ตอนพิเศษ Yaoi : โลกของฉันและเธอ (พาราไดซ์ x วอดก้า) 1
นี่เป็นตอนพิเศษใส่ไข่ที่ไรท์แต่งขึ้นนะคะ หนูวอดก้าเราจะเป็นผู้ชาย อายุน้อยกว่าพาราไดซ์และมีอดีตที่เลวร้าย ทั้งคู่เป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ความรักอาจไม่หวือหวามากแต่ไรท์หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ เนื่องจากมันยาวมากไรท์เลยแบ่งพาร์ทเพราะต้องหาคำผิดและใส่ข้อมูล รูปภาพประกอบด้วย
เด็กหนุ่มผมดำในชุดเสื้อกันหนาวแขนยาวเดินเข้ามาในบริษัท เขากดลิฟต์ไปยังชั้นที่คุ้นเคย “ ขอโทษครับ รอด้วย ” เสียงหนึ่งเรียกทำให้เขาชะงักไป อีกฝ่ายเข้ามาในลิฟต์พร้อมยิ้มขอบคุณ หากแต่เขาเลือกจะหลบตาและถอยหลังจนชิดผนังลิฟต์ วอดก้าพยายามระงับอาการวิตกของตัวเอง เขาก้มหน้ามองพื้นให้เส้นผมตกลงมาปรกตา พยายามบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นอะไร แค่ไม่ถูกตัวคนอื่นก็โอเค ในที่สุดวอดก้าก็ได้ออกมาจากลิฟต์ เขาทรุดนั่งที่โซฟารับแขก ณ มุมหนึ่ง พนักงานบางคนมองเขาแล้วซุบซิบกันทำเขาเกิดความรู้สึกอึดอัด วอดก้ายกฮู้ดปิดหัว ก้มหน้าลงต่ำแล้วกอดอกตัวเองแน่น เขาถอนหายใจ หลับตาลงและบอกตัวเองว่าพี่ชายคนนั้นอยู่ในห้องไม่ไกลจากเขา เขาจะไม่เป็นอะไร...ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร “ มาอีกแล้วเหรอเนี่ย ? มาทำไมทุกวันนะ ? ” “ เห็นว่าเป็นหลานของคุณคาลอสล่ะ เขาลือกันนะเธอว่าหลานของเขาตกหลุมรักท่านประธานน่ะ ” “ จริงเหรอเนี่ย ? เป็นเกย์งั้นเหรอ ? ” “ คงจะใช่นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ถ่อมาที่นี่ทุกวันหรอก ” “ แต่เขาก็นั่งอยู่แค่ตรงนั้นนี่นะ ? ” “ ใช่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่น่าอายออก ถ่อมาหาท่านประธานทุกวัน นี่ก็เกือบ 3 เดือนแล้วมั้งเนี่ย ท่านประธานก็ไม่มีท่าทีอะไรเลย ” “ ท่านประธานอาจเกรงใจคุณคาลอสล่ะมั้ง เห็นว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพ่อของท่านประธาน ” “ ใช่แน่ ๆ อยากรู้จริงว่า--- ” “ ผมจ้างคุณมาทำงาน ไม่ได้มาให้นั่งนินทาไร้สาระ ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาสองสาวที่กำลังเมาท์สะดุ้งโหยง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทใช้ดวงตาสีไอซ์บลูมองพวกเธออย่างเย็นชา พวกเธอก้มหน้าต่ำ “ ขออภัยค่ะท่านประธาน ” “ ไปที่ฝ่ายบุคคล บอกว่าฉันหักเงินเดือนพวกเธอครึ่งหนึ่ง ” เจ้าของดวงตาราวน้ำแข็งพูดเสียงเย็น “ ครั้งหน้าก็เตรียมออกไปจากบริษัทได้เลย ที่นี่ที่ทำงาน ไม่ใช่ที่คุยของพวกคุณ ” “ ท—ทราบแล้วค่ะ ” พาราไดซ์ปรายตามองใครบางคนที่นั่งหลบมุมที่โซฟา เขาขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง วอดก้าที่กำลังหลับไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เขาจมดิ่งไปกับความทรงจำของตนเองที่ช่วยฉุดไม่ให้เขาละทิ้งชีวิตตนเองไป ภาพพร่าเลือนนั้นฉายถึงตอนที่เขาอายุได้ 12 ปี คฤหาสน์ขนาดใหญ่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ ม้วนควันสีดำหอบขึ้นฟ้า วอดก้าในสภาพเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอ้าปากแต่ไร้เสียงพูด เขายื่นมือออกไป