ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #4 : ก่อนตามรอย 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.34K
      4
      24 ม.ค. 51



    ก่อนตามรอย

     

                    อย่างที่บอก มีหลักฐานจริงก็ต้องมีหลักฐานปลอม มีทั้งตั้งใจทำและไม่ได้ตั้งใจ และมีหลายสาเหตุที่ทำ เป็นต้นว่า

     

                    แบบที่ 1 แบบไม่ตั้งใจ

     

                    ความเข้าใจผิด

                    อย่างที่รู้ โลกสมัยก่อนยังขาดความรู้มาก ในเรื่องเทคโนโลยี ชีววิทยา การศึกษา ฯลฯ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่พบเห็นสัตว์แปลกๆ เมื่อไหร่มักที่จะเอาไปเปรียบเทียบเป็นสัตว์โน้นสัตว์นี้ (ก็เหมือนบ้านเราแหละกราบไว้วัวสองหัว)

                    อย่างเช่น สมัยก่อนระบบการเดินทางเดินเรือยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน พวกลูกเรือจึงหวาดกลัวทะเลมาก เพราะมันมีทั้งภัยพิบัติและสัตว์ร้ายๆ ต่างๆ นาๆ จนเกิดตำนานสัตว์ร้ายในทะเลขึ้นมา ที่โด่งดังที่สุดคือเงือก แต่แท้จริงแล้วมันคือพะยูนต่างหากละ เพราะความหวาดกลัวทำให้ดูพะยูนผิดเป็นผู้หญิงขึ้นมา

     

                    ความไม่รู้

                    ก็อย่างที่ว่าโลกเราสมัยก่อนความรู้ไม่ค่อยมี การศึกษายังจำกัดวงแคบๆ และถูกบีบแคบลงอีกด้วยศาสนา

                    การค้นพบดินแดนใหม่ๆ นั้นกว่าจะเริ่มก็ปาไปกว่าร้อยกว่าปี

                    ที่นั้นพวกเขาค้นพบสัตว์ใหม่ๆ แปลกๆ เต็มไปหมด

                    มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาค้นพบสัตว์ตัวหนึ่ง มันรูปร่างคล้ายม้า มีลายแปลกๆ ที่ตัวมัน แต่คอมันยาวจนน่ากลัว เขาเอามันกลับไปที่ประเทศของเขา และตั้งชื่อว่า ม้าลายจุด

                    จนกระทั้งปัจจุบัน การศึกษาได้ก้าวไกลขึ้น และต้องชื่อใหม่ให้กับมันว่า ยีราฬ นั้นเอง

                    สัตว์เร้นลับที่เขาพบอาจเป็นหนึ่งในสัตว์ที่เรารู้จักกันดีก็ได้ใครจะไปรู้

     

                    ภาพลวงตา

                    อย่างที่ว่ามีหลายกรณีเหมือนกันที่ สัตว์เร้นลับ ปรากฏอยู่ในรูปของภาพลวงตา

                    อย่าลืมสิ หากเราค้นหาสัตว์เร้นลับตัวนั้นโดยลำพังเพียงคนเดียว ในดินแดนที่เราไม่รู้จักมาก่อน อาหารติดตัวก็น้อยลง ยิ่งถ้าเป็นที่กันดาร มีทะเลทรายล้อมรอบ ด้วยความกลัวและความต้องการพบสัตว์เร้นลับเร็วๆ จึงไม่แปลกอะไรที่เกิดภาพลวงตาให้เราได้พบเห็น

                    อีกกรณีหนึ่งก็ภาพลวงตาที่เกิดจากหมอก อย่างกรณีของเนสสี มีคนเห็นเจ้าคอยาวปรากฏท่ามกลางหมอกทึบกว่าร้อยราย จนน่าสงสัยอย่างยิ่งว่ามันคือภาพลวงตาหรือเปล่า

     

     

    แบบที่ 2 คนมันอยากดัง

                   

                    โกหก

                    มนุษย์หลายคนมีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือความอยากเด่นอยากดัง อยากเป็นที่ยอมรับในสังคม จึงยอมทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อที่จะได้ดัง และเมื่อดังจะได้อะไรละ ก็ได้ทั้งเงินสิ แค่ขายรูปสัตว์ลึกลับให้คนชอบสะสมล่ะก็ดีไม่ดีรวยไม่รู้เรื่อง!!

                    อยากกรณีของจานบินรูปจาน สมัยก่อนไม่เคยไม่ใครเคยเห็นจานบินรูปจานมาก่อน จนกระทั้ง มีนักบินคนหนึ่งกล่าวถึงจานบินที่เขาพบว่า

                    มันบินเหมือนจานลอย

                    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการพบจานบินรูปจานเกือบทุกมุมโลก!!

