ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #88 : แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations) ฝืมือคนหรือต่างดาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.66K
      1
      26 มี.ค. 52



    แคทเทิล มิวทิเลชั่น (
    Cattle Mutilations)

     

                    เมื่อประมาณ 5-6 ปี ที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ได้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่บรรดาชาวไร่ ชาวนา ตลอดจนปศุสัตว์ต่างๆเป็นจำนวนมากเพราะเรื่องที่ว่า ก็เกี่ยวพันถึงชีวิตสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมาก

                    นั้นคือปรากฏการณ์ที่สัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป โดยอวัยวะที่ถูกเฉือนไปนั้นก็ได้แก่ เนื้อบางส่วนตรงคอ อวัยวะสืบพันธุ์ หู ลิ้น หัวใจ เป็นต้น โดยใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ และทิ้งซากสัตว์จำนวนมากไว้ทุ่งร้าง

                    ไม่ใช่แค่ในอเมริกาเท่านั้นนะครับ ที่บราซิลหรือแถบอื่นๆของโลก ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ไม่มากและเป็นข่าวครึกโครมเท่าที่เกิดในทั่วสหรัฐอเมริกา เท่านั้นเอง บริเวณที่พบเหตุการณ์ประหลาดนี้มากที่สุด ได้แก่ รัฐโคโลราโด และที่นิวแม็กซิโก จากยอดที่ได้รับการแจ้งความมายังสถานีตำรวจท้องถิ่นนั้น สัตว์เลี้ยงที่ตายไปมียอดรวมเกิน 300 ตัว

                    9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์วัวตายอย่างลึกลับในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพอนเดรา มอนตานา หลังจากที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงมาแล้วนับสิบแห่งเมื่อปี 2001

                    เจ้าของวัวที่เคราะห์ร้ายคือ มาร์ค ทาเลียเฟอโร ซึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้เมื่อปี 2001 คราวนี้เขาพบลูกวัวตอนแล้วหมายเลข 304 นอนตายอยู่ในทุ่งหญ้าห่างจากบ้านไม่ถึงสองไมล์ทาเลียเฟอโร โทร.แจ้งทางการทันทีเพราะซากของวัวที่ตายมีรูที่ท้องของมัน ซึ่งเป็นการตายที่ผิดปกติ

                    นายอำเภอ โทมัส เอ. คูกา ได้รุดมายังที่เกิดเหตุเพื่อทำการสืบสวนทันที การชันสูตรพบว่าลูกวัวมีรูที่ท้องบริเวณเต้านมทะลุเข้าไปในลำไส้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้มันตาย คูกาบอกว่า รูที่ท้องวัวมีรูปทรงกลมและเหมือนกับถูกทำให้ไหม้ด้วย และลูกอัณฑะหายไป รูดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในท้องจนเห็นข้างในเลยทีเดียว ทว่าไม่มีเลือดออกและไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ เลย นอกจากนั้น ลิ้นของลูกวัวส่วนปลายยังถูกตัดด้วยมุมเฉียง 45 องศา ซึ่งคูกาบอกว่า มันไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น คือลิ้นวัวจะหายไปทั้งหมด

                    คูกาให้ความเห็นว่าสัตว์นักล่าไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

                    และสรุปว่า รูที่ท้องของลูกวัวตัวนี้น่าจะเกิดจากการถูกตัดด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้และตั้งคำถามว่า มีเครื่องมือชนิดใดที่ทำเช่นนี้ได้ ?

                    และนี่คือ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกกันว่า "การชำแหละวัวในท้องทุ่ง" (Cattle Mutilation Phenomena) ที่ระบาดในอเมริกาเหนือมานานแล้ว ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา และอวัยวะบางส่วนโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย  หลายเคสซากวัวมีรูขนาดใหญ่บริเวณรอบกระดูกขากรรไกรและขากรรไกรและลิ้นของมันหายไป และอีกหลายเคสอวัยวะเพศของวัวทั้งตัวผู้และตัวเมียจะหายไป สำหรับวัวตัวเมียลูกตาและเต้านมจะหายไปด้วย

                    นอกจากนั้น ยังพบรังสีตกค้างบริเวณใกล้ซากวัวและที่น่าประหลาดใจ ก็คือ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัวเลย

                    และเมื่อนำผลการตรวจสอบเนื้อเยื่อจาก Lab พบว่า ซากสัตว์เหล่านั้นเน่าเปื่อยไวกว่าปกติอย่างที่ควรเป็นถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัว

