ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #123 : (ปริศนาโลกตะลึง) ผีมีจริงหรือ ? (ตอนที่ 4 เรื่องเล่าของผี)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.81K
      1
      23 มี.ค. 50


                    Ectoplasm, Ecto-mist, vapor, ghostly mist

                  

                    Appearance & Characteristics: เป็นกลุ่มก้อนของหมอกอาจมีสีเทา ขาว หรือ ดำ แต่เมื่อถ่ายภาพออกมาอาจมีได้หลายสี โดยปกติจะปรากฎเหนือพื้นดินหลายฟุตและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วหรือช้าก็ได้. การถ่ายภาพของ ectoplasm นี้สามารถใช้ได้ทั้งวิดีโอ หรือกล้องถ่ายรูป โดยปกติลมหายใจของผู้ที่ถ่ายภาพมีผลเมื่อถ่ายภาพในที่ที่อากาศเย็น ซึ่งลมหายใจออกนั้นเมื่อถ่ายออกมามีลักษณะคล้าย ectoplasm มากจนทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นภาพ ectoplasm ซึ่งสามารถดูความแตกต่างได้จากการที่ภาพ ectoplasm นั้นกลุ่มหมอกจะหมุน แต่ภาพจากลมหายใจนั้นกลุ่มหมอกจะนิ่ง

                    Locations spotted: ปรากฎได้ทุกที่แต่ส่วนมากจะเป็นที่โล่ง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสุสาน สนามรบ หรือที่ที่เคยเป็นประวัติศาสตร์

                    Speculations: เป็นที่เชื่อกันว่าวิญญาณจะปรากฎในรูป extoplasm ก่อนที่จะปรากฎเป็นรูปร่างเต็มตัว


                   
    Orbs, spears, globules, balls of light, globes

                   
                   
    Appearance & Characteristics: orbs
    นั้นมักถูกพบเห็นและถูกถ่ายภาพได้หลายครั้ง โดยปกติจะมีลักษณะเป็นลูกบอลกลมๆที่โปร่งแสงบินร่อนไปมาเหนือพื้นดิน ภาพ orbs ที่ถูกต้องนั้นใน orbs จะมี nucleus อยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ orbs ยังอาจมีหางเป็นเส้นเล็กๆเหลืออยู่ โดยส่วนมากแล้วภาพ orbs ที่ถ่ายได้ประมาณ 85% นั้นเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือสภาพอากาศ

                    Locations spotted: orbs นั้นถูกพบได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะมีอุณหภูมิและสภาพอากาศอย่างไร แต่โดยส่วนมากแล้วจะพบในที่โล่งหรือที่ทีมีประวัติเก่าแก่

                    Speculations: orbs นั้นถูกเชื่อว่าเป็นวิญญาณของคนหรือสัตว์ แต่ก็มีอีกความเชื่อที่ว่า orbs นั้นเป็นแค่ส่วนประกอบย่อยของวิญญาณและไม่สามารถมองเห็นไดด้วยตาของมนุษย์เพราะมีขนาดเล็กเกินไป หรืออีกความเชื่อหนึ่งที่ว่าเป็นวิญญาณของธรรมชาติ เช่น ต้นไม้

                    Vortex, funnel ghosts

                   
                   
    Appearance & Characteristics: เป็นปรากฎการณ์ที่แปลกและลึกลับ โดยมากจะปรากฎเป็นรูปกรวยหมุนเมื่อเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่ง vortex นี้สามารถปรากฎบนภาพเป็นรูปร่างที่ยาวและแคบ และจะคล้าย orbs ที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าเมื่อวิญญาณมีอายุมากขึ้นแสงที่ปรากฏจะยาวขึ้นและชัดขึ้น

                    Locations spotted: โดยส่วนมากมักพบในบ้านและตึกเก่าๆ อาจพบในที่โล่งได้แต่เป็นส่วนน้อย

    Speculations: มีหลายทฤษฎีที่อธิบายถึง vortex ว่าเป็นบรรพบุรุษหรือผู้ที่เคยอาศัยภายในบ้าน รวมทั้งยังถูกเชื่อว่า vortex เป็นยานพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายวิญญาณเช่น orbs

      

                    Shadow ghosts, dark entities

                    

                    Appearance & Characteristics: มีลักษณะเป็นเงาคล้าย ectoplasm แต่รูปร่างต่างกัน มีความสูงประมาณ 2 ฟุตหรือกว่านั้น และมักเคลื่อนที่ด้วยความสูงประมาณ 2 ถึง 10 ฟุต ภาพที่ถ่ายออกมาอาจคล้ายเงาที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นวิญญาณที่มีลักษณะหลบซ่อนตัวเองไม่ค่อยเปิดเผย

                    Locations spotted: โดยมากมักอยู่ในบ้าน อาจพบบ้างในที่ที่ห่างไกลความเจริญ

                    Speculations: (ไม่มีข้อมูล)


                    Apparitions, disembodied spirit

                    
                   
    Appearance & Characteristics:
    ผีประเภทนี้พบได้ไม่บ่อย เป็นผีที่ปรากฎตัวด้วยรูปร่างเหมือนกับคนที่โปร่งใส และสวมเสื้อผ้าตามยุคสมัยของผีนั้น โดยส่วนมากมักปรากฎตัวอย่างไม่สมบูรณ์ คือ จะเห็นเป็นเงาเลือนๆ และผิดรูปผิดร่างไปจากเดิม นอกจากนี้การเห็นผีประเภทนี้มักปรากฎให้คนเห็นโดยตรงแต่น้อยครั้งที่จะสามารถถ่ายภาพผีประเภทนี้ติดได้

                    Locations spotted: มักพบผีประเภทนี้ในบ้านเก่าๆ ตามโรงแรม โรงภาพยนตร์ หรือตามสุสานต่างๆ

                    Speculations: ไม่มีความแน่นอนว่าทำไมถึงพบผีประเภทนี้ได้น้อย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า การติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษนั้น วิญญาณอาจเป็นร่างหรือเป็นปีศาจไปแล้ว


                    Ghost lights

                    
                   
