ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #22 : Watchmen ด้านมืดของฮีโร่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.31K
      16
      9 ก.ค. 60


    พวกเขาคือฮีโร่จริงหรือ??  คุณเท่านั้นที่ตัดสิน....

     

     

    Watchmen (2009)

    ชื่อไทย ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ

    (เนื้อหานี้มีสปอยเรื่องถึงแก่น และข้อมูลเรื่องสงครามเวียดนามและสงครามเย็น )

     

                    ผมเห็นหนังนี้จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐใหม่ๆ ผมถึงกับอุทานว่า “อะไรเนี้ยวุ้ย” เพราะผมไม่รู้จักฮีโร่ทั้ง 6 ตัวในเรื่องสักตัว จริงอยู่ที่ผมไม่ใช้คอการ์ตูนฮีโร่ แต่ก็รู้จักหลายตัวเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกจัตตินลีคนีร้ก็มีหลายตัวนะที่ผมพอคุ้นๆ นอกเหนือพวกฮีโร่ดังๆ ที่เรารู้จักกันมาอย่างดี อย่าง แบทแมน ซุปเปอร์แมน สไปเดอร์แมน เดวิดแมน ฯลฯ

                    แต่เรื่อง Watchmen ผมไม่รู้จักสักตัว จะมีคุ้นๆ ก็ตัวที่เหมือนนักสืบ ในเรื่อง จัตตินลีคนี้มีตัวหนึ่งที่เหมือน แต่มันไม่มีลายบนใบหน้านี้หว่า คงไม่ใช้ตัวเดียวกันมั้ง....

                    คำถามที่ตามมาคือ ทำไมเขากล้าเอาเรื่องฮีโร่  Watchmen มาทำหนัง ทำไมไม่เอาฮีโร่ดังๆ มาทำ เพราะอะไรเขาถึงกล้าเสี่ยงที่จะเจ๊งเบ๊ง ลงทุนกับเรื่องนี้กัน

                    แสดงว่ามันต้องมีดี ไม่งั้นเขาคงไม่กล้าลงทุนกับเรื่องนี้แน่นอน

                    ผมเก็บความสงสัยหนังเรื่องนี้แล้วไปถามคนในเอ็มคนหนึ่งที่เขาเก่งเรื่องการ์ตูนฮีโร่อเมริกัน(เรียกอีกชื่อว่า นิยายภาพ ขื่นว่าการ์ตูน พวกแฟนพันธุ์แท้โกรธตาย)

                    ผมถาม “รู้จักเรื่องนี้ไหม  Watchmen

                    แฟนพันธุ์แท้ตอบว่า “รู้จักสิ มันเคยเป็นนิยายภาพมาก่อน 12 เล่มจบ”

                    ผมถามอีก “แล้วตัวโกงคือใคร”

                    แฟนพันธุ์แท้ตอบว่า “ไม่มี”

                    ผมถาม “ทำไมไม่มีล่ะ การ์ตูนฮีโร่เรื่องไหนๆ ก็มีตัวโกงทั้งนั้น อย่างสไปเดอร์แมนก็มีก็อบลิน, แบทแมนมีโจ๊กเกอร์, ซุปเปอร์แมนก็มีลูคัส แล้วเรื่อง Watchmen นี้ทำไมถึงไม่มี”

                    แฟนพันธุ์แท้ตอบว่า “อันนี้เฮียต้องดูเอาเองนะ แล้วจะพบคำตอบ แต่ขอบอกว่าสนุกมากๆ”

                    กว่าผมจะรู้คำตอบนี้ ผมต้องรอให้หนังออกเป็นซีดีแหละครับ ถึงจะได้ดู โดยปกติผมไม่ไปดูหนังในโรงหรอกครับ เพราะผมไม่ชอบพวกคนในโรงพยายามที่ค่อนข้างไร้มารยาททั้งหลาย เช่น พวกที่หัวเราะมุกในหนังที่ดูไงก็ไม่ขำสักนิด หรือพวกร้องกรี๊ดกับฉากฆ่าห่วยๆ ดังลั่นโรง หรือพวกกินข้าวโพดคั่วที่รำคาญข้างๆ สำหรับผมแล้วมันแย่สิ้นดี

                    รอให้มันออกเป็นแผ่นดีกว่าค่อยดู

                    และเมื่อหนังออกเป็นแผ่นแล้ว ผมรีบเช่าทันที แต่...โอ๊ยทันใดนั้นผมก็เห็นการ์ตูน ใช่แล้วครับการ์ตูนอมิเนชั่น ครับ การ์ตูนอมิเนชั่น Watchmen ก็ไม่แปลกหรอกที่มี เพราะปกตินี้เวลาไหนแนวฮีโร่ไหนทำเป็นหนัง มักมีการ์ตูนฮีโร่ออกมาเสมอ อย่างไลออนแมน เวลาหนังออกเป็นแผ่นก็จะมีการ์ตูนทำมาด้วย แต่จะเช้าหรือไม่เช่าก็แล้วแต่เราแหละครับ

                    แน่นอนผมเช่าทั้งการ์ตูนอมิเนชั่น และหนัง Watchmen เลยครับนี้

                   
                    
    เออ.......ตอนเช่านี้ผมก็แปลกใจอย่างหนึ่งโอ๊ะ ทำไมหนังมี 3 แผ่นจบนี้ แสดงว่าหนังยาวชัวร์ มันจะแตะต๋อยผู้ร้ายอะไรหนักหนาหว่า มันยิ่งใหญ่นักเหรอถึงยาวขนาดนี้(ตอนนั้นผมยังไม่ได้ดู
    Watchmen)

                    เมื่อกลับบ้านและรอกลางคืนผมจึงเริ่มดูแผ่นที่ผมเช่ามา ผมเริ่มจากดูการ์ตูนก่อนและเตรียมใจหน่อยนิ่ง เพราะส่วนใหญ่การ์ตูนที่ออกมาพร้อมกับหนังโดยเฉพาะการ์ตูนอเมริกันแบบเนื้อเรื่องยาวๆ เนื้อหามักแย่ ผมเข็ดหลายเรื่องแล้ว อย่างไออนแมนที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกที่ผมออกมาอย่างไร้จิตวิญญาณของความเป็นการ์ตูนคอมมิก

                    แต่ผมดูผมก็เปลี่ยนใจครับ การ์ตูน Watchmenใช้ได้เลย.....!!