                    ปรากฏการณ์นี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง คือ หลายเคสวัวที่ตายจำนวนมาก ถูกทำเครื่องหมายซึ่งเรืองแสง ว่ากันว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นได้ในเวลากลางคืน และสิ่งนี้อธิบายได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก และหลายเคสยังเกิดขึ้นในบริเวณใกล้บ้านเจ้าของวัวซึ่งเลี้ยงหมาไว้ด้วย ซึ่งหากมีคนหรือสัตว์บุกรุกเข้ามาหมาจะเห่า แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงเห่าจากหมาเลย

                    ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือในกรณีที่เกิดกับลูกวัว ปกติแม่วัวจะคอยดูแลปกป้องอันตรายให้กับลูกวัว หากมีอันตรายเข้ามาใกล้แม่วัวจะร้องซึ่งจะทำเจ้าของวัวได้ยิน แต่กลับไม่มีเสียงร้องจากแม่วัว

                    การศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

                    ครั้งหนึ่งมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย ดร. จอห์น อัลชูเลอร์ โดยการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์(LASER SURGERY)ในวงการแพทย์ กับเนื้อเยื่อของวัวที่ตายอย่างลูกวัวของทาเลียเฟอโร ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์มีคาร์บอนปนเปื้อนอยู่แต่กลับไม่พบในเนื้อเยื่อของวัวที่ตายแบบเดียวกับลูกวัวของทาเลียเฟอโร ดร.อัลชูเลอร์ถึงกับกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ว่ารูที่ท้องวัวเกิดจากการตัดหรือผ่าโดยเครื่องมืออะไร

                    ปัจจุบันมีทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้อยู่ 3 ทฤษฎี  โดยมีดังต่อไปนี้

     

                    ทฤษฎีแรก

                    
                   อธิบายว่าเกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพของรัฐบาล เหตุผลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำบินอยู่เหนือท้องทุ่งในยามค่ำคืน และรุ่งเช้าก็จะพบซากวัว แต่ทฤษฎีนี้แทบจะหาหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนได้เลย

                    แต่ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริว หัวขโมยจะต้องมีความชำนาญในเรื่องสรีระของสัตว์เป็นพิเศษ สัตว์บางตัวถูกตัดอวัยวะที่ลึกลงไปถึง 18 นิ้วได้ โดยไม่มีรอยแผลเหวอะหวะแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผู้ที่เข้าไปสอบสวน รวมทั้งแพทย์ต่างลงความเห็นว่า แผลที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดโดยการใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัดก็เป็นได้

                    นอกเหนือไปจากรอยแผลที่ชวนให้สงสัยแล้ว สิ่งที่ก่อความงุนงงให้กับตำรวจและเจ้าของไร่ที่สุดคือ ไม่มีรอยเท้าของสัตว์เลียงหรือหัวขโมย ไม่มีรอยเลือดหยดเป็นทางอย่างที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำ รูปการณ์ยังส่อออกมาว่า สัตว์เหล่านี้น่าจะถูกขโมยด้วยวิธีดึงตัวให้ลอยขึ้นสู่ที่สูง หลังจากชำแหละชิ้นส่วนที่ต้องการเสร็จ ซากของสัตว์จะถูกทิ้งลงมาจากอากาศ เพราะหลายต่อหลายตัวกระดูกหัก ชำใน อันเป็นร่องรอยของการถูกทิ้งลงมาจากที่สูง พื้นดินก็มีรอยบุ๋มอย่างชัดเจนเสียด้วยสิ

     

                    ทฤษฎีที่สอง

                    
                   เกิดจากฝีมือของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า
    "ชูพาคาบรา" (Chupacabra ) ซึ่งแปลว่า "ปีศาจดูดเลือด" มีรายงานการพบเห็นชูพาคาบราในแถบแคริเบียนและอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้แม้กระทั่งที่ฟลอริดาในอเมริกาด้วย โดยเฉพาะในเปอร์โตริโก ไก่และกระต่ายในฟาร์มต่างๆ ตายนับพันตัวโดยมีรูที่ลำตัวเหมือนถูกเจาะ

                    ผู้พบเห็นชูพาคาบราบรรยายว่า มันสูง 4 ฟุต ผิวหนังสีเทา ดวงตาแดง มีขาคล้ายจิงโจ้ และมีเดือยแหลมที่หลัง ผู้พบเห็นบางคนรายงานว่า มันมีปีกและบินได้ด้วย

