอาไว้
ซึ่งดูเหมือนว่ามือของเธอจะไปปลดสลักนั่นเข้า
[
เฮ้ย เดี๊ยว สายแบบนี้… สายร่มชูชีพ… ถ้างั้นก็… ]
ไม่ทันจะได้คิดอะไร
เสียงพรืดจากสายก็ดังขึ้นพร้อมกับปลดตัวมันออกกระเป๋าร่มชูชีพ ส่งมนุษย์ที่สะพายกระเป๋านั่นอยู่ร่วงหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วง
เสียงว้ากดังก้องไปทั่วบริเวณเมื่อเซียร์เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
[ ชีวิตตรูทำไมซวยเง้~ อุก!!
แอก! อัก! เอิ้ก!
] โผละ!
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดปนจุกดังออกมาทุกครั้งเมื่อร่างเล็กกระแทกกับกิ่งไม้ที่ขวางทางตามแนวดิ่งร่วงลงพื้นไปเหมือนกับพินบอล
ร้ายสุดคือตอนกระแทกพื้นดันไปกระแทกกับกิ่งไม้ล่างสุดที่สูงจากพื้นดินเกือบสิบเมตรส่งให้หญิงสาวม้วนตัวอยู่ในอากาศสองสามรอบก่อนจะเอาหน้าไปสำรวจชีวิตมดอยู่ในผืนดิน
ส่งสติที่เหลืออยู่น้อยนิดให้บินว่อนลอยออกจากร่างไป…
.
.
.
ติ๊ง… ติ๊ง ติ๊ง…
สัมผัสเย็นๆ
เล็กๆ ที่ต้นคอช่วยปลุกเซียร์ขึ้นมาจากภวังค์ได้เล็กน้อย
เธอลืมตาขึ้นอยางเหม่อลอยแต่สิ่งที่พบกลับมืดมิด เธอกะพริบตาถี่ๆ หลายๆ รอบก่อนจะพบว่าตอนนี้หัวเธอขยับไม่ได้
หญิงสาวลอบตกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจสภาพของตนเอง…
[
หัวตรูปักดินเรอะ… ]
“เหมือนจะตกมาสูง… ตรูรอดได้ไงว่ะ?” หลังจากคิดไร้สาระไป เซียร์ก็พยายามดันตัวเองออกจากรูขึ้นมาดิน
แต่ดูเหมือนว่าการดึงออกจะยากกว่าที่คิด
[
ฮึบ! “ป๊อก !”
โฮ่ย… ชีวิต
]
หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดเธอก็สามารถเอาหัวออกจากพื้นได้พร้อมกับเสียงที่เหมือนดึงจุกค๊อกออกจากขวดไวน์
เซียร์ส่ายหัวไปมาไล่ความมึนที่ยังคงค้างอยู่พร้อมกับปัดเศษดินออก
เซียร์มองไปด้านบนก็พบกับเงาแมกไม้ที่บดบังแสงอาทิตย์จนมิด ร่มชูชีพสีขาวลางๆ ที่มีไม่มีเครื่องหมายใดๆ
สามารถมองเห็นได้สูงขึ่นไปจากพื้นดิน เธอเดาว่านั่นคงเป็นจุดที่เธออยู่เมื่อครู่ เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาเมื่อนึกถึงบางสิ่งที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
ศาตราจารย์ที่มีชื่อเล่นเป็นชื่อประเทศประเทศหนึ่งบนเกาะห่างออกไปจากชายฝั่งจีน…
[ หนอย… ครั้งที่แล้วก็ทริปฟรีลีมูดำน้ำ นี่ยังมีทัวร์ท่องเที่ยวชมแมกไม้ธรรมชาติอีกหรอเนี่ย
… โปรเฟย์เจแปน]
เซียร์เคลื่อนตัวเข้าไปในป่าเมื่อเห็นว่าหยดน้ำน้อยๆ
เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับแสงสว่างอันน้อยนิดที่เริ่มจะหายไปหมด “แต่จะว่าไป เมื่อกี้เหมือนเห็นนกหัวขวานด้วยแฮะ” คิดไปพลางเคลื่อนตัวไปเรื่อย
เธอจำได้ว่าคาบเรียนอาทิตย์นี้นั่นเธอทิ้งโดรนเอาไว้ตัวนึงแล้วยังไม่ได้ดูบันทึกย้อนหลัง
หลังจากหาที่กำบังได้แล้ว ดูท่าเธอจะต้องอ่านข้อมูลก่อนเสียแล้ว…
[ อืม… เดาไว้ไม่ผิด เป็นอย่างงี้เองสินะ ]
เซียร์พูดขึ้นด้วยความเหนื่อยหน่าย
ตอนนี้เบื้องหน้าเธอปรากฏจอโฮโลแกรมฉายภาพของห้องเรียนที่ถูกบันทึกไว้ในโดม
เนื้อหาของศิลปะการเอาตัวรอดเวอร์ชันสองถูกถ่ายทอดออกมา
ดูเหมือนว่าระหว่างที่เธอกำลังทำธุระที่ปานามา เธอจะถูกวางยาเข้าซะแล้ว และหลังจากนั้นก็ถูกจับโยนมาเกาะร้างอะไรสักอย่าง ของที่ติดตัวมามีแค่อุปกรณ์รับสัญญาณจากโดรนเท่านั้น