                    เริ่มจากการ์ตูนอมิเนชั่นก่อน ขอบอกตรงๆ ครับว่าเป็นการ์ตูนอมิเนชั่นการ์ตูนอเมริกาที่สนุกสุดยอดและเข้าท่าที่สุดเท่าที่ดูมาคือการ์ตูนอมิเนชั่นการ์ตูนอเมริกันมา คือเรื่อง Watchmen(อมิเนชั่น) จะดำเนินเรื่องเหมือนหนัง(หนังดำเนินเรื่องเหมือนการ์ตูน) และมีฉากที่ไม่มีหนังด้วย และที่แปลกตาคือเขาเอาภาพจากการ์ตูนคอมมิคมาดัดแปลงเป็นอมิเนชั่นครับ คือเอาช่องการ์ตูนมาถ่ายไล่ที่ละช่อง ทีละช่อง ไปๆ และก็พากษ์เสียงแทนที่จะอ่านตัวอักษรในช่องคำพูดแทน มาดูแล้วเป็นศิลปะมากกว่าจะเรียกว่าการ์ตูนอมิเนชั่นประมาณมั้ง

                    watchmen เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ dc comics ผลงานของ Alan Moore และ Dave Gibbons และ john higgins โดย Alan Moore นั้นเป็นนักเขียนชื่อดังพอสมควรเพราะเขาเคยสร้างผลงานดังๆ เช่น V for Vendetta, From Hell แล้วก็ The League of Extraordinary Gentlemen ซึ่งจุดเด่นงานเขียนของเขาคือนอกจาก งานภาพจะสวยงามแล้ว ยังมีอะไรมากกว่าการ์ตูนฮีโร่โดยทั่วไป เพราะแฝงด้วยเรื่องการเมือง สงครม ความรุนแรงของสังคม

                    ส่วนเรื่อง watchmen นั้นมีความยาวทั้งหมด 12 เล่ม ตีพิมพ์ในปี 1986-87 แต่ก็นั้นแหละมันไม่ใช้การ์ตูนฮีโร่จ๋า ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในช่วงแรกๆ แต่กระนั้นด้วยของเขาดีจริง ขายได้เรื่อยๆ เวลาผ่านไปนักอ่านรุ่นเก่ารุ่นใหม่ค่อยๆ ติดใจกับแนวคิดของ Moore จนเรื่อง watchmen ยังคงความโดดเด่นฉายแสงจนมันกลายเป็นการ์ตูนเรื่องเดียวที่ติดอันดับ 100 นวนิยายที่ดีที่สุดจากการจัดอันดับของนิตยสาร TIME"

                    ในอมิเนชั่นที่ผมดู เขายกแค่ 2 ตอนเท่านั้นครับ (เทียบกับความยาวหนังแล้วแค่ครึ่งความยาวของแผ่นแรกเอง) โดยมีชื่อตอนด้วย แต่ผมจำไม่ได้ว่ามีตอนอะไรบ้าง (รู้สึกว่าตอนแรกจะชื่อ At Midnight, All the Agents มั้ง)

                    เริ่มต้นมาจะเจอภาพเมืองสหรัฐอเมริกาที่มืดหม่นหมน กับภาพของคนประท้วงที่เขียนอะไรสักอย่างเกี่ยวกับกับ “สงครามเย็น” โอ๊ะแน่นอน การ์ตูนเรื่องนี้เกิดขึ้นในสงครามเย็นแน่นอน ในปี 1985 เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างอเมริกาและโซเวียต ทั้งสองมหาอำนาจต่างไม่ยอมลงให้กัน และพร้อมที่จะเปิดสงครามนิวเคลียร์ได้ทุกเมื่อ

                    เรื่องเริ่มต้นโดยภาพของชายคนหนึ่ง ที่ถูกฆาตกรรมโดยฆาตกรโยนลงมาจากตึกสูงซึ่งเป็นบ้านของผู้ตายเอง 

                    
                    จากนั้นเราก็เห็นภาพนักสืบตำรวจสองคนวิเคราะห์อย่างชั้นเชิง บอกว่านี้อาจไม่ใช้การฆาตกรรมธรรมดา ฆาตกรนี้มันต้องเก่งกาจและมีพละกำลังมหาศาลแน่ๆ อีกทั้งยังเก่งวรยุทธอีก ดูสิห้องพังยับเลย แสดงว่าต้องต่อสู้กันดุเดือนเลือดพล่านแน่ แถมผู้ตายรูปร่างแข็งแรง มัดกล้ามเป็นล่ำๆ แถมรู้สึกจะเป็นคนพิเศษของรัฐบาลอีก

                    “โอะนี้รูปชายคนนี้กำลังจับมือนิกสันนี้”นักสืบตำรวจหยิบรูปถ่ายชายผู้ตายกำลังจับมือประธานาธิปดีนิกสัน

                    “ตัดรายชื่อนิกสันออกจากรายชื่อเลย นี้ไม่ใช้วิธีที่ถนัดของนิกสันแน่นอน”นักสืบตำรวจอีกนายเอ่ยปากขึ้น

                   ผมมาฮ่ามุกนี้แหละ ชอบจริงๆ มุกอเมริกัน  มุกของเขานี้ปล่อยแต่ละทีฮ่าใช้ได้ มันเหมือนประชดประชัน แต่แฝงปรัชญานิดๆ ไม่เชื่อลองฟังมุกจากหนังอเมริกาเรื่องอื่นๆ ดูสิ

