ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #245 : Gakkou Gurashi ยิ้มไว้โลกนี้ไม่สิ้นหวัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.16K
      2
      19 ส.ค. 56

             

                    บทความนี้แนะนำการ์ตูนแนวซอมบี้มามากมายหลายเรื่องแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือญี่ปุ่น) เราจะพบว่าการ์ตูนแนวซอมบี้นั้นมีหลายหลายอารมณ์ บางเรื่องเน้นเซอร์วิสแอ็คชั่นมันๆ และสันดานของมนุษย์ บางเรื่องเป็นคอเมดี้ที่แอบสยองขวัญ หรือบางเรื่องตลกชวนหัวแบบน่ารัก  และบทความนี้เช่นกัน เมื่อผมเห็นการ์ตูนดีเรื่องหนึ่งที่เป็นแนวซอมบี้ที่น่าสนใจเข้า

     

     

    Gakkou Gurashi

     

                    Gakkou Gurashi เป็นผลงาน Kaihou Norimitsu (Author) และ  Sadoru Chiba  (Artist ) บ้านเราอาจไม่รู้จักผลงานมากนัก แต่ Sadoru Chiba วาดภาพสวยๆ จากการ์ตูนดังหลายเรื่องมาแล้ว ลงต่อเนื่องใน Manga Time Kirara Forward (Houbunsha) ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งถือว่าเป็นการ์ตูนดีที่หลายคนมองข้ามก็ว่าได้  (และที่เหลือเชื่อคือผมพูดถึงมังงะนี้ไม่กี่วันก่อน และไม่กี่ชั่วโมง ไม่ถึงวัน มีคนแปลแล้ว อะไรจะใจตรงกันขนาดนั้น)

                    Gakkou Gurashi เปิดฉากเหมือนการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยทั่วๆ ไป โดยตัวเอกชื่อ ทาเคยะ ยูกิ” (คนสวมหมวก ผมสีชมพู) เด็กสาวมัธยมต้นผู้ร่าเริงสดใส

                    ยูกิเป็นเด็กสาวที่ใครเห็นก็รัก เป็นที่รักของเพื่อนๆ เพราะเธอเป็นของมองโลกในแง่ดี ตัวเล็กน่าปกป้อง อีกทั้งยังรักโรงเรียนที่เธออยู่ เพราะที่โรงเรียนแห่งนี้มีสิ่งล้ำค่าของเธอนั้นคือเพื่อนๆ ในชมรม ชีวิตในโรงเรียน

                    ยูกิชอบชมรม ชีวิตในโรงเรียนหลังเลิกเรียนเธอจะมาชมรมแห่งนี้ เพราะที่นั้นมีเพื่อนรัก อย่าง คุรุมิทวินเทล (ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่) ที่นิสัยเหมือนผู้ชายชอบถือพลั่วเหมือนอาวุธประจำกลาย และ ริอิ ผู้เรียบร้อยใจดีเป็นที่พึ่งอยู่เสมอ (เป็นรุ่นพี่เช่นกัน)

                    ทุกๆ วันยูกิกับเพื่อนๆ จะทำกิจกรรมชมรม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกผักบนด่านฟ้าโรงเรียน การตั้งแคมป์นอนในโรงเรียน และหากิจกรรมสนุกยามว่างอยู่เสมอ

                    ยูกิชอบชีวิตแบบนี้มากและหวังว่ามันจะเป็นตลอดไป

                    หากแต่........

     

     

    โลกแห่งความจริง

     

                    มันก็เป็นแค่ความฝัน ของสาวน้อยคนหนึ่งเท่านั้น…………..

                  Gakkou Gurashi  เป็นการ์ตูนที่มีจุดเด่นคือการเอาการ์ตูนแนวโมเอะเรื่อยเปื่อยที่เต็มไปด้วยสาวน้อยมาผสม (ฟิวชั่น) กับกับแนวซอมบี้สยองขวัญเข้าด้วยกัน             

    แนวโมเอะเรื่อยเปื่อย หมายถึงอะไร (มันเป็นศัพท์แสลงของผมเองแหละ) กล่าวคือเป็นแนวการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีแต่กลุ่มผู้หญิงมัธยมต้น-ปลายน่ารัก  นางเอกร่าเริงเป็นมิตรกับทุกคน ที่เนื้อหาเน้นตลก (แต่ไม่ฮ่าก๊าก จะเป็นตลกโมเอะสูตรสำเร็จ จำพวกเน้นความน่ารักของตัวละคร ความเปิ่นเป๋อๆเอ๋อๆของตัวละคร) และการเล่าเรื่องดำเนินเรื่องอารมณ์แบบชีวิตประจำวันที่ราบเรียบ ไม่หวือหวา ประมาณว่า ไปโรงเรียนด้วยกัน พูดคุยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน พูดง่ายๆ เนื้อหาเน้นมิตรภาพกลุ่มตัวเอกที่มีแต่ผู้หญิงมากกว่า

    ปกติการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยนั้นเป็นการ์ตูนที่อ่านทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่แล้วคนอ่านการ์ตูนแนวนี้คือผู้ชาย

    สาเหตุที่การ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยนี้ฐานคนอ่านเป็นผู้ชาย มากกว่าผู้หญิง แม้ว่าเนื้อหาจะมีแต่ตัวละครผู้หญิง ก็เพราะ ตัวละครที่ผู้หญิงในการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยนั้นสร้างขึ้นเพื่อเอาใจผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะเด็กสาว ตัวละครสาวๆ ในเรื่องสะท้อนภาพผู้หญิงในอุดมคติที่ผู้ชายคิดว่าอยากให้เป็นจริง มากกว่าจะสร้างให้เป็นผู้หญิงที่พบไปในโลกแห่งความจริง