อย่างอื่นเธอไม่ได้พกเอาไว้ด้วยตอนก่อนที่จะสลบไป
[
นี่ถึงกับลงทุนวางยาข้ามประเทศเลยรึไงเนี่ย… แถมเกาะนี่ไม่น่าจะใช่ซันบลาสหรือโบกัสเดลโตโรซะด้วย… ตรูอยู่ไหนฟร่ะ ]
“วางยาข้ามโลกอีกตะหาก~!” เซียร์ตบมุขตัวเองแบบไม่ต้องง้อใคร
ขณะนี้เธออยู่ในที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นด้วยการสานไม้ไผ่ผ่าครึ่งสลับคว่ำหงายแบบที่เห็นได้ทั่วไปบนหลังคาบ้านปรกติที่ใช้สังกะสี
ตรงกลางที่พักมีกองไฟขนาดย่อมๆ ตั้งไว้อยู่พอให้ความอบอุ่นได้บ้าง ข้างๆ มีกิ่งไม้ปักเอาไว้ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบราวตากผ้าโดยใช้เถาวัลซึ่งมีความเหนียวพอสมควรมัดไว้
ที่แขวนเอาไว้คือเสื้อผ้าของเธอซึ่งยังไม่แห้งดีนักตากเอาไว้เกือบทั้งหมด
เพื่อรักษาอุณหภูมิ การใส่เสื้อผ้าเปียกเป็นอะไรที่อันตรายมากต่อสุขภาพกลางป่าแบบนี้
ที่ภายนอกนั้นฝนยังตกอยู่
แม้จะถูกกั้นด้วยปราการธรรมชาติอย่างใบไม้ตามต้นไม้สูงๆ
แต่เม็ดฝนจำนวนมากก็ยังผ่านลงมาสู่ผืนดินได้อยู่ดี ท้องฟ้าเองก็มืดครึ้มตลอดเวลาจนไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาไหนกันแน่
แต่จากเวลาที่ผ่านมาแล้ว คาดว่าตอนนี้ใกล้จะพลบค่ำเต็มที การเดินทางตอนกลางคืนในสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลแบบนี้อันตรายมาก
เธอจึงเลือกสร้างที่พักชั่วคราวแทน
ก่อนหน้านี้เธอได้ทำสัญลักษณ์เป็นรูปลูกศรชี้ไปในทิศทางที่เธอไปตามต้นไม้
หิน หรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นสัญลักษณ์ได้โดยเอาหินขูด เข็มทิศที่เธอพบอยู่ในกระเป๋าร่มชูชีพถูกใช้เพื่อพาเธอไปยังทิศเหนือซึ่งเธอเห็นเนินขนาดใหญ่จนเกือบจะเป็นภูเขาอยู่
อย่างน้อยเธอต้องการทราบสภาพพื้นที่โดยรอบเสียก่อน
เซียร์เก็บของในกระเป๋าร่มชูชีพออกมาทั้งหมดอันได้แก่เชือก มีดเดินป่า และขนมปังก้อนเท่าฝ่ามือแข็งๆ
ที่ดูแล้วหาความอร่อยจากมันไม่ได้เลย เธอคาดเชือกไว้ที่บ่าแนวเฉียงเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง
มีดเดินป่านั่นคาดเอาไว้ที่เข็มขัดด้านหลังและพันด้วยผ้าเพื่อป้องกันคมของมันจะบาดตัวเอง
ขนมปังเธอตัดสินใจว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เธอจะไม่กินเด็ดขาด มันถูกพันไว้ด้วยใบไม้ขนาดใหญ่และมัดด้วยเถาวัลเพื่อป้องกันความชื้น
ตลอดการเดินทางของเธอนั้นฟ้าฝนก็มืดครึ่มและตกอยู่ตลอดเวลาจนเสื้อผ้าของเธอเปียกปอนจนสามารถมองทะไปถึงข้างในได้… แต่มีหรือเซียร์จะอาย?
ความด้านและบ้าในตัวเธอนั้นเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อไป อย่างอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่มีใครอยู่ก็ไม่รู้จะอายไปทำไมอีกเช่นกัน…
ตามทางเธอก็พบสัตว์เล็กสัตว์น้อยบ้าง
ซึงเซียร์ก็ล่าพวกมันด้วยมีดเดินดงและจัดแจงรีดเลือดและเก็บไว้กินในภายหลัง บางครั้งและหลายๆ
ครั้งเธอก็พบงูที่พยายามจะฉกผู้รุกรานอานาเขตเช่นเซียร์ แต่อนิจจา
พวกมันไม่ทันจะได้ฉกเซียร์ก็ตวัดมีดเฉือนร่างยาวๆ
ของมันขาดกระเด็นไปก่อนจะได้รู้เสียอีกว่ามันตายด้วยอะไร
ถามว่าทำไมเซียร์ถึงรู้การเคลื่อนไหวนั่นได้?