                    ทฤษฎีนี้อธิบายว่า "ชูพาคาบรา" จะออกล่าเหยื่อตามฟาร์มในยามค่ำคืน มันจะจัดการกับเหยื่อด้วยการดูดเลือดและบางครั้งจะนำอวัยวะภายในออกไปกินที่อื่น บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ทดลองของรัฐบาล แต่บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ของมนุษย์ต่างดาว ที่นำมาปล่อยทิ้งไว้บนโลก  มีคนเชื่อทฤษฎีนี้มากเหมือนกัน แต่หลักฐานซากสัตว์ประหลาดที่ เดวิน แม็คแอนนาลี ยิงตายที่ฟาร์มไก่ของเขาที่เมืองพอลล็อค รัฐเท็กซัส เมื่อ วันที่ 14 ตุลาคม 2004 เป็นสัตว์ที่คล้ายสุนัขจิ้งจอก สีน้ำเงินปนเทา ซึ่งไม่น่าจะมีพิษสงถึงขนาดฆ่าวัวได้ ทำให้ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อน

     

                    ทฤษฎีที่สาม

                   
                    
    อธิบายว่า เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอจะบินมาลอยอยู่เหนือท้องทุ่งแล้วปล่อยลำแสงยกวัวเข้าไปภายในยาน หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะทำการชำแหละวัวเพื่อศึกษาอวัยวะต่างๆ

                    นักจานผีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญบางท่านกล่าวว่า สัตว์เหล่านี้อาจถูกลักพาและผ่าตัดโดยมนุษย์ต่างดาว เพราะย่านที่มีคดีนี้ครึกโครมอยู่บ่อยๆนั้น บรรดาชาวไร่และเจ้าของปศุสัตว์ต่างพากันมองเห็น แวงประหลาดสีส้ม มีขนาดเล็กกว่าจันทร์เต็มดวงครึ่งหนึ่ง ลอยเรี่ยไปตามบริเวณที่พบซากสัตว์และบริเวณคอกสัตว์ บางคนเห็นเป็นดวงไฟสีน้ำเงิน โดยเฉพาะกลางปีที่ผ่านมานี้นะครับ ชาวไร่ทั้งหลายได้เห็นแสงไฟนี้บ่อยที่สุดจนเป็นที่รู้จักกันดี และเรียกดวงไฟชนิดนั้นว่า "แม่ใหญ่" หรือ Big Mama

                    นอกจากนั้นบริเวณที่พบใกล้ๆ ที่พบซากสัตว์ มีร่องรอยคล้ายกับลงจอดของ"ยาน"อะไรบางอย่างอยู่แถวนั้น เช่นรอยขาหยั่งเป็นรูปกลมๆมากมาย อนึ่งการผ่าตัดสัตว์เหล่านี้แทบจะไม่มีปัญหากับมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเลย แถมน้ำหนักสัตว์ร่วม 500 กว่ากิโลในแต่ละตัว ก็สามารถยกไปได้เงียบๆโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ ซึ่งไม่น่าจะมีมนุษย์ที่ไหนทำได้เลยจริงไหมล่ะครับ?

                    ตำรวจท้องถิ่นชื่อ เบอร์นาร์ด อิเนซ ผู้โชกโชนในด้านสืบสวนคดีเหล่านี้กล่าวว่า ปกติแล้ว เข้าไม่เคยพบรอยเท้ามนุษย์หรือรอยอย่างอื่นในรัศมีร้อยเมตรรอบซากสัตว์ นอกจากรอยลงจอดดังกล่าว ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ ในหลายรายที่พบซากใกล้ป่าละเมาะ บรรดากิ่งไม้ ยอดไม้ของพืชที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็หักกระจัดกระจาย เป็นพยานตอบรับได้ดีว่า มันหักเพราะซากสัตว์ถูกทิ้งลงมาจากที่สูง เข้ากันดีกับรอยช้ำบนตัวสัตว์เหล่านั้น

                    และจากการสำรวจพบว่า มีวัวตัวเมียสามตัวและลูกวัวบางตัวในวัวจำนวนร้อยๆตัวนั้น มีร่องรอยประหลาดอยู่บนตัวมันครับ ร่องรอยดังกล่าวก็คือ วัวพวกนั้นถูกฉายรังสีที่มีคุณสมบัติเรืองแสงอยู่บนตัวของมันครับ นักวิทยาศาสตร์บางท่านจึงได้ตัดเอาขนที่ถูกฉายรังสีเรืองแสงดังกล่าว จากขนวัวที่ผิดปกติ รวมทั้งขนวัวธรรมดาไปวิจัยที่ห้องทดลอง Schoenfeld เมือง Albuquerque (อัลบูเคิร์ก) ด้วยวิธีการตรวจหาเสปกตรัม เผื่อจะได้ผลอะไรคืบหน้าขึ้นมาบ้าง

                    แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบดี ปรากฏว่าละแวกนั้นก็เกิดเหตุการณ์พิกลขึ้น