    Appearance & summary: มักถูกพบเห็นและบันทึกจากทุกแห่งทั่วโลก แสงที่ลึกลับนี้มักจะมีลักษณะเป็นลูกบอลสีขาวหรือน้ำเงินหรือเป็นสีเหลืองคล้ายแสงเทียน ถึงแม้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า ghost light ที่จริงแล้วก็คือ ไอน้ำ หรือไม่ก็เกิดจากวัตถุที่มีสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กหรือสารเรืองแสง จึงมีการพยายามในการจับ ghost light เพื่อมาพิสูจน์ว่ามันคืออะไรแต่ปรากฎว่า ghost light นั้นไม่สามารถจับต้องได้ บางแห่งมีความเชื่อว่า ghost light นั้นเป็นวิญญาณพเนจรที่ทำบาปอย่างมหันต์ทำให้ต้องร่อนเร่ไม่มีที่สิ้นสุดหรือในบางแห่งในประเทศอังกฤษก็มีความเชื่อว่า ghost light จะปรากฎตัวเพื่อหลอกให้บรรดานักเดินทางหลงทาง

                    Characteristics: เป็นแสงที่ค่อยๆโตขึ้นและกระพริบเป็นบางครั้ง โดยมากมีสีขาว น้ำเงิน หรือเหลือง

                    Locations spotted: มักพบในที่ที่ห่างไกลความเจริญ

                    Doppelganger เป็นผีของคนหรือสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ถือเป็นประสบการณ์ที่วิญญาณออกจากร่างชั่วคราวแบบหนึ่ง เมื่อวิญญาณออกจากร่างจะเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แม้แต่เสื้อผ้า สามารถพบ doppelganger ของคนหรือสัตว์ได้แม้ในที่ที่ห่างไกลจากเจ้าของร่างก็ตาม โดยมาก doppelganger มักเป็นสัญญาณที่ไม่ดีในการแสดงว่าคนหรือสัตว์นั้นกำลังจะตาย


                   
    เรื่องเล่าของผี

                    บนโลกเรามีตำนานเรื่องจริงเกี่ยวกับผีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นบัญชีหางว่าว  ถ้าให้เล่าให้หมดเป็นกี่ปีเป็นชาติก็ไม่หมด ผมจึงขอยกตัวอย่างเรื่องผีที่เด่นๆ แต่เป็นเรื่องจริง ดังต่อไปนี้


                   
    นักบินปีศาจ บารอน

                    ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 บรรดานักบินแห่งฝูงบินหนึ่งของอังกฤษต่างพากันขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน เมื่อบินปฏิบัติการเหนือช่องแคบอังกฤษได้พบปีศาจเสืออากาศเยอรมัน "Red Barron" หรือ บารอนแดง บินโฉบอยู่ไปมาเหนือน่านฟ้าสมรภูมิ

                    บารอนแมนเฟรด ฟอน ริชโธเฟน เสืออากาศที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพเยอรมันผู้นี้ได้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากที่ได้ถูกเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรมากกว่า 80 ลำรุมกินโต๊ะยิงตก  นักบินหนุ่มชาวอังกฤษ คนนั้นชื่อ เกรย์สัน ได้รายงานว่าได้เห็นเครื่องบินขับไล่โบราณทาสีแดงลำหนึ่ง ขณะที่เขาบินลาดตะเวนอยู่นอก ชายหาดฝั่งโดเวอร์ เกาะอังกฤษในคืนวันหนึ่ง เกรย์สัน พยายามบินเข้าไปใกล้โดยเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อจะโจมตีในขณะที่เครื่องบินลึกลับลำนั้นหันหัวบินเข้าไปในผืนแผ่นดินใหญ่ยุโรป แม้ว่าเขาจะเร่งเครื่องเร็วเท่าใด แต่ระยะทางระหว่างเครื่องบินของ เกรย์สัน กับเครื่องบินโบราณสีแดงก็ยังห่างอยู่เท่าเดินนั่นเอง ในท่ามกลางแสงจันทร์นักบินหนุ่มอังกฤษได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเครื่องบินที่เขาบินตามมีเครื่องหมายกางเขนสีดำเล็ก ๆ  อยู่ที่ลำตัว เป็นเครื่องบินของเยอรมัน เกรย์สัน บอกว่าเขารู้สึกหนาววูบไปตามสันหลังทันทีเมื่อเห็นว่าเครื่องบินแปลกประหลาดลำนั้นมีแพนหางเป็นวงกลมเล็ก ๆ  ปีกสามชั้น เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ล้าสมัยแล้ว ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเครื่องบินยี่ห้อ ฟ็อกเกอร์ ได้ถูกปลดระวางเข้าพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว เครื่องบินที่มี 3 ปีก ทาสีแดง มีเครื่องหมายกางเขนที่ลำแพนหาง เป็นชนิดเดียวกับที่ บารอนแมนเฟรด ฟอน ริชโธเฟน เสืออากาศผู้กล้าหาญใช้อยู่ในสงครามโลกครั้งนั้น

                    เกรย์สันงุนงงอย่างมาก เครื่องบิน Hurricane ของเขามีความเร็วอย่างน้อยก็เป็นสี่ เท่าของเครื่องบิน 3 ปีกลำนั้น ซึ่งผลิตในปี 2460 สร้างจากไม้และผ้าใบ  แม้ว่าเกรย์สันจะเร่งความเร็วเครื่องบินของเขาเท่าไหร่ ก็จะไม่สามารถไล่ตามเครื่องบินโบราณลำนั้นได้เลย ทันใดนั้นเองก็เกิดฝนตกหนักทำให้กระจกกำบังลมของเขามัว เขาต้องบินเข้ามาในห่าฝนที่ตกหนัก แต่ก็เพียงเวลาไม่เท่าไร ท้องฟ้าและกระจกกำบังลมก็แจ่มใสขึ้นมาอีก แต่เครื่องบินโบราณลำดังกล่าวก็หายไปแล้ว นักบินหนุ่มพยายามค้นหาทั่วบริเวณนั้น แต่ก็ไม่พบอะไรเลย เกรย์สันคิคว่าเขาคงตาฝาดไปเองมั่ง คงเป็นแมลงบินมาติดกับกระจกกำบังลม ทำให้เขาเห็นเป็นเครื่องบิน แต่เมื่อฝนตกมาชะแมลงออกไป เครื่องบินก็หายไป เมื่อเกรย์สันกลับมาถึงที่ฐานทัพแล้วไปที่โรงอาหารเพื่อดื่มกับเพื่อนนักบินด้วยกัน