คำตอบคือก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเธอเคยถูกฝึกอยู่ในกองกำลังสเปซนาซ (กองปฏิบัตการณ์ภารกิจเดนตายของรัสเซีย)
ซึ่งขึ้นชื่อด้วยความอำมหิตและความเก่งกาจ
เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ถูกฝึกตั้งแต่อายุยังน้อยเนื่องจากพรสวรรค์ของเธอ… การฝึกทุกวันนั้นใช้คำว่าอยู่ในนรกคงไม่พอ
ต้องบอกว่าเหมือนโดนนรกถีบส่งไปยังแดนประหารที่แม้แต่ปีศาจยังขยาด
หากเทียบกับหน่วยซีลของอเมริกาที่ถูกฝึกให้อดทนต่อความเจ็บปวดแล้ว
สเปซนาซนั้นต้องใช้คำว่า
“ถูกฝึกให้รักความเจ็บปวด” นั่นเอง
หน่วยของเธอถูกฝึกทุกอย่างตั้งแต่การใช้อาวุธ การสังหาร
หรือการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าให้เฉียบคมที่สุดยามสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป
ซึ่งขณะนี้เอง ประสาทหูและการรับรู้กลิ้นถูกใช้เพื่อการณ์นี้เอง
จนกระทั่งเธอมาถึงบริเวณหนึ่งซึ่งมีแรงกดอากาศต่ำกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร
เธอเห็นกอไผ่อยู่เป็นประปราย เซียร์บ่นพึมพำ “ไม่มีอะไรในกอไผ่สินะ…” พลางคิดถึงที่พัก เธอใช้มีดตัดไม้ไผ่บางส่วนและผ่ากลางเพื่อสร้างหลังคากันฝนที่จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หยุดตกอีก
ไม้แห้งนั้นเป็นอะไรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้หากจะหาในที่แบบนี้ แต่โชคเข้าข้าง มีบริเวณหนึ่งที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ล้มลงมาและกิ่งไม้ข้างใต้นั้นมีเพียงแค่ความชื่นเล็กน้อยเท่านั้น
เธอจึงตัดสินใตสร้างที่พักเสียตรงนั้น หลังจากที่เอาเศษหญ้าเศษไม้มาสุมๆ กันแล้ว เซียร์ก็นำไม้ชิ้นเล็กๆ
มาผูกไว้กับเถาวัลที่หัวกับท้าย จากนั้นก็เอาเศาไม้ที่ทำเหมือนคันธนูนั่นไปพันหลวมๆ
กับเศษไม้อีกชิ้นหนึ่งแบบเกลียวเพื่อสร้างสกรูไม้ขึ้นมา เธอนำสกรูนั่นไปวางไว้บนเศษไม้แบนๆ
อีกชิ้นและนำเศษหญ้าบางสนมาคลุมไว้
จากนั้นเธอก็ดึงคันธนูจิ๊วเข้าหาตัวและออกจากตัวอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างจับสกรูไม้ไว้ไม่ให้ขยับแลปล่อยให้มันหมุนไปตามตามแรงถึง
ในเวลาไม่นานนัก เธอก็สามารถสร้างกองไฟได้สำเร็จเมื่อเธอนำเศษไม้ที่ติดไฟนั้นไปสุมกับกองไม้กองหญ้า
สุดท้ายเธอก็นำก้อนหินมาวางไว้รอบเพื่อไม่ให้ไฟลามไปเผาป่า… ถึงดูจะเป็นไปไม่ได้เพราะสภาพอากาศในตอนนี้ก็เถอะ…
.
.
.
เปร๊ยะ…
เปรียะ…
เสียงไม้หักดังเปาะแปะจากเปลวเพลิงที่เผาผลาญไม้นั่นดังควบคู่ไปกับเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ดังขึ้นมายามค่ำคืน
เซียร์กัดเนื้อกระต่ายย่างพลางมองดูสภาพอากาศโดยรอบ
ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนซึ่งสัตว์นักล่าส่วนใหญ่จะออกหากินในยามนี้
อันตรายโดยรอบนั้นทวีคูณขึ้นอย่างร้ายกาจ แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่สนใจมากนัก
เธอยังเคี้ยวเนื้อกระต่ายต่อไป
เมื่อเสร็จสิ้นมื้อค่ำแล้ว เธอก็จัดแจงสวมเสื้อผ้าที่เพิ่งแห้งได้ไม่นานนักแล้วใช้ดินธุลีมาทาตามร่างกายเพื่อปกปินกลิ่นของตัวเอง
และนำเศษอาการที่เหลือทั้งหมดไปทิ้งไว้ที่อื่นเพื่อป้องกันกลิ่นทีจะนำพาสัตว์ร้ายมาหาเธอได้
เธอปีนต้นไม้ขึ้นไปพร้อมเชือกแล้วตรวจสภาพความแข็งแรงของกิ่งไม้
เมื่อมันใจว่าแข็งแรงดีแล้วเธอก็จัดแจงผูกตัวเองไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกันการตกจากที่สูง
[ หนึ่งวันจะผ่านไปแล้วสินะ… ]
เธอพูดกับตัวเองเบาๆ
ก่อนที่เปลือกตาอันหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้าของเธอจะปิดลงช้าๆ… ค่ำคืนอันสงบคืนแรกก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…
Day 2
จิ๊บๆ
จิ๊บๆ
เสียงนกร้องออกจากรังดังไปทั่วพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เล็ดรอดลงมาจากช่องว่างของใบไม้ทำให้เซียร์ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเช่นเดิม
เธอแก้มัดเชือกตัวเองก่อนจะไต้ลงไปเอาสัมภาระข้างล่างเพื่อเดินทางต่อไป
ตอนนั้นเองทีเธอสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติบางอย่าง
เมื่อกองไฟที่มอดแล้วนั้นกระจัดกระจายไปทั่วพร้อมกับรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ที่เดินวนรอบที่พักของเธอ
[
รอยเท้าแบบนี้… หมี?
