Capz-
ดู Blog ทั้งหมด

Bleach 267 Legions of the reglets

เขียนโดย Capz-






















เปิดตอนมายังการเผชิญหน้าระหว่างลูเคียกับเออร์โรนีโร่ "ตัวจริง" ซึ่งเออร์โรนีโร่ก็เอ่ยปากชมเชยฝีมือของลูเคียที่ร้ายกาจถึงขนาดใช้วิถีพันธนาการระดับสูงอย่างคุกแสงหกชั้นได้ เพราะวิถีมารคุกแสงหกชั้นนี้ แม้แต่ในบรรดาหัวหน้าหน่วยรุ่นปัจจุบันเองก็มีแต่เบียคุยะเท่านั้นที่ใช้ได้ (สรุปว่าให้พี่เขยช่วยสอนให้จริงๆ สินะ เหอๆๆ) พูดจบ เออร์โรนีโร่ก็ทำลายผนึกของคุกแสงหกชั้นด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายดาย ราวกับแผ่นผนึกเหล่านั้นเป็นแผ่นโฟมบางๆ แล้วหันไปพูดถากถางลูเคียที่ตอนร่ายวิถีทำลาย "เพลิงสีฟ้าถล่มดอกบัวคู่" เมื่อกี้นั้น ลูเคียไม่ยอมยิงใส่ตัวเออร์โรนีโร่โดยตรง กลับไปยิงใส่ผนังแทน ทั้งๆ ที่ถ้ายิงใส่ตัวตรงๆ ถึงจะจัดการไม่ได้ก็อาจทำให้เออร์โรนีโร่บาดเจ็บได้บ้างแท้ๆ

กับคำถากถางนั้น ลูเคียเพียงย้อนเรียบๆ ว่าที่ยิงวิถีมารใส่ในตอนนั้นไม่ได้กะจะเล่นงานให้บาดเจ็บอยู่แล้ว แต่กะจะใช้แสงสว่างจากภายนอกเพื่อเปิดโปงตัวจริงของเออร์โรนีโร่ต่างหาก พูดจบ ลูเคียก็ยกดาบขึ้นชี้หน้าของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
"ในเมื่อความจริงปรากฏแล้ว ข้าก็จะฆ่าแกแบบไม่มีการปราณีแม้แต่นิดเดียว"

หากเจ้าเออร์โรนีโร่ไม่ได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย เพียงก้าวย่างด้วย "โซนีด" วูบเดียว ร่างสูงโปร่งก็หายตัวจากพื้นที่สว่างที่ตนอยู่เมื่อกี้นี้เข้ามาอยู่ภายในร่มเงาทางด้านหลังของลูเคียในชั่วพริบตา โดยที่ลูเคียไม่ทันได้ขยับตัวแม้แต่ก้าวเดียว ขณะที่ลูเคียกำลังคิดหาทางรับมือนั้นเอง เสียงอธิบายของเจ้าเออร์โรนีโร่ก็ดังขึ้น มันกล่าวว่า ลูเคียพูดถูกที่พลังของมันไม่สามารถใช้ได้ในแสงสว่าง แต่ถ้าอยู่ในเงาหรือมีเงาละก็ จะใช้กี่ครั้งก็ได้ไม่มีปัญหา พูดจบก็สาธิตให้ดูให้เห็นว่าไม่ได้โม้เปล่า ด้วยการเปลี่ยนใบหน้าโหลดองของตนให้กลายเป็นใบหน้าของไคเอ็นต่อหน้าลูเคีย เล่นเอาลูเคียตะลึงจนพูดไม่ออก เออร์โรนีโร่เห็นลูเคียนิ่งเงียบไปก็อธิบายให้ลูเคียฟังต่อว่า ในบรรดาเอสปาด้าทั้ง 10 นั้น เออร์โรนีโร่เป็นเอสปาด้าเพียงตนเดียวที่มาจากเมนอสชั้นกิลเลี่ยน (เมนอสชั้นต่ำสุด) เดิมทีตัวเออร์โรนีโร่เองก็ไม่ได้มีพลังมากมายมหาศาลขนาดจะเข้าเป็นเอสปาด้าได้ แต่กระนั้น การที่เออร์โรนีโร่ได้เป็นเอสปาด้าในยามนี้ก็คือความจริง และที่เป็นแบบนั้นได้ก็เพราะมีสาเหตุอยู่