พยายามไขว้คว้าบางอย่าง ภาพตัดกลับมาที่งานศพของผู้เป็นบิดามารดา เขายืนนิ่งเหมือนร่างไร้วิญญาณ ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาทั้งหลายจากคนรอบข้าง เพียงรู้ว่าเขาไม่เหลืออะไรแล้ว ครอบครัว บ้าน ไม่มีสิ่งนั้นสำหรับเขาอีกต่อไป เหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเขา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถล่มลงมา ‘อีกครั้ง’ พังทลายจิตใจของเขาให้ไม่เหลือชิ้นดี วอดก้าจำไม่ได้ว่าหลังจากงานศพเขาไปที่ไหน รู้แค่ว่าเป็นใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เขานั่งพิงต้นไม้ เหม่อมองไปเรื่อย ๆ และร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเสียง เขาไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะอะไร แต่น้ำตามันกลับไหลออกมาเอง แล้วตอนนั้นก็มีใครบางคนส่งลูกอมมาให้ พอเห็นเขาไม่ขยับก็แกะลูกอมแล้วดันส่งเข้าไปในปากเขา รสหวานและสัมผัสที่มาอย่างกะทันหันทำให้เขาได้แต่ตะลึงไป อีกฝ่ายใช้มือที่แสนอบอุ่นในความรู้สึกของวอดก้าขยี้หัวเขาแรง ๆ ใบหน้านั้นไม่ได้มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ทว่าปลอบให้วอดก้าหยุดร้องไห้ได้ชะงัก “ ร้องไห้ได้ตลอดเลย แต่ต้องเข้มแข็งขึ้นนะ แล้วจะไม่มีใครทำอะไรนายได้อีก ” มันอาจเป็นคำพูดธรรมดาที่คนคนนั้นอาจลืมไปแล้ว แต่มันทำให้วอดก้าที่ล้มไปหลายครั้งยังเลือกที่จะลุกขึ้นมาใหม่ได้จนถึงตอนนี้ ผู้ชายที่ดูภายนอกอาจจะดูเย็นชา แต่ในใจของวอดก้า คนคนนั้นเป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวในความทรงจำ ในโลกสีดำของเขา เป็นสิ่งที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ได้ แน่นอนหมายถึงทำให้เขาได้หลับด้วย ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาสู้ไม่ถอยแต่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเขาก็คงจะตายอยู่ดี เวลา 5 โมงเย็น วอดก้าสะดุ้งตื่น มันเป็นอย่างนี้ทุกวัน เขามาถึงบริษัทของอีกฝ่ายตอน 11 โมงและหลับจนถึงเวลา 5 โมงเย็น การพักผ่อนช่วยให้เขามีแรงมากยิ่งขึ้น วอดก้ายันตัวลุกขึ้น เขาเตรียมที่จะกลับคอนโดและมาใหม่ในวันพรุ่งนี้เหมือนที่ทำมาตลอดหลายเดือนมานี้ ทว่าครั้งนี้มีใครบางคนยืนรอเขาอยู่ “ ขอโทษด้วยครับคุณวอดก้า ท่านประธานอยากจะคุยด้วยน่ะครับ ” เลขาของพาราไดซ์บอกกับคนที่เพิ่งตื่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย วอดก้าจับมือตัวเอง ขยับมันอย่างกระวนกระวายใจขณะถามเสียงเบา “ ผ...ผมหรือครับ ? ” “ ครับ ท่านประธานรออยู่ครับ เชิญทางด้านนี้ ” วิมเลทกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เขามีน้องชายที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคมทำให้ดูอาการอีกฝ่ายออกได้ไม่ยาก ว่าไม่ใช่แค่การประหม่าหรือเขินอายในการพูดคุย เด็กหนุ่มหวาดกลัวการเข้าสังคม นั่นคงเป็นสาเหตุที่มักเลือกนั่งโซฟาที่อยู่มุมสุดของห้องเสมอ “ ...... ” วอดก้าก้าวตามเข้าไป ใจของเขาเต้นตุ้ม ๆ ต้อม ๆ พยายามก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลาเพื่อข่มความกลัวในการเผชิญหน้ากับคนอื่น แม้ใครคนนั้นจะเป็นคนที่ทำให้เขาหลับได้ลงก็ตาม “ จะมาที่นี่ถึงเมื่อไหร่ ? ” พาราไดซ์เปิดปากถาม ประโยคนั้นทำให้วอดก้าสะดุ้งเฮือกในทันที ความรู้สึกในแง่ลบค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เขาถามกลับอย่างยากลำบาก “ มัน...