    ไม่ว่าจะเป็นนิสัย การพูดคุย หรือกิจกรรมที่พวกเธอทำ ค่อนข้างแตกต่างจากผู้หญิงในโลกแห่งความจริงสิ้นเชิง ไม่มีผู้หญิงที่ไหนหรอกที่ทำตัวน่ารัก และพูดจาน่ารัก (หัวข้อสนทนาก็น่ารัก)

    แน่นอนว่าสำหรับใครบางคนแนวโมเอะเรื่อยเปื่อยถือว่าเป็นแนวที่น่าเบื่อที่สุดในบรรดาการ์ตูนญี่ปุ่น เพราะแนวนี้มีพล็อตและมุกสูตรสำเร็จที่ใช้มากที่สุด  เนื้อหาวนเวียนกับชีวิตในโรงเรียน กลุ่มตัวละครลักษณะเดิมๆ มุกก็ลักษณะเดิมๆ ตัวละครที่มีแต่ผู้หญิง (ผู้ชายตัวประกอบ) ทำให้ไม่น่าติดตามมากนัก  อีกทั้งตามตรรกะคนธรรมดา หากเห็นคนอายุมากมาดูตัวละครสาวน้อยน่ารักจะมองด้วยสายตาแปลกๆ เพราะลายเส้นภาพนั้นเหมือนเหมือนเจาะกลุ่มเด็ก มากกว่าจะเจาะกลุ่มผุ้ชายอายุมากและนั้นเองทำให้หลายคนตั้ง แง่อคติโมเอะเรื่อยเปื่อยค่อนข้างมาก (โดยที่ไม่ทันได้ดู ได้เสพด้วยซ้ำ) 

    ความจริงผมชอบการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยครับ แต่ชอบในลักษณะที่เป็นมังงะมากกว่า (ไม่ว่าจะเป็นตอนเดียวจบหรือว่าสี่ช่องจบ) เพราะเราได้เห็นตัวละครน่ารักได้ถนัด หากแต่เมื่อเอามังงะมาทำเป็นอนิเมะนั้นไม่ถูกกับผมสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความต่อเนื่องของเนื้อเรื่อง (มังงะผมอ่านค่อนข้างเร็วครับ แต่หากเป็นอนิเมะนี้ผมดูนานมากในแต่ละเรื่อง) หากเรื่องไหนยาวเป็น 20 นาที นี้ทรมานมากๆ สำหรับผมเลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม โมเอะเรื่อยเปื่อยใช่ว่าอยู่กับที่หรือซ้ำซาก เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโมเอะเรื่อยเปื่อยเองก็พยายามมีส่วนผสมใหม่ๆ ให้ดูน่าสนใจ น่าติดตามขึ้น (แต่ก็ไม่ละทิ้งวิถีโมเอะ) เช่นใส่การต่อสู้แข่งขันลงไป ซึ่งเกมแข่งขันที่ว่าเป็นเกมของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (ไพ่นกกระจอก, บีบีกัน, ปืน, รถถัง) เพิ่มเนื้อหาแฟนตาซี หรือเพิ่มความโหดร้ายนิดหน่อย (สงคราม)  ไปจนถึงการผสมแนวเอาตัวรอดโลกซอมบี้อย่างเรื่อง Gakkou Gurashi 

     

     

    ทาเคยะ ยูกิ (หรือ หนูหลอน) ปกเล่ม 1 ที่ดูไม่ออกเลยว่าแนวอะไร

     

    Gakkou Gurashi แตกต่างจากการ์ตูนซอมบี้เอาตัวรอดตรงไหน อันแรกเลยดูปก เชื่อเลยว่าใครที่เห็นปกเล่มแรกก็คิดไม่ออกว่าเป็นแนวอะไร (ชื่อเรื่องการ์ตูนเรื่องนี้ หากแปลอังกฤษจะเรียกว่า School-Live!  หมายถึง ชีวิตในโรงเรียน) เห็นภาพสีสันสดใส นางเอกผมชมพูยูกิถือตุ๊กตาหมี เสื้อผ้ารุ่งริ้ง แม้ฉากหลังจะเป็นภาพห้องเรียนที่ดูรกร้าง เละเทะ สภาพเหมือนถูกทิ้งร้าง แต่บรรยากาศก็ยังดูอบอุ่น อ่อนโยน สดใส หลายคนคงคิดว่าเป็นแนวนางเอกไฮเปอร์กับเหล่าเพื่อนๆ ที่สนุกสนานกับชีวิตประจำวันในโรงเรียน แม้โรงเรียนจะพังพินาศก็ตาม (และแน่นนอนว่าเป็นแนวโมเอะเรื่อยเปื่อย) หากคุณคิดแบบนั้นผิดถนัด เพราะเนื้อหาจริงๆ ของเรื่องนี้คือ ความจริงที่โหดร้ายที่สิงสถิตอยู่ในความสุขในชีวิตประจำวัน ต่างหาก

    ยอมรับเลยว่าตอนแรกทำเอาผมตกใจและจิตตกน่าดู ภาพที่นางเอกวิ่งที่ห้องเรียนด้วยท่าที่ความสุข หากแต่เมื่อถึงท้ายตอนก็พบว่าห้องเรียนที่เธอเรียนอยู่ปกติในตอนแรก ตอนนี้กลับกลายเป็นห้องที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ตัวอาคารมีรอยแตกร้าว ไม่ว่าจะเป็นผนังและหน้าต่าง อีกทั้งโต๊ะเรียนและเฟอร์นิเจอน์สารพัดถูกทำลายและกระจัดกระจายไปทั่ว ความมืดครอบงำไม่มีแสงไฟ เห็นได้ชัดเลยว่าโรงเรียนถูกทิ้งในระยะหนึ่งแล้ว

