ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #34 : Elfen Lied ใครกันแน่ที่กลายพันธุ์??

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.94K
      15
      6 ก.ค. 60



    Elfen Lied

    Elfen Lied มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่า บทเพลงเทพยดา

    หนังสือ 12 เล่มจบ(มั้ง?) วาดโดย Lynn Okamoto

    อ่านได้ที่  http://www.thaimanga.net/view/98/elfen_lied/

    อมิเนชั่น 13 ตอนจบ

    ดูคลิป http://video.mthai.com/player.php?id=18M1183624522M0

    นอกจากนี้ยังออกเป็นเกมส์อีกด้วย

    (ปล. เนื้อหาบทความนี้เอาเฉพาะภาคอมิเนชั่น)

    (ปล. ใครขี้เกียจโหลดก็ขอมาคนเขียนได้ DVD สี่แผ่นจบ)

     

                    ผมไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ผมรู้จักเรื่อง Elfen Lied บางทีอาจเป็นตอนที่ผมเขียนเรื่องแว่วเสียงเรไรแล้วมีคนมาบอกให้ผมลองไปดูเรื่อง Elfen Lied โดยเสริมว่าการ์ตูนเรื่องสนุกนะเลือดสาดดี แถมแฝงสัญลักษณ์ต่างๆ ด้วย ไม่ใช้แอ็คชั่นเอามันอย่างเดียว

                    อืม...ผมรับฟังคำเชิญชวนของคนๆ คนนั้น และลองไปเปิดตัวอย่างหา โอ๊ะมีพอดีเลย หาง่ายจะตาย นี้ไงในเว็บยูธูป วีดีโอคลิปก็มี มีคำวิจารณ์ด้วย อืม....มี 13 ตอนจบ

                    แต่ตอนแรกนั้นเนื่องด้วยผมขี้เกียจดาวน์โหลด ผมเลยสั่งซื้อดีวีดีจากไปรษณีย์ในเว็บที่ขาย ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่นัก(ดูแล้วคุ้มนะ)เ ปิดออกมาผมวุ้นวายในการเปลี่ยนภาษาและซับนิดๆ หน่อย กว่าจะได้เสียงญี่ปุ่นซับไทย(แต่เสียงอังกฤษนี้ก็สยองไม่ใช้ย่อย) โดยขึ้นมาก็เป็นเพลงไตเติ้ลภาษาละตินที่ช่างไพเราะ หลอน และขลังมากถ้าดูตอนกลางคืน โดยเนื้อเพลงเท่าที่จดๆ มาทั้งคำอังกฤษและแปลไทยมา ดังต่อไปนี้

                    The Mouth of the just shall meditate wisdom

                    (ปากที่เอื้อนเอ่ยแต่คำสอน)

                    and his tongue shall speak judgment.

                    (ซิวหาพร่ำพรรณนาแต่การพิพากษา)

                    Blessed is the man that endureth temptation

                    (พรอันประเสริฐย่อมเป็นของผู้อดทนต่อสิ่งเย้ายวน)

                    For when he hath been proved, he shall receive the crown of life

                    (เมื่อคนผู้นั้นผ่านการยืนยันว่าตนจักได้รับซึ่งมงคลแห่งชีวา)

                    Lord, fire divine, have mercy

                    (พระผู้สร้าง เพลิงแห่งทวยเทพ ได้โปรดเมตตา)

                    Oh how holy, how serene

                    (โอ ช่างศักดิ์สิทธิ์ ช่างสงบ)

                    how benevolent, how pleasant

                    (ช่างเมตตา ช่างน่ายินดี)

                    Oh Lily of purity

                    โอ ลิลลี่แห่งสัญลักษณ์บริสุทธิ์

                    เนื้อเพลงชื่อว่า ลิลิอุมดอกลิลี่) Lilium เป็นจังหวะเพลงบทสวดของศาสนาคริสต์ ที่หดหู่และค่อนข้างเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าหรือความบริสุทธิ์ไงชอบกล (ภาษาดอกไม้ของลิลลี่หมายความว่าความอ่อนหวานและความบริสุทธิ์) ผสมกับภาพในเพลงไตเติ้ลที่ขลังซะเหลือเกิน

                    สังเกตว่าภาพไตเติ้ลเปิดเนื้อเรื่องนั้น พยายามทำให้เหมือนภาพชื่อดังหลายภาพ(แต่ละภาพแพงระยับทั้งนั้น) โดยสื่อให้เห็นว่าลักษณะของตัวละครนั้นๆ ตรงกับความหมายของภาพนั้นๆ(ความหมายของภาพผมเดาเอานะครับ)

    (ข้อมูลจาก http://my.opera.com/BleedingHeart/blog/2008/04/09/famous-art-appearing-in-anime)

    (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dudao&month=01-2008&date=26&group=1&gblog=80)



    Portrait der Mäda Primavesi
    Gustav Klimt, 1912
    (ความหมายคือ สาวน้อยที่ไร้เดียงสา ผู้อ่อนต่อโลก)

     

    The Fulfilment
    Gustav Klimt, 1905-1909

    (ความรักของชายหญิงที่ต่างฐานะ)

     


    Portrait der Adele Bloch-Bauer
    Gustav Klimt, 1905

    (ความโศกเศร้า จากอดีต)

     


    Portrait der Adele Bloch-Bauer
    Gustav Klimt, 1905

    (สุภาพสตรี)

    (เพิ่มเติม หญิงภาพเหมือนคนนี้ชื่อ อาเดเลอ บล็อค-เบาเออร์ ภรรยาของเจ้าของโรงงานน้ำตาลชาวยิว โดยกุสตาฟ คลิมท์ วาดภาพสีทองนี้เมื่อปี 1907 ภาพนี้ได้ฉายาว่า "โมนาลิซาแห่งออสเตรีย"ซึ่งคลิมท์ใช้เวลาวาดถึง 4 ปี ร่ำลือกันว่าเธอเป็นคนรักของศิลปิน เป็นรักต้องห้ามที่ทั้งคู่เก็บซ่อนไว้)

     

     

    Der Kuss
    Gustav Klimt, 1907-1908

    (ความรักของคู่รัก)