                    "นี่เมื่อกี้ข้าบินตามตัวแมลงเกือบครึ่งทางไปเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมันที่เดียว " เขากล่าวแก่เพื่อน ๆ ของเขา แล้วก็เล่าเรื่องราวที่ไปพบให้เพื่อน ๆ ฟัง แต่แล้วเกรย์สัน รู้สึกแปลกใจแทบช็อก เพราะแทนที่จะเห็นเพื่อน ๆ  หัวเราะขบขัน แต่ทุกคนกลับเงียบกันหมด "คืนนี้แกก็พบเขาเหมือนกันหรือ" นักบินคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา "ใคร" เกรย์สันถามอย่างแปลกใจ "เขาล่ะ อัศวินแดง ไม่มีใครหรอก" เพื่อนนักบินตอบ "ใครคืออัศวินแดง" เกรย์สันถามต่อ "เขาคือปีศาจแห่งบารอน" นักบินอีกคนกล่าวขึ้น "บารอน แมนเฟรด ฟอน ริซโธเฟน เขาเป็นเสืออากาศแห่งเสืออากาศในสงครามใหญ่ครั้งที่แล้ว" "พวกนายเคยพบเขามาแล้วหรือ" เกรย์สันถามอย่างแปลกใจ "ทุกคนในห้องอาหารนี้เห็นกันทุกคน พวกเราบางคนเห็นครั้งหนึ่ง บางคนเห็นหลายครั้ง ต่างก็เผชิญหน้ากับเครื่องบินผีสีแดงลำนั้นด้วยกันทั้งนั้น" "ไม่น่าจะเป็นไปได้" เกรย์สัน นักบินหนุ่มอุทาน "ทำไมบารอนสีแดงถึงปรกกฎโฉมให้เห็นเฉพาะฝูงบินเราเท่านั้น แล้วฝูงบินอื่นเคยพบบ้างหรือเปล่ามั้ย" เพื่อนตอบว่า "เท่าที่ทราบมีแต่ฝูงบินเราเท่านั้นที่พบ" "ทำไมล่ะ" นักบินหลายคนต่างชี้ที่ตัวเองแล้วพากันกล่าว่า "พ่อของพวกเราและนักบินเก่าฝูงเรา ล้วนแต่ต่อสู้ดวลกันกลางอากาศกับบารอนแดงมาแล้วทุกคนเมื่อ 22 ปีก่อน"


                    
    กองทัพปีศาจ

                    เกือบทุกสมรภูมิเลือกไม่ว่าจะเป็นการรบสมัยไหน วิญญาณของบรรดาทหารหาญเหล่านั้นยังสิงสถิตอยู่และมีผู้พบเห็นบ่อยครั้ง บางครั้งก็ยังต่อสู้กันให้เห็นด้วย

                    …..ทั้งนี้เป็นการค้นคว้าและยืนยัน โดย บรัด สไตเกอร์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "ทรู โกสต์ สตอรี่" และเฮย์เดน ฮิวส์ นายกสมาคมสืบสวน ปรากฏการณ์แห่งนานาชาติ ที่ได้ทำการศึกษาและเที่ยวสัมภาษณ์ผู้ที่เห็นผีตามสมรภูมิต่าง ๆ มาเป็นเวลานานถึง 30 ปี

                    …..ต่อไปนี้คือเรื่องจริงของวิญญาณทหารหาญตามสมรภูมิเลือดเกือบทุกมุมโลก
                    ปี พ.ศ. 2494 นักทัศนาจรและเจ้าหน้าที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้ ๆ เมือง ดิแอปเป้ ได้เห็นกองทหารสัมพัทธมิตรจำนวนมากมายกำลังยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอร์มังดี ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์จริงนั้นเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นถึง 9 ปี ในสมัยปลายสงครามโลกครั้งที่ 2

                    …..ที่ คอเรกิดอร์ ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ในฟิลลิปปินส์ เคยเป็นสมรภูมิเลือกในสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกชาวบ้านและทหารที่ประจำการอยู่ที่นั้นได้เปิดเผยว่า มักจะเห็นทหารปีศาจที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บถือปืนวิ่งเหมือนกับต่อสู้กับข้าศึก และมีหลายคนยืนยันว่า เขาเห็นผู้หญิงรูปร่างสวยงาม ผมสีแดงกำลังช่วยปฐมพยาบาลทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ นอกจากนี้ยังได้เห็นนางพยาบาลอยู่ในชุดอาสากาชาดท่ามกลางแสงจันทร์ แล้วก็หายไปบ่อยครั้งด้วย….."

                    เกือบทุกคืนที่เกาะนี้จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่บาดเจ็บและมีเสียงทหารเดินตบเท้าเพื่อจะออกไปรบ " ฮิวส์ ผู้ไปทำการสืบสวนเรื่องนี้กล่าว่า "ฟอลเรนติโนตัส เจ้าหน้าที่องค์การท่องเที่ยวฟิลลิปปินส์ที่เกาะลูซอนกล่าวว่า ในคืนวันหนึ่งผมกับภรรยา ได้ยินเสียงคนร้องด้วยความเจ็บปวด และทหารที่เคยเข้าเวรยามตอนกลางคืน หลายคนยืนยันว่า พวกเจาเคยถูกล้อม ด้วยแถวทหารที่บาดเจ็บและกำลังจะตาย
                    ……ที่เกาะครีต ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเกือบ ทุก ๆ ฤดูใบไม้ร่วง จะมีกองทหารปีศาจกรีกปรากฏตัวให้เห็น โดยสวมหมวกเหล็ก และถือกระบี่สั้น "ทั้งนักธุรกิจ นักโบราณคดี รวมทั้งนักหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ยืนยันว่าได้เคยเห็นกองทหารผีนี้มาแล้วทั้งนั้น" สไตเกอร์เปิดเผย "ในระหว่างที่ตุรกียึดครองเกาะนี้เมื่อปี 2513 กองทหารตุรกีที่ประจำการอยู่ได้เห็นพวกทหารปีศาจเหล่านี้กำลังเคลื่อนพลเจ้ามาใกล้ที่ตั้ง ซึ่งนึกว่าถูกบุกจึงเตรียมพร้อมจะรับมือ แต่ทหารปีศาจซึ่งดูเหมือนว่าขึ้นมาจากทะเลได้เดินผ่าน ที่ตั้งกองทหารเตอร์กิซไป ยังซากประสาทร้างแห่งหนึ่งแล้วก็หายไป"
                    …..เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2406 กองทหารฝ่ายใต้ของสหรัฐและประชาชนที่เมืองเล็ก ๆ ในเคนตั๊กกี้ ได้เห็นกองทัพปีศาจเคลื่อนทัพ ตบเท้าจนฝุ่นคลุ้งไปหมดแล้วก็หายไป ที่เมืองเอ็ดเกฮิลล์ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2185 ทางรัฐบาลต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปสืบเรื่องราวข่าวลือที่ว่า ได้มีกองทหารปีศาจยกทัพมาสู้รบกัน เพราะก่อนหน้านี้ 2 เดือน เคยมีการสู้รบกันอย่างมองเลือดที่นี้ และเจ้าหน้าที่ซึ่งมาสอบสวนก็ได้เห็นกองทหารปีศาจรบกันจริง ๆ ด้วยสายตาตนเอง และพวกเขายังจำใบหน้าเพื่อน ๆ ที่เสียชีวิตในการรบครั้งนั้นปราฏกอยู่ในกองทหารปีศาจด้วย