กลางเกาะเนี่ยนะ? ]
หลังจากทีก้มลงมองแล้ว
ปรากฏว่ารอยเท้าพวกนั้นเป็นของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เป็นที่น่ากลัวของนักเดินป่าทั้งหลาย
มันคือรอยเท้าของหมีกริซลี่ที่ว่ากันว่าดุร้ายนัก [ ไม่ใช่ว่าตรูอยู่รัสเซียนะเฮ้ย ] เซียร์บ่นเบาๆ
ก่อนจะนำเข็มทิศขึ้นมาดูอีกครั้งและมุ่งตรงไปยังทิศเหนือต่อไปยังปลายทาง เนินสูงที่หมายนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว…
.
.
.
หลายชั่วโมงผ่านไปโดยอาหารมีแค่เนื้อที่เหลือเมื่อคืนและขนมปังดิบ
ขณะนี้ร่างกายของเธออ่อนล้าลงเรื่อยๆ จากการขาดน้ำ
แต่กำลังใจของเธอยังเต็มเปี่ยมโดยไม่หวาดกลัวอะไรทั้งนั้ง
เธอยังคงก้าวเดินต่อไปอย่าง… หน้าตาย ไม่สนอะไรมากมายนัก
สัตว์ร้ายตามทางก็โดนฆ่าจนเหี้ยน สัตว์ไม่ร้ายก็ตายเกลื่อน ถ้าใครมาเห็นเซียร์ที่สภาพเลือดเต็มตัวและในมือที่ถือมีดที่ยังมีหยดเลือดหยดลงมาแล้วนั้น
ถ้าใครมาเห็นคงจะเข้าใจเป็นว่ามีฆาตกรโรคจิตหลุดออกมาแน่ๆ ก็ดันโชกเลือดแถมยังทำหน้าตาหน้ากลัวขนาดนั้น
ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว~
[
พูดงี้มาต่อยกันไหมเซ? ]
อุ… ดูเหมือนว่าไรต์จะโดนหมายหัวซะแล้ว… เราจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกันนะ…
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
โชคก็เป็นของเซียร์ เมือ่เธอพบกับลำธารสายเล็กๆ มราไหลไม่แรงนัก รอยยิ้มปนจิ— เอ้ย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซียร์
เธอฉีกยิ้มกว้างและวิ่งสวนทางน้ำไป เป้าหมายใหม่นั้นคือต้นน้ำที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อนนั่นเอง
[ ตรุรอดแล้วโว้ย~! ] พลางตะโกนไปด้วยความดีใจ
เมื่อเธอมาถึงเธอก็พบกับจุดเริ่มต้นของลำน้ำสายน้อยๆ
เซียร์ไม่รอช้าใช้กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดผ่าเปิดเอาไว้กรองน้ำขึ้นมาดื่มทันที
[
อ่า… สดชื่น แต่ถ้าเทียบกับไอ้การฝึกนรกแตกนั่นแล้ว… แบบนี้ดีกว่าเยอะเลยวุ้ย ]
นั่นหมายถึงการฝึกครั้งหนึ่งของสเปซนาซนั่นเอง
ในครั้งนั้นเธอไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดกิน
อดอยากขนาดต้องกรองของเหลวจากร่างกายขึ้นมารีไซเคิลอีกครั้งหนึ่ง… เป็นอะไรที่ไม่น่าจดจำมากนัก
แถมสถานที่ที่โดนปล่อยทิ้งไว้คือทะเลทรายที่มองไปทางไหนก็มีแต่ทราย
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยงของกระบองเพชรหรือสัตว์อะไรให้เห็นเลย
ที่เธออยู่ได้นั้นคือแรงใจและแรงบ้าล้วนๆ…
โฮกกก~!!
ระหว่างทิ่คิดไร้สาระนั่นเอง
เสียงอันไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างขนาดใหญ่ของสัตว์ที่มีขนสีน้ำตาลสั้นๆ
หูกลมมนและปากขนาดใหญ่ของมันเป็นเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวของนักเดินป่าทั้งมวล
[ … หมี… กริซลี่ว่ะ… ]
เซียร์เอ่ยด้วยสายตาปลาตาย
เบื้องหน้าเธอคือหมีกริซลี่ตัวมหึมา ด้วยความสูงกว่าสามเมตรเมื่อยืนด้วยสองขาแล้ว
มันเป็นหมีที่ตัวใหญ่มาก มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง?