                    (เพิ่มเติม Der Kuss หรือ The Kiss เป็นผลงานเอกที่สร้างชื่อเสียงให้กับกุสตาฟ คลิมท์ เป็นอย่างมากภาพนั้นบ่งบอกถึงความรักของชายหญิงที่มีต่อกันอย่างดูดดื่ม คนทั้งสองคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายกันอย่างหนาแน่น  ผลงานชิ้นนี้เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1907-1908 เป็นภาพสีน้ำมันบนผ้าใบปัจจุบันอยู่ที่หอศิลป์ แห่งกรุงเวียนนา ออสเตรีย )

     


    Portrait der Maria Munk
    Gustav Klimt, 1917-1918
    (สาวน้อยที่พร้อมเป็นมิตรกับทุกคน)

     

    Wasserschlangen I
    Gustav Klimt, 1904-1907

    (ความต้องการของหญิงสาว)

     


    Adam und Eva + Three Ages of Woman
    Gustav Klimt, Adam und Eva + Three Ages of Woman
    Gustav Klimt, 1917-1918 + 1905 1917-1918 + 1905

    (อดัมกับอีฟ)

     


    Danae
    Gustav Klimt, 1907

    (เพิ่มเติม Danae เป็นตัวละครหนึ่งในเทพนิยายกรีก เป็นธิดาโทนผู้เลอโฉมของกษัตริย์ Acrisius แห่งเมือง Argos ตอนหลังเธอมีเพศสัมพันธ์กับเทพเจ้าซุสและกำเนิดบุตรชายชื่อ Perseus และมีคำทำนายว่าบุตรชายคนนี้จะฆ่า Acrisius และตอนหลังก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ตามคำทำนาย)

     

                    ทั้งหมดเป็นผลงานของ กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt)  เป็นจิตรกรชาวออสเตรเรีย มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1862 - 1918 ค่อนข้างจะเป็นศิลปินอาภัพ เป็นชาวเวียนนาแต่กำเนิด เป็นลูกชายคนโตของช่างทอง ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ งานของเขาส่วนใหญ่มักเน้นสีทองขลัง ปั้นปลายชีวิตของเขาค่อนข้างเป็นทุกข์ เขาได้ลาโลกนี้ไปทั้งๆ ที่ผลงานของเขายังไม่เสร็จหลายภาพ ซึ่งในเวลาต่อมาผลงานของเขาได้กลับกลายเป็นสิ่งที่ล่ำค่าของโลก

                    โหยนี้แค่เพลงไตเติ้ลนะเนี้ย เนื้อหามันจะขนาดไหน

                    ก่อนที่จะเล่าเนื้อเรื่องย่อผมก็แนะนำตัวละครสักหน่อยละกันนะครับ ว่าตัวละครเหล่านี้ในมุมมองของผมเป็นอย่างไรบ้าง

                    
                    ลูซี่(
    Lucy) ไดครอเนียสคนแรกของโลก ที่ถูกเรียกว่า “ราชินี” อายุ 18 ปี มีพฤติกรรมที่โหดร้าย โหดเหี้ยม เกลียดและแค้นมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เนื่องจากวัยเด็กโดนรังแกจากพวกเด็กในสถานกำพร้าที่ฆ่าสุนัขที่เธอรักต่อหน้า จนเป็นเหตุให้เธอบ้าเลือดฆ่าคนดะ จนกระทั้งพบโคตะซึ่งเป็นรักแรกของลูซี่ แต่แล้วเพราะความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยลูซี่จึงบ้าเลือดอีกครั้ง จนถูกจับขังในห้องทดลอง เพื่อโครงการมนุษย์ชาติยุคใหม่ ภายหลังได้หลบหนีจนได้พบกับโคตะอีกครั้ง

                    
                    นิว(
    Nyu) บุคลิกที่สองของลูซี่ที่เกิดขึ้นโดยกระสุนปืนที่ยิงกระทบหมวกเล็กจนสะเทือนสมองของลูซี่เข้า ดูเหมือนว่านิวจะยึดครองร่างที่แท้จริงของลูซี่ได้จนเกือบสมบูรณ์แบบ มีบุคลิกเหมือนเด็กทารก ชอบโคตะ พูดได้แต่คำว่า “นิว” เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมานิวได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจนพูดนอกเหนือจากคำว่านิวได้ และเมื่อถูกอะไรกระทบหัวหรือทำให้สลบนิวจะกลับกลายเป็นลูกซี่อีกครั้ง

                    
                    โคตะ(
    Kohta) พระเอกพ่อปลาไหล และพ่อพระผู้อ่อนโยน(สุดๆ ไม่เคยเห็นพระเอกคนการ์ตูนเรื่องไหนพ่อพระมากกว่านี้แล้ว) อายุ 19 ปี ที่สูญเสียความทรงจำไปก่อนหน้าจนเกือบหมด และเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดก็ว่าได้  สูญเสียพ่อและน้องสาวจากเหตุการณ์หนึ่งในอดีตในระหว่างกลับจากการท่องเที่ยวบ้านญาติ จนกระทั้งในเวลาต่อมาก็กลับมาที่นี้อีกครั้งเพื่อเรียนต่อมหาลัยและได้เช่าบ้านที่เป็นร้านอาหารเล็กๆ กับญาติ และได้พบกับลูซี่และนิวและไดครอเนียสคนอื่นๆ ทำให้ชีวิตของโคตะได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง......(โคตะเป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดเลยนะครับ เพราะฉีกกฎการ์ตูนแนวเลือดสาดทั้งหมด ปกติแล้วการ์ตูนแนวนี้พระเอกจะมีลักษณะเข้มแข็ง รักความยุติธรรม ใจร้อน กล้ามเป็นมัดๆ ใช้กำลังในการแก้ปัญหา(เช่นพระเอกในเรื่องบลิซ เป็นต้น) แต่สำหรับเรื่องนี้พระเอกกลับดูท่าทางอ่อนแอ และแทบไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา และพยายามสร้างสันติระหว่างมนุษย์และไดครอเนียส(ในภาคหนังสือตอนแรกผู้เขียนจงใจทำโคตะเหมือนพระเอกแบบเข้มแข็งเหมือนกัน แต่หลังๆ ก็เปลี่ยนบุคลิก ทำตาโตขึ้น เพื่อดูให้อ่อนโยน และกล้ามก็หายไป ทำให้ดูเหมือนเด็กมัธยมต้นมากกว่าเด็กมหาลัย) และจุดเด่นของโคตะในอมิเนชั่นคือโครตพ่อพระมากๆ ยอมให้คนที่ไม่รู้หัวหนอนปลายเท้ามาอาศัยในบ้านของตนเองโดยไม่ระแวงอะไรสักนิด)

