โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาการเป็นอย่างไร
จากชื่อโรคก็พอจะทราบอยู่แล้วว่า ผู้ป่วยเอแอลเอสจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยจะเริ่มอ่อนแรงตามมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน เช่น เดินแล้วล้มบ่อย สะดุดบ่อย ยกแขนไม่ขึ้น กำมือถือของไม่ได้ หยิบจับของเล็ก ๆ ได้ลำบาก ลุกนั่งลำบาก ใส่รองเท้าแตะแล้วหลุดง่าย
จากนั้นอาการจะเริ่มหนักขึ้นจนลามไปทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้อลีบ หรือกล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย หากเป็นนานเข้าจะมีอาการกลืนอาหารลำบาก สำลักง่าย พูดไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง โดนัท ลดน้ำหนัก ลิ้นลีบ แขนขาลีบ แต่จะไม่มีอาการชา ยังสามารถกลอกตาไปมาได้ กลั้นปัสสาวะ-อุจจาระได้ตามปกติ และมีสติสัมปชัญญะดี
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง และปล่อยอาการต่างๆ ไว้นาน เพราะคิดว่าเป็นโรคอื่น กว่าจะมาพบแพทย์ก็มีอาการหนักแล้วคือกล้ามเนื้อไปอ่อนแรงที่ระบบหายใจ เช่น กระบังลมอ่อนแรง จนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เพราะมีอาการเหนื่อยง่าย โดยเฉพาะเวลานอนราบหรือมีอาการต้องตื่นกลางดึก เพราะมีอาการเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก สุดท้ายจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย และไม่สามารถกลืนอาหารและน้ำได้ด้วย double maxx ต้องให้อาหารทางสายยางผ่านจมูกหรือทางหน้าท้อง และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
สุดท้ายแล้ว หากอาการหนักมาก ๆ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด เพราะระบบหายใจล้มเหลว และเกิดการติดเชื้อในปอด เพราะสำลักน้ำและอาหาร bl99 ระยะเวลาโดยเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงเสียชีวิต อาจกินเวลาตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปี อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคสั้นหรือยาวกว่านี้ได้ โดยผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเสียชีวิตเร็ว ได้แก่ ผู้ป่วยเพศหญิง ผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคเมื่ออายุมากแล้ว ไฮคิวโปร หรือมีอาการกลืนลำบาก สำลักง่าย และพูดไม่ชัดเป็นอาการนำ
ลักษณะการดำเนินโรค
ลักษณะการดำเนินโรคจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ของการดำเนินโรคในช่วงแรกแต่บางครั้งอาการของโรคจะเป็นมากขึ้นจากบางภาวะเช่น ภาวะการติดเชื้อโดยเฉพาะการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เนเจอร์ที การได้รับยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อการทำงานของตัวรับสารสื่อประสาทของกล้ามเนื้อภาวะเครียดและพักผ่อนน้อย
การได้รับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโรคก็จะช่วยลดภาวะเสี่ยงของโรคที่อาจลุกลามมากขึ้นได้ ซึ่งประกอบด้วยการตรวจกระแสไฟฟ้าประสาทและกล้ามเนื้อเพื่อดูการทำงานของกล้ามเนื้อหลังจากที่ถูกกระตุ้นซ้ำๆ คล้ายกับการให้ผู้ป่วยออกแรงทำงานมาก ๆ การตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คลอโรฟิลล์ เพื่อดูภาวะการทำงานของต่อมธัยมัสที่ผิดปกตินอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการส่งตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการเพื่อดูภาวะโรคภูมิคุ้มกันบางชนิดที่สัมพันธ์กับภาวะโรค MG ด้วย
โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วย
การให้ยาต้านฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส ทำให้สารอะซิติลโคลีนไม่ถูกทำลาย ไฟโตวี่ และการที่มีสารนี้อยู่นานขึ้น ก็สามารถจับกับตัวรับได้มากขึ้น ช่วยให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
การให้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ ช่วยให้อาการดีขึ้นหรืออาการหายขาดได้มากถึงร้อยละ 75 ของผู้ป่วยทั้งหมด
การให้ยากดภูมิคุ้มกัน กลูต้าฟรอสต้า
การให้ยาอิมมูโนโกลบูลินชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด
การผ่าตัดต่อมไธมัส
การเปลี่ยนถ่ายพลาสมา
การรักษาทางกายภาพบำบัดในการป้องกันปัญหาข้อติดและช่วยฝึกการหายใจ
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอแอลเอส ให้หายขาด โดยร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเอแอลเอส โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ 2 ปี มีประมาณร้อยละ 50 ที่จะมีชีวิต อยู่ได้ราวๆ 5 ปี และมีแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น ที่อาจมีชีวิตอยู่ได้ 8-10 ปี hyli แต่ก็ยังมียาชนิดหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับโดยองค์การอาหารและยา แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ไรลูโซล ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ได้ เพราะยาจะไปออก ฤทธิ์ต่อต้านสารกลูตาเมต ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิด หนึ่งที่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เกิดการตายของเซลล์
ยาตัวนี้จึงจะไปช่วยลดการทำลายเซลล์ประสาท ในไขสันหลังและสมองได้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยทำ ให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น ทำได้เพียงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปได้อีกราวๆ 3-6 เดือน สิ่งสำคัญก็คือ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความเครียดง่าย เพราะรู้ดีว่าโรคนี้รักษาไม่ได้ ทำได้เพียงประคับประคองอาการ asta x อีกทั้งยังได้รับความทุกข์ทรมานจากโรค ทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้สมองจะยังรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นครอบครัวจึงเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยยอมรับและเข้าใจกับโรคนี้ เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีความสุข ได้มากที่สุด
ความคิดเห็น