"เพราะข้าเป็นอารันคาร์เพียงตนเดียวที่สามารถวิวัฒนาการได้ไม่มีที่สิ้นสุดไงล่ะ!!" เออร์โรนีโร่ประกาศก้องด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
"ความสามารถนี้เดิมทีก็คือความสามารถรวมร่างวิญญาณของเจ้า "เมตาสตาเซีย" เจ้าฮอลโลว์ที่สู้กับไคเอ็นในตอนนั้น และข้าก็ได้ความสามารถนั้นมา ด้วยการกินร่างวิญญาณของเจ้านั่นที่ตายลอยกลับมายัง Hueco Mundo ไงล่ะ!!"

อธิบายจบ เจ้าเออร์โรนีโร่ก็ดึงถุงมือของตนออก เผยให้เห็นว่าภายใต้ถุงมือนั้น คือระยางค์ลักษณะคล้ายหนวดปลาหมึกจำนวนมากม้วนพันกันจนเป็นรูปร่างคล้ายนิ้วมือมนุษย์ 5 นิ้ว ตรงกลางฝ่ามือนั้นมีระยางค์ขนาดใหญ่มีปากลักษณะคล้ายปากตัวหนอนพยาธิอยู่
"ความสามารถของข้ามีชื่อว่า "โกรโตเนเรีย" สามารถดูดกลืนเอาพลังกดดันวิญญาณและความสามารถของฮอลโลว์ที่กินไปมาเป็นของตัวเองได้ เป็นความสามารถที่ข้าได้มาจากการกลืนกินเจ้าเมสตาสเซียที่กลับมาในร่างของชิบะ ไคเอ็น!"

และนั่นเองคือสาเหตุว่าทำไมลูเคียถึงได้รู้สึกโหยหายามได้พบหน้าเออร์โรนีโร่ในสภาพไคเอ็น ทำไมเออร์โรนีโร่ถึงสามารถปลอมตัวเป็นไคเอ็นได้แนบเนียนไปเสียทุกอย่าง ทั้งหน้าตา น้ำเสียง ลักษณะนิสัย ความทรงจำ ตลอดจนกระบวนท่าวิชาการต่อสู้ทั้งหลาย เพราะเออร์โรนีโร่นั้นได้รับความทรงจำทั้งหมดของไคเอ็นผ่านทางการกลืนกินร่างวิญญาณของเจ้าเมสตาสเซีย ฮอลโลว์ที่รวมร่างกับไคเอ็นในตอนนั้นนั่นเอง และมันก็เพียงอาศัยความทรงจำและหน้าตาของไคเอ็น ในการชักนำล่อลวงลูเคียเข้าสู่หลุมพรางของตนเพียงเท่านั้น

เมื่อสิ้นสุดคำอธิบายสุดท้าย เจ้าเออร์โรนีโร่ในคราบไคเอ็นก็เผยอรอยยิ้มเยี่ยงผู้กำชัยด้วยสีหน้าชั่วร้าย พร้อมกับพึมพำเอ่ยคำปลดปล่อยดาบฟันวิญญาณ หรืออีกนัยหนึ่งคือคำประกาศคืนร่างเดิมด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
"จงกลืนกิน โกรโตเนเรีย"