                    
                    ยูกะ(Yuka) ลูกพี่ลูกน้องของโคตะ อายุ 19 เท่ากับโคตะ แอบชอบโคตะ จงใจเรียนมหาลัยเดี่ยวกับโคตะ ทั้งๆ ที่ได้มหาลัยดีกว่า(เธอเลือกเรียนคลาสเดียวกับโคตะด้วย) ดังนั้นเธอจึงมักหึงบ่อยๆ เวลาที่โคตะพูดกับผู้หญิงคนอื่น และเธอเป็นต้นเหตุให้ลูซี่คลั่ง

                    
                    นานะ(
    Nana) หรือหมายเลข 7 ไดครอเนียสที่มีนิสัยไม่ฆ่าคน(แต่กลับกลายเป็นของไม่สมบูรณ์ซะงั้น) อ่อนโยน และอ่อนโลก เป็นไดครอเนียสตัวแรกที่ถูกส่งมาเพื่อพาลูซี่กลับไปศูนย์วิจัย แต่กลายเป็นว่าตอนจัดการซะเองจนสูญเสียแขนและขาสองข้าง ภายหลังถูกทิ้งจนต้องมีมาอยู่อาศัยในบ้านโคตะ เรียกคุรามะว่าคุณพ่อ(เธอได้รับบทเจ็บตัวมากที่สุดในการ์ตูน)

                    
                    มายุ สาวน้อยอายุ 12 ขวบ ที่หนีออกจากบ้านเพราะรับไม่ได้กับพ่อเลี้ยงทำอนาจารตน มีนิสัยเรียบร้อยและพร้อมเป็นมิตรกับทุกคน ภายหลังได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโคตะ

                    คุรามะ หัวหน้าศูนย์องค์กร รับผิดชอบทดลองเรื่องไดครอเนียส เป็นคนรักความยุติธรรมและความถูกต้อง ภายนอกดูเข้มแข็งน่ากลัวแต่ใจดีงาม มีอดีตสูญเสียภรรยาเพราะลูกสาวเป็นไดครอเนียส(ผลสุดท้ายก็ไม่ได้เจอโคตะ)

                    
                    หมายเลข 35  หรือมาริโกะไดครอเนียสที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาไดครอเนียสคนอื่นๆ(ทั้งเรื่องก็เห็นแค่ 3 ตัวนี้แหละ...เออ.มีอีกตัวหนึ่งแต่โดนปืนยิงระเบิดหัวตาย) เป็นลูกสาวของคุรามะ ภายนอกเหมือนเด็กน้อยอ่อนแอ แต่มีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต(ผมชอบจริงๆ ฉากที่เธอนั่งอยู่บนรถเข่นแล้วเลื่อนเพื่อล่าเหยื่อ)

                    ผู้อำนวยการศูนย์ ผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์กร ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นสามีของไดครอเนียสเพื่อกำเนิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ เป็นคนออกคำสั่งให้ไดครอเนียสคนอื่นๆ ตามจับตัวลูซี่ โดยไม่สนว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ตายกี่คน

                    
                     หลังจากฟังเพลงและเห็นตัวละครต่างๆ จนจบ(น่าแปลกใจที่ไม่เห็นพระเอกในเพลงไตเติ้ลเลยสักภาพ) จากนั้นเนื้อเรื่องก็ตัดไปที่สถานีวิจัยแห่งหนึ่งบนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล ที่ทำการทดลองเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกเรียกว่า ไดครอเนียส
    (Diclonius) ซึ่งเป็นมนุษย์สองเขา เนื่องจากมนุษย์เหล่านี้มีบางส่วนของกระโหลกยื่นงอกออกมาเหมือนเขาสองข้าง(เหมือนหูแมว) ซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด โดยไดครอเนียสทุกตัวจะมีพลังพิเศษคือมีพลัง “เวคเตอร์” ซึ่งเป็นพลังจิตสามารถควบคุมมือแขนล่องหนที่มีจำนวนมากมายตามโดยมีระยะทางและพละกำลังแตกต่างกัน โดยไดครอเนียสสามารถใช้พลังนี้หยิบจับวัตถุ และสามารถฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย

                    ส่วนมากแล้วไดครอเนียสมักตายตั้งแต่เกิด แต่ถ้าหากรอดไปได้จะเริ่มมีพฤติกรรมเริ่มฆ่าคน โดยไม่สนว่าคนนั้นจะเป็นใครไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคนรักก็ตาม

                    ทางการได้ตระหนักดีถึงความร้ายกาจของไดครอเนียส และหวาดกลัวว่าเผ่าพันธุ์นี้จะมาแย่งสถานะการเป็นเจ้าโลกของตน ดังนั้นไดครอเนียสส่วนใหญ่มักถูกทางการจัดการสังหารโหด  และมีอยู่บ้างที่บางส่วนถูกกักตัวไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเพื่อศึกษาในห้องวิจัยลับ ถูกขังในแคปซูสแคปๆ มีสายท่อต่อเพื่อเอาน้ำและอาหารเข้าร่างกาย

                    
                    เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่นางเอกของเรื่องชื่อ “ลูซี่” ซึ่งได้รับขนานนามว่าเป็นราชินีของไดครอเนียสที่เธอหลุดรอดจากพันธการและพยายามหลบหนีจากสถานวิจัยในสภาพเปลือย ระหว่างทางเธอได้ใช้พลัง “เวคเตอร์” ทำการสังหารเจ้าหน้าที่ที่ขัดขวางเธอคนแล้วคนเล่า เลือดสาดกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ อย่างโหดเหี้ยม อำมหิต โดยฉากนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กอย่างยิ่งยวด จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใดที่การ์ตูนเรื่องนี้ถึงถูกแบนในระยะแรกๆ