                    จากนั้นฉากก็กลับมาที่ เมื่อตำรวจออกไปจากที่เกิดเหตุแล้ว ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งสวมหน้ากากแปลกประหลาดที่ลายที่เห็นบนหน้ากากนั้นจะเปลี่ยนรูป ไปเรื่อยๆ (ในหนังถึงรู้ว่ามันเป็นหน้ากากอะไร) สวมชุดโอเวอร์โค๊ทเข้ามาสำรวจห้อง และพบว่าในตู้เสื้อผ้ามีช่องลับ จากนั้นเขาก็เปิดช่องออก เขาก็พบว่าเป็นชุดประหลาด แปลกๆ

                    ใช่แล้วครับชายผู้ตายเขาเคยเป็นฮีโร่มาก่อน เขาชื่อเบลค หนึ่งในชุดปฏิบัติการ the minute men  ซึ่งมีสมาชิกอยู่ 2 รุ่น และเบลคก็มีฉายาในกลุ่มนี้ว่า the Comedian หรือ"ตัวตลก(ชุดที่เจอจะเป็นเวอร์ชั่นสอง ส่วนชุดเวอร์ชั่นแรกจะดูคล้ายๆโจ๊กเกอร์เชยๆ )และชายใส่หน้ากากที่เข้ามาสำรวจมีชื่อว่า รอร์ชาช(Rorschach)

                    จากนั้นชายที่ใส่หน้ากากก็เผยตนว่าเขาชื่อรอร์ชาช(rorschach)  อดีตฮีโร่ใน the Comedian เช่นกัน แต่กลุ่มนี้สลายโต๋ไปนานแล้ว และรัฐบาลสั่งให้พวกเขาเลิกทำในนามหน่วยนี้เด็ดขาดไม่งั้นผิดกฎหมาย แต่รอร์ชาชเป็นเพียงคนเดียวที่ยังปฏิบัติงานฮีโร่นี้อยู่ โดยสืบคดีตามหาคนชั่ว คดีที่ตำรวจไม่มีปัญญาทำ แล้วพิพากษาแบบศาลเตี้ย ซึ่งทางการแล้วรอร์ชาช  ทำผิดกฎหมายเต็มๆ จนต้องหนีจากการไล่ล่าของรัฐบาล

                    จากนั้นรอร์ชาชก็เห็นคดีนี้ว่า นี้ไม่ใช้การปล้นจี้ธรรมดา เพราะเบรคนั้นฝีมือเก่งกาจยากที่จะถูกโจรกระจอกฆ่าได้ เขาเลยต้องเดินทางไปพบเพื่อนฮีโร่เก่าๆที่เคยรวมกลุ่มกันพิทักษ์โลก  เขาเชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง และคนนั้นต้องการกำจัด watchmen ที่เหลือทุกคน เขาจึงออกเดินทางไปเตือนสมาชิกคนอื่นและหาข้อมูลไปด้วย

                    รายแรกที่รอร์ชาชไปพบคือไนท์โอวล์(Nite Owl) นกฮูกรุ่นที่สอง ที่ตอนนี้กลายเป็นคนธรรมดา ที่ท่าทางอิดโรย เบื่อหน่ายในชีวิต และสิ้นหวัง แน่นอนเรื่องที่เบรคตาย เขาไม่รู้สึกเศร้าใจ เสียใจชนิด แม้จะเป็นเพื่อนร่วมทีมกันมานาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเบรคนั้นในสายตาเพื่อนๆ กลุ่มเป็นแค่พวกคนน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ตายไปก็ไม่มีใครใส่ใจ เสมือนหนึ่งหมาที่ตายข้างถนน ยังไงอย่างงั้น

                    รอร์ชาชถอดหายใจที่เพื่อนคู่หูเปลี่ยนไป แต่การสืบสวนของเขายังไม่จบ ฮีโร่รายต่อมาที่เขาพบคือโอซี่แมนเดียส(0zymandias) ชายที่ขึ้นชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลก และเป็นคนไม่กี่คนในสมาชิกที่เผยตนให้สังคมรู้ว่าเขาคือหนึ่งใน the minute แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนธรรมดาแล้ว ทำงานเป็นประธานบริษัท ขาย คาแรคเตอร์ของตัวเอง  และสร้างพลังงานชนิดใหม่เพื่อแทนน้ำมัน และแน่นอนเขาไม่ใส่ใจการตายของเบรคเช่นกัน

                    ฮีโร่คนต่อไปที่รอร์ชาชไปหาคือ ดร.แมนฮัตตัน(dr. manhattan) มนุษย์ตัวสีฟ้าที่มีพลังมหาศาล สามารถขยายร่างได้ และเคลื่อนย้ายวัตถุได้อย่างง่ายดายและมีความฉลาดจนเทียบได้ว่าเป็นพระเจ้าก็ว่าได้ เขาทำงานให้รัฐบาลในศูนย์วิจัยการทหาร และอยู่กับ ฮีโร่หญิงที่ชื่อ ลอรี่(Laurie) และเช่นเคยพวกเขาก็ไม่ใส่ใจการตายของเบรคมากนัก โดยเฉพาะลอรี่เธอเกลียดเบรคยิ่งกว่าตัวกินไข่เพราะอดีตเขาเคยเกือบปล้ำแม่ของเธอที่เคยเป็นหนึ่งในทีมฮีโร่รุ่นแรกมาแล้ว

                    ดูเหมือนว่ารอร์ชาชจะเป็นที่รังเกียจของฮีโร่หลายๆ คนไม่แพ้กับเบรค เขาต้องอยู่คนเดียวเดียวดาย พร้อมกับนึกอดีตหลายๆ เรื่อง ไล่ตั้งแต่รุ่นแรกที่เคยร่วมมือปราบผู้ร้ายที่เคยวางแผนครองโลกในในยุค 60-70 และผ่านยุคสมัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเวียดนาม ยุคแอปปี้อเมริกัน จนมาถึงยุคสงครามเย็น ซึ่งฮีโร่รุ่นเก่าๆ หลายคนต่างหมดสภาพ บางคนแก่ลง บางคนตายเพราะโจรกระจอก บางคนเข้าโรงพยาบาลโรคจิต บวกกับกฏหมายจำกัดซุปเปอร์ฮีโร่(Keene Act)ทำให้ทุกคนต้องหยุด ปฏิบัติการ ยกเว้นรอร์ชาชที่ยังทำงานแบบใต้ดิน และดร.แมนฮัตตัน ที่ทำงานให้รัฐบาล  

