ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #40 : โอรัง-บาตี (Orang-bati)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.45K
      6
      14 ส.ค. 51


    โอรัง-บาตี (
    Orang-bati)

     

                    เกาะเซรัมเป็นเกาะใหญ่อันดับสองในหมู่เกาะโมลุกกะของอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะสุลาเวสี กับ นิวกีนี ชาวเกาะรอบๆ เรียกมันว่า นูซา อีนา หรือ เกาะแม่ เพราะที่นี้มีตำนานสร้างโลก ว่ากันว่ามนุษย์คนแรกของโลกเกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้จากนั้นก็แพร่ขยายพันธุ์ไปทั่วโลก ชาวเซรัมยังบอกอีกว่าที่นี้อาจเป็นที่เรือโนอาห์อยู่ก็ได้โดยมันยังคงอยู่ที่ยอดเขาหนึ่งบนเกาะ เพราะพวกเขาเคยเห็นกับตามาแล้ว.........

                    ภูมิประเทศของเกาะเซรัมมีลักษณะเป็นเขาสูงชัน มียอดสูงเสียดเมฆอยู่หลายยอด ตอนในของเกาะปกคลุมด้วยป่าฝนเมืองร้อนที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ ดังนั้นที่นี้จึงซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตลึกลับต่างๆ เอาไว้

                    หนึ่งในนั้นคือ โอรัง-บาตีมนุษย์ค้างคาวแห่งเกาะเซรัม

                    
                    โอรัม บาตี เป็นสัตว์
    ?? แปลก ที่ชาวพื้นเมืองเรียก ในภาษาอินโดนีเซียแปลว่า คนบินได้ มันมีรูปร่างเหมือนคน สูงราว 1.50 เมตร ผิวสีน้ำตาลแดง ปีกสีดำ และมีหางเล็กยาว ซึ่งชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามชายฝั่งกลัวมันอย่างมาก พวกเขาบอกว่าโอรัง-บาตีอาศัยอยู่ตามถ้ำบนภูเขาไกราตู ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทมาเป็นเวลานานแล้ว อยู่ทางตอนกลางของเกาะ ในตอนกลางคืนมันจะออกจากรังของมัน บินข้ามป่ามาที่หมู่บ้านตามชายฝั่ง แล้วจับแพะ แกะ เป็ด และไก่ รวมถึงคนในหมู่บ้านพาบินกลับไปด้วย

                    แม้พวกชาวบ้านจะไปแจ้งความกับตำรวจเรื่องที่โอรัง-บาตีมาลักพาตัวคนไปจากหมู่บ้าน แต่ตำรวจไม่ยอมเชื่อ ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะตำรวจที่นั่นส่วนใหญ่มาจากเกาะชวาจึงมองคนพื้นเมืองว่าด้อยอารยธรรมเชื่อเรื่องงมงาย สำหรับชาวเกาะเซรัมแท้ๆ นั้นเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและส่วนใหญ่เหยื่อที่โดนมันจับนั้นไม่มีใครสักคนที่จะรอดกลับมา

                    โดยคนที่สนใจในเรื่องเจ้าตัวโอรัม บาตีและพาเรื่องราวไปสู่ข้างนอกคือ ไทสัน ฮิวส์ มิชชันนารีอังกฤษสัญชาติอเมริกัน เขาเดินทางมาเกาะเซรัมนี้ในปี 1987 และสนใจเรื่องเจ้าตัวนี้จนถึงขั้นบุกไปที่รังของมันที่ภูเขาไกราตูแม้จะไม่พบตัวมันเป็นๆ แต่ไทสันถือว่าเป็นชนผิวขาวคนแรกที่เดินไปสำรวจป่าแถบนั้น

                    คนบินได้ใช่ว่าจะอยู่แต่เฉพาะในเกาะเซรัมเท่านั้น หากแต่ยังมีผู้พบเห็นตัวมันตามที่อื่นๆ ด้วย อย่างที่รัสเซียก็ยังมีข่าวในการพบเห็นตัวมันประจำ เช่น ที่วลาดิวอสต็อกซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 1908 ขณะที่ชายคนหนึ่งชื่อ ซี.เค. อาร์เซนเยฟ เดินอยู่ในป่าบนภูเขาซีโฮเต อาลิน เขาได้พบเห็นรอยเท้าคล้ายเท้าคนอยู่บนทางเดินข้างหน้า สุนัขของเขาได้มีอาการแปลกๆ และเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างเดินเหยียบย่ำพงไม้ เขาจึงหยุดยืนฟังอยู่หลายนาที ในที่สุดจึงเอาก้อนหินโยนไปทางสัตว์ที่มองไม่เห็นตัวนั้น แล้วเขจาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกดังมาจากตรงนั้น พร้อมแลเห็นอะไรบางอย่างที่ตัวใหญ่และดำมืดบินข้ามแม่น้ำไป แต่เขาเห็นตัวมันไม่ชัดเจนเพราะแถวนั้นมีหมอกลงแล้วเมื่ออาร์เซนเยฟนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนพื้นเมืองแถบนั้นฟัง พวกเขาเรียกมันว่า คนที่สามารถบินได้ในอากาศ ซึ่งพรานในแถบนั้นรู้จักมันดี