                    แน่นอนในเรื่องสัตว์ลึกลับก็เช่นกัน ที่เป็นนำไปสร้างเรื่องโกหกเยอะที่สุดพอๆ กับจานบิน

    หลายคนคงได้เคยอ่านข่าว     การพบเห็นสัตว์ประหลาด ลึกลับปรากฏตัวที่โน่น ที่นี่กันบ่อยๆ  อาทิ "เยติ" มนุษย์หิมะตีนโต "เนสสี" แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์   และ "มนุษย์ต่างดาว" ผู้มาจากนอกโลก ซึ่งผู้ที่พบเห็นจะยืนยันว่า   "เห็นจริงๆ ป่าวตาฝาด" แถมบางครั้งยังมีภาพ หรือแม้กระทั่งวีดิโอ   เทปที่ถ่ายไว้ได้มาเป็น หลักฐานพยาน ทำให้ ผู้คนพากันเชื่อถือและแห่กันไป   (แอบ) ดู "อมนุษย์" ลึกลับเหล่านั้น ทว่า...ก็ยังไม่มีใครได้เห็นจะจะกะตาซักที     
              กระทั่งมีบุคคลบางคนเกิดสงสัยว่า   "เอ... อสุรสัตว์เหล่านี้มีจริงหรือเปล่าหวา" และลงมือสืบสวนดู   ในที่สุดก็พบว่าภาพถ่ายหรือวีดิโอเทปของอมนุษย์เหล่านั้นแท้ที่จริง...     ]

    ล้วนเป็นภาพ"ลวงโลก"เกือบทั้งสิ้น!     


                    เริ่มต้น จากเจ้าตีนโต
    (BIGFOOT)  ซึ่งคล้ายกับมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ มีขนรุงรังทั้งตัว ผู้ที่สามารถถ่ายภาพวีดิโอความเคลื่อนไหวของมันไว้ได้คือ  นายโรเจอร์ แพตเตอร์สัน เขาอ้างว่าพบมันในวันที่ 20 ต.ค.  ปี ค.ศ. 1967 กำลังเดินกร่างสองขาไปตามร่องลำธารในป่าตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย   ความสูงของมันราว 2 เมตร และน้ำหนักเฉียด 130 กก. เขาถ่ายภาพจากระยะห่าง   40 เมตร เป็นความยาวฟิล์มนานถึง 39 วินาที ซึ่งเมื่อนำออกมาฉายเปิดเผย  ก็สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวโลกโดยทั่วกัน    

    แต่มีผู้หนึ่งซึ่งมีความกังขาในฟิล์มม้วนนี้  เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์นามว่า คาร์ล คอร์ฟ โดยคอร์ฟได้พยายามแกะรอยข้อเท็จจริงและตรวจตรา  ภาพที่เห็นจากวีดิโออย่างละเอียดอยู่นานหลายปี  

    "ผมกำลังหาซิบอยู่ด้านหลังอยู่น่ะ เพราะไม่มีไม่มีสัตว์โลกตัวไหนหรอกที่มีขนเฟอร์เป็นแนวอย่างนี้"  คอร์ฟว่า    

    อีกผู้หนึ่งซึ่งค้นคว้าหาความจริงในเรื่องนี้คือ  นายไคลด์ ไรน์เก้ ในช่วงปี 1970 เขาทำงานอยู่ในบริษัท  ANE ซึ่งจัดจำหน่ายฟิล์ม เขาระบุว่า แพตเตอร์สันก็เป็นลูกจ้างคนหนึ่งของบริษัทในตำแหน่งช่างภาพ และได้รับคำสั่งจากผู้บริหารบริษัทให้สร้างหนังบิ๊กฟุตขึ้น เพื่อโปรโมตฟิล์มแก่เหล่าผู้นิยมท่องไพร!   

    ไรน์เก้อธิบายว่า ไอ้ตีนโตในฟิล์มของแพตเตอร์สันนั้น มิใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นมนุษย์ร่างใหญ่ที่สวมชุดวานร ไรน์เก้บอกด้วยว่า  มนุษย์คนนั้นชื่อ เจอร์รีย์ รอมนีย์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของประธานบริษัท    

    ขาสูงตั้งเกือบเจ็ดฟุตร่างใหญ่มากน้ำหนักไม่ต่ำกว่า    115 กก.     