                    ท่ามกลางซากศพของเจ้าหน้าที่ ลูซี่ก็เดินอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นบุคลิกเธอว่าเธอเป็นคนเลือดเย็นโหดเหี้ยม พร้อมสังหารมนุษย์ทุกคนที่เจอหน้า ตอนแรกๆ ผมคิดว่าแล้วถ้าเกิดเธอพบพระเอก พระเอกจะตกเป็นเหยื่อของลูซี่ไหมนี้ และในขณะหลบหนีไปถึงหน้าผานั้นเอง เธอก็ถูกเจ้าหน้าที่สไปเนอร์ยิงกระสุนเข้าที่ศีรษะที่หมวกเหล็ก แต่กระสุนนี้ไม่ได้ทำให้ตายทันที ลูซี่ตกทะเล และหายไปกับเปลวคลื่น

                    จากนั้นภาพก็ตัดมาที่พระเอกใจพระของเรานาม โคตะ นักศึกษามหาลัยที่กำลังจะมาใช้ชีวิตในคานางาวะระหว่างทางได้เจอยูกะลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้เจอมา 8 ปี เต็มๆ ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัยเรื่อยเปื่อยจนไปถึงชายหาดนั้นเอง ทั้งสองก็พบลูซี่ที่กำลังเปลือยบาดเจ็บอยู่ ดูเหมือนว่าลูซี่จะเปลี่ยนนิสัยเพราะโดนกระสุนกระเทือนสมอง ทำให้เกิดบุคคลซ้อน กลายเป็นเด็กทารกไร้เดียงสาที่พูดได้แต่คำว่า “นิว” เท่านั้น

                    
                   ด้วยความเป็นพ่อพระของโคตะเขาเลยพานิวกลับบ้านและตั้งชื่อว่า “นิว” และกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของโคตะ โดยโคตะไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งเมื่อ 8 ปีก่อนโคตะได้รู้จักกับลูซี่ชนิดที่เรียกว่าแค้นนี้ต้องชำระก็ว่าได้

                    ส่วนทางของด้านทางการ บางคนแทบสิ้นหวังในการตามจับตัวราชินีแล้ว แต่ตัวผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยังดื้อดึงอย่างยิ่งยวดเพื่อนำตัวลูซี่กลับมาให้ได้ เขาต้องการสร้างสายพันธุ์ใหม่เพื่อให้ตนเองเป็นอดัมของโลกใบนี้ ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งที่แสนจะโง่และบ้าคือ ให้ไดครอเนียสคนอื่นๆ ตามจับตัวลูซี่มาให้ได้

                    ดังนั้นหลายๆ ตอนเรามักเห็นฉากโหดๆ หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นไดครอเนียสกับมนุษย์ที่ตามล่า  หรือ ไดครอเนียสกับไดครอเนียสที่ถูกส่งมาโดยผู้อำนวยการ

                    หลังจากที่ดูจบ สิ่งที่ผมลุ้นมากๆ ในการ์ตูนเรื่องนี้คือตัวละครสำคัญในเรื่องจะตายไหม โดยเฉพาะพระเอกโคตะที่หลายฉากโคตะเกือบโดนฆ่าเหมือนกัน(เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าจะโดนฆ่า) หรือแม้กระทั้งยูกะที่ทำตัวเป็นแฟนกับโคตะจนมีหลายครั้งที่ลูซี่หึ่งหวงจนคิดจะฆ่าหลายครั้ง หรือนานะที่น่าสงสารที่สุดท้ายเธอจะรอดจากการตามล่าได้ไหม

                    ช่วงแรกๆ หลายคนที่ดูการ์ตูนเรื่องนี้จะมองว่าเป็นการ์ตูนที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เลือดสาด ชนิดที่ว่าไม่เปลืองสีแดงเลยสักนิด ฉากโชว์สรีระผู้หญิงผ่างๆ แต่กระนั้นมีหลายๆ ตอนได้สอดแทรกข้อคิดและประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกัน

                       อย่างแรกคือใครกันแน่คือคนชั่วในเรื่องไดครอเนียสหรือมนุษย์  มนุษย์เรามักมีพฤติกรรมอย่างหนึ่งคือมักหวาดกลัวสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์ หลังจากที่พวกเขารู้จักไดครอเนียสทั้งๆ ที่ไม่รู้แน่ว่ามันคืออะไรกันแน่ พวกเขาก็ตั้งแง่ว่ามันเป็นสิ่งอันตรายไว้ก่อน พวกเขากลัวที่ว่ามันจะมาแผนที่ตน ดังนั้นสิ่งที่ตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อไดครอเนียสคือ ถูกตราหน้าว่าสิ่งสิ่งอันตรายสำหรับมนุษย์ชาติ สมควรต้องกำจัด จับแยกจากสังคม ถูกกักขัง ทรมานด้วยวิธีการทดลองที่โหดร้านต่างๆ พวกไดครอเนียสจะถูกเรียกตัวหมายเลขแทนชื่อ

                    
                    หลักฐานที่ว่าไดครอเนียสไม่ใช้เลวร้ายตั้งแต่เกิด คือการย้อนอดีตของลูซี่นั้นเอง ตอนแรกนั้นลูซึ่เป็นเด็กกำพร้า เกิดมาก็มีเขาหูแมว จนเป็นเหตุให้ถูกเด็กรุ่นเดียวรังแกและกระทำการแกล้งที่โหดร้ายอยู่บ่อยๆ พวกเด็กวัยคะนองพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน รังเกียจความมีปมด้อยของผู้อื่น และรังแกสิ่งนั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเล่นนั้นมันอันตรายถึงชีวิต  และเมื่อถูกขีดสุดผลสุดท้ายลูซี่ก็ตอบโต้ ในเมื่อมันรุนแรงมาก็รุนแรงตอบ  ผลออกมาคือเด็กเกเรตายยกแก๊ง และเมื่อพบว่าตนได้ฆ่าคนตาย ลูซี่ก็หลบหนี ฆ่าคนไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่อยู่อาศัยและอาหาร