    แต่อย่างไรก็ตาม นางเอกของเรายังคงยิ้มแย้มแจ่มใส เธอเข้าไปในห้องเรียน และพูดประโยคขึ้นมาว่า ขอโทษลืมของน่ะทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ในเวลานั้น เธอพูดกับใคร ก่อนที่หน้าสุดท้ายที่ด้านล่างของโรงเรียนปรากฏเงาอะไรบางอย่างจำนวนมาก และมันก็คือ ซอมบี้

    ความจริงแล้ว ในตอนที่ 1 ตั้งแต่ต้นและตอนจบ ทั้งหมดที่เราเห็น เป็นโลกจินตนาการเองของยูกิที่สร้างขึ้นมา เพื่อหลีกหนีจากความจริงที่แสนโหดร้าย (ตอนแรกหลายคนคิดว่าตัวเอกหลุดไปโลกต่างมิติเสียอีก)

    ตอนที่ 2 ยิ่งทำให้เรื่องชัดเจนขึ้น เมื่อโลกที่ยูกิอยู่นั้นได้เกิดหายนะ ที่จู่ๆ คนเป็นได้กลายเป็นซอมบี้ไล่ฆ่าและกินคนแบบไร้สาเหตุ (อันเป็นสูตรสำเร็จรูปหนังซอมบี้ที่ไม่เคยบอกสาเหตุชัดเจนเลยว่าโรคซอมบี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมมันแพร่ไปอย่างรวดเร็วนัก ทำไมคนทางการถึงไม่มาช่วยเหลือประชาชน)

    และเช่นเดียวกับการ์ตูนแนวซอมบี้ที่ตัวเอกเป็นเด็กมัธยมต้นในการ์ตูนญี่ปุ่น ที่เรื่องราวเริ่มต้นจะเกิดขึ้นในโรงเรียนที่ตัวอยู่ กล่าวคือขณะที่เหล่าตัวเอกกำลังดำเนินชีวิตแบบปกตินั้น จู่ๆ ก็มีพวกซอมบี้บุกมาฆ่าเหล่านักเรียนและอาจารย์  เลือดสาดกระจายไปทั่ว ความโกลาหลเกิดขึ้น พวกตัวเอกที่มีจำนวนหยิบมือพยายามหนีหาที่ปลอดภัย ระหว่างทางนั้นพวกเขาได้พบฉากสังหารที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย เลือดสาด

    โลกที่แสนสงบสุขอ่อนโยนนั้นได้หายไปนานแล้ว ตอนนี้โลกทั้งใบกลายเป็นโลกแห่งหายนะ ที่ตอนนี้มีแต่ซอมบี้จำนวนมากเพ่นพ่านไปหมด ไม่เพียงแต่ในโรงเรียน ในเมืองก็เต็มไปด้วยซอมบี้ ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกต่อไป ไม่มีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่ (หรือมีอาจมีจำนวนน้อยมาก)

    ภาพอันโหดร้ายนี้เองที่ทำให้สมองของสาวน้อยอย่างยูกิพังเป็นที่เรียบร้อย...

     

     

    ทวินเทลสุดยอด!! (ติดตามดูเพราะทวินเทลแหละ)

     

    ยูกิอาศัยอยู่ในโลกแห่งนี้มาได้ระยะหนึ่ง หากแต่ตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กสาวที่มีอาการทางจิต พยายามปฏิเสธโลกหายนะนี้โดยสิ้นเชิง เพราะเธอรับไม่ได้กับความโหดร้ายนี้ เธอสร้างโลกปกติสุขขึ้นมาเอง คิดว่าโลกที่เธออยู่ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง มองทุกอย่างสวยงามตรงหน้าในมุมมองของเธอเท่านั้น  ผู้คนยังมีชีวิตอยู่ (ทั้งๆ ที่ตายหมดแล้ว) เธอถึงขั้นโกหกว่าพี่ซากุระ (คุณครูที่เธอรัก) ยังมีชีวิตอยู่ (ซึ่งตั้งแต่ตอนที่ 1-6 จะพบอาจารย์ซากุระปรากฏตัวต่อหน้ายูกิ แต่ทั้งหมดเป็นภาพหลอนของเธอเท่านั้น)

    ส่วนซอมบี้ที่ยูกิเห็น เธอคิดเพียงว่ามันคือวิญญาณร้ายเท่านั้น...... หากมีคนมาไล่ มันก็หายไปเอง...

    อย่างไรก็ตาม เด็กสาวหลอนโลกนี้ยังมีชีวิตเป็นปกติสุข แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยซอมบี้ หาเธออยู่คนเดียวเธอึคงตายนานแล้ว แต่เธอมีคุรุมิและริอิซึ่งเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่รอดชีวิตในโรงเรียน เป็นคนช่วยเหลือและปกป้องเธอตลอดเวลา เพราะสำหรับสองคนแล้วยูกิเป็นคนที่พวกเธอรักมาก

    คุรุมิและริอินั้นไม่ได้หลอนตามยูกิ เพราะพวกเธอเห็นโลกหายนะนี้ตามสภาพเป็นจริง แต่ที่พวกเธอยอมเล่นตามน้ำภาพหลอนของยูกิ เพราะว่ายูกิเป็นคนที่มอบรอยยิ้มและความสดใส ให้แก่พวกเธอให้มีชีวิตอยู่ต่อไป .....