                    …..สไตเกอร์กล่าวสรุปว่า "เหตุการณ์เหล่านี้แสดงยืนยันให้เห็นว่า ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะกลับคืนมายังโลกเราในบางครั้ง บางเวลาก็ได้"….


                   
    วิญญาณอาฆาต

                    วิลลิแชม เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอังกฤษ มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป หลังจากมีข่าวแพร่สะพัดว่า ได้พบศพหญิงสาวคนหนึ่งถูกฆาตกรรม ฝังไว้ในหลุมโคนต้นโอ๊คที่มีอายุเก่าแก่ต้นหนึ่ง ชาวบ้านพากันแตกตื่นเข้าไปมุงดูแน่น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับแจ้งข่าวเดินทางไปชันสูตรศพ ครั้นเดินทางไปถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งการให้เคลื่อนย้ายศพหญิงสาวออกมาจากหลุม ที่สังเกตเห็นเด่นชัดก็คือมีแหวนสวมอยู่ที่นิ้วมือข้างหนึ่งของศพ ซึ่งเนื้อหนังเน่าเปื่อยไปหมดแล้ว เหลือแต่กระดูก ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำศพไปให้เอลเลน เกรย์ พี่สาว ของหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้หายสาบสูญไปเมื่อปี 1973 ซึ่งผ่านมาได้ 18 ปีแล้ว ทันทีที่เห็น เอลเลนได้หวีดร้องออกมา ด้วยความตกใจ และพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "เป็นแหวนของแมรี่...มันเป็นแหวนที่ฉันมอบให้เป็นที่ระลึกในงานแต่งงานเธอ"

                    ในโอกาสครบรอบวันเกิดอายุ 18 ปีของ แมรี เกรย์เธอได้สมรสกับ บาซิล ออสบอร์น ในขณะเดียวกัน เธอก็ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปถึง จอห์น บอดนีย์ อดีตคนรักของเธอตั้งแต่สมัยเด็ก เพื่อขอโทษที่ตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่น  ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงก่อนที่เจ้าบ่าวจะพาเธอออกไปฮันนีมูน แมรี่ได้บอกพี่สาวว่า ต้องการใช้เวลาอยู่คนเดียวลำพังบนห้องนอนชั้นบนสักครู่หนึ่ง ครั้นเจ้าบ่าวเดินทางมาถึง ปรากฏว่าเธอยังไม่ลงมาข้างล่าง เวลาผ่านไปนานผิดปกติ เจ้าบ่าวและญาติของแมรี่รีบกรูขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน ปรากฏว่า แมรีล๊อคประตูห้องนอน เอลเลนได้ตะโกนเรียกสลับกับเสียงเรียกของบาซิล ออสบอร์น แต่ไม่มีเสียงตอบ พวกเขาจึงได้ใช้เหล็กพังประตูเข้าไปข้างใน และก็ปรากฏว่าห้องว่างเปล่า ไม่พบร่องรอบของแมรี่แต่อย่างใด เพียงแต่เห็นหน้าต่างในห้องบานหนึ่งเปิดอยู่ เป็นหน้าต่างที่เปิดออกไปยังระเบียงซึ่งมีทางตัดตรงไปยังสวนหลังบ้าน ทั้งหมดได้พากันสำรวจทั่วบริเวณสวนก็ไม่พบร่องรอยของแมรี่เช่นเดียวกัน

                    หลังจากนั้นหนึ่งเดือนต่อมา บาซิล ออสบอร์น เจ้าบ่าวก็สิ้นชีวิตลง ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่าวิญญาณของเจ้าสาวคงมานำเจ้าบ่าวไปด้วย เนื่องจากตกดึกหลายคืนที่ผ่านมา มีเสียงสุนัขห่อนอยู่ข้างบ้านของเจ้าบ่าวอยู่เสมอ และหลังจาก 18 ปีผ่านไป การพบโครงกระดูกทำให้ชาวบ้านเพิ่งทราบว่า เกิดอะไรขึ้นกับแมรี่ สภาพโครงกระดูกที่เห็นได้ชัดก็คือ กระดูกคอหัก ซึ่งนับว่าเป็นฆาตกรรมที่โหดร้าย เอลเลนประกาศว่าจะเก็บรักษาโครงกระดูกมือของน้องสาวไว้ และติดตามหาตัวฆาตกรโหดมาลงโทษให้ได้

                    แม็กกี้ วิลเลี่ยม แม่บ้านผู้ใกล้ชิด เอลเลน ได้วางแผนที่จะนำเอาโครงกระดูกมือของแมรี่ ที่ยังสวมแหวนอยู่ไปแสดงให้คนทั่วไปได้ชมเพื่อว่าจะเป็นช่องทางตามหาตัวฆาตกรได้ ต่อมาเธอได้เปิดร้านเครื่องดื่มเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน วิลลิแชม และได้ตั้งตู้โชว์ครอบแก้วมีแท่นวางกระดูกมือของแมรี่อย่างโดดเด่นไว้ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง เพื่อให้คนได้ชมอย่างใกล้ชิด ปรากฏว่าได้ผลเกินขาด มีผู้คนหลั่งไหลมาชมด้วยความสนใจอย่างมากมายตลอดเวลา และการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการฆาตกรรมแมรี่ได้แพร่สะพัดไปอย่างกว้างขวาง