                    ในกรณีคือลูซี่กำลังหาความยุติธรรมของตนเองอยู่ เหมือนในกรณีของโซซึง ฮุย นักศึกษาเกาหลีใต้ที่ก่อคดีสังหารหมู่ในมหาลัยเวอจิเนียร์ เทค สหรัฐอเมริกา ที่ทนแรงกดดันจากความอยุติธรรมในสังคมไม่ไหว ถูกสังคมอเมริกาเหยียดว่าเป็นชาวเอเชีย พูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ถูกล้อเลียนกดดันต่างๆนานา จนทำให้เกิดอาการซึมเศร้า จนในที่สุดความกดดันทั้งหลายก็ระเบิดขึ้นมา เขานำปืนพร้อมด้วยกระสุนเต็มพิกัดเดินดุ่ย เข้าโรงเรียนไปยิงเพื่อนนักศึกษาและครูจนเสียชีวิต ไปถึง 32 ราย จากนั้นก็ได้กลับมาปลิดชีพตัวเอง

                    สิ่งที่ผมได้เห็นอดีตของลูซี่นี้คือมันช่างเหมือนชีวิตฆาตกรต่อเนื่องหลายคนเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ เอดดี้ กีน หรือแฮรี่ ลี ลูคัสที่ชีวิตวัยเด็กนั้นต้องพบเรื่องเลวร้ายๆ ต่างๆ มากมาย ทั้งๆ ที่ตนไม่ผิดสักนิดก่อนที่จะผันตัวเป็นฆาตกรโรคจิตต่อเนื่องในเวลาต่อมา

                    อีกประเด็นหนึ่งคือกรณีของหมายเลข 35 ที่มานึกๆ ดูแล้วเธอไม่อันตรายสำหรับมนุษย์ชาติเลยสักนิด เธอไม่สนใจที่จะครองโลกด้วยซ้ำ เธอฆ่าคนเพราะไม่มีใครสอนเธอว่าการฆ่าคนนั้นเป็นบาปเนื่องจาก เธอถูกขังในแคปซูสนานเกินไปจนไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอก ดังนั้นเวลาเธอฆ่าคนก็เพราะว่า “มันสนุก” เสมือนเด็กหักปีกผีเสื้อ ไม่รู้ว่าพลังของตนมีไว้เพื่อทำอะไรกันแน่

                    ในฉากสุดท้ายของหมายเลข 35 ก็ช่างเศร้าและซึ้งโดยแท้ ดังนั้นเธอก็เปรียบเสมือนเด็กถูกทิ้ง ขาดความอบอุ่น ไม่รู้จักความรักของครอบครัว แต่ในที่สุดเธอได้พบคุรามะพ่อที่แท้จริงของเธอ เธอกลับไม่ใช้พลังฆ่า เพราะเธอรู้ดีว่านี้คือพ่อของเธอ พ่อที่เธอตั้งใจรอคอยมาตลอดว่าสักวันจะมารับตัวเธอออกจากแคปซูสแคบๆ ที่เหมือนนรกอย่างงั้น เธอได้โผกอดพ่อที่แท้จริงก่อนที่จะโดนระบิดที่ฝังในสมองระเบิดตายพร้อมพ่อกับลูก หมายเลข 35 ตายทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นโลกที่สวยสดงดงาม ไม่เคยลิ้มลองไอศกรีม ไม่ได้กินโซบะราเม็งที่แสนอร่อย สิ่งที่เธอได้ก็แค่ความสุขเวลาสั้นๆ ที่ได้พบก็พ่อที่แท้จริง

                    
                    เปรียบเทียบกับมนุษย์ในเรื่องละ พวกนั้นมีแต่ความอ่อนแอ ชอบกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า มีแต่ความละโมบ ความหวาดกลัว หยาบคาย เหยียดชาติพันธุ์ นี้นะเหรอคือเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าประเสริฐของโลก 
    ในขณะที่พวกไดครอเนียสก็เหมือนมนุษย์ทั่วๆ ไป พวกเขาก็มีทั้งทุกข์ และสุข อิจฉา ริษยา เพียงแต่ว่าตนมีเขาและมีพลังเหนือมนุษย์เท่านั้น ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นตัวอันตรายไป

                    พวกมนุษย์ในเรื่องนี้คงลืมนึกคำสอนศาสนาที่ว่า “คนเราเกิดมาทำไม” ทำไมธรรมชาติถึงต้องกำเนิดไดครอเนียสขึ้นมา บางทีนี่อาจเป็นคำตอบของธรรมชาติที่บอกมนุษย์ว่า “ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาสมควรจะล่มสลายเสียที อยู่ไปก็หนักโลกเปล่าๆ “ก็เป็นไปได้

                    
                    ฉากที่ผมดูแล้วมีความสุขในการตูนเรื่องนี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 ฉาก คือฉากนานะได้รับประทานอาหารอร่อย ได้รับความสุขที่พวกไดครอเนียสไม่มีในห้องวิจัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสุขเล็กๆ น้อยแต่ยิ่งใหญ่สำหรับนานะ ที่ผมดูแล้วอมยิ้มดูหลายรอบ และเป็นห่วงๆ นิดๆ ว่า สุดท้ายนานะจะตายหรือเปล่า(เพราะการ์ตูนส่วนมากตัวละครประเภทนี้มักตายซะด้วยสิ) แต่ผลสุดท้ายคือนานะไม่ตาย ก็เพราะนานะเป็นเด็กดี เธอไม่เคยโกรธแค้นมนุษย์ที่ทรมานเธอแม้แต่น้อยเพราะด้วยความดีนั้นเองก็ให้คนคนรอบๆ ตัวต่างรักใคร่ไม่ว่าจะเป็นโคตะหรือคุรามะหรือมายุต่างพยายามปกป้องนานะอย่างเต็มที่โดยไม่สนว่าตนเองเป็นอันตรายหรือไม่เข้าทำนองคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