                       Gakkou Gurashi อาจเป็นผลงานที่หลายคนไม่รู้จัก หากแต่หากพูดถึงว่าคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้เป็นทีมงานของ ทีมงาน Nitro+ หลายคนคงรู้จักกันดี

                    Nitro+ (หรือ Nitroplus) เป็นบริษัทซอฟแวร์ผลิตเกมคอมพิวเตอร์ที่หลายคนรู้จกกันดีในการสร้างนิยายภาพที่มีเนื้อหาแสนโหดร้าย โดยเรื่องที่หลายคนรู้จักกันดีคือ Saya no Uta (26 ธันวาคม 2003) แต่สิ่งที่หลายคนรู้จักกันดีน่าจะเป็นการร่วมมือกับ 5PB (เป็น 5PB x Nitro+) ในการสร้าง Chaos;Head, Steins;Gate และ Robotics;Notes ซึ่งค่ายเกมนี้ชอบทำเกมให้คนเล่นตะลึงอยู่เรื่อย อย่างล่าสุดตอนที่เขียนบทความก็มีเกมสายมืดชื่อ [Nitroplus] Kimi to Kanojo to Kanojo no Koi ซึ่งเป็นเกมจีบสาวยันเดเระเลือดสาดที่มีเนื้อหาน่าตกใจพอสมควรที่วางแผงมาพักหนึ่งแล้ว

                    ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมอ่าน Gakkou Gurashi จิตตกชอบกล

                    การเล่าเรื่องของ Gakkou Gurashi ค่อนข้างดูสับสน เพราะลำดับเรื่องราวค่อนข้างกลับไปกลับมา เพราะต้องการนำเสนอว่าพวกเหล่าสาวๆ ตัวเอกมีชีวิตอยู่อย่างไร โลกนี้มันโหดร้ายอย่างไร พร้อมกับความโหดร้ายจิตตกที่น่าตกใจในตอนท้ายของตอนที่ 6 และถึงตอนที่ 8 ขึ้นไปก็จะเป็นการเล่าเรื่องที่แท้จริง


     

     

    “ริอิ” ที่เป็นเหมือนดั่งพี่สาว (และแม่) ของยูกิ

                    

                    แม้ภาพรวมของมังงะเรื่องนี้คล้ายอารมณ์ของ Chikyuu no Houkago (โลกหลังเลิกเรียน) มังงะที่เคยเอามาพูดถึงเมื่อบทความก่อนหน้า แต่ใช่ว่าจะเหมือนซะทีเดียว เพราะของ Chikyuu no Houkago บรรยากาศจะอันตรายน้อยกว่า ความรู้สึกอยากไปอยู่โลกไม่มีคน และยังพอมีความไว้ในอนาคตข้างหน้าบ้าง หากแต่อารมณ์ของ Gakkou Gurashi มืดมน มืดมน จิตตกมากขึ้น มากขึ้น จนมองไม่เห็นอนาคตเลยทีเดียว

    ธีมหลักของเรื่อง Gakkou Gurashi ก็คือการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยที่กลุ่มตัวเอกที่มีแต่เหล่าสาวๆ ที่พยายามปรับตัวใช้ชีวิตประจำวันในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ให้ออกมาดูสนุกสนาน ลืมเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านมา

    ในช่วงตอนที่ 1-6 เราจะเห็นสามสาวตัวหลักของเรื่อง ทำกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไปโรงเรียน (ทำตัวเหมือนอยู่โรงเรียนเหมือนทุกวัน ทั้งๆ ที่พวกตัวเอกอาศัยโรงเรียนเป็นบ้านไปแล้ว) อ่านหนังสือ ทำกิจกรรมชมรม ปลูกผัก เล่นเกม พูดคุยหยอกล้อเล่นระหว่างทานขนมร่วมกัน หรือแม้แต่สำรวจอาคารเรียน สิ่งเหล่านี้เรามักเห็นอยู่แล้วที่กลุ่มสาวๆ ทำกิจกรรมตามแบบการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยอยู่แล้ว  พวกเธอพยายามทำปรับตัวกับโลกหายนะแห่งนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    แต่แทนที่คนพูจะรู้สึกมีความสุขและอมยิ้มกับความน่ารักของพวกเธอ กลับรู้สึกมืดมน จิตตกมากขึ้นแทน....

    ตามปกติแล้ววิธีการอยู่รอดจากฝูงซอมบี้กินเนื้อคน คือพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่คนพลุ่มพล่าน สถานที่คนเยอะๆ เพราะสถานที่คนพลุ่งพล่านที่ว่านั้นกลายเป็นดงซอมบี้แล้ว และพยายามสถานที่ปักหลักที่ปลอดภัย ที่สามารถป้องกันภัยจากซอมบี้ (กำแพงล้อมรั้วจากซอมบี้) สามารถเก็บเสบียงอาหารจำนวนมากๆ ได้ (เพาะปลูก, เลี้ยงสัตว์)

    แต่กลุ่มสาวโมเอะเรื่องนี้กลับใช้สถานที่อย่างโรงเรียนมาเป็นสถานที่ปักหลัก ซึ่งโรงเรียนถือว่าเป็นสถานที่อันตรายที่สุดในแนวซอมบี้ (การ์ตูนญี่ปุ่น) เพราะเป็นสถานที่มีคนจำนวนมาก (และคนจำนวนมากกลายเป็นซอมบี้เรียบร้อย) โรงเรียนถือว่าเป็นสถานที่หายนะที่ปรากฏในต้นเรื่อง เป็นสถานที่ควรหนีให้ห่างไกลที่สุด แต่กลุ่มสาวเมินเรื่องอันตรายเหล่านี้