                    จนกระทั่งถึงคืนวันหนึ่ง ในเดือนมีนาคม ปี 1995 มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาในร้านนั่งดื่มเดรื่องดื่มตามปกติ แม๊กกี้พูดกับลูกค้าในร้านว่า "คืนนี้ ดูช่างคล้ายกับคืนหนึ่ง ซึ่งลมได้พัดเอาข่าวร้ายจากต้นโอ๊คเก่าแก่แพร่สะพัดทั่วไป" ชายแปลกหน้าที่นั่งดื่มสุราสะดุ้งและเงยหน้ามองแม๊กกี้พร้อมทั้งกล่าวว่า "ผมไม่เข้าใจ มันเกี่ยวอะไรกับต้นโอ๊คด้วยล่ะ" แม๊กกี้ได้ตอบว่า "หันไปมองตู้โชว์มือสวนแหวนเปื้อนเลือดด้านโน้นซิ แล้วฉันจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง" ชายแปลกหน้าคนนั้นจึงเดินไปยังตู้โชว์ และได้เพ่งโครงกระดูกมือที่สวมแหวนด้วยอากัปกิริยาตื่นเต้น ทันใดนั้น เขาได้ร้องตะโกนสุดเสียง พลางทรุดตัวลงนั่งใกล้ตู้โชว์ ที่มือของเขามีเลือดหยดลงพื้นไม่ขาดสายราวกับถูกของมีคม ขณะเดียวกันชายชราคนหนึ่งได้ลุกขึ้นชี้นิ้วไปยังชายแปลกหน้าแล้วร้องว่า เขาจำได้ว่าชายคนนี้คือ จอห์น บอดนีย์ อดีตคนรักของแมรี่ที่หายไปนั้นเอง

                    ครั้นตำรวจมาถึง ชายแปลกหน้าที่มือเปื้อนเลือดก็ได้สารภาพว่า เขาคือฆาตกรฆ่าแมรี เกรย์ เนื่องจากโกรธแค้นที่เธอไปแต่งงานกับชายอื่น เขาได้แอบเข้าไปซ่อนในห้องของแมรี่ ครั้นเห็นเธออยู่ตามลำพัง จึงให้ผ้ารัดคอแล้วอุ้มเธอออกไปยังสวนหลังบ้านเขายืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่าเธอเลย แต่ครั้นอุ้มเธอไปถึงต้นโอ๊คเก่าแก่ในสวน เธอได้ดิ้นและพยายามตะโกนเรียกร้องให้คนช่วย ด้วยอารมณ์ชั่ววูบผนวกกับความโกรธแค้นที่สุ่มอยู่ในอก เขาจึงตัดสินใจฆ่าเธอโดยการหักคออย่างแรง จากนั้นได้ขุดหลุมผังเธอไว้ที่โคนต้นโอ๊คนั้นเอง และได้หนีออกจาก หมู่บ้านวิลลิแชมไป เขาได้เปิดเผยว่า ต่อมาจิตใจเขาไปสงบสุขเลย คล้ายกับวิญญาณแมรี่ติดตามเขาไปด้วยความอาฆาตตลอดเวลา จนกระทั่งเขาถูกบังคับให้กลับมายังหมู่บ้านนี้อีก

                    ก็เป็นอันว่าฆาตกรโหด จอห์น บอดนีย์ ต้องชดใช้กรรมที่ตนทำไว้ เขาถูกจับขังคุก แต่ขณะที่รอคำตัดสิน ปรากฏว่าเขาได้เสียชีวิตโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ แต่ผลการชันสูตรศพปรากฏว่าลำคอของเขามีรอยเขียวช้ำ ราวกับถูกหักคอ ชาวบ้านต่างพูดว่าคงเป็นวิญญาณของแมรี่นั้นเองที่มาแก้แค้น และบรรดาญาติพี่น้องของแมรี่ก็ได้นำโครงกระดูกของแมรี่ พร้อมมือที่สวมแหวน ทำพิธีเผาตามประเพณีทางศาสนา เพื่อเป็นการส่งวิญญาณของเธอให้ไปสู่สัมปรายภพต่อไป...

                    ที่ว่าการผีสิง

                    ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ก็มีฝูงแมลงสแครัปซึ่งครั้งหนึ่งชาวอียิปต์โบราณให้การยอมรับนับถือว่าเป็นแมลงศักสิทธิ์ พร้อมใจกันยกขบวนบินเข้ามาอาศัยอยู่ภายในโดมของที่ว่าการรัฐอลาบามา อยู่ไม่อยู่เปล่า ยังกัดกินอะไรต่อมีอะไรภายในโดมเละไปด้วย คนงานที่มีหน้าที่ซ่อมแซมที่ว่าการซึ่งสร้างเมื่อ 150 ปีก่อนโน้นบอกว่ามันยั้วเยี้ยไปหมดภายในที่ว่าการแห่งนี้

                    งบประมาณที่ใช้ในการบูรณะความเสียหายในเรื่องนี้ได้ตั้งขึ้นถึง 33 ล้านเหรียญ ภายใต้ความรับผิดชอบของ บิล วูลสมอล ผู้เป็นสถาปนิก และมันได้บานปลายขยายตัวเลขเพิ่มขึ้นจากยอดเดิมอีก 4 ล้านเหรียญ ต่องานซ่อมแซมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องใน 6 ปีแรกที่เริ่มต้น ในครั้งแรกที่พบพวกมันไอ้เจ้าแมลงสแครัปอยู่ในราวปลายปี 1991  บิล วูลสมอล ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนักเพราะเขามีหน้าที่อื่นที่รอความรับผิดชอบอีกมาก เขาคิดว่าแมลงเหล่านั้นน่าจะออกไปหมดแล้ว แต่จริง ๆ นั้นพวกมันคงอยู่ในสถานภาพเดิม คือรวมหัวกันกัดกินเพดานและผนังบุกั้นชั้นในตัวโดม ไม่เว้นแม้แต่ยางซึ่งเป็นส่วนประกอบของเครื่องเรือน ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าพวกมันจะไม่ชอบยาง อันเป็นวัสดุธรรมชาติ แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ตัวอาคารภายในโดมเจอการจู่โจมที่เลวร้ายต่อเนื่องเป็นระลอกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จน วูลสมอลออกอาการเหลืออด จึงตัดสินใจสั่งให้คนงานระดมฉีดยาหมายฆ่าให้สิ้นซากและปิดทางเข้าออกด้วยการเคลือบเพดานการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องปรามด้วยวิธีนี้มีอายุเพียงแค่ 4 ปี หลังจากนั้นแมลงศักสิทธิ์ในความเชื่อของคนอียิปต์โบราณยังคงสภาพเหมือนเดิม กัดกินทุกอย่างที่ขวางหน้าทุก ๆ วัน คนงานจะมีหน้าที่ปีนป่ายขึ้นไปในส่วนที่ลี้ลับของโดมและพ่นยาฆ่าแมลงสแครัป โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่มันจะกลายเป็นสัตว์สูญพันธุ์เสียที