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของเซียร์
บนเกาะแบบนี้เป็นไปได้ยากที่จะมีหมีกริซลี่ออกมาเพ่นพ่าน … นอกเสียจากว่าจมีคนเอามาปล่อยล่ะนะ
ตอนนี้ถ้าเธอเจออนาคอนดาหรือเมกาโลดอนเธอคงจะไม่ประหลาดใจแล้ว… หรือว่าควรประหลาดใจดี? เรื่องนี้เซจะไม่ยุ่ง…
ไม่มีเวลาให้เตรียมตัว
เจ้าหมีนั่นก็พุ่งเข้าใส่เซียร์อย่างแรง
กล้ามเนื้ออันทรงพลังขับเคลือนร่างกายของมันให้พุ่งตรงมาหาเซียร์ด้วยความเร็วที่ไม่อาจคิดได้ว่าจะมาจากสัตว์ตัวใหญ่ๆ
เช่นมัน
ความคิดที่ว่าสัตว์ตัวใหญ่ต้องเคลื่อนไหวช้าน่าตัดทิ้งไปได้เลย…
[ โว้ว~!
]
เซียร์ตอบสนองด้วยการกลิ้งตัวหลบออกข้างไปข้างหลังของมัน
แต่ด้วยความเร็วแล้ว เซียร์เกือบจะโดนชนจนเสียหลักล้มลงไป หากล้ม เราก็จบ
เธอคิดเช่นนั้น มีดในมือของเธอถูกหยิบออกมากำไว้แน่น เจ้าสัตว์ร้ายขนาดยักษ์หันกลับมามองเธอด้วยสายตาไม่เป็นมิตร…
มันเป็นสายตาที่มองเหยื่อ อาหารอันโอชะของมัน…
ตาต่อตา
เซียร์และหมีกริซลี่จ้องตากันจนแทบจะเห็นภาพหลอนเป็นสายฟ้าเชื่อมเข้าด้วยกัน
ในจังหวะนี้ การเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งจะตัดสินทุกอย่าง
ทันใดนั้น
บุคคลที่เคลื่อนไหวก่อนกลับเป็นเซียร์ จิตสัง (?) พวยพุ่งขึ้นมาด้วยแรงอาฆาต
ใบหน้าของเธอนั้นแทบจะกลายเป็นใบหน้าของมารร้ายที่คอยช่วงชิงทุกชีวิต สัญชาติญาณเอาตัวรอดของหมีกริซลี่ถูกปลุกขึ้นมาจนมันชะงัก
และเซียร์ก็ไม่พลาด เธอฉกฉวยโอกาสอันน้อยนั้นก่อนจะโจมตี!
ป๊อก…
เสียงๆ
เดียวดังขึ้นเมื่อหินก้อนหนึ่งลอยมากระทบกับใบหน้าของสัตว์ร้ายอย่างแรง มันส่ายหัวไล่ความมึนก่อนที่จะเห็นเหยื่อของมันพุ่งเข้ามพร้อมอาวุธในมือ
!
.
.
.
ซะเมื่อไหร่
บัดนี้ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของมันทำลายความคิดของมันจนสิ้น
เมื่อมันเห็นเหยื่อของมันวิ่งหนีเข้าป่าไปอีกคราพร้อมกับตะโกน [ ลาขาดละโว้ยหมีหัวเน่า~! ]
เนื่องจากมันเป็นหมีฉลาด
(?) ภาพเบื้องหน้าของมันทำมันสตั๊นไปถึง 3 วินาที
ก่อนที่เส้นเลือดบนหัวของมันจะปูดโปนออกมา มันปล่อยอาหารหนีไปได้! เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันไม่เคยทำให้เหยื่อรายไหนหนีรอดไปได้! นี่เป็นความอับอายอย่างที่สุด!!
แล้วมันก็พุ่งตามเซียร์ไปก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายเข้าไปในป่าดงดิบที่มืดทึบนั้น…
[ แฮ่ก… แฮ่ก… เหนื่อยวุ้ย ]
เสียงหอบหายใจและฝีเท้าดังถี่รัวพร้อมกับร่างเล็กที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายในป่าใหญ่
เบืองหลังของเธอปรากฏร่างมหึมาของหมีกริซลี่ที่ไล่ตามมาติดๆ พร้อมเสียง โฮก~! และเสียงต้นไม้ตามทางหักล้มลงไป
[ เอ็งจะตามตรูข้าไปถึงเมื่อไหร่ว้า~! ]
ถึงจะเคยเป็นทหารเดนตายที่ไหนมาก่อน เซียร์ที่วิ่งหนีหมีมาหลายชั่วโมงย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา
คนย่อมเป็นคนอยู่วันยังค่ำ ยังไงก็ไม่มีทางสู้หมีมือเปล่าได้
ยิ่งเจ้าหมียักษ์นั่นที่ดูแล้วโคตรอึด ยังไงก็ไม่มีทางวิ่งแข่งกันไหวแน่นอน
[ เพราะตรูตัวเล็กใช่ไหม! ใช่ไหม!! ตอบ!! ]
ว่ากันว่าหมีเป็นสัตว์ที่ชอบล่อลวงเด็กๆ หรือผู้หญิงตัวเล็กๆ ไปกิน (?)