    เท่าที่ดูกลุ่มสาวโมเอะนั้นอยู่ในสถานที่อันตรายมาก แม้ว่าไม่ห่วงเรื่องกิน (ปลูกผักบนด่านฟ้า) แต่การป้องกันภัยนั้นแทบไม่ดีเลย แม้มีสิ่งกีดขวางไม่ให้ซอมบี้ขึ้นชั้นบน (กลุ่มสาวโมเอะยึดชั้นบนเป้นสถานที่ทำกิจกรรมและที่อยู่อาศัย) แต่จะพบว่าสิ่งกีดขวางที่ว่าไม่แข็งแรง คงทนเลย อีกทั้งชั้นล่างยังเต็มไปด้วยซอมบี้ ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยปักหลักระยะยาวได้เลย

    กลุ่มสาวโมเอะไม่คิดจะออกจากโรงเรียนเพื่อไปหาสถานที่ปลอดภัยแม้แต่น้อย และที่น่าตกใจที่สุดคือตอนที่สองสาวไปทัศนศึกษา (ออกไปข้างนอก) กลุ่มสาวเลือกไปสถานที่อันตรายที่สุดของแนวเอาตัวรอดอย่างห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้จำนวนมาก

    จะบ้าเรอะ!!

    ดูแล้วช่างสิ้นหวัง เสียวแทนกลุ่มสาวโมเอะ กลุ่มนี้จริงๆ

    แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มสาวเหล่านี้ยังคงมองโลกในแง่ดี ยังยิ้มให้แก่โลกนี้แม้สถานการณ์จะสิ้นหวังก็ตาม

     

     

        หนึ่งในฉากที่ผมชอบในการ์ตูนเรื่องนี้    

     

    หากคุณเป็นสาวโมเอะพวกนี้ คุณจะอยู่โลกเลวร้ายใบนี้ได้ไหม ? โลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ เราจะทำอย่างไรถึงจะปรับตัวโลกแบบนี้ได้? (ไม่จำเป็นต้องมีซอมบี้หรอก อย่างสงคราม, หายนะ, หนี้สิน, ครอบครัวแตกแยก, ความขัดแย้งทางการเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่แตกต่างจากโลกซอมบี้เท่าไหร่หรอก)

    ยิ่งกว่านั้นสาวโมเอะในเรื่อง อยู่ในสถานที่สุดอันตรายเต็มไปด้วยซอมบี้ล้อมรอบ ไม่มีผู้ใหญ่คอยปกป้อง ไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือ (มองแง่ดีพวกผู้ชายในหนังซอมบี้หวังแต่เซ็กต์ผู้หญิงทั้งนั้นแหละ) ไม่มีทหารมาช่วยเหลือประชาชน ต้องหนีและฆ่าซอมบี้ทุกวัน สิ่งเหล่านี้เกินตัวผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งไปแล้ว

                    แต่พวกเธอสามารถปรับตัวโลกใบนี้ได้ เพราะว่าพวกเธอมองโลกในแง่ดี

                    การมองโลกในแง่ดี หรือ “คิดบวก” หมายถึงคนที่มองความสำคัญกับเรื่องราวด้านบวกมากกว่าด้านลบนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี มีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันแล้วว่า ในระยะยาว คนที่มองโลกในแง่ดีจะรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าคนมองโลกในแง่ราย รวมทั้งเจ็บป่วยน้อยกว่า อายุยืนกว่า มีความสุขและความสำเร็จมากกว่า

                    ในภาพยนตร์ซอมบี้ จะเห็นว่ามนุษย์ที่ไม่คิดด้านบวก คิดเอาแต่ได้ คิดเอาแต่เข้าตนเอง ล้วนจบชีวิตแบบน่าอดสู่เพียงใด

    สาวโมเอะในเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเก่งกาจแบบแรมโบ้ ก่อนหน้าที่จะเกิดซอมบี้ระบาด พวกเธอก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน รวมไปถึงบางคนที่มีคนแอบชอบ หากแต่เมื่อเกิดซอมบี้ระบาด ทุกคนหนีตาย บางคนรับสภาพนี้ไม่ได้ก็ขอตายไปเลยดีกว่าเนิ่นๆ  แต่เหล่าสาวโมเอะเลือกกัดฟัน เลือกชีวิตอยู่ต่อ แม้จะผ่านเรื่องร้ายๆ แล้วก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม หากคุณได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้จะเห็นว่าภายใต้รอยยิ้มแย้ม  พวกเธอต้องผ่านเหตุการณ์มากมายกว่าที่จะยิ้มออกและปรับตัวได้

                   หากเที่ยบบทตัวละครคนใดคนหนึ่ง จะพบว่า คุรุมิทวินเทล น่าจะเป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง (อาจมากกว่าหนูหลอนด้วยซ้ำ) เพราะนอกเหนือจากคาแร็คเตอร์ นิสัยแล้ว ทวินเทลเป็นตัวละครหนึ่งที่มีการพัฒนาจิตใจ ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มากมาย รวมไปถึงการมองโลกในแง่บวกได้อย่างน่าสนใจ และชัดเจนกว่าใครเพื่อน

                   

     

    หนึ่งในฉากที่เหมือนจะประทับใจ แต่ความจริงแล้วหดหู่

     

     