                    นอกจากจะถูกยึดเป็นที่อาศัยของแมลงสแครัปแล้ว ที่ว่าการรัฐอลาบามายังมีปรากฏการณ์ที่หลายคนรวมกันเรียกว่าผีเป็นรายการเสริมแก้เซ็งอีกต่างหาก

                    คืนหนึ่งของปี 1992 เจมส์ แกมเมจ ช่างทาสีกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ลิฟท์ชั้นสอง สายตาเขาเหลือบไปเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายสมัยวิคตอเรีย เคลื่อนตัวผ่านไปยังห้องโถงอย่างรวดเร็วเกินกว่าการเดินของคนธรรมดา แล้วหายวูบไปเฉย ๆ  เมื่อแกมเมจนำเรื่องนี้ไปเหล่าให้คนดูแลที่ว่าการซึ่งทำงานตั้งแต่ช่วงเช้าถึงย่ำค่ำฟัง นายบิลลี่ มิสเซลดีน  ฟังแล้วก็ได้แต่แสดงความเห็นใจในประสบการณ์ครั้งแรกของแกมเมจแถมบอกเพิ่มเติมว่า เขานะเจอบ่อยไม่ว่าจะเสียงฝีเท้าคนเดินโดยไม่ปรากฏตัว และก็เสียงแปลก ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นเสมอในช่วงที่ไม่มีใครอยู่

                    ปรากฏการณ์ที่รวมเรียกว่าการหลอกหลอนนั้นมักเกิดขึ้นเฉพาะบนบริเวณชั้นสอง ซึ่งแต่เดิมเป็นห้องทำงานของอดีตรองผู้ว่าการ มิสเซลดีนเล่าว่า เขาเคยได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ชัดเจนมาก แต่เมื่อหันกลับไปทางต้นเสียงแล้วกลับไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเห็นหูโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มันควรจะอยู่

                    ภายหลังจากที่คณะผู้บูรณะที่ว่าการรัฐอลาบามาได้พยายามค้นหาคำตอบในเรื่องเหล่านี้พวกเขาได้ข้อมูลว่าในสมัยสงครามกลางเมือง ราวปี ค.ศ. 1870 1880  มีหญิงหม่ายได้เข้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตึกว่าการและขอร้องให้ช่วยค้นหาศพสามีของเธอให้ด้วยเพื่อนำไปฝังยังที่อันสมควร

                    มิสเซลดีนไม่แน่ใจว่า แม่ม่ายคนที่ข่าวกล่าวถึงจะใช่สตรีลึกลับสวมใส่ชุดสมัยวิคตอเรีย ตามที่นายแกมเมจพบเห็นหรือเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขากังวลยิ่งไปกว่านั้น นั่นคืองานซ่อมนาฬิกาที่เขาชอบทำเป็นงานอดิเรก เขาเคยนำนาฬิกาหินอ่อน ซึ่งเป็นนาฬิกาเก่าของตึกนี้ไปซ่อม และมันยังเดินดีอยู่ เมื่อเขานำกลับมาตั้งไว้บนเตาผิงชั้นสองในออฟฟิศของผู้ว่า แต่เมื่อเขาเคลื่อนย้ายไปวางอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นชั้นบนของเตาผิงใต้รูปวาดของประธานาธิปดี เดวิส เจฟเฟอร์สัน  มันหยุดเดินที่เวลา 6.10 น.  มิสเซลดีนนำมันมาตรวจสภาพแล้วนำมาไว้ที่เดิม เมื่อกลับมาดูวันรุ่งขึ้น มันก็หยุดเดินอีกแล้ว  ที่เวลา 6.10 น.

                    นาฬิกาเรือนนี้ดูราวกับว่ามันเป็นตัวของมันเอง เหนือการควบคุมของเครื่องจักรกลภายใน หยุด ๆ เดิน ๆ ตามใจชอบ มันแปลกตรงที่ว่าเวลาหยุดเดินของมันต้องที่เวลา 6.10 น.  ทุกครั้งไป

                    ครั้งหนึ่ง มิสเซลดีนนำนาฬิกาเรือนนั้นไปซ่อมหน้าปัดที่ชำรุดหลังจากซ่อมเสร็จ มันทำหน้าที่ของมันไปจนกระทั่งถึงเวลาพักผ่อน  นั่นคือการหยุดเดินในเวลาที่มันต้องการ  6.10 น. อดีตที่ว่าการอาถรรพ์แห่งนี้ บางเวลาก็มีฝูงไก่นัดกันมาชุมนุมในตึกแน่นขนัด โดยไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าไก่ฝูงนี้มาจากไหน ท้ายที่สุดก็ต้องเป็นหน้าที่ของเสมียน ซึ่งมีฟาร์มอยู่แล้วต้องเป็นผู้อาสาพาไป ระยะไล่เลียกับการปรากฏตัวของฝูงไก่ คนที่ทำงานภายในออฟฟิศแห่งนี้มันจะเห็นผู้หญิงมีครรภ์ผ่านเข้าออกบ่อยเหมือนกับว่าที่ทำการแห่งนี้คือบ้านของเธอเอง เมื่อสืบสาวราวเรื่องดู จึงรู้ว่าที่แท้แล้วเธอคือ เลอลีน เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐมาก่อน และถึงแก่กรรมในออฟฟิศที่เธอทำหน้าที่ในปี 1968

