ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #49 : กล็อบสเตอร์ (Globster) ซากลึกลับจากท้องทะเล (ตอนที่ 2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.12K
      7
      17 ก.ย. 51

    (ปล ระหว่างที่ผมพิมพ์เรื่อง.....สารคดียูบีซีกำลังออกเรื่องพอดีครับว่า อสูรกายแทสมาเนีย (อะไรจะตรงขนาดนั้น) เขารายงานไปว่าเป็นไขมันปลาวาฬ......นอกจากนี้ยังมีรายงานเรื่องสัตว์ประหลาดในท้องทะเลอีก แต่ข้อมูลของผมไม่พอที่จะเขียนหรอกครับ ของผมมีแต่เรื่องเก่าๆ เขียนเพื่อเก็บเอาไว้กลัวหนังสือหาย เท่านั้นเอง)

     

                    ก้อนเนื้อแห่งแทสมาเนีย

                   

                    เรื่องของก้อนเนื้อยังมีต่อ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2503 เบน เฟนตัน แจ็ค บูธ และเรย์ แอนโทนีซึ่งกำลังช่วยกันเลี้ยงปศุสัตว์อยู่แถวใกล้ๆ แม่น้ำอินเทอร์วิวในแทสมาเนียตะวันตก

    เขาเกิดเดินมาพบก้อนเนื้อขนาดยักษ์ยาวราว 20 ฟิตและกว้าง 18 ฟิต เข้า คะเนว่ามันน่าจะหนักกว่า 5-10 ตันเลยทีเดียว เมื่อเข้ามาใกล้ไม่มีกลิ่น ยังเดาได้ว่ามันไม่เน่า ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่และเมื่อมันเกิดเน่ากลิ่นมันจะฉุนเหมือนกรดจากแบตเตอรี่ จนสุนัขและม้าไม่อยากเข้าใกล้

    เฟนตื่นเต้นกับสิ่งนี้มากและพยายามเรียกคนอื่นมาดูสิ่งนี้ด้วยแต่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้มากนัก

                    จนกระทั้งเดือนมีนาคม พ.ศ.2505 ข่าวไปถึงหูบรูซ มอลลินสันนักวิทยาศาสตร์ของซีเอสไออาร์โอ ที่กำลังลาออกจากพิพิธภัณฑ์ทัสเมเนียอยู่พอดี เขาได้ขอร้องให้นักธุรกิจสนับสนุนการเงินเพื่อสำรวจเพื่อไปตรวจสอบเรื่องนี้พร้อมกับทีมงาน

                    มันยาวราว 20 ฟิตและกว้าง 18 ฟิตหนา 4 ฟุตครึ่ง น่าจะมีน้ำหนักราว 5-10 ตัน ส่วนที่มองเห็น แข็งและหยุ่นเหมือนยางและยังคงอยู่ในสภาพดีมาก รูปร่างภายนอกดูแล้วคล้ายเต่าขนาดใหญ่ที่ไม่มีแขนขา ผิวของมันแข็งมาก มันมีขนด้วยขนของมันเหมือนขนแกะที่เป็นมันเยิ้มปกตลุมผิว สัตว์ตัวนี้มีตะโหนกสูงราว 4 ฟิตที่ด้านหน้าและระหว่างคู่กลางมีช่องเปิดคล้ายท่อเกลี้ยงๆ ที่เชิงทางด้านหลังมีเนื้อสำหรับรองรับน้ำหนักยื่นออกมากว้างราว 2 ฟิต ลึก 18 นิ้ว แต่ละอันมีหนามแข็งและแหลมเรียงอยู่แถว หนาเท่าดินสอหรือก้านขนนก ไม่มีร่องรอยว่ามันมีตาหรืออวัยวะเ....คณะสำรวจลองชำแหละสัตว์นี้ตรงด้านสูงเข้าไปจนลึก พบว่าเนื้อข้างในยืดหยุ่น เป็นเนื้อที่ดูเหมือนประกอบจากเส้นเอ็มจำนวนมากเชื่อมด้วยเนื้อที่มีลักษณะเป็นไขมัน เห็นชัดว่าเนื้อของมันทนทานมาก สามารถสู้กับอากาศเป็นเวลานานได้อย่างดี

                    10 วันต่อมา ก้อนเนื้อก็ดังไปทั่วโลก ตอนนี้มันก็มีชื่อว่า กล็อบสเตอร์ อย่างเป็นทางการ มีการสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าก้อนเนื้อนี้เป็นอะไร บางคนบอกว่ามันอาจเป็นราอูยักษ์ บางคนก็ว่ามันมาจากนอกโลก บางคนก็ว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ประหลาดทะเลอะไรสักอย่าง