สิ้นคำประกาศปลดปล่อยดาบ ร่างของเจ้าเออร์โรนีโร่ก็พองตัวขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า กลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา รูปร่างของมันดูคล้ายกองดินน้ำมันเขละๆ เละๆ ที่ประกอบด้วยหนวดปลาหมึกขนาดใหญ่หลายเส้น กับปากขนาดยักษ์สองปากแยกเขี้ยวเห็นฟันเรียงแถวขาววับ ยอดบนสุดของเจ้ากองดินน้ำมันนั้น มีร่างครึ่งตัวของเจ้าเออร์โรนีโร่ในร่างปกติที่ยังคงสวมหน้ากากไคเอ็นอยู่งอกออกมา ดูคล้ายตุ๊กตาทหารตัวเล็กๆ ปักอยู่บนกองดินขนาดใหญ่ก็ไม่ปาน

"นี่แหละคือร่างกายที่ประกอบขึ้นจากอำนาจของฮอลโลว์ทั้งหมดที่ข้ากลืนกินมาจนถึงวันนี้!!" นายดาบลำดับ 9 ประกาศอวดอำนาจของตนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
"โกรโตโนเรียของข้าสามารถปล่อยความสามารถของฮอลโลว์ที่ข้ากินทุกตนออกมาได้พร้อมๆ กัน จนถึงตอนนี้ ข้ากินฮอลโลว์มาทั้งหมด 33,650 ตนแล้ว เพราะงั้น การต่อสู้ครั้งนี้สำหรับเจ้าแล้ว ก็คือการต่อสู้กับกองทัพฮอลโลว์กว่า 3 หมื่นตนด้วยตัวคนเดียวยังไงล่ะ!!!"

ปากมหึมาของ "โกรโตโนเรีย" แผดเสียงคำรามกึกก้อง ระยางค์หนวดปลาหมึกทั้งหมดสะบัดครืนคราน ก่อนจะขยับพุ่งเข้าหาลูเคียเป็นทิศทางเดียว

ยมทูตสาวยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ อาการหวาดกลัวตื่นตระหนกที่ปรากฏยามได้เห็นร่างอัปลักษณ์ของเจ้าเออร์โรนีโร่ในสภาพปลดปล่อยไม่เหลืออยู่อีกแล้ว เหลือเพียงความมุ่งมั่นอันเด็ดเดี่ยวเยี่ยงนักรบที่พร้อมถวายชีวิต กับเสียงร่ำร้องที่คุโชนอยู่ในใจ

"ท่านไคเอ็น ขอโทษนะคะ ดูเหมือนข้าคงจะมาได้แค่นี้ เพราะข้าแท้ๆ ท่านไคเอ็นถึงต้องตกอยู่ในกำมือของฮอลโลว์เช่นนี้ ในคืนนั้น ข้าฆ่าท่านเพื่อปกป้องตัวเอง แต่กระนั้น "ข้าเอาร่างวิญญาณของท่านไคเอ็นคืนจากเงื้อมมือศัตรูได้" เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่คอยเตือนใจข้าอยู่เสมอว่าข้าได้ช่วยเหลือท่านไคเอ็นแล้ว แต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดสินะคะ"

ระยางค์มหึมาเส้นหนึ่งตวัดวูบ ส่งร่างบางยิ่งกว่าเด็กประถมของยมทูตสาวจนลอยละลิ่วขึ้นกลางอากาศ สายตาคมปลาบของเออร์โรนีโร่ตวัดขึ้นวูบจ้องหาตำแหน่งตกของอีกฝ่ายอย่างกระหาย มือขวากระชับทวนสามง่ามในมือมั่น รอจังหวะที่ร่างของยมทูตสาวหล่นลงมาในระยะทวน แล้วเสือกปลายทวนแทงออกไปสุดแรง

คมทวนอันแข็งแกร่งทำลาย "หิมะขาวในแขนเสื้อ" ที่ยกขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณจนหักเป็นสองท่อนราวเศษดินเศษไม้ ก่อนจะทะลวงลึกเข้าไปในลำตัวของลูเคียเต็มแรงจนปลายทวนทะลุแผ่นหลัง

"ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกวัดแกว่งดาบอีกแล้ว ลาก่อนนะคะ ท่านไคเอ็น"

สิ่งสุดท้ายที่สะท้อนในดวงตาขุ่นมัวราวปลาตายของยมทูตสาว มีเพียงภาพจินตนาการของชายที่เธอทั้งเทอดทูนทั้งเคารพรักที่สุดกำลัวยืนหันหลังเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเพียงเท่านั้น




เห็นสภาพปลดปล่อย (เรียกง่ายๆ ว่าร่างออร์เฟน็อค) ของดาบโอเล่ในตอนนี้แล้วนึกว่ากำลังเล่นไบโอฮาซาร์ด 2 อยู่ซะอีก เพราะรูปร่างตอนมันปลดปล่อยดาบออกมานั้นยังกะ G ร่างสุดท้ายตอนเล่นจบรอบ 2 เลย (ร่างสุดท้ายที่มันเป็นตัวใหญ่ๆ เละๆ โผล่มาทีคับโบกี้รถไฟทั้งคันเลยจำได้มั้ย) หวังว่าคงไม่ต้องแบบร็อคเก็ตลอนเชอร์มาปราบนะ เหอๆๆ

สำหรับทางด้านลูเคียนั้นแม้ดูแวบแรกจะเหมือนน่าเป็นห่วง แต่ว่ากันตรงๆ ผมคิดว่ายังไม่น่าห่วงเท่าไหร่นัก เพราะลูเคียเองก็เคยเจอสถานการณ์เดียวกันมาแล้ว ต่างกันแค่คราวนี้คนจิ้มเป็นดาบโอเล่ไม่ใช่ดาบกิมเท่านั้นเอง แถมยังติดป้ายหนึ่งในตัวละครหญิงที่บทเด่นที่สุด และที่สำคัญ "ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่อ.คุโบจะเขี่ยลูเคียทิ้งในตอนนี้" ดังนั้น แฟนๆ ของลูเคียก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ล่ะครับ เหอๆๆ

ปล. พูดถึงลักษณะของสภาพปลดปล่อยของดาบโอเล่แล้ว ชวนให้นึกไปถึงปีศาจในตำนานอีกตนหนึ่งขึ้นมาเลยครับ ปีศาจตนนี้ (จริงๆ ต้องเรียกว่า "พวกนี้" มากกว่า) มีชื่อว่า "ลีเจี้ยน" (Legion) ซึ่งปรากฏตัวในพระคัมภีร์บทมาระโก 5: 1-20 เรื่องก็มีอยู่ว่า พระเยซูได้เดินทางไปยังอาณาจักรแห่งหนึ่งชื่อว่า อาณาจักรกาดาเรเนส ที่นั่นพระองค์ได้พบกับชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังทุกทรมานเพราะถูกปีศาจสิงร่าง เมื่อพระองค์ทำพิธีชำระล้างให้ ก็พบว่าในตัวชายผู้นี้มิได้มีปีศาจสิงสู่เพียงตนเดียว แต่มีจำนวนมากมายถึง 6,000 ตน (บางตำราก็ว่า 6,000 ตน บางตำราก็ไม่ได้บอกจำนวนที่แน่นอน บอกแต่ว่ามีจำนวนมหาศาลเท่านั้น) ซึ่งปีศาจเหล่านี้ต่างเรียกพวกตนเองว่า "ลีเจี้ยน" เห็นได้ว่าลักษณะของลีเจี้ยนนั้นตรงกับสภาพปลดปล่อยของเออร์โรนีโร่ที่ประกอบขึ้นจากฮอลโลว์ถึง 33,650 ตนมาก ซ้ำยังสามารถปลดปล่อยความสามารถของฮอลโลว์แต่ละตนออกมาได้พร้อมๆ กันไม่ต่างอะไรกับกองทัพจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น