                    ระหว่างการปฏิบัติงาน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ รายงานที่ค้นพบกล่าวว่า เลอลีนทำหน้าที่ของเธออย่างเข้มข้น จริงจัง และมุ่งมั่นในความตั้งใจที่จะเปลี่ยนเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐกับคนจน เธอทำงานหนักจนเกินกำลังที่ผู้หญิงจะทำไหว จนกระทั่งล้มเจ็บและตายไปด้วยโรคมะเร็ง เลอลีนชอบมาปรากฏตัวในสำนักงานให้คนเห็นบ่อยครั้ง จนคนงานนำไปวิเคราะห์กันว่า  เธอคงวนเวียนอยู่จนกระทั่งครบวาระการทำงานอะไรทำนองนั้น

                    เลอลีน วอลเลซ ได้รับการยอมรับจากสังคมหลายระดับว่าวิญญาณของเธอนั้นมีอยู่จริง ทุกวันนี้จะมีคณะทัวร์นำลูกทัวร์สับเปลี่ยนกันนำเที่ยวไม่ขาดสาย ความตั้งใจส่วนใหญ่ของคณะทัวร์ก็เพื่อรอชมปรากฏการณ์ของปีศาจและรับรู้พฤติกรรมของมัน.....


                   
    เจฟฟรีย์ เพื่อนยาก

                    …..เมื่อสมัยที่จอห์น เวสลีย์ ผู้ก่อตั้งนิกายเมธอดิสม์ของศาสนาคริสต์เป็นเด็กชายวัย 13 ปี และกำลังเรียนหนังสือที่กรุงลอนดอน เขาได้รับจดหมายจากแม่เขียนเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านลินคอล์นเชียร์ ระหว่างเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1716 "วันแรกของเดือนธันวาคม คนรับใช้ของเราได้ยินเสียงที่ประตูห้องนั่งเล่น เป็นเสียงครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน เหมือนกับคนที่ตกอยู่ในความเจ็บปวดแสนสาหัสจนถึงจุดที่ใกล้หมดลมหายใจ ต่อมาบางคืน (สองหรือสามคืน) หลายคนในครอบครัวได้ยินเสียงพิลึกพิลั่นในบริเวณต่าง ๆ โดยมักจะมีเสียงเคาะประมาณ 4-5 ทีในแต่ละคราว จากนั้นก็หยุดเล็กน้อยเป็นเช่นนี้ทุกครั้งตลอดสองสัปดาห์บางครั้งมันดังแว่วมาจากชั้นบน แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในห้องเลี้ยงเด็ก…….."

                    เราทุกคนได้ยินกันหมดยกเว้นบิดาของเจ้า(บาทหลวงซามูเอล เวสลีย์) แม่ไม่อยากให้ทราบเรื่อง เพราะกลัวพ่อจะคิดเข้าใจไปว่า มันเป็นลางบอกความตายของตัวเองแต่เมื่อมันเริ่มสร้างความเดือดร้อนมากเข้าตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จนกระทั่งไมีใครในบ้านกล้าอยู่คนเดียว แม่จึงตกลงใจบอกเรื่องนี้แก่พ่อ ด้วยตั้งใจให้พ่อพูดคุยติดต่อกับวิญญาณนั้น ทีแรกพ่อไม่ยอมเชื่อ เพราะคิดว่าคงมีใครทำเสียงขึ้นเพื่อแกล้งให้เราตกใจ แต่ในคืนต่อมาทันทีที่พ่อล้มตัวลงนอนบนเตียง มันก็ทำเสียงตึงตังสนั่นถึงเก้าครั้งอยู่แถว ๆ ข้างเตียงนั่นเอง…….."

                    ในคือหนึ่ง มันส่งเสียงอย่างเดิมอีกภายในห้องที่อยู่เหนือหัวเรา ราวกับมีคนหลายคนกำลังเดินกันให้พล่าน จากนั้นก็วิ่งขึ้น-ลงบันได อย่างดังรุนแรงจนเราคิดว่าลูก ๆ คงตกใจกลัวกันแน่ ดังนั้น พ่อกับแม่จึงลุกขึ้นทันใดนั้นดูราวกับว่ามีใครบางคนเทถุงเงินลงที่ปลายเท้าของแม่ ส่วนที่ข้างพ่อ ก็เหมือนกับขวดทุกใบที่อยู่ใต้บันได (ซึ่งมีเยอะมาก) ได้ถูกทุบแตกจนแหลกเป็นพัน ๆ ชิ้น เราผ่านห้องโถงเข้าไปในห้องครัว หยิบเทียนและเดินไปดูลูก ๆซึ่งต่างนอนหลับ.."

                    …..ปรากฎการณ์หลอกหลอนนี้ไม่ได้สร้างความอกสั่นขวัญผวารุนแรงอะไรนักแก่คนในครอบครัวเวสลีย์ หรือแม้แต่ลูกคนเล็ก ซึ่งได้ตังฉายาให้วิญญาณว่า "เจฟฟรีย์เพื่อนยาก" มีแต่สุนัขตัวที่สาธุคุณเวสลีย์เอามาเลี้ยงไว้ในบ้านเท่านั้น ที่ส่อแววขี้ขลาดกว่าใคร มันส่งเสียงเห่าหอนเมื่อได้ยินเสียงประหลาดเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นสองสามวัน มันถึงกับตัวสั่น ร้องคราวหงิง ๆ แล้วพยายามหลบอยู่ข้างหลังใครก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ

                    …..ในตอนแรก นางเวสลีย์คิดว่าเสียงรบกวนอาจมาจากพวกหนูที่เพื่อนบ้านใช้วิธีเป่าแตรไล่มา (blowing a horn) เธอจึงให้คนไปกำจัดแบบเดียวกันหมด ผลปรากฎว่ากลับทำให้เสียงดังโครมครามยิ่งขึ้นอีก เมื่อมอลลี ลูกสาวคนโตได้ยินเสียงทุบระรัวที่ประตูครัว เธอค่อย ๆ ระงับสติเปิดมันออก ทว่าไม่พบอะไร อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังจะปิดประตู เธอต้องออกแรงดึงโดยใช้ทั้งเข่าและหัวไหล่แล้วลงกลอน ครั้นแล้วเสียงเริ่มแว่วขึ้นอีก