หรือในบางครั้งก็มีเหยื่อเป็นเด็กผู้ชายหน้าหวานบ้าง (??)
การที่เซียร์ซึ่งมีความสูงประมาณ 151 ก็อาจถูกจัดให้อยู่ในจำพวกนี้ได้ เพียงแค่คิด เซียร์ก็รู้สึกถึงลมเย็นๆ
ผ่านสันหลังของเธอให้ขนลุกแล้ว
โฮกกกก~!
แล้วมันก็เหมือนจะร้องตอบคำถามของเซียร์ด้วย… เป็นอันไขกระจ่างว่าหมีตัวนี้คือหมีเปโ**
[ แบบนี้เราเหนื่อยตายก่อนจะหนีรอดแน่… โปรเฟย์นะโปรเฟย์
กลับไปสลับเหล่าให้ใส่ดีกรีสัก 99.99% เลยคอยดู~! ]
หญิงสาวเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ล้มลงพาดกับผืนดิน
เธอตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปและกระโดดขึ้นต้นไม้นั้นแล้ววิ่งต่อไปยังสุดทาง
จากนั้นก็กระโดดไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดแล้วกระโดดต่อไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ
[ เพียงแค่นี้ก็น่าจะรอดแล้ว *ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!* - มั้ง…]
เสียงอันน่ากลัวข้างหลังนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง
ต้นไม้เล็กจำนวนมากถุกหักโค่นลงด้วยร่างอันมหึมาของสสิ่งที่ไล่ตามเธอมา เสียง โฮก~! ยังดังอย่างต่อเนื่องเสมือนว่ามันไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างไร
เป้าหมายของมันยังคงเป็นร่างเล็กที่กระโดดไปตามต้นไม้เหมือนมือสังหารที่ชื่อว่าค*นเ**ร์
[ เอ้าเจ้านี่ไม่ใช่หมีแล้ว! สัตว์ประหลาดชัดๆ! ]
เซียร์ตะโกนออกมาด้วยความตระหนก
นี่เธออยู่ในเกาะกาลาปากอสรึไงกัน? ทำไมถึงมีสัตว์ประหลาดแบบนี้โผล่ออกมาได้!?
ในสมองของเซียร์พยายามประมวลผลออกมาอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เธอยังคงปิดป่ายต้นไม้ต่อไป
จนในที่สุดเธอก็ได้คำตอบ
[ เอาว่ะ เสี่ยงช่างมัน ลองดูก็ไม่เสียหาย! (?) ]
ทันใดนั้น
เซียร์ก็หยุดอยู่กับที่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง เจ้าหมียักษ์ที่ไล่ตามมาไม่สามารถเบรคได้ทันเวลาเมื่ออยู่ๆ
เหยื่อของมันกลับหายไปอยู่ด้านหลัง เซียร์ฉวยโอกาศนี้กระโดดลงมาบนหลังของมันแล้วใช้มีดเดินป่าปักจนมิดด้าม!
[ ยะฮู้วววว~!!! ]
โฮกกกกกกก~!!!!!
เจ้ากริซลี่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
แค่มีหรือแค่มีดธรรมดาๆ เล่มเดียวจะจบชีวิตมันได้? มันเป็นสัตว์อันยิ่งใหญ่
มันเป็นราชาแห่งป่า มีหรือมันจะยอมให้มนุษย์ตัวกระจ้อยฆ่ามันได้ง่ายๆ!?
เจ้าหมียักษ์วิ่งสะบัดไปมาอย่าบ้าคลั่งเอาตัวกระแทกต้นรายทางจนล้มระเนระนาดหวังจะให้สิ่งที่น่ารำคาญบนหลังของมันหายไป
แต่อนิจจา เพราะเซียร์ตัวเล็กและประสาทดี เธอจึงหลบเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสและการตกจากหลังหมีได้
เธอใช้มีดเป็นที่ยึด และเมื่อไหร่ที่เจ้าหมีวิ่งหรือขยับ หรือสะบัดชนกับต้นไม้
มีดนั่นก็จะปาดสร้างบาดแผลยาวมากยิ่งขึ้น
[ ไม่ได้แดร๊กตรูร๊อก~! แอ้ก! ]
เธอกล่าวออกมาอย่างสะใจ
แต่ไม่ทันขาดคำ กิ่งไม้ก็ชนเข้ากับหน้าเธออย่างจังจนสติแทบปลิว
เธอเสียการทรงตัวจนหล่นจากหลังหมี แต่โชคยังดีที่มือของเธอจับมีดไว้ได้แน่นพอที่จะไม่ร่วงลงพื้นจนบาดเจ็บสาหัส
เธอเหวี่ยงตนเองขึ่นกหลังหมีอีกครั้งพร้อมถอบใบมีดแล้วปักเข้าไปที่ลำคอของมันตรงกลางอีกครั้ง!
โฮกกกก~!
เจ้าหมีคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด
ส่งผลให้มันยิ่งคลั่งไปกว่าเดิม บัดนี้มันไม่สนใจอะไรแล้ว
มันต้องเอาเจ้าตัวบนหลังของมันออกไปให้จงได้!