                    มาถึงตอนนี้ที่สังเกตคือ ฮีโร่ในนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นคนธรรมดาที่มีอาศัยเครื่องทันสมัยบวกกับวิทยายุทธการต่อสู้เท่านั้น  ยกเว้นดร.แมนฮัตตันคนเดียว ซึ่งก็ดูจะมีพลังมหาศาลจนดูเหมือนกับพระเจ้า........และการ์ตูนอมิเนชั่นก็ตอนจบหลังจบพิธีฝังศพเบรค รอร์ชาชไปไว้หลุมศพพร้อมจ้องหลุมศพเบรคว่าตายคุ้มหรือไม่ แม้เขาฉายาตลกแต่ชีวิตของเขากับไม่ตลกเสียเลย และดูเหมือนว่าเบรกจะรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกและมีผลสงครามเย็นก็ว่าได้ จนเป็นเหตุที่ทำให้ถูกฆ่าเพื่อปิดปาก

                    และการ์ตูนอมิเนชั่นก็จบลงตอนนี้แหละครับ แบบว่าให้เราค้างคาใจซะงั้น ให้เราไปดูตอนต่อไปในหนังเองว่าใครคือคนร้าย ทำเพื่ออะไร สรุปคือการ์ตูนทั้งเรื่องไม่มีฉากแอ็คชั่นบ้าเลือดงอะไรเลย เพราะนี้มันเป็นการ์ตูนแนวดราม่า และปรัชญามากกว่าการ์ตูนฮี่โร่ แต่สำหรับผมแล้วมันสนุกไม่น่าเชื่อครับ แค่ความสวยงามของภาพก็คุ้มแล้ว อีกทั้งรอร์ชาชนี้เท่จริงๆ ชนิดว่าคนร้ายได้เห็นหน้า ได้ยินชื่อก็กลัวจนหัวหด หัวสั่นหมดแล้ว

                    แม้ลายเส้นและสีสันคอมมิคจะไม่สวย ถูกใจเหมือนคอมมิคหรือมังงะยุคใหม่ แต่ความเข้มข้นและหนักแน่นของเนื้อหาทำให้บรรยากาศนี้กินขาดครับ ไม่ตกยุคแน่นอน ยิ่งดูยิ่งอยากอ่านคอมมิคนิยายภาพเป็นเล่มจริงๆ เลย

                    หลังจากดูอมิเนชั่นจบผมก็ใส่หนังในเครื่องเล่นซีดีเพื่อดูทันทีครับ แบบว่าไม่อยากให้ขาดตอน .....

                   

                    หนัง Watchmen มีชื่อไทยว่าศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ ผมไปทราบข้อมูลอย่างหนึ่งว่ากว่าเป็นหนังเรื่องนี้นั้นต้องผ่านด่านหลายประการ  ไล่ตั้งแต่หาบริษัทออกเงินทำ ที่ผ่านหลายบริษัทมาก บางบริษัทก็ยักๆ ยื่อๆ ไม่ออกทุนแล้วดองซะงั้น และก็เมื่อมีการถ่านทำจริงๆ ก็พบว่าหนังนั้นควรยาวถึง 5 ชั่วโมงเพื่อที่จะใส่ทุกอย่างของ Watchmen ลงในหนังได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด แน่นอนเรื่องทุนสร้างก็ต้องมากจนบทหนังต้องยุติ ดองลงในที่สุด จนกระทั้งผู้กำกับชื่อ Zack Snyder เพราะผมแทบกริ๊ดๆ เพราะหนังพี่แกสุดยอดทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Dawn of the Dead และ 300 ได้หยิบหนังเรื่องนี้มาทำ ซึ่งนำจากวันเริ่มต้นเขียนบทแล้วกว่าหนังจะเสร็จนี้ยาวนานถึง 20 ปีเลยทีเดียว 

                    หลังจากได้ดู.... ผมคงไม่วิจารณ์ว่าหนังและการ์ตูนนี้สนุกหรือไม่สนุกนะครับ เพราะบทวิจารณ์คุณก็เห็นอยู่แล้วในเว็บทั่วไป ผมจะเล่าประเด็นนิดๆ หน่อยละกัน ว่าเรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเรา

                    เออ......ความจริงแล้วการ์ตูนWatchmen นี้มีประเด็นเยอะมากๆ มากชนิดทึ่เรียกว่าในหนึ่งนาทีจะมีเรื่องให้พูดถึงหนึ่งเรื่องหรือสองเรื่อง ถ้าขืนให้หมดชนิดนาทีต่อนาทีนับลองไม่จบง่ายๆ แน่ ผมเลยคัดเอาประเด็นที่ผมชอบมาเล่าๆ ละกันนะครับ

                    เออ....เกือบลืม หลังจากที่ผมคืนการ์ตูนWatchmen ที่ร้านเช่าแล้ว ก็พบว่าอ้าว......มันมีแผ่นสองด้วยอ่ะ แล้วผมไปดูหนังสือเมนูแล้วก็พบว่ามันมี 6 แผ่นจบ โอ้...ดีจริงๆ แบบว่าดูคอมมิคจบทั้ง 12 ตอนเลย เพราะว่าการ์ตูนคอมมิคจริงๆ ราคาแพงมาก ราคากว่า 600 กว่าบาท แต่นี้เช่าแล้วดูเสมือนได้ดูการ์ตูนคอมมิคจริงๆ เลย