                    ในวันที่ 2 ก.ค. นายอำเภอท้องถิ่นได้รับการแจ้งความเรื่องยานประหลาดสีชมพู เขาและลูกทีมจึงรีบไปยังที่เกิดเหตุที่ไดรับแจ้งมาทันที ฟิลิปส์ คอร์โดว่า ผู้เป็นนายอำเภอ ได้สอบถามพยานหลายครอบครัวซึ่งชุมนุมกันอยู่บริเวณเมืองเทาส์ของเขา ได้ความมาว่า พวกเขาไปชุมนุมกันเพื่อมีปาร์ตี้เล็กๆที่บ้านของเพื่อนบ้าน งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยดีตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่งตอนที่แยกย้ายกันจะกลับบ้านนั้นเอง...

                    ... ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ทุกคนได้ยินเสียงดังแกร๊ก.. และทันใด บริเวณดังกล่าวก็สว่างจ้าไปด้วยแสงสีส้ม จนบางคนคิดว่าเกิดไฟไหม้ที่ไหนสักแห่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกก็พบว่า ต้นตอของเสียงและแสงนั้นเกิดจากยานประหลาดลำหนึ่ง รูปร่างเหมือนจานมีทรงกลม หรือส่วนโค้งเป็นโดมเล็กๆอยู่ด้านบน มันลอยอยู่เหนือพื้นดินร้อยกว่าฟุต เหนือบ้านของชายที่ชื่อว่า เลอรอย เกรแฮม ยานลำดังกล่าวมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ฟุต

                    ขณะที่ทุกคนกำลังอ้าปากค้าง มองดูยานลำนั้นอยู่นั่นเอง เจ้ายานดังกล่าวก็ได้ลอยห่างออกไปทางทิศตะวันตกอย่างเงียบๆและรวดเร็ว ในช่วงที่ยานลอยนิ่งอยู่นั้น มันได้ขยับผ่านรถปิคอัพของเกรแฮมครับ และมีวัตถุประหลาดหล่นมาจากตัวยานลงบนรถปิคอัพเสียด้วย วัตถุที่ว่ามีขนาดตั้งแต่ 1/16 คูณ 3/16 นิ้ว และหนาประมาณกระดาษแข็งคล้ายๆสีที่แห้งแล้ว มันหล่นลงไปกองกันอยู่บนกระจกหน้ารถครับ

    เกรแฮมเองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงรัฐนิวเม็กซิโก ได้รีบไปเอาเหยือกแก้วสะอาดๆ มาเก็บเอาหลักฐานชิ้นสำคัญพวกนั้นไว้ทันที เพื่อส่งไปวิเคราะห์ต่อ ยัง Lab ของหน่วยงานรัฐบาลต่อไป

                    แรกสุด เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการคิดว่า วัตถุพวกนั้นน่าจะเป็นวัตถุอนินทรีย์ แต่หลังจากใช้วิธีวิเคราะห์โดยละเอียดแล้วพบว่า มีสารประกอบกว่า 20 ชนิด ที่เคยพบในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต และแน่นอนครับ ท่านไม่ได้คาดเดาผิดหรอก มีบางอย่างครับ ที่เป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบบนขนของวัวที่ถูกฉายรังสี แถมเป็นสารแบบเดียวที่พบในตัวของสัตว์ที่ถูกขโมยไปชำแหละเสียด้วยสิครับ...

                    ส่วนประกอบของสารที่พบนั้นก็ได้แก่โปตัสเซียม แมกนีเซียมเป็นส่วนมาก ที่เหลือก็ได้แก่ แพลตตินัม วานาเดียม แบเรียม และสตรอนเตียม

                    พอมาถึงจุดนี้นักวิจัยก็สรุปออกมาว่า วัตถุดังกล่าวเป็นอินทรียสารซึ่งอาจจะมาจากเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตก็ได้........................................

                    นักวิจัยยูเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อทฤษฎีนี้ บางคนบอกว่าไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะศึกษาสัตว์โลกเพื่อวัตถุประสงค์ทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว มนุษย์ต่างดาวจงใจจะบอกกับมนุษย์ว่า "นี่คือสิ่งที่พวกเราทำได้และไม่มีทางที่พวกคุณจะหยุดยั้งมันได้ด้วย"

                    ทว่าทฤษฎีนี้ก็ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเช่นภาพถ่ายที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะมีรายงานการกล่าวอ้างว่ามีการพบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้นับสิบรายก็ตาม มันจึงเหมือนกับปรากฏการณ์ยูเอฟโออื่นๆ หรือคอร์ปเซอร์เคิล ซึ่งว่าไปก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×