เซียร์ที่เรื่องจะเกาะไม่อยู่เพราะความล้าคว้าเชืองของตนออกมาแล้วสะบัดฟาดหมีไปจนคล้ายแซ่พร้อมตะโกน
โอ้ววว~! อย่างสะใจ
บัดนี้เซียร์กลายเป็นคนขี่หมีไปเสียแล้ว
ทำให้อดนึกถึงท่านผู้นำชื่อว่าปู***ไม่ได้เลย
หลังจากที่พยายามทรงตัวอยู่นาน
เซียร์ก็กระหน่ำแทงมีดลงไปที่คอของหมีไม่ยั้ง และทุกๆ
ครั้งเจ้าหมียักษ์จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าของเซียร์ตอนนี้บิดเบี่ยวไปด้วยความสะใจอย่างถึงที่สุด
ปากของเธอยิ้มอย่างเลือดเย็น นัยน์ตาของเธอบัดนี้ไร้ซึ่งแวว
หากแต่เปี่ยมไปด้วยความบ้าคลั่ง …
ความบ้าคลั่งในการเอาตัวรอด…
.
.
.
จิตชิบ…
[ ว่างายน้า~! ]
เปล่าครับ…
.
.
.
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง
ในที่สุดเจ้าหมีนั้นก็ไร้ซึ่งเรียวแร่ง
คอของมันห้องต่องแต่งออกจากร่างจนเห็นเส้นเลือดและกระดูกแบบชัดๆ จะๆ
มันหยุดวิ่งลงปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของมันไถลลงไปบนพื้นดั่งตุ๊กตาชักใยที่ไร้สายควบคุม
เซียร์เดินออกมาจากร่างนั้นอย่างเหนื่อยหอบ
ร่างกายของเธอที่เปื้อนเลือดอยู่แล้วบัดนี้ชะโลมไปด้วยโลหิตของเจ้าหมีนั่นทั่วตัว
เสื้อกั๊กและเชืทตัวโปรดของเธอเละไม่เป็นชินดี
ร่างกายของเธอเมื่อความตึงเครียดคลายลงก็ไม่มีแรงเหลือที่จะเดินต่อไปแล้ว
แต่เธอต้องไปต่อ… การจะทิ้งตัวเองให้โชกเลือดแบบนี้เป็นความคิดที่ไม่ฉลาดนัก
เบื้องหน้าของเธอเป็นลำธารสายเก่าที่กว้างกว่าเดิมเพราะห่างจากจุดเดิมพ่อสมควร
มันรวมกับลำธารส่ายอื่นๆ จนกลายเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ไม่ลึกมากนัก
เซียร์พาร่างตัวเองลงไปชำระล้างเลือดนั้นออกจากเสือและตากไว้
หลังจากแห่งแล้วเธอก็สวมเสื้อแล้วหยิบขนมปังที่ได้มาตอนแรกขึ้นมากิน
จากนั้นก็เดิมตามเข็มทิศ ไปยังปลายทางของเธอต่อไป…
.
.
.
เวลาใกล้ค่ำ แสงอาทิตย์ยามเย็นสีส้มนั้นฉายผ่านความงามแห่งท้องป่า เสียงนกร้องหลับรังมากมายสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
เซียร์ที่ในที่สุดก็มาถึงยอดเนินได้มองไปทั่วบริเวณ
บนเกาะที่เธออยู่นั้นเป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
ขนาดกลางๆ โดยมีผืนป่าทั่วทั้งเกาะ ภายนอกนั้นมีเกาะเล็กๆ อีกสี่ห้าเกาะด้วยกัน
นอกจากนั้นก็เป็นทะเล ทะเล แล้วก็ทะเล…
ไม่มีเครื่องหมายแสดงถึงอารยธรรมใดๆ บนเกาะนี้เลย…
[ เฮ่อ… วันนี้เหนื่อยจริงๆ … ]
เซียร์บ่นพร้อมกับแผ่ตัวลงกับผืนหญ้าบนเนินที่ไม่มีต้นไม้มากนักและมีที่กว้างมากพอ
เธอตัดสินใจที่จะพักลงคืนนี้ ตั้งแคมป์ไฟกองหนึ่งและพักลงในคืนนั้น…
Day 3
วันที่สามหลังจากการติดเกาะ
เวลาประมาณช่วงเที่ยง
เซียร์นั้นนั่งเบื่ออยู่ตรงกลางแคมป์ไฟสามกองที่ตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยมและข้อความ
SOS ขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ทั้งลานกว้าง ข้างๆ มีไม้เสียบกบย่างที่กินเหลือไว้และกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยสักหยด
[
rescue… rescue … ]
เธอกำลังรอความช่วยเหลืออยู่ แต่ไม่ว่าจะรอยังไง ความช่วยเหลือก็ไม่มาถึงเสียที
[ นี่พวกเอ็งลืมตรูแล้วใช่ไหม… ]
เธอมองไปยังท้องฟ้าสาครามที่แสนสงบนั่น วันนี้อากาศยังดีสินะ… ตัวของเธอเองก็จ้องมองเมฆก้อนใหญ่อย่างไร้ความหมายใดๆ… สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่รอ…
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ หนักๆ
เหมือนเครื่องยนต์กำลังมาทางจุดที่เธออยู่
นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างมองไปยังบนฟ้าทันที…
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีครามเช่นเดิม ไร้วี่แววของสิ่งใดๆ
ปรากฏขึ้น แต่ว่าเสียงหึ่งๆ ก็ยังดังอย่างต่อเหนื่องอย่างไร้ที่มา
จนกระทั่งเธอเห็นจุดสีดำจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาหาเธอ…
เพียงแค่เห็นเท่านั้น เหงื่อเม็ดโตก็ผุกขึ้นมาบนหน้าของเธอ…
[ โฮ… ลี่… ชูท!! ]
เอ๊วิ่งสิ เอ๊วิ่ง!! คำๆ
นี้ผุดขึ้นในหัวของเธอทันทีเมื่อฝูงต่อจำนวนมากกำลังพุ่งมาหาเธอ
ขาที่เมื่อยล้าของเธอถูกใช้งานอีกครา คราวนี้เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
สู่ลำธาร! เธอคิดพลางใส่เกียร์ชีร์ต้าวิ่งลงเนินไปยังลำธารก่อนหน้า
[ จะตามทันแล้ว! จะตามทันแล้ว!!