                    หากใครได้อ่าน เราจะเห็นเรื่องราวชีวิตของเธอชัดเจนกว่าใครเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวธรรมดาที่ชื่นชอบกรีฑาวิ่งระยะสั้น มีคนแอบชอบ หากแต่ชีวิตปกติธรรมดาของเธอต้องพังทลายเพราะซอมบี้บุกโรงเรียน ได้เห็นคนตายต่อหน้าต่อตา รวมไปถึงการฆ่าซอมบี้ครั้งแรกของเธอ แถมซอมบี้ครั้งแรกดันเป็นคนที่เธอชอบอีกต่างหาก

                    คิดดูสิว่าหากเราเป็นทวินเทล แล้วจะเป็นอย่างไร หลังจากซอมบี้บุกโรงเรียนเธอก็อยู่แต่ในโรงเรียนตลอด แม้แต่จะกลับไปบ้านหาครอบครัวยังไม่ได้ (หากเป็นแนวเอาตัวรอดเรื่องอื่นคงรีบออกจากโรงเรียนเพื่อไปหาครอบครัวของตนไปนานแล้ว)  เป็นคนธรรมดาคงจิตตก หดหู่ สิ้นหวัง มองทุกอย่างในแง่ลบ  ยิ้มไม่ออก ทำอะไรไม่เป็น เป็นบางคนคงตัดสินใจฆ่าตัวตายไปนานแล้ว

                    อย่างไรก็ตาม ทวินเทลยังคงยิ้มแย้ม และยังคงร่าเริงทุกวัน แม้เธอจะมีหวาดผวา หรือสิ้นหวังบ้างเป็นบ้างก็ตาม

                    สาเหตุที่ทวินเทลกัดฟันสู้จนถึงทุกวันนี้ เพราะทวินเทลมีสิ่งยึดเหนียวจิตใจ นั้นคือ หนูหลอน “ยูกิ” นั่นเอง

                    สิ่งที่ยึดเหนียวจิตใจ คือเหตุผลที่อยู่ต่อ นั้นประกอบด้วย “สติ” คือสิ่งที่ยึดเหนียวจิตใจให้อยู่กับความจริง และ “ความเชื่อ” สิ่งที่ยึดเหนียวจิตใจให้อยู่กับอุดมคติ ซึ่งปกติแล้วมนุษย์เรามักจะมีสิ่งยึดเหนียวก็คือศาสนา

                    สิ่งที่ยึดเหนียวของทวินเทลคือหนูหลอน (ยูกิ) หนูหลอนที่สติพังไปแล้ว แต่การมีตัวตนของยูกินั้นทำให้ทวินเทลได้ความรู้สึกเดิมๆ ของกลับคืนมา  ความรู้สึกเดิมที่โลกยังสงบสุขดีอยู่  ยังคงรู้สึกว่าเป็นนักเรียนธรรมดา ยังคงสนุกกับกิจกรรมการละเล่น ได้หัวเราะพูดคุยกับเพื่อนทุกวัน

    นอกเหนือจากการได้ความรู้สึกเดิมกลับคืนมาแล้ว ทวินเทลยังได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของตน ที่ตนมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อปกป้องเพื่อนๆ และนั้นเองทำให้เธอต้องมีจิตใจเข้มแข็ง และทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเพื่อนพ้อง

    หากเราดูการ์ตูนเรื่องนี้หลายๆ ตอนจะพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างทวินเทลกับหนูหลอน (ยูกิ) เป็นไปได้มากกว่าเพื่อนรักเหมือนการ์ตูนโมเอะเรื่อยเปื่อยธรรมดาทั่วไป เพราะเธอต้องเล่น (ตามน้ำ) กับหนูหลอน ไปจนถึงการปกป้อง บางทีอาจมากกว่าพ่อปกป้องลูก และมากกว่าครอบครัวด้วยซ้ำ

    ทวินเทลยอมเล่นตามน้ำกับหนูหลอน (ยูกิ)  เพราะเธอเชื่อว่านั้นเป็นวิธีการที่จะสนุกกับโลกหายนะนั้นด้วย แม้แต่ตอนไปทัศนศึกษาที่หนูหลอน (ยูกิ) อยากออกนอกโรงเรียน ทวินเทลและริอิก็ยอมที่เล่นด้วย ข้างนอกะเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม

    ปกติการออกไปข้างนอกฐานทัพในภาพยนตร์ซอมบี้จะเป็นการหาเสบียงหรือหาของจำเป็นที่ขาด แต่การออกนอกฐานทัพของพวกยูกินั้นเป็นเพราะต้องการความสนุกกับโลกหายนะ แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอันตรายก็ตาม

    แสดงให้เห็นว่าการมองในแง่ดีน่า ทำให้สุขภาพจิตดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รองจากหาที่ปลอดภัย มีน้ำ และอาหาร

    มีอยู่ตอนหนึ่งที่น่าสนใจ แสดงถึงการมองในแง่ดี  เป็นตอนที่ทวินเทลกลับมาบ้านของตน (ระหว่างไปทัศนศึกษากับเพื่อน) แต่การกลับบ้านของทวินเทลนั้นมันช่างหดหู่ สิ้นหวัง มากกว่าประทับใจ เพราะบ้านของตนตอนนี้กลายเป็นบ้านร้างที่ผุพัง พ่อแม่ของทวินเทลหายไปหมด แน่นอนว่าทวินเทลก็เหมือนกับคนธรรมดา เธอรู้สึกเศร้า แต่อย่างไรก็ตามไม่นานก็ทำใจได้ และก่อนที่จะออกจากบ้านเธอได้เขียนโน๊ตทิ้งไว้บนตัวบ้าน เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งพ่อแม่ของเธอจะกลับบ้านและรู้ว่าลูกของตนมีชีวิตอยู่และตอนนี้สบายดี