                    ที่เขตปกครองปรีมอร์สกีอืยไคร ซึ่งอยู่ทางตะวันออกไกลของรัสเซียก็มีเจ้าตัวนี้เหมือนกัน พวกเขาเรียกมันว่า เลตายุสซียืยเซโลเวก(Letayuschiy chelovek) แปลว่า คนบินได้ เมื่อหลายปีก่อน พรานชื่อ เอ.ไอ.คูเรนซอฟ ได้แลเห็นสัตว์ตัวหนึ่งบินข้ามเหนือกองไฟที่เขาก่อเอาไว้ เขาบอกว่าเสียงร้องของมันแหลมเหมือนเสียงกรีดร้องของผู้หญิงแต่ท่อนท้ายของมันเป็นเสียงหอนฟังดูเศร้าๆ

                    ในสมัยสงครามเวียดนามนาวิกโยธินสหรัฐที่ไปรบที่นั้นก็อ้างว่าพบเห็นคนบินได้เช่นกัน เมื่อราวเดินกรกฎาคมหรือสิงหาคม 1958 ขณะที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ สามนายอยู่เวรเฝ้ารักษาการณ์ที่ฐานทัพใกล้เมืองดานัง เวียดนามใต้ พวกเขาได้เห็นตัวอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดมากบินอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ตอนนั้นเป็นเวลาเช้ามืด เอิร์ล มอร์รีสัน หนึ่งในสามคนนั้นเล่าว่า

            

                    ทันทีทันใดนั้น ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เราทั้งสามคนต่างแหงนขึ้นมองดูบนฟ้า แล้วเราก็เห็นร่างนั้นลอยตรงมาทางเรา ตอนแรกดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไร มันดูเรื่องๆ มันเริ่มใตรงเข้ามาหาเราอย่างช้าๆ แล้วทันใดนั้นเราก็เห็นอะรที่ดูเหมือนจะเป็นปีก คล้ายปีกค้างคาว เพียงแต่ว่ามันมีขนาดใหญ่โตมากเมื่อเทียบอะไรกับค้างคาวทั่วๆ ไปที่ควรเป็น หลังจากที่มันเข้าใกล้พอจนเราสามารถมองเห็นว่าเป็นอะไร มันดูคล้ายผู้หญิง ผู้หญิงที่ไม่นุ่งผ้า เธอดำ ผิวของเธอดำ ลำตัวเธอดำ ปีกดำ ทุกอย่างดำไปหมด แต่มันเรืองแสง มันเรืองแสงในความมืด อย่างกับมีแสงเขียวๆ อาบไปทั้งตัว

     

                    ทั้งสามคนมองเห็นอยู่นานพอสังเกตได้ว่ามันมีแขน มือ และนิ้วของผู้หญิงคนนี้ติดอยู่กับปีกไม่ต่างอะไรกับค้างคาว พวกเขาได้แต่ยินเฝ้าดูเธอบินข้ามหัวที่ไม่สูงเท่าไหร่นัก และได้ยินเสียงกระพือด้วย

     

                    มันคือตัวอะไร??

                   
                    
    แน่นอนสิ่งที่เราฟังเรื่องเกี่ยวกับตัวนี้เป็นครั้งแรก คำตอบที่แว่บมาในสมองคือ มันเรื่องจริงเปล่า เนื่องจากเรื่องเล่าของชาวพื้นเมืองนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถืออะไรมากนัก เพราะเกาะเซรัมนั้นเต็มไปด้วยตำนานพื้นบ้านและการถือโชคลาง อีกทั้งคนที่นั้นชอบเอาใจแก่ผู้มาเยือน ถ้าเกิดมีใครมาถามเรื่องสัตว์แปลกๆ พวกเขาก็ไม่รั้งรอที่จะเล่านี้ให้ฟัง โดยไม่สนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม....

                    เอางี้ถ้าสมมุติว่าเป็นเรื่องจริง เราก็ลองมาคิดเล่นๆ กันดีกว่าว่าคนที่ไหนมันจะมีปีกและบินได้....