มันมาทันแล้วโว้ยยย!!! ]
บินย่อมไวกว่าวิ่ง
ฝูงต่อฝูงมหึมาเพียงไม่กี่นาทีก็บินมาถึงจุดที่เซียร์กำลังวิ่งอยู่
หากแต่ว่าลำธารนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น! อีกนิดหนึ่ง… อีกนิดหนึ่ง… อีกนิด…!
พรืด~…
เสียงอันไม่พึงประสงค์พร้อมกับร่างของเซียร์ที่ล้มลงไถลลงไปกับพื้น
เธอหันมามองข้างหลังด้วยความตระหนก
รองเท้าของเธอลื่นเข้ากับซากหมีจนเธอต้องเสียหลักล้มลงไปทั้งๆ
ที่ลำธารก็อีกแค่เอื้อมเท่านั้น
[ ไอ้… หมีบ้า~!
เอ็งตายแล้วยังจะมารังควาญตรูอีกเร้อ! ไอ้บ้า~!!! ]
เธอโหวกเหวกอย่างเหลืออด
เบื้อหน้าของเธอคือฝูงต่อขนาดยักษ์ที่ห่างจากเธอไปเพียงไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร [ ลาก่อนชีวิตนี้~ ] เธอพึมพำออกมาก่อนยอมรับชาตากรรม
สภาพเธอตอนนี้แค่ลุกก็ไม่น่าจะไหวแล้ว ภาพต่อไปคงจะเป็นภาพเดิมๆ ที่เธอไปโผล่ในทีแปลกๆ
อีกแล้วสินะ…
หึ่งๆๆๆๆๆๆๆ~!! หึ่งๆๆๆ… หึ่งๆ…
หึ่ง…. หึ่ง…
~
หากแต่ภาพนั้นกลับไม่มาถึงเสียที
เซียร์ลืมตาขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้นอีก แต่ไม่ว่าจะหันไปตรงไหน
ก็ไร้วี่แววของต่ออีก... จนเธอมองไปข้างหลังก็พบต่อฝูงนั้นบินผ่านเธอไปเสียเฉยๆ…
[ เออะ… อะ… วอท… ]
สตั๊นไปอีก 3 นาที สมองของเธอคำนวณไม่ทันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมมันเมินเธอซะอย่างนั้น? แล้วตรูจะวิ่งมาเพื่อ!? โลกนี่แกล้งตรูใช่ไหม…
โลกไม่แกล้งแต่ผมแกล้ง
[ … ]
[ … ไปตายไปเอ็ง … ]
.
.
.
ไม่นานนัก
การช่วยเหลือก็มาถึง เสียงเครื่องยนต์และใบพัด (ของจริง)
ดังกระหึ่มเมื่อเฮลืคอปเตอร์ที่ติดตราสถาบันเอาไว้ลงจนลงบนเนิน… พร้อมกับชายผู้หนึ่งที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า เปิดประตูออกมาต้อนรับเธอ… ศาสตราจารย์เจแปน
[ ยินดีด้วยที่รอดมาได้ ว่าไง? สนุกกับสวิชานี้ไห- ] โผละ!!
หมัดลุ่นๆ
ถูกประเคนใส่ชายเบื้องหน้าอย่างไม่ยั้งมือ
ส่งร่างนั้นลอยลงพื้นไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นจนคนบน ฮ. ต้องรีบเข้ามาห้ามไว้
สนุกกับผีสิ…
ผลที่ได้เมื่อรอดจากเหตุการณ์นั้น :
-ความอาฆาตแค้นศจ. เจแปนที่ล้นหลาม
-จิตใจที่ปลิวว่อน
-เจ็บหัว...
-เหนื่อย...
-กล้ามเนื้อฉีก...
-กลายเป็นปูติ*(?)
-ฝึกทักษะทางการทหาร (??)
อุปสรรคในระหว่างการทำภารกิจ :
-หมียักษ์
-ฝน
-ต่อ
-ขาดน้ำ
-ขาดอาหาร
-ไมเกรนขึ้น
ความคิดเห็น