                    เอาและเปิดประเดินเลยดีกว่า

                
                   รอร์ชาช ความถูกต้องที่สุดโต่ง ผมว่าถ้าเรื่องนี้ไม่มีรอร์ชาชนี้เรื่องนี้จืดขึ้นเยอะ เพราะว่าเขาเท่จริงๆ ทั้งการออกแบบ การสืบสวนที่สุดโด่ง และความยุติธรรมอย่างสุดโด่งที่ไม่ยอมปล่อยผู้ร้ายได้สุขสบายนี้ มันช่างน่ารักจริงๆ ถ้าคุณได้ดูหนังและดูตอนกลางๆ เรื่องในฉากที่รอร์ชาชโดนตำรวจจับแล้วเปิดหน้ากกากออก ผมแอบตกใจว่าหน้าตาจริงของเขา เพราะหน้าเขาเหมือนฆาตกรโรคจิตจริงๆ ผอม หัวเกือบล้าน และใบหน้ามีบาดแผลเหมือนคนป่วยอมโรคมากกว่าฮีโร่ จนผมนึกว่ารอร์ชาชตัวปลอมหรือเปล่า แบบว่าเขาเอาตัวปลอมมาสอมรอยแล้วเล่นเป็นรอร์ชาชให้ตำรวจจับจริงๆ แบบนี้ ปรากฏว่ามันไม่ใช้.......

                    จากนั้นเรื่องราวก็ไปที่การเล่าประวัติของรอร์ชาช(เป็นช่วงที่ผมชอบดูที่สุด) ก็พบว่าเขามีปมชีวิต สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขาไม่ดีเลย แม่ของเขาเป็นโสเภณี อยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม ทำให้เจาต้องอยู่กับความรุนแรง และความไม่เป็นธรรมเสมอ แต่น่าแปลกแทนที่เขาจะเลือกเส้นทางเป็นผู้ร้ายอาชญากรอัจฉริยะ กลับกลายเป็นฮีโร่ที่รักความยุติธรรมแทน แต่ความยุติธรรมของเขานั้นสุดโด่ง เขามองโลกนี้มีขาวกับดำ ไม่มีสีเทา คือดีก็ต้องดีหมด ชั่วก็คือชั่วไม่ควรให้อภัย ดังนั้นเราจะเห็นฉากโหดๆ ที่รอร์ชาชจัดการกับคนชั่วอย่างโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะหักแขน ต่อยคนแก่ ใช้น้ำมันเดือดราด ฆ่าคนเตี้ยด้วยการอัดกำแพง หรือเอามีดเฉาะหัว

                    ความยุติธรรมของเขามันสุดโด่ง แต่เขาลืมคิดถึงคือบางครั้งความถูกต้องก็ควรมีอ่อนๆ บ้าง ไม่ควรมากไป ซึ่งฉากสุดท้ายในเรื่องที่แผนของออสซีถูกเฉลยก็พบว่าออสซีต้องการให้โลกนี้สงบสุขแม้จะสังเวยมนุษย์กี่ล้านคนก็ตาม แต่รอร์ชาชไม่เห็นด้วยเพราะนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง จน ดร.แมนฮัตตัน ต้องไปห้ามเขา จนเกิดโศกนาฏกรรมตามมา

                    เมื่อผมดูฉากนี้ก็คิดหนัก บางทีความถูกต้องอาจไม่ใช้สิ่งที่โลกนี้สันติอย่างแท้จริงก็ได้ เราเห็นฉากนี้ในการ์ตูนหลายๆ เรื่องที่พวกคนชั่วมักอ้างแผนร้ายๆ ของเขาว่า มันคือความถูกต้อง และพระเอกก็เถียงว่า “ไม่รู้เว้ย”.....อะไรประมาณนี้

                    ซุปเปอร์ฮีโร่กับผู้ปกครอง ผมเขียนไว้ตอนแรกแล้วนะครับ จำไม่ได้หรือไม่ได้อ่านก็กลับไปอ่านใหม่ก็ได้ ...คืองี้ การ์ตูน Watchmen เหล่าถึงกลุ่มฮีโร่กลุ่มแรกใช่เปล่าครับ ที่สมาชิกแรกๆ แต่ละคนโดนฆ่าบ้าง โดนจับเข้าโรงพยาบาลบ้าบ้าง หรือบางคนถูกสังคมรังเกียจ จนกลุ่มสลายไปใช่เปล่าครับ รู้ไหมประเด็นนี้ทำให้คิดถึงอะไร ก็คิดถึงความรุนแรงในการ์ตูนฮีโร่อเมริกันไงละครับ ในสมัยที่การ์ตูนฮี่โร่อเมริกันออกมาใหม่ พวกแบทแมน ซุปเปอร์แมน เป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับเด็กๆ หลายๆคนมาก แต่แล้วก็เกิดเหตุขึ้นเมื่อมีนักจิตวิทยาคนหนึ่งมาบอกว่าการ์ตูนคอมมิคทั้งหลายกำลังครอบงำบุตรหลานของพวกคุณ ทำให้เด็กเกิดการเลียนแบบ ซึ่งส่วนมากมักเป็นพฤติกรรมไม่ดีในเรื่อง เช่นเหาะลงจากหลังคา แตะ ต่อย สูบบุหรี่ ทำให้เด็กเกิดอารมณ์ก้าวร้าวและแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง

                    ใน Watchmen ตัวละครฮีโร่ทุกตัวมีพฤติกรรมเชิงลบแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตัวละครฮีโร่หญิงที่เป็นชู้(ก็ยังไม่ได้แต่งงานนี้น่า) หรือตัวละครฮีโร่หญิงอีกคนที่เป็นเลสเบียนจนถูกฆาตกรรมโหด