     

                    ค้างคาวยักษ์

                    ดร.คาร์ล ชูเกอร์(ตำแหน่งอะไรไม่ยักบอก) ออกความเห็นว่าบางทีโอรัง-บาตีอาจเป็นค้างคาวยักษ์ ซึ่งก็มีทางเป็นไปได้เพราะเกาะอินโดนีเซียเป็นย่านที่มีค้างคาวอาศัยอยู่มากชนิด ดังนั้นอาจจะยังมีค้างคาวที่เราไม่รู้จักหลบซ่อนอยู่บนเกาะเซรัมบ้างก็ได้ และค้างคาวก็เป็นสัตว์ที่ออกหากินเวลากลางคืนจึงยากที่จะพบเห็นตัว ซึ่งปัจจุบันจากสถิตค้างคาวที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Pteopus vampyrus) เป็นค้างคาวกินผลไม้ ที่มีน้ำหนักตัว 1 กก. เมื่อกางปีกออกทั้งสองข้างจะ กว้างถึง 2 เมตร

                   

                    อาจเป็นชนเผ่าหนึ่ง

                    แย็ป ฟาน เดน บอร์น ชาวดัทช์ที่เคยไปอาศัยอยู่ในหมู่เกาะโมลุกกะบอกว่าจริงๆ แล้วเจ้าโอรัง-บาตีอาจมีความหมายว่า ชาวบาตี(Bati men) เป็นชนเผ่าดังเดิมของเกาะเซรัม มีสมาชิกในเผ่าราว 2000 คน อาศัยอยู่ในเขาใกล้เมืองเตโฮรู

                    มีตำนานเล่าถึงเผ่านี้ว่า เผ่านี้มีคาถาสามารถหายตัวได้ และสามารถบินได้ด้วย  ชาวบาตีนี้แบ่งเป็นสี่กลุ่ม แต่ละกลุ่มก็บินไปคนละฤดู ไปเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ฤดูฝนแรกเรียกว่าฤดูตะวันตก เรียงกันไปเรื่อยๆ คนพวกนี้จะคอยลักพาตัวเด็ก และผู้ใหญ่ไม่ว่าหญิงหรือชาย แต่ดูจะชอบคนต่างชาติมากกว่าชนพื้นเมือง ซึ่งพวกเขาจะลักพาตัวมาเพื่อเอาไปเลี้ยงเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเขา

                    นอกจากนี้ชนเผ่านี้ยังมีเรื่องเล่าว่าพวกเขาเลี่ยงตัวกะปิตัน(ตัวครึ่งคนครึ่งงู) และมีเวทย์มนต์ในการควบคุมงูเพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆ อีกด้วย

                    ชาวบาตีเป็นชนเผ่าที่สูงกว่าคนพื้นเมืองในหมู่เกาะโมลุกกะโดยเฉลี่ย และเป็นเผ่าที่มีนัยน์ตาแปลก คือนัยน์ตาขาวของพวกเขามีสีคล้ำจนเกือบดำจนแทบไม่เห็นสีขาวในดวงตา(เหมือนตาของมนุษย์ต่างดาว) ใบหน้าสี่เหลี่ยมและโหนกแก้มสูง

                    จนถึงปัจจุบันที่อินโดนีเซียก็ยังคงมีเผ่านี้อยู่ และการดำรงชีวิตของพวกเขาดูลึกลับมากๆ และพวกเขายืนยันต่อผู้พบเห็นว่าพวกเขานั้นบินได้....

     

    เทโรซอร์

                    
                   ไปกันใหญ่เลยทีนี้ แม้มีรายงานการพบไดโนเสาร์ตัวนี้ที่แซมเบีย เคนย่า ไล่ไปจนถึง ซิมบับเวและนิวกินี ไม่มีรายงานพบอินโดนีเซียก็จริง แต่ถึงไงอย่างลืมสิว่าอินโดนีเซียเป็นแหล่งสวรรค์ของสัตว์นานาพันธุ์แปลกๆ จึงไม่น่าแปลกอะไรว่ามันน่าจะมีไดโนเสาร์สักตัวสองตัวที่รอดจากยุคดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบัน

     

                    แม้เรื่องของโอรัม บาตีจะเป็นเรื่องที่หลายๆ คนไม่สนใจเท่าเนสสี บิ๊กฟุต เยติก็ตาม แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าค้นคว้าและน่าสนใจเหมือนกัน เพราะอินโดนีเซียขึ้นชื่อเป็นแหล่งที่มีสัตว์แปลกๆ ที่เราไม่เคยพบเห็นอยู่มากมาย บางทีในอนาคตอาจอาจมีการสำรวจจริงๆ ที่อินโดนีเซียก็ได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวนี้คืออะไรกันแน่

     

    จากต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 402 สิงหาคม 2551 ดัดแปลงเพิ่มโดย Cammy+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×