                    อย่างไรก็ตามพอรัฐบาลออสเตเลียทนกระแสเรียกร้องของหลายๆ ฝ่ายที่อยากรู้ว่าก้อนเนื้อคืออะไรกันแน่ไม่ไหว รัฐบาลเลยจัดทีมสำรวจคณะใหม่มาตรวจสอบ แต่ผลที่ออกมาคือ ก้อนเนื้อที่พบเป็นเพียงก้อนเนื้อไขมันปลาวาฬที่กำลังเน่าเปื่อยเท่านั้น

                    นั้นเองที่ทำให้ผู้คนต่างพากันลืมก้อนเนื้อประหลาดในระยะเวลาอันสั้น.....

                    

                    มีนาคม พ.ศ.2508 กล็อบสเตอร์อีกตัวถูกพบ ที่หาดมูริไว นิวซีแลนด์ ตัวนี้ยาว 30 ฟิต สูง 8 ฟิต จากรายงานบอกว่า สิ่งนี้มีหนังเหนียวหนาเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว ใต้หนังเป็นชั้นไขมันแล้วจึงถึงเนื้อ ขนมันยาวราวสี่ถึงหกนิ้วปกคลุมไปตามยาว เมื่อตัดขนออกมาจากหนังแล้วล้างสะอาดขนจะเหมือนขนสัตว์นุ่มๆ

                    แต่แล้วภายหลัง รายงานถูกเปลี่ยนแปลงรายละเอียดออกไปเยอะ เช่นไม่มีขนปกคลุม เพียงแต่มันเป็นเส้นใยไฟเบอร์ที่เกิดจากเนื้อเยื่อเชื่อมต่อ ทำให้ผลสรุปของมันจึงกลายเป็นกองมันเปลวและก้อนเนื้อของปลาวาฬไป

     

                    ในปี พ.ศ.2513 กล็อบสเตอร์แทสมาเนีย มาเกยตื้นอีกครั้ง และคนพบก็คือเบน เฟนตันคนเดิมที่พบกล็อบสเตอร์ปี 2503 คราวนี้มันเกยตื้นทีร่แหลมแซมดีไปสองสามไมล์ มันยาวกว่า 8 ฟิต มีโหนก ค่อนข้างสดกว่าตัวก่อนๆ ดูแล้วไม่ใช่ปลาวาฬแน่นอน

                    แต่น่าเสียดายเรื่องนี้ไม่มีใครตรวจสอบซากนี้นักทำให้เรื่องของกล็อบสเตอร์หายไปจากความสนใจของผู้คน แต่กระนั้นเจ้าซากกล็อบสเตอร์ก็ยังปรากฏขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่มีใครสนใจตรวจสอบแค่นั้นเอง เช่นในปี 2491 ก็ไปปรากฏที่หาดบนเกาะดังค์ ออสเตเลีย ชายสองคนไปพบก้อนเนื้อนี้เกยอยู่ตรงชายหาด ในหนังสือพิมพ์รายงานไปว่ามันคล้ายแมงกะพรุนยักษ์เฃ น่าจะมีน้ำหนักหลายตัน มีช่องดูเหมือนเหงือกเปิดอยู่หลายช่อง ไม่มีตา ก้อนเนื้อหน่ามีหนังหนาและมีขนละเอียดงอกคลุมอยู่บนหนังนั้นอีกที ชาวเกาะเห็นมันอยู่หลายวันก็กลัวมันเน่าส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง จึงพยายามกำจัด แต่ปรากฏว่าแทบทำอะไรมันไม่ได้พราะหนังมันเหนียวมาก เผาไฟก็ไม่ไหมื สุดท้ายพวกเขาเลยใช้ระเบิดไดนาไมต์ ระเบิดจนเป็นเสี่ยงๆ และขนซากออกไปทิ้งทะเล ซึ่งกว่ากำจัดมันออกก็ปาไปสิบวัน

                   

                    ปี พ.ศ.2501 มีรายงานเกี่ยวกับกล็อบสเตอร์อีก คราวนี้มันเข้าไปติดอยู่ในอวนลากของชาวประมงระหว่างเมลเบิร์นกับโฮบาร์ต ก้อนเนื้อนั้นไม่รู้ร่างคล้ายหมวกกะโล่ราว 8 ฟุต ไม่มีครีบ ไม่ตา ไม่มีปาก เจ้าของเรือถ่ายรูปมันไว้แล้วทิ้งทะเลกลับไป

                    