                    อีกฉากที่ประทับใจไม่แพ้กันคือฉากลูซี่ตอนเด็ก(อีกแล้ว) ที่เธอน่ารักมากๆ ดูเป็นทอมบอยนิดๆ(เพราะตัดผมสั้น) เธอเข้มแข็งแต่ในขณะเดียวกันจิตใจก็อ่อนบาง เธอเหงาต้องการเพื่อน จนกระทั้งพบโคตะตอนเด็กที่กำลังเดินเล่นๆ อยู่พอดี โคตะไม่รังเกลียดหูแมวของลูซี่เลย และพยายามเป็นเพื่อนกับลูซี่ ลูซี่เองก็ไม่เคยเห็นใครที่ดีต่อตนแบบนี้มาก่อน เธอจึงยอมเป็นเพื่อนกับโคตะ ฉากที่ผมชอบคือฉากที่โคตะพาลูซี่ไปสวนสัตว์ ลูซี่ตกใจกับสัตว์ที่ไม่เคยพบเห็นต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นช้างหรือยีราฟในชีวิตลูซี่ไม่เคยเห็นสัตว์พวกนี้มากก่อน

                    แต่ฉากประทับใจที่สองนั้น กลับพังทลายในพริบตา เพราะความหึ่งหวง และความอิจฉาริษยาของลูซี่แท้ๆ ที่ไม่ชอบเห็นใครมีความสุขมากกว่าตน เมื่อโคตะบอกลาเธอว่าจะกลับบ้านที่โอซาก้าและวันสุดท้ายก่อนกลับนั้นขอไปเที่ยวงานเทศกาลกับญาติเป็นครั้งสุดท้าย ลูซี่เริ่มหึ่งเลยถามโคตะว่า "ญาติคนนั้นเป็นผู้หญิงหรือชาย" โคตะผู้อ่อนโยนได้รับรู้ความรู้สึกถึงความริษยาของตัวลูซี่" เขาจึงจำเป็นต้องโกหก โดยไม่รู้ว่านี้เป็นจุดเริ่มต้นถึงความเลวร้ายที่ตามมา เพราะ ลูซี่ได้แอบตามโคตะเข้างานเทศกาลและเข้าใจผิดว่าโคตะรักยูกะมากกว่าตน(หรือหักหลังตน) ทำให้สัญชาติญาณแห่งความคลั่งของลูซี่กลับมาอีกครั้ง ลูซี่จัดการสังหารพ่อและน้องสาวของโคตะตอนกลับบ้านเพื่อเป็นการสั่งสอนโคตะ ดูๆ ไปฉากนี้ก็เหมือนกับความริษยาแบบเด็กๆ เพียงแต่ว่ามีการเพิ่มพลังจิตและใส่ความโหดเท่านั้น(เอง)

                    ความหึงห่วงของเด็กผู้หญิงน่ากลัวเป็นบ้า

                   โคตะที่เห็นพ่อกับน้องสาวถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ด้วยฝีมือของเด็กสาวที่เขาเป็นเพื่อนให้ เด็กน้อยโคตะสับสนหวาดกลัว เลยถามลูซี่ว่าฆ่าครอบครัวทำไม ลูซี่ตอบกลายๆ ว่าตาต่อไปจะเป็นยูกะ โคตะได้ยินดังนั้นเขากระโจมไปหาลูซี่โดยไม่กลัวตายแม้แต่น้อย

                    " หยุดเถอะ หยุดซักที  พอได้แล้ว"

                    เด็กน้อยโคตะร่ำไห้ พูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือก็กระแทกลูซี่เป็นระยะ สำหรับลูซี่แล้วนี้คือถ้อยคำที่มีอนุภาพมากยิ่งกว่าปืนกลเสียอีก เธอได้รู้สึกตัวว่าตนได้ทำบาปที่ใหญ่หลวงเสียแล้ว

                   

                     ประเด็นต่อมาที่ทุกคนสงสัยในอมิเนชั่นก็คือทำไมพระเอกถึงได้ให้อภัยลูกซี่ (หมายเหตุในภาคหนังสือ ตอนแรกพระเอกไม่ได้ให้อภัยลูซี่)

                    ฉากสุดท้ายของอมิเนชั่นเรื่องนี้คือพระเอกกับลูซี่บนบันไดหินที่ตอนแรกผู้ชมหลายๆ คนคิดว่าโคตะจะฆ่าลูซี่เพื่อจบเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ไว้เบื้องหลัง

                   หลังจากที่โคตะได้พบลูซี่ได้ฟังเรื่องราวต่างๆของเธอที่ถูกศูนย์วิจัยกักขังจนสิ้นอิสรภาพแต่นั้นไม่ได้เทียบเท่ากับบาปที่เธอทำกับโคตะแม้แต่น้อยเธออยากจะตายไปพ้นๆ จากโลกนี้ซะแต่สิ่งที่เธอมีกำลังใจจะอยู่ต่อคือการที่จะพบกับโคตะอีกครั้งเพื่อให้โคตะตัดสินชีวิตของเธอ                

                    อย่าไปนะโคตะเอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขณะที่ลูซี่กำลังจะหนีจากโคตะ เขากอดลูซี่แน่นเพื่อไม่ให้หนี

                  ทำไมล่ะ? ฉันฆ่าครอบครัวเธอนะลูซี่สับสน สงสัยว่าทำไมโคตะไม่ฆ่าตน ทั้งๆ ที่โคตะรู้ว่าเธอคือหายนะของมนุษย์ชาติ “ฉันไม่ให้อภัยเธอไม่ได้ที่เธอฆ่าพ่อและคานาเอะ(น้องสาวของโคตะ)”

                    “แต่.....แต่ว่า....ถ้าเธอทำร้ายคนอื่นอีกฉันจะเสียใจตลอดอีกครั้ง... ฉันชอบเด็กผู้หญิง(ลูซี่)ที่ดูเหงาๆ คนนั้นในวัยเด็กของฉันมากและฉันชอบนิวมาก..”โคตะพูดจบและเขากับลูซี่ก็จูบ(จูบเฉยๆ นะ)