                    การนำเสนอเรื่องแนวนี้ของ Wertham ผู้ปกครองแทบกริ๊ด จนนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นอย่างก้าวขวาง รวมไปถึงการ์ตูนฮีโร่อื่นๆ ด้วย ผู้ปกครองบางคนกำจัดการ์ตูนนี้จนเหี้ยน จนมีการจัดระเบียบเรตอย่างที่เราเห็นจนปัจจุบัน

                    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จริงอยู่แม้ฮีโร่พวกนี้จะทำแต่ความดีช่วยเหลือสังคม ปกป้องโลกก็ตาม แต่สักวันหนึ่งความรักของประชาชนจะกลายเป็นความเกลียดชัง ผลคือจากฮีโร่จะกลายเป็นสิ่งที่ขยะแขยงมากกว่าผู้ร้ายเสียอีก

                    สงครามเวียดนามเรื่องที่ชาวอเมริกันรับไม่ได้ เรื่องสงครามเวียดนามยังเป็นประเด็นที่พูดถึงจนไม่หวาดไม่ไหว ในยุคสงครามเย็นเกิดสงครามอเมริกากับต่างประเทศสามเหตุการณ์ นั้นคือสงครามเกาหลีที่ส่งผลให้เกาหลีต้องแยกกันเป็นสองประเทศจนถึงทุกวันนี้ และอย่างที่สองสงครามอัฟกัน และอย่างที่สามก็คือสงครามเวียดนาม

                    ทำไมอเมริกาถึงต้องทำสงครามเวียดนาม ก็เพราะอเมริกาหวาดกลัวโซเวียต และไม่รู้ว่าอเมริกาเอาข่าวจากไหนก็ไม่รู้ที่บอกว่าโซเวียตสนับสนุนเวียดนามฝ่ายคอมมัวนิต์ ตอนนี้แหละที่อเมริกาต้องโดดเข้าสู่สงครามเวียดนาม

                    แต่สงครามครั้งนี้เป็นการตัดสินใจผิดของนิกสัน ผลคืออเมริกาแพ้สงคราม ทหารอเมริกันโดนรังเกียจจากสงครามไปพักใหญ่ ซึ่งเหล่านี้เราได้เห็นในเรื่อง  Wertham ที่เราเห็นฉาพฮีโร่ฆ่าทหารเวียดกงอย่างสะใจ สนุกสนาน และฉากฆ่าหญิงเวียดนามท้องเสมือนฆ่าแม่หมูอย่างไม่รู้สึกรู้สา

                    ความจริงแล้วภาพลักษณ์ฮีโร่กับสงครามเวียดนามถูกนำไปใช้ในหลายๆ เรื่องนอกเหนือจาก Wertham อย่างเรื่องไอออนแมนฉบับยุคแรก ที่ต่างจากหนัง คือเรื่องแท้ๆ ไม่ได้เกิดอัฟกัน แต่เป็นเวียดนามต่างหาก โดยทหารเวียดนามจับพระเอกไปเพื่อบังคับให้สร้างอาวุธมหาประลัยเพื่อเอาชนะสงคราม

                    ภาพลักษณ์ฮีโร่ใน Wertham มันก็เหมือนกระจกสะท้อนของทหารอเมริกันในเวียดนาม ที่ตนเองอ้างว่าตนเองคือฮีโร่ ปกป้องโลกจากคอมมัวนิต์ แต่การกระทำนั้นดูยังไงก็ไม่ใช้ฮีโร่ อย่างที่เราได้อ่านข้อมูลหลายๆ เรื่องในสงครามเวียดนาม พบว่าทหารอเมริกันทำกับชาวเวียดนามในสงครามครั้งนี้มาก มากยิ่งกว่าให้อภัยได้ เช่น ปล่อยฝนเหลือง ฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์ ข่มขืนสาวเวียดนาม ปล่อยระเบิดทิ้งหมู่บ้านในประเทศลาว สิ่งเหล่านี้เหรอคือวีรกรรมของคนที่อ้างว่าฮีโร่ จึงไม่น่าแปลกแต่อย่างใดที่สังคมอเมริกาถึงรังเกลียดทหารที่กลับจากเวียดนามกันหนักถึงกับมีการประท้วงครั้งใหญ่อย่างที่เราเห็นในหนังหลายๆ เรื่อง

                   
                 
    อเมริกาเอยสนใจเรื่องในประเทศของตนบ้างสิ
    โอซี่แมนเดียส(0zymandias) ชายที่ขึ้นชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลก เราได้เห็นแผนที่เหนือเมฆและซับซ้อนของเขาในตอนจบ ตอนแรกๆ ผมก็คิดว่าผมจะเหมือนหนังฮีโร่ที่ผมเคยเห็นหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าไม่ใช้ แท้จริงแล้วออสซียอมเป็นคนร้าย ยอมฆ่าคนของประเทศแม่ของตนเอง เพื่อให้โลกสงบสุข โดยเพื่อนร่วมทีมเถียงว่า มันเป็นสันติภาพจอมปลอม

                    ออสซีเถียงว่า “แล้วไง อย่างน้อยก็ช่วยโลกได้นี้”

                    ฮีโร่คนอื่นไม่เถียง แต่ถ้าเป็นผมเถียงแน่ แน่นอนวิธีการของนายช่วยโลกได้ แต่มันจะนานเท่าไหร่ละ เอาโลกแห่งความจริงก็ได้หลังจากที่อเมริกาสงบสุขกับโซเวียต ต่อมาโซเวียตล่มสลาย กลายเป็นรัสเซียปัจจุบัน แต่อเมริกาต้องเผชิญกับหลายเรื่องกับประเทศที่มีความแค้นกับอเมริกาในอดีต อย่างโคลัมเบีย, เกาหลีเหนือ หรือแม้กระทั้งจีน จนหลายๆ คนร่ำๆ ว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