    และที่น่าเชื่อก็คือ รอมนีย์นั้นเคยแสดงเป็นตัวเด่น ในหนังเรื่องหนึ่งของ ANE ในปี ค.ศ.1972 มาแล้ว ลักษณะท่าทางเดินในหนังที่เขาแสดงนั้น    ละม้ายคล้ายคลึงกับลีลาการย่างก้าวของไอ้ตีนโตในฟิล์มของแพตเตอร์สันมาก    

    ผู้สันทัดกรณีด้านการถ่ายทำได้วิจารณ์ว่าไอ้ตีนโตของแพตเตอร์สันนั้น เอาหนังกอริลลามาสวมมีการสร้างรอยตีนปลอมแล้วก็ถ่ายทำให้เบลอๆแค่นี้ก็สำเร็จ    

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หนังสั้นๆแค่ไม่ถึง 40 วินาทีนี้  ได้ทำเงินมหาศาลให้แก่บริษัท ANE ส่วนแพตเตอร์สันเสียชีวิตใน ค.ศ.1972    

    อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ของวีดิโอไอ้ตีนโตได้แก่ ภาพของ เยติที่เดินย่ำหิมะอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย วีดิโอนี้ถูกนำมาเผยแพร่ ในฤดูหนาวของปี ค.ศ.1976 ผู้ชมจะแลเห็นไอ้มนุษย์หิมะตีนโตดูเหมือนกำลังเล่นหิมะ การเคลื่อนไหวของมันงุ่มง่าม จากนั้น คล้ายกับมันรู้ตัวว่าถูกถ่ายทำ       มันจึงออกเดินไปบนเขา    

    วีดิโอเรื่องนี้ โรเบิร์ต แอล.เฟลมมิง  นักวิทยาศาสตร์ ผู้คลุกคลีกับเขาหิมาลัยนานหลายปีมีความเห็นว่า ต้นไม้ใบหญ้า และลักษณะของหิมะในวีดิโอนั้น เป็นคนละแบบอย่างกับที่หิมาลัย  ไอ้ตีนโตเยติก็ดูเหมือนคนเกินไป แต่ก็ไม่ละม้ายกับชาวเนปาล หรือชนแถบหิมาลัยไม่ใช่แม้แต่เยติ   

    แต่เป็นมนุษย์จอมปลอม!   

     
                    เรามาดูอสุรสัตว์อื่นกันบ้าง ตัวที่โด่งดังรู้จักกันดีทั่วโลกก็คือ เจ้า "เนสสี" (NESSIE)

    ไดโนเสาร์ แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์สกอตแลนด์ โดยเป็นที่เล่าลือกันมานาน หลายสิบปีแล้วว่า มีสัตว์มหึมาชูคอยาว ของมันโผล่พ้นน้ำอันมืดคล้ำ ของทะเลสาบแห่งนี้ ขณะที่มันแหวกว่ายอยู่นั้น ได้มีผู้พบเห็นนับร้อยราย บางคนถ่ายภาพของมันไว้ได้ แต่ภาพที่ชัดเจนที่สุดเป็นฝีมือของ นายด็อค ชิลส์ ซึ่งถ่ายไว้ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1977    

    แต่ก็อีกนั่นแหละครับ นายรัสเชลล์ แองกลิซานี  ผู้เชี่ยวชาญการตกแต่งภาพได้วิจารณ์   

    "เพียงแค่ใช้เทคนิคเก่าๆ  ครั้งกระโน้นโดยอาศัยสารเคมี เช่น สารฟอกสี น้ำยาย้อมและก็พู่กัน     คุณก็สามารถเติมภาพสัตว์ประหลาด ลงไปในฟิล์มได้ และไอ้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือ   คะเนดูแล้วเจ้าสัตว์ตัวนี้มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 30 ตัน แต่ทำมั้ย รอบๆตัวของมันจึงไม่มีรอยน้ำ กระเพื่อมเลยซักนิด"    

    บางคนที่เก็บภาพเจ้าเนสสีได้ เป็นถึงระดับอาจารย์แห่งสถาบัน    เอ็มไอทีอันลือลั่น เขาคือ ดร.โรเบิร์ต ไรเนส ในปี ค.ศ.1972 ดร.ไรเนสสำรวจทะเลสาบด้วยตาตัวเอง และถ่ายภาพเต็มตัวของเจ้าเนสสีขณะแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำไว้ได้    

    ซึ่งในเรื่องนี้ผู้สันทัดกรณีชี้แจงว่า เล่นไม่ยาก คุณเพียงแต่หาโครงไม้ เป็นรูปสัตว์ แล้วเอาผ้าพลาสติกมาห่อหุ้มคลุมไว้ ระบายสีเข้าไป ใส่น้ำหนักถ่วงให้มันกึ่งลอยกึ่งจม โยงด้วยสายเคเบิลแล้วลากมันไป แค่นี้คุณก็สร้างอสุรสัตว์ใต้น้ำได้สำเร็จ    

    นอกจากนี้การที่ ดร.ไรเนสใช้สปอตไลต์ฉายส่อง เพื่อให้เห็นภาพเจ้าเนสสีชัดเจน  จึงถูกกล่าวหาว่าเขาใช้เทคนิค ของแสงช่วยในการสร้างภาพ จนกระทั่งมันดูสมจริงเกินไป    กว่าจับได้ว่าเป็นของปลอมก็นานหลายสิบปีแหละ


    http://www.baddevil.net/mysterious/news/show.php?Category=article&No=59

    + +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×