มัน ร—ร...รบกวนหรือครับ ? ” “ ก็ไม่เชิงหรอก ฉันแค่ไม่เข้าใจว่านายมาที่นี่ทำไมทุกวัน ” พาราไดซ์เคาะด้ามปากกากับโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ ดวงตาสีซีดจางมองเด็กหนุ่มที่ก้มหน้าพูดกับเขา ขยับมือยุกยิกไม่หยุด นั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่ชอบใจในตัวอีกฝ่าย การพูดที่ตะกุกตะกักและไม่ยอมสบตาเวลาพูดคุยนั่น เขาคิดว่ามันค่อนข้างเสียมารยาท “ นอน...มา...มานอนครับ ” วอดก้าตอบกลับไปตามจริง คิ้วของคนฟังขมวดฉับทันที ขณะที่วิมเลทนิ่วหน้าอย่างคนใช้ความคิด “ บริษัทของฉันไม่ใช่ที่นอนของนาย นายทำให้บริษัทเสียภาพลักษณ์ ” พาราไดซ์นึกหงุดหงิดเวลาเห็นสายตาของพนักงานที่เอาแต่ซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่ชอบใจสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของคนพวกนั้น และไม่ชอบการถูกใครบางคนมาป้วนเปี้ยนตามถึงที่ทำงาน แม้อีกฝ่ายจะเป็นหลานของคนที่พ่อของเขารู้จักก็ตามที “ ข...ขอโทษครับ ” วอดก้าก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม ภายในอกเต็มไปด้วยความอึดอัดที่ชวนให้หายใจไม่ออก เขาบีบมือตัวเองแน่น เขารู้ว่ากำลังทำให้พาราไดซ์ไม่พอใจ บางที...เขาควรเลิกมาที่นี่ แม้มันจะทำให้เขาต้องกลับไปกินยานอนหลับจำนวนมากเหมือนเมื่อก่อนก็ตาม “ อย่ามานอนที่บริษัทของฉันอีก ” ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงขณะถามอย่างไม่ใส่ใจ “ นายไม่มีบ้านให้กลับไปนอนหรือไง ” คำพูดประโยคนั้นแทงใจวอดก้าเข้าจัง ๆ เด็กหนุ่มยกมือบีบที่ตำแหน่งหัวใจ เขากระซิบ “ ขอโทษครับ...ผม...ผมขอโทษ ขอโทษ ” พาราไดซ์ไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายกล่าว เขาเพียงถอนหายใจขณะบอกประโยคสุดท้ายอย่างเย็นชา “ เลิกมาที่นี่เถอะ ” เขาเบื่อที่จะฟังคนอื่นพูดเต็มทนแล้วว่าอีกฝ่ายชอบเขามากแค่ไหนถึงได้ตามถ่อมาที่นี่ได้ทุกวัน “ ......... ” วอดก้าขอบตาร้อนผ่าว เขาขานรับเสียงเบาก่อนจะเดินเอื่อย ๆ ออกจากห้องไป เขากำชายเสื้อตัวเอง หลบสายตาคนที่เมียงมองเขาด้วยความสนใจแล้วพึมพำกับตัวเอง ยาหมดแล้ว...คงต้องซื้อยามาเพิ่ม วอดก้าเลิกกินยาตั้งแต่พบว่าตัวเองนอนหลับสนิทได้โดยไม่ฝันร้ายที่นี่ แต่ว่า...เขาคงต้องพึ่งมันอีกครั้งแล้ว วิมเลทมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่มที่เดินจากไป เขาเม้มปาก อาจเพราะเขามีน้องชายและอาจเพราะสิ่งที่เขารับรู้มามันน่าหดหู่ใจเกินไป เขาจึงอดจะพูดกับเจ้านายตนเองไม่ได้ “ ท่านประธานครับ...บางประโยคของท่านทำร้ายความรู้สึกของเขานะครับ ” “ นายสนใจคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ” พาราไดซ์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย วิมเลทก้มศีรษะลง “ ขออภัยครับ ” “ ไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ” “ ครับ ” “ วันนี้ก็ไม่มาเหรอเนี่ย แปลกจัง ” “ ชู่