    นี้ไม่ใช่การมองโลกสวย หรือการหนีโลก แต่เป็นการคิดบวก ในเมื่อในบ้านนั้นไม่มีสิ่งบ่บอกว่าพ่อแม่ของทวินเทลไม่ได้อยู่บนโลก ทวินเทลก็ต้องตั้งความหวัง คิดแง่บวกไว้ก่อน บางทีแล้วพ่อแม่ของเธอแค่หนีไป หากไปยังที่ปลอดภัยที่อื่น ไม่ใช่ที่บ้าน หากคิดด้านลบ ว่าพ่อแม่ของเธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว มีแต่ทำให้สุขภาพจิตแย่ลง คนรอบข้างก็เป็นกังวล ดังนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน สนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า นั้นคือการมองโลกในแง่บวกตามสไตล์สาวโมเอะ

                    คราวนี้มาเรื่องยูกิหรือหนูหลอนสติพัง มองโลกสวยไปหมด ซึ่งนอกจากคิดไปเองว่าโลกยังเป็นปกติสุขแล้ว เธอยังสร้างคนที่ตายไปแล้วอย่าง “อาจารย์ซากุระ” คนที่ยูกิรักว่ายังมีชีวิตอยู่ และทำตัวเหมือนว่าอาจารย์ซากุระยังอยู่ในโรงเรียน แต่ปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว คอยเล่นกับเธอ พูดคุยกับเธอปกป้องเธออยู่ตลอด

     ผมนึกถึงตัวละครใน The Walking Dead ที่ตัวละครแต่ล่ะคนอยู่ในสภาวะจิตตกพอๆ กับหนูหลอยนแล้วสร้างภาพาสวยงามเพื่อหนีจากความจริงที่โหดร้าย

                    ใน The Walking Dead 53 มีตัวละครหนึ่งชื่อโซเฟีย คล้ายๆ กับหนูหลอน เพียงแต่อายุน้อยกว่าเท่านั้น โซเฟียเป็นเด็กสาวอายุยังไม่ถึงวัยรุ่นที่สูญเสียแม่ต่อหน้าต่อตา แต่ไม่นานเธอก็ลืมแม่แท้ๆ ของเธอ แล้วกำหนดแม่บุฯธรรมในกลุ่มของเธอว่าเป็น “แม่” ที่แท้จริงของเธอ เธอคิดว่าแม่ของเธอไม่ตาย และยังคงรักเธออยู่เหมือนเดิม

                    แน่นอนว่าเด็กที่เพื่อนสนิทของโซเฟีย ชื่อ “คลาร์ล” ไม่เห็นด้วย อีกทั้งเขายังสังเกตว่า อารมณ์ของเธอไม่คงที่ เดี่ยวดีใจ เดี่ยวเศร้า ทำให้คลาร์ลเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อของเขา (ริคพระเอกในเรื่อง The Walking Dead  ) ว่า “เธอเป็นบ้า”

                    พ่อของคลาร์ล ไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูกชาย เขาเลยตอบว่า “คนเรานั้นมีวิธีรับมือความตายที่แตกต่างกันออกไป โซเฟียอาจจะเศร้ามากและจะเศร้าตลอดไปหากจำแม่เอาไว้อยู่ เธอเลยเลือดจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างช้า..”

                    คลาร์ลได้ยินพ่อพูดแบบนี้ เขาไม่เห็นด้วย และพูดว่า “งี่เง่าสิ้นดี”

                    พ่อของคลาร์ลได้ยินลูกสบถคำหยาบ ก็ตอบกลับว่า “มันไม่ใช่เรื่องงี่เง่า ทุกวันนี้ความตายโอบล้อมเราอยู่รอบๆ คนใกล้ตัวเราต่างพากันตายไม่เว้นแต่ละวัน แต่ประเด็นคือเราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้

                    นี่ไม่ใช่โลกที่ลูกสมควรจะได้เติบโตไปกับมัน ไม่ใช่เลย แต่พ่อต้องยอมรับว่ามันเป็นโลกใบเดียวที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แต่กลับโซเฟีย เธอน่าสงสาร มีเรื่องราวเลวร้ายรบกวนจิตใจเธอมากเหลือเกิน เธอก็ไม่ควรกังวลว่าลูกจะคิดว่าเธอเป็นบ้าหรือเสียสติอะไรไปแล้วอีก. ถ้าสิ่งที่เธอทำมันจะทำให้ชีวิตของเธอง่ายขึ้นบ้าง ลูกก็ควรเข้าใจมันน่ะ..”

                    นี่คือเหตุผลหลักๆ ใหญ่ๆ ที่พวกหนูหลอนยินดีเล่นตามน้ำ แทนที่จะให้หนูหลอนกลับเข้าสู่โลกเป็นจริง หากไปกังวลหนูหลอนเป็นบ้า ยิ่งทำให้หนูหลอนเครียดหนักไปใหญ่ อย่างไรก็ตาม

                    คนเรามีวิธีมองโลกแง่บวกแตกต่างกัน ทวินเทลมองโลกแง่บวกพยายามสนุกสนานไปกับมัน หนุหลอนมองโลกในแง่ดีแบบหนีโลก ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่ล่ะคน เพียงแต่ว่าอย่าให้มากเกินไปจนส่งผลอันตรายต่อคนรอบข้างเท่านั้นเป็นพอ และหากวันใดวันหนึ่งหากพวกเธออยู่ในสถานทีปลอดภัย หรืออยู่สถานทีที่เรียกว่าโรงเรียนแท้จริง เมื่อนั้นหนูหลอนก็จะเลิกหลอนและจะยอมรับความจริงที่อยู่เบื้องหน้าไปเอง

                    และเมื่อสุขภาพจิตดี ก็ส่งผลต่อคนทั้งกลุ่ม สิ่งที่ตามมาก็คือความสามัคคี ความผูกพัน ความพึ่งพาซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทำสิ่งใดก็สำเร็จ สามารถพันผ่าอุปสรรค์ต่างๆ นาๆ ได้

     

     

    จะจบแบบมีความสุขประทับใจหรือไม่?