                    …..สาธุคุณเวสลีย์พยายามไต่ถามวิญญาณว่า มันใช่ลูกชายของเขาที่ชื่อ แซมหรือเปล่า แต่ได้คำตอบเป็นความเงียบกริบ อย่างไรก็ตาม มันคงยังเลียนเสียงเคาะทุกชนิด รวมทั้งเสียงฝีเท้าของคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการพบเห็นร่างลึกลับ เอมิลี่ ลูกสาวคนหนึ่งเล่าว่า "น้องสาวของฉัน เฮตตี้ ซึ่งมักนั่งรอคุณพ่อพาเข้านอน กำลังนั่งอยู่ที่บ้นไดชั้นล่างสุด ประตูปิดอยู่ด้านหลังเธอ หลังจากนั้นสักพักก็มีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนผู้ชายในชุดนอนตัวโคร่งลากยาวกรุยกรายเดินลงบันไดมาทางด้านหลังเธอ แม่ของฉันก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งอยู่ใต้เตียงนอนของน้อง คล้ายตัวแบดเจอร์ เพียงแต่ว่าไม่มีหัว ในค่ำคืนหนึ่งสัตว์อย่างเดียวกันนี้ได้ไปนั่งข้างเตาไฟในห้องนั่งเล่น เมื่อคนเดินเข้าไปในห้องมันก็วิ่งเฉียดผ่านไป….ครั้งสุดท้ายมีคนเห็นมันในห้องครัว รูปร่างเหมือนกระต่ายขาว

                    …..คนรับใช้ชื่อ โรเบิร์ต บราวน์ มักโดนเล่นงานมากกว่าใคร เขา "ได้ยินเสียงใครบางคนผ่านทางห้องเพดานไปยังห้องของเขา ทำเสียงกอกแกกอยู่ข้าง ๆ ตัวเขาคล้ายเสียดสีกับรองเท้าทั้งที่เขาไม่ได้สวมอยู่ คราวอื่น ๆ มันก็เดินขึ้น-เดินลงบันไดในช่วงที่ทุกคนในบ้านเข้านอนหมดแล้ว และส่งเสียงร้องกลอก ๆ อย่างกับไก่งวงตัวผู้"

                    …..ผีจะประกาศการมาของมันด้วยเสียงแปลกประหลาดอย่างหนึ่งอันเป็นที่รุ้กันโดยเฉพาะลูกสาวสองคนบรรยายว่าฟังเหมือนเกิดจากอุปกรณ์เหล็กเสียบย่างอาหาร ส่วนสาธุคุณเวสลีย์เปรียบว่าคล้าย "เสียงหมุนของกังหันขณะที่ลมเปลี่ยนทิศทาง" เหตุการณ์ดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดเดือนมกราคม ค.ศ. 1717 ในที่สุดเสียงกวนประสาทก็หยุดไปเฉย ๆ แม้ว่าจดหมายจากเอมิลีลงวันที่ 1 เมษายนเขียนไว้ว่า "วิญญาณตัวนั้นยังคงอยู่กับเราเมื่อคืนนี้ และหลายคนในบ้านต่างก็ได้ยิน" เรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจกันมากเพราะมีหลักฐานอ้างอิงครบถ้วน อันได้แก่จดหมายหลายสิบฉบับที่สมาชิกในครอบครัวเขียนบอกเล่าสู่กันฟัง รวมทั้งเรื่องราวขนาดยาวที่อยู่ในสมุดบันทึกของสาธุคุณเวสลีย์ ตลอดจนบันทึก 8 ฉบับที่จอห์น เวสลีย์รวบรวมในปี ค.ศ. 1726 และอันดับสุดท้ายคือ "An Account of the Disturbances in my Father's House" ซึ่งจอห์น เวสลีย์เขียนลงใน Arminian Magazine ในปี ค.ศ. 1784

                    …..ดังที่บ่อย ๆ เหตุการณ์หลอกหลอนแบบนี้มักจะรุมเล่นงานเด็ก ๆ อย่างเฮตตี้ เสลีย์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปี เธอถูกพบอยู่ในสภาพตัวสั่นรุนแรง ขณะนอนหลับ และเสียงมักจะติดตามเธอไปทุกห้อง ส่วนที่ว่าเจฟฟรีย์เป็นใครนั้นดูจะ เป็นปริศนาที่มืดมน จดหมายฉบับสั้น ๆ จากลูกสาวชื่อซูซานนาห์บอกกล่าวไว้ว่า "ลูกควรจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์โกลาหลให้ฟังบ้าง แต่คงไม่จำเป็นหรอก เพราะว่าเอมิลีและเฮตตี้มันเขียนถึงมันอยู่แล้ว" จดหมายจากเอมิลีได้ถูกนำมาเปิดเผลไว้ที่นี้ ทว่า ไม่มีบันทึกอะไรทำนอนนั้นเลยจากเฮตตี้สักฉบับเดียว หรือว่าจอห์น เวสลีย์ ปกปิดมันไว้ ???

                    …..โจเซฟ พรีสท์ลีย์ (ผู้ค้นพบออกซิเจน) ได้ตีพิมพ์จดหมายฉบับอื่น ๆ ลงใน Originals Letters by the Rev. John Wesley and his Family…ในปีค.ศ. 1791 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เวสลีย์เสียชีวิต พร้อมกันนั้นก็ตั้งข้อสงสัยไว้ว่า "นายจอห์น เวสลีย์ มีความปราถนาอย่างยิ่งที่จะเก็บจดหมายเหล่านี้ไว้ในครอบครองของตนจึงเป็นที่ทราบกันว่า เขาได้ปกปิดจดหมายหลายฉบับไว้"

              …..จดหมายฉบับที่ขาดหายไปอาจจะเปิดเผยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความรู้สึกที่เฮตตี้มีต่อ "เจฟฟรีย์ เพื่อนยาก" ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเศร้าสะเทือนใจหรือเสียหายแก่ครอบครัวหรือแก่สานุศิษย์ของเวสลีย์ และที่สำคัญ มันทำให้นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องหนึ่งที่จบลงอย่างไม่สมบูรณ์อีกเช่นกัน


    http://www.artsmen.net/artsmen_myth/Frameset_myth.html

    + + http://www.geocities.com/fundee2000/mystindex.htm

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×