                    ข่าวก้อนเนื้อประหลาดหายไปอีกท่ามกลางข่าวสงครามและเศรษฐกิจ แต่มันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2531 ที่ชายฝั่งเบอร์มิวด้า ชายชื่อเท็ดดี้ ทัคเกอร์เห็นมันเกยในหาดแมงโกรบเมย์ ลักษณะเป็นก้อนเนื้อสีขาว เนื้อของมันดูเหมือนเป็นเส้น ยาว 8 ฟิต หนาวราว 2 ½ - 3 ฟิต มีแขนและขาห้าอันแต่ไม่ค่อยสมบูรณ์

                    มันไม่มีกระดูก กระดูกอ่อน ช่องเปิดที่สามารถมองเห็น หรือกลิ่น ดูเหมือนมันจะเป็นปลาหมึกสายยักษ์ ซึ่งภายหลังมีการตัดก้อนเนื้อไปพิสูจน์ และได้รับตั้งชื่อภายหลังว่า เบอร์บิวดา บล็อบ

     

                    มันคือตัวอะไรกันแน่??

                     

                    อย่างไรก็ตามนะครับ มีการศึกษาเนื้อเยื่อของกล็อบสเตอร์เมื่อปี 2538 และมีรายงานออกมา โดยเป็นรายงานของนักวิทยาศาสตร์หลายคนร่วมกันศึกษาและสรุป โดยผลออกมามีดังต่อไปนี้

                    ในบรรดาก้อนเนื้อประหลาดที่ปรากฏตามที่ต่างๆ มีความเหมือนกันหลายประการ คือพวกมัน มีขน และ มีเส้นใย โดยเส้นใยมีสีขาวหรืออกซีด หนังเหนียวมากจนเฉือนแทบไม่เข้า และเมื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจสอบพบว่ามันประกอบด้วยคอลาเจนเป็นส่วนใหญ่

                    อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานว่าก้อนเนื้อนี้น่ามาจากปลาหมึกยักษ์นั้นอาจเป็นปลาหมึกยักษ์ และมันเปลวของปลาวาฬนั้น ปรากฏว่ามันไม่ใช้ปลาหมึก และไม่ใช้มันเปลวของปลาวาฬ  เนื่องจากเคยมีคนทดลองมันโดยเปรียบเทียบเนื้อเยื่อของปลาหมึกและเนื้อเยื่อของเปลวปลาวาฬ พบว่าการเรียงตัวของคอลลาเจนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

                    การที่แถบเส้นใยคอลลาเจนจะอยู่ตรงไหนนั้นเป็นเรื่องสำคัญทีเดียวครับ ก็เพราะมันสามารถชี้ให้เห็นประเภทของสัตว์นั้นชัดเจน โดยวิทยาศาสตร์บอกว่า ระเบียบเรียงตัวของคอลลาเจนจากก้อนเนื้อของกล็อบสเตอนั้นเป็นการเรียงตัวของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังและเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกที่ตายไปแล้ว นอกจากนี้คาดว่าเป็นสัตว์ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้

                    นอกจากนี้ก็ยังมีการตรวจสอบอื่นๆ อีกครับ เช่นการตรวจสอบกรดอมิโน ผลออกมาคือคาดว่าเป็นสัตว์เลือดเย็นที่มีกระดูกสันหลัง โดยสรุปคือ

    ·       ก้อนเนื้อแห่งเซนต์ ออกัสติน อาจเป็นมันเปลวของปลาวาฬ

    ·       เบอร์บิวดา บล็อบ อาจเป็นหนังของปลาอะไรสักอย่าง แต่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือปลาฉลาม

    อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทำการชี้ว่า การที่มันเปลวของปลาวาฬหลุดออกจากซากของมันในลักษณะชิ้นใหญ่ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้(ปกติปลาวาฬจะมีนิสัยช่วยกันฉีกมันเปลวจากซากของตัวที่ตายแล้วเป็นริ้วๆ) ยิ่งกว่านั้นจะมีปลาตัวไหนในโลกที่ทั้งหนาและติดแน่นอะไรที่มีขนาดเท่ากับเบอร์บิวดา บล็อบ นอกจากนี้ผลการทดลองนี้ก็เชื่อที่ไม่เด้เพราะการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อนั้นถ้าผ่านไปหลายวัน หลายปีจะมีส่วนให้ผลการทดลองต่างกันโดยสิ้นเชิง

    สรุปคือ......

    เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่า กล็อบสเตอร์คืออะไรกันแน่ เหอๆ

     

     

    จากหนังสือปฏิบัติการค้นหาสัตว์ดึกดำบรรพ์ยังมีชีวิต โดยคอสมอส สำนักพิมพ์เครือเภา และ cammy ดัดแปลง+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×