                    เราคงเห็น CIA หน่วยงานที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อพิทักษ์โลก แต่ถ้าเราเจาะลึกประวัติศาสตร์ก็พบว่าหน่วยงานนี้ทำประโยชน์เพื่ออเมริกาทั้งนั้น ไม่ว่าการสนับสนุนกองกำลังกบฏในประเทศนิคารากัว สนับสนุนรัฐบาลเผล็ดการในอิหร่าน การจูบปากซัดดัม(ต่อมากลายเป็นคู่แค้นซะงั้น)  อย่างที่เห็นในหนังการ์ตูน Wertham จะเห็นอยากหลังของตึกแฝดเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ให้เห็นอยู่บ่อยๆ อันหมายถึงสงครามอิรักที่อเมริกาอ้างว่าพิทักษ์โลก แต่ความจริงแล้วผลประโยชน์ทั้งนั้น น้ำมันเอย สัมปทานเอย

                    ในฉากที่ออสซีฆ่าคนของประเทศแม่ของตนเองนับล้าน โดยอ้างว่าเพื่อให้โลกสงบสุข ผมมองว่าออสซี่ก็เหมือนกับอเมริกา ที่ชอบยุ่งกับเรื่องต่างประเทศโดยไม่สนเรื่องในประเทศของตน  จนหลายๆคนออกมาบ่นๆ ว่า ทำไมรัฐบาลสนใจแต่ต่างประเทศ ทำไมไม่มาดูแลสังคมตนเองก่อน ดูสิพวกวัยรุ่นกวนเมือง คนว่างงาน อาชญากรรม ฯลฯ รัฐบาลอเมริกามีตาหรือเปล่า ทำไมค่าครองชีพสูงนัก เงินประกันทางสังคมมีไหม นายช่วยประเทศอื่นแต่คนในประเทศของตนทำไมไม่ช่วย นายนะหัดมองเท้าของตนเองก่อนนะค่อยมองเท้าของคนอื่นเจ้าอเมริกา

                    ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้สะท้อนถึงประชาชนคนอเมริกัน รอร์ชาชผมพูดถึงไปแล้ว ขอเล่าถึงคนอื่นๆละกันว่าแต่ละตัวสะท้อนถึงคนอเมริกันขนาดไหน

                     
                    เดอะ คอมมิเดี้ยน หรือเบรก หรือตัวตลก เปรียบเสมือนคนตรง เปิดเผย และต่อต้านสังคม ทำตัวระราน โดยไม่สนว่าคนอื่นจะเสียหายไหม ขอให้ตนได้ประโยชน์ก็พอแล้ว  ชนิดที่เรียกว่าโลกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของคนแข็งแกร่งเท่านั้นคนอ่อนแอนั้นหมดสิทธิ แต่ลึกๆ แล้วเขาอาจไม่ใช้คนเลวอย่างที่คุณคิด บางทีเขาอาจทำตัวรุนแรงเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวบนโลกที่โหดร้ายแบบนี้ ฉากที่เราได้เห็นความอ่อนแอของเขาได้ชัดคือฉากที่เขาร่ำไห้เหมือนเด็กต่อหน้าศัตรูคู่แค้นที่เขารับไม่ได้กับแผนของออสซี่ที่จะฆ่าคนประเทศของตนบริสุทธิ์เพื่อสันติ แสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วเขามีเลือดรักชาติสูงส่ง แต่เขากำลังหลงทาง ไม่รู้ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด จนกระทั้งเขาโดนฆ่าในเวลาต่อมา

                    เดอะ คอมมิเดี้ยนอาจเปรียบเสมือนวัยรุ่นอเมริกาที่รักสนุก ทำอะไรห่ามๆ แล้วไม่รับผิดชอบอย่างเขาพยายามข่มขื่น

                    
                     ดร.แมนฮัตตัน(dr. manhattan) มนุษย์ตัวสีฟ้าที่มีพลังมหาศาล สามารถขยายร่างได้ และเคลื่อนย้ายวัตถุได้อย่างง่ายดายและมีความฉลาด เป็นอมตะ จนเรียกได้ว่าเขาเป็นเทพเจ้าก็ว่าได้ แต่กระนั้นความสามารถนี้ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจชีวิตของมนุษย์และสังคมเลย กลับกันเขาพยายามหลีกหนีที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งแม้เขามีพลังมากแต่เขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟน เรื่องเพื่อน

                    ในฉากสุดท้ายไม่รู้ดร.แมนฮิตตันเก็บกดมาจากไหนด่าออสซี่ว่า “นายมันฉลาด แต่สำหรับฉันนายมันเป็นแค่มดเท่านั้น” อ้าวแล้วนายมองเห็นคนทั้งโลกเป็นมดเรอะ และเมื่อออสซี่เปิดข่าวให้เขาดู ถึงกับอึ้งว่า บางทีมดตัวนี้มีพิษร้ายแรงมากกว่าที่คิด

                    ดร.แมนฮัตตันเปรียบเสมือนผู้รู้นักวิชาการหรือผู้นำอเมริกาหรือดารา ไม่เห็นหัวคนอื่น ยะโส เย่อหยิ่ง(หรือขี้น้อยใจหว่า)  ถือว่ามีพลังมาก มีเงินทุน อำนาจ แต่ด้านชีวิตนั้นกลับล้มเหลว และพวกเขาลืมคงลืมสำนวนที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” สักวันเมื่อนายล้มขึ้นมา คนอื่นจะสะใจมากกว่าสงสาร

                    ในฉากที่คอมเมเดี้ยนยิงสาวท้องเวียดนาม โดยดร.แมนฮัตตันดูอยู่เฉยๆ ก็เปรียบว่า คอมเมเดี้ยม(เบรค)คือผู้นำบางประเทศที่ก่อสงครามประเทศอื่น ไม่สนว่ามีผู้เสียหายหรือไม่ ส่วนดร.แมนฮัตตันก็เหมือนผู้นำมหาอำนาจบางประเทศที่เห็นว่านี้ไม่ใช้เรื่องของเรา ประเทศนี้ทำสงครามกับใครตรูไม่สน ถ้าไม่มีผลประโยชน์ก็บ้ายบาย