                    สรุปคือโคตะไม่แค้นลูซี่เลยสักนิด

                    ถามว่าพระเอกโง่? หรือบ้ากันแน่? แน่นอนในกระทู้อื่นๆ ต่างออกความเขียนเห็นจนเป็นหัวข้อออฟเดอะเทาวน์ ว่าทำไมโคตะถึงอภัยกับลูซี่ ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าลูซี่เป็นคนฆ่าครอบครัวของตนเองแท้ๆ แต่กลับไม่แค้น ซ้ำยังให้อภัยและยังไม่รังเกียจลูซี่สักนิด

                    คำตอบคือพระเอกไม่โง่ สิ่งที่เขาทำคือการทำบุญครั้งที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์นั้นคือ “การให้อภัย”นั้นคือพระเอกได้เปลี่ยนความแค้นมาเป็นการให้อภัยและความรักนั้นเอง

                    เคยได้ยินสำนวนนี้ไหม “แก้แค้นนะมันง่าย แต่การให้อภัยนั้นยากมาก”

                    ในศาสนาของโลกก็สอนเรื่องการให้อภัยต่อกัน อย่างศาสนาพุทธสอนว่า “เวรย่อมไม่ระงับด้วยการไม่จอมเวร” ศาสนาคริสต์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะสอนไว้ว่า “ถ้าเขาตบแก้มซ้ายเราต้องยื่นแก้มขวาให้ตบ”  ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ที่ถูกพวกทหารจับตรึงกางเขนจนสิ้นชีวิตและคืนชีพแต่พระองค์ก็หาได้โกรธไม่ และให้อภัยต่อมนุษย์ ให้โอกาสให้เขาได้สร้างคุณงามความดีต่อโลกใบนี้ต่อไป

                    แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ส่วนมากเรามักเห็นครอบครัว ที่คนที่รักของครอบครัวนั้นถูกฆาตกรคนนั้นฆ่า สิ่งที่ตอบสนองคือความแค้น สาปแช่งให้ฆาตกรคนนี้ถูกประหารไปซะ หรือการใช้ศาลเตี้ยเพื่อแก้แค้นฆาตกรคนนั้น ยิ่งของไทยยิ่งแล้วใหญ่ชาวบ้านมักรุมประชาฑัณฑ์ฆาตกรคนนี้เวลาทำแผนประกอบรับสารภาพทุกที

                    แหม.....เป็นใครๆ ก็โกรธนี้น่า ก็คนที่เรารักตายในครอบครัวตายทั้งคนนี้ เป็นใครก็ใจสลาย

                    
                   แต่เชื่อหรือไม่ ว่าบนโลกแห่งความจริงของเรา มีกรณีที่เปลี่ยนความแค้นมาเป็นการให้อภัยและความรักมาแล้ว เช่นกรณีของแม่ที่
    มีลูกสาววัยรุ่นกำลังสะสวยน่ารักรายหนึ่ง ถูกลวงไปให้เพื่อนหญิงที่หมั่นไส้เธอฆ่าทิ้งเสียอย่างเลือดเย็นโดยการกด น้ำ แรกทีเดียวคุณแม่ ผู้หัวใจสลายนี้ก็ประกาศกร้าวว่าจะต้องเอาฆาตกรมาลงโทษให้สาสมให้ได้ แต่เมื่อนานวันไปเมื่อเธอ เห็นเด็กหนุ่มผู้เป็นฆาตกรทำตัวดีขึ้นเรื่อยๆในคุก จนเวลาผ่านไปนับสิบปีคุณแม่รายนี้ก็ค่อยใจอ่อนจนที่สุดก็ยอมพบกับฆาตกร แล้วก็ยอมให้อภัย จนถึงขั้นกอดกันได้ ก็เป็นอันว่าเธอได้ไขกุญแจคลายตรวนความแค้นที่มัดหัวใจไว้นับสิบปีนี้ได้ออก จนเกลี้ยงแล้วในวันนั้นเอง

                    ส่วนอีกรายหนึ่งนั้นก็เป็นกรณีที่ดังมากเช่นกัน โดยคุณแม่รายนี้สูญเสียลูกชายไปเพราะถูกแก๊งเด็กวัยรุ่นอันธพาลฆ่า เมื่อจับตัวมือสังหารได้ คุณแม่ของเด็กหนุ่มผู้เสียชีวิตได้ไปเข้าฟังการไต่สวนคดีด้วยทุกนัด จนมาถึงครั้งสุดท้ายที่เป็นนัดตัดสิน ศาลได้พิพากษาให้จำคุกฆาตกรวัยรุ่น รายนี้ เมื่อได้ฟังดังนั้นเธอก็ได้เดินตรงเข้าไปหาเขา จ้องหน้า แล้วกล่าว สั้นๆว่า "ฉันจะฆ่าแก" เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งปีที่เด็กหนุ่มได้รับโทษทัณฑ์ หญิงผู้นั้นก็ได้เข้าไปเยี่ยมคนที่สังหารลูกชายเธอ ซึ่งเธอเป็นคนแรกที่ไป เยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครเหลียวแล ดังนั้น จึงมีแต่เธอที่แวะเวียนไปหาเขา หาขนม ของกิน ของใช้ส่วนตัวไปให้ เพราะรู้ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีญาติคนไหนเหลืออีกแล้ว ครั้นถึงวันที่เขาพ้นโทษออกมา เธอก็ได้ช่วยหางานให้เขาทำ และเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีที่ไปก็ชวนให้พักเสียด้วยกันที่บ้านของเธอ บ้านของเด็กหนุ่มที่เขาฆ่าเองกับมือ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี แล้ววันหนึ่งเธอได้นั่งลงจ้องหน้าแล้วถามว่า ยังจำได้ใช่ไหมถึงคำที่เธอพูดกับเขาในศาลว่าจะฆ่าเขาเสียให้ตาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็บอกว่าจำได้ พร้อมกับแววตาที่เริ่มหวั่นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ แต่แล้วเธอก็บอกว่าบัดนี้เธอได้ทำดังนั้นแล้ว ด้วยการฆ่าฆาตกรคนเก่าที่อยู่ในตัวเด็กหนุ่มออกไป ตอนนี้เขาเหลือแต่ความเป็นวัยรุ่นที่สดใสเปี่ยมด้วยคุณภาพแทน และในที่สุดเธอก็ได้รับเขาเป็นลูกบุญธรรมในที่สุด