     

     

                    ไหนๆ ก็พูดถึง Walking Dead แล้ว ก็ขอเอามาเปรียบเทียบกับ Gakkou Gurashi หน่อยละกัน หากเปรียบเทียบ จะพบว่าทั้งสองเรื่องแม้จะเป็นแนวโลกซอมบี้เหมือนกัน แต่อารมณ์ไม่คล้ายกัน

                    Walking Dead เนื้อหาหลักๆ ของเรื่องคือการปกป้องคนในกลุ่ม ไปจนถึงการครอบครัว การออกเดินทางไปหาที่ปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ตัวละครที่ตอนแรกไม่รู้จักกันมาก่อนแต่ต้องรวมกลุ่มกันเพราะนั่งอยู่เรือลำเดียวกัน ส่วนเนื้อหา เต็มไปด้วยความโหดร้าย สูญเสีย ป่าเถื่อน เพราะนอกเหนือจากหนีซอมบี้แล้ว ยังต้องผจญกับพวกมนุษย์จิตใจทรามที่กลายเป็นสัตว์ป่า การเอาเปรียบคนอื่น และเพื่อปกป้องคนในครอบครัวทำให้กลุ่มของพระเอกกระทำสิ่งที่ขาดความเป็นมนุษย์ธรรมไป (นอกจากนี้ยังต้องผจญกับการความขัดแย้งในกลุ่มทั้งในและนอกด้วย) อารมณ์ของเรื่องดูจิตตก สมจริง และโหดร้ายกว่ามาก

                    แต่ Gakkou Gurashi เนื้อหาหลักๆ คือการสนุกอยู่กับโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ ที่ตัวละครสาวๆ ในกลุ่มพยายามสนุกไปกับมัน มากกว่าตามหาสถานที่ปลอดภัยเหมือน Walking Dead (แค่ฉากไปห้างสรรพสินค้าก็ปวดใจแล้วครับ)  แม้เรื่องนี้ไม่มีความโหดร้าย การขาดมนุษย์ธรรม  ไม่มีมนุษย์เดินดินจิตใจทราม (เพราะแถบไม่มีผู้ชายที่เป็นคนในเรื่องเลย) ไม่มีฉากเหี้ยมโหดไส้แตก เลือดสาด เพราะอารมณ์ของเรื่องนำหลักการโมเอะมาใช้ ตัวละครหลักโมเอะ เน้นมิตรภาพความผูกพัน จนดูแล้วอบอุ่น อีกทั้งซอมบี้ก็ถูกวาดออกมาให้เหมือนผีร้าย (เห็นแต่เงาดำๆ จะมีบางฉากที่เห็นซากเนื้อ ซากกระดูกให้ดูว่าเป็นซอมบี้เท่านั้น) ทำให้ไม่มีภาพโหดร้าย แต่เน้นอารมณ์ความรู้สึกแทน (อารมณ์ประมาณว่าฉากเหมือนประทับใจ แต่อารมณ์ที่ออกมามันจิตตก สิ้นหวังบอกไม่ถูก)

    อย่างไรก็ตาม ทั้ง  Walking Dead และ Gakkou Gurashi มีสิ่งที่เหมือนกัน คือความหมายในการมีชีวิตอยู่ ว่าเราอยู่เพื่ออะไรบนโลกหายนะแบบนี้ โลกที่อาหารและน้ำขาดแคลน สิ่งอำนวยความสะดวกไม่มี  ความตายรอบด้าน ไปไหนก็เจอซอมบี้ ไม่มีบ้านให้กลับไป ซึ่งเห็นแล้วอยากฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตัวละครในเรื่องก็กัดฟันอยู่ต่อ เพราะต่อไปเพื่อปกป้องคนที่คุณรัก (แม้ไม่ใช่ครอบครัวก็ตาม)

    และแน่นอนสิ่งที่ตามมาความผูกพันตัวละคร และเมื่อตัวละครตัวหลักตายไป ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ จิตตกไม่ได้ อย่างไรก็ตามแม้ตัวละครในกลุ่มจะตายไป ทุกคนก็ยังลุกขึ้นสู้ต่อ ซึ่งอดไม่ได้ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากเอาใจช่วย ติดตาม อยากให้จบแบบประทับใจ มีความสุข

                    ดูการ์ตูนแล้วมองดูตัวเองว่าทุกวันนี้เราคิดบอกและกำหนดเป้าหมายชีวิตหรือเปล่า?

    ปัจจุบันการ์ตูนเรื่องนี้ยังไม่จบ พร้อมกับตอนที่เขียนบทความ กลุ่มสาวโมเอะได้สมาชิกสาวน้อยผู้ไม่ยอมหัก ไม่ยอมงอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามัคคีของกลุ่มหรือไม่ และการ์ตูนเรื่องนี้จะจบอย่างไร จะจบปวดใจ โดนซอมบี้กินเรียบหรือไม่ก็ติดตามต่อไป

          

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×