                    ที่น่าสังเกต ดร.แมนฮัตตันมักมีบทสนทนายากๆ ให้เราได้ งง เสมอ บางทีอาจเหมือนผุ้นำในหลายๆ ประเทศที่ชอบพูดศัพท์ยากๆ ให้ประชาชนจนเกิดการสับสนข้อมูลก็ว่าได้

                    นอกจากนี้สิ่งที่ผมเห็นในดร.แมนฮัตตันนั้น สอนให้รู้ว่าพลังไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหา  แม้นายจะมีพลังมากแต่ใช้ว่านายจะเก่งกาจ จริงอยู่ออสซี่จะอ่อนแอในสายตาของเขา แต่ออสซี่นั้นฉลาด แต่ความฉลาดนี้ไม่ใช้เหมือนแมนฮัตตัน ออสซี่ไม่ได้เก่งเทพแบบดร.แมนฮัตตันที่สร้างนาฬิกา(เครื่องอะไรสักอย่าง)บนดาวอังคารได้ หรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ซับซ้อนเหมือนเขาได้ แต่กระนั้นออสซี่ก็ชนะดร.แมนฮัตตันได้ เพราะเขาใช้ความคิดของคนยุคโบราณมาใช้ ในสำนวนซุนวูที่เรียกว่า “รู้เขารู้เรา รสู้ร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” เขาวางแผนอย่างเป็นระบบ ใช้เวลาเป็นแรมปี มีแผนหนึ่งแล้วมีแผนสองด้วยทุกครั้ง เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับดร.แมนฮัตตันทุกอย่าง จนจุดแข็ง จุดอ่อนของเขา ต่างกับ ดร.แมนฮัตตันที่เย่อหยิ่ง นึกว่าตนแน่ ไม่เห็นหัวมนุษย์คนไหน จนผลสุดท้ายก็แพ้ไม่เป็นท่ากับกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “มด”

                    ลอรี่(Laurie) หรือ ซิลค์ สเปคเตอร์รุ่น 2 เป็นลูกสาวของซิลค์ สเปคเตอร์รุ่นหนึ่งที่ อาจเปรียบเสมือนเด็กสาววัยรุ่นอเมริกันสมัยใหม่ ที่นิสัยติดจากแม่ ที่ครอบครัวมีปัญหา การทะเลาะแบบสามีภรรยา ความต้องการทางเพศที่ผิดศีลธรรม จนเธอรับมรดกมาเต็มๆ หลายครั้งที่เรนสได้เห็นเธอด่าเบรคว่าคนชั่ว โดยไม่ดูตัวเองว่าสิ่งที่เธอทำนำเหมือนกับเขาหรือไม่(ร่วมเพศผิดศิลธรรม,หักคอคน)

                    ไนท์โอวล์(Nite Owl) นกฮูกรุ่นที่สอง เปรียบเสมือนคนอเมริกาปัจจุบันที่มีนิสัยเรื่อยเปื่อย มีความอาลัยอาวรณ์ต่ออดีต แต่ก็ไม่อยากทำแบบในอดีตอีก ชีวิตไร้แก่นสาร ไม่ทำงานทำการ อาศัยเงินมรดกของครอบครัวอยู่เป็นวันๆ และยอมร่วมเพศผิดศิลธรรมโดยไม่สนว่าถูกต้องหรือไม่

                  
                  โอซี่แมนเดียส(
    0zymandias) แตกต่างกับฮีโร่คนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด คือฮีโร่แต่ละคนล้วนมีชีวิตล้มเหลว แต่สำหรับออสซี่นั้นไม่ใช้ เขาประสบผลสำเร็จในชีวิต ผู้คนต่างยกย่อง ไม่ต่างจากภาพลักษณ์ของนักธุรกิจชาวอเมริกันในปัจจุบันที่สร้างกฎระเบียบทางธุรกิจไปทั่วโลก แม้สิ่งที่เขาทำคิอการสร้างภาพ ขายคาแร็คเตอร์ของตนและยอมที่ก้าวสะพานโดยไม่สนว่าบันไดนั้นต้องแรกซากศพกี่ร้อยศพที่ต่อกันสะพานเพื่อข้ามไปเท่านั้นก็ตาม แต่นี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เราเห็นทั่วๆ ไปในสังคมนี้น่า

                    สิ่งที่ผมชื่นชอบในตัวออสซี่ก็คือความพยายาม มันเหมือนนักธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ในการวางแผนเป็นขั้นๆ เป็นระบบ ยอมลงทุนเพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้ผลยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า ไม่เหมือนดร.แมนฮัตตันที่มีปัญหาอะไรก็ชอบหนี หรือแก้ปัญหาแบบขอไปที และลากคนอื่นให้ร่วมทุกข์ด้วย

                    
                    สรุปคือ ถ้าใครบอกว่าดูหนังแล้วว่าไม่สนุก ผมก็ขอบอกว่าเสียใจด้วย ที่คุณพลาดข้อคิดที่ดีๆ จากหนังไป จริงอยู่หนังอาจไม่มัน น่าเบื่อในสายตาหลายๆ คน แต่ถ้าคุณดูแบบลึกๆ ชนิดที่เรียกว่าฉากต่อฉาก คุณจะพบจุดรายละเอียดที่อึ้ง ไม่ว่าฉากที่คนประท้วงคนเดียวก็เปรียบเสมือนสิทธิเสียงค่อนข้างน้อยที่สังคมไม่สนใจ. ฉากสุดท้ายที่สำนักพิมพ์บอกว่าโลกนี้น่าเบื่อไม่มีหัวข้อเขียนข่าวเลย แสดงให้เห็นว่าความรุนแรง สงครามกลายเป็นเรื่องสร้างสีสันของโลกเราเสียแล้ว บางที่มนุษย์ทุกคนนั้นล้วนมีความรุนแรงทุกคนก็ว่าได้

                    ชีวิตหลังหน้ากากนั้นไม่สวยหรูอย่างที่คิด........+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×