                    เวลาเป็นเครื่องสลายความแค้นได้เป็นอย่างดีเลย

                    อีกรายก็คดีโด่งดังคือการลอบสังหาร สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ที่พระองค์เกือบถูกฆ่าโดยเมื่อปี ค.ศ. 1981 ขณะที่พระองค์กำลังออกทักทายประชาชน ในจัตุรัสเซนปีเตอร์ สแควร์ มะห์หมัด อาลี อักจา มุสลิมชาวตุรกีได้ยิงปืนหมายปลงพระชนม์พระองค์ แม้จะทรงรอดชีวิต แต่ก็บาดเจ็บสาหัส แต่แทนที่ท่านจะโกรธ กลับให้อภัยต่อมือสังหารคนนั้น หลังจากการรักษาที่ใช้เวลายาวนาน 2 วันหลังจากวันคริสตมาสของปี ค.ศ. 1983 ประมุขคริสตจักรก็ได้เดินทางไปพบกับมือลอบสังหารถึงในคุก ซึ่งไม่มีการเปิดเผยว่าพระองค์ได้ตรัสอะไรกับเขาบ้าง แต่ภาพที่ท่านได้ไปเยี่ยมมือสังหารคนนั้นแล้วสวมกอดให้ความรักซึ่งกันและกัน เป็นภาพที่ดีมากเลยครับคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนาเข้าใจกันนี้

                    
                    มีการ์ตูนหลายเรื่องที่เปลี่ยนความแค้นเป็นความตายฆ่ากันไปข้าง อย่างเรื่องโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ , นารูโตะ แต่ไม่ค่อยมีการ์ตูนเรื่องไหนเลยที่เปลี่ยนความแค้นเป็นการให้อภัยและความรัก ดังนั้นฉากที่โคตะพูดกับลูซี่นั้นผมซึ้งมากๆ ในเมื่อลูซี่ฆ่าครอบครัวของโคตะไปลูซี่ต้องรับผิดชอบโดยการเป็นสมาชิกในครอบครัวของเขานั้นเอง อีกทั้งเรื่องมันก็เกิดนานมาแล้ว ถึงลูซี่ตายไปครอบครัวของโคตะก็ไม่ฟื้นคืนหรอก สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการให้อภัยและบอกลูซี่ว่าอย่าฆ่าใครอีกเท่านั้น เพราะคนตายเหล่านี้ยังมีครอบครัว มีแม่และลูกที่ต้องกลับไปหา ถ้าเธอฆ่าพวกเขา มันก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความแค้น มากขึ้นเท่านั้น

                    อย่างที่ว่าการให้อภัยนั้น ส่งผลให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ตามมา บุคคลที่ได้รับการให้อภัยอาจมาตอบแทนเราในอนาคตก็เป็นไปได้ เมื่อเราทำดีต่อเขา เขาก็ทำดีต่อเรา(ระวังจะเป็นแบบชาวนากับงูเห่าละกัน)

                    นี่แหละครับคือผลการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์

                    อีกประเด็นหนึ่งคือทุกตัวละครในเรื่องล้วนมีความกลัว  ลูซี่กลัวความเหงา, โคตะกลัวที่จะคิดถึงอดีต, มายุกลัวที่จะกลับบ้าน,ยูกะกลัวที่จะสูญเสียพระเอกความกลัวถือสิ่งที่มีอยู่ตัวของมนุษย์ที่ทุกคนอยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนความกลัวนี้เป็นความกล้าได้อย่างไร          

                   

                    อีกเรื่องคือการ์ตูนเรื่องนี้สอนให้เรารู้จัก ความหวัง” เราได้เห็นพวกไดครอเนียสถูกพันธการถูกมัดถูกทรมานอย่างสิ้นหวัง แต่ทำไมพวกไดครอเนียสเหล่านี้ถึงไม่ฆ่าตัวตาย(คงเพราะหมวกเหล็กที่ใส่นั้นมีกลไกไม่ให้กัดลิ้นฆ่าตัวตายกระมั้ง) ทั้งนี้เพราะพวกไดครอเนียสมีความหวัง ลูซี่มีความหวังจะพบโคตะอีกครั้ง นานะและมาริโกะมีความหวังจะพบพ่อ ความหวังเหล่านี้ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่พวกเขาเหล่านี้จำเป็นต้องหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อรอความหวังนั้นเอง

                   สิ่งสุดท้ายที่ผมสังเกตคือทำไมสถานที่ดำเนินเรื่องนี้มักเกิดขึ้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ไว้ว่าจะเป็นศาลเจ้า ต่อหน้ารูปปั้นเทพญี่ปุ่นทั้งหลาย สิ่งที่ผมคิดคือบางทีเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ใช้เรื่องของเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะฝีมือมนุษย์ล้วนๆ หรือถ้าเกี่ยวบางทีฟ้าอาจบันดาลลิขิตให้ลูซี่ได้พบโคตะอีกครั้ง เพื่อให้โคตะสอนลูซี่ว่า "คนเราเกิดมาทำไม,ทำไมเราถึงต้องมีชีวิตอยู่" และเป็นบททดสอบกับลูซี่ว่าเธอสมควรรับการลงโทษกับสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่?? ก็ได้

                    สรุป ผมชอบอมิเนชั่นนะ เพราะในหนังสือการ์ตูนเล่มแรกนี้พูดตรงๆ ไม่สยองสักนิด ออกฮ่ามากกว่าเพราะตอนนั้นตัวละครยังไม่ค่อยได้สัดส่วนเท่าไหร่ ฉากความรุนแรงยังไม่ได้อารมณ์หรือไม่สวยเท่าอมิเนชั่น และอมิเนชั่นเองก็ได้นำเสนอสิ่งที่ผมต้องการไว้แทบครบถ้วนแล้ว


    (ปล. ผมไม่ได้ชอบฉากเลือดสาดในเรื่องเลยนะครับ ผมกดข้ามไปด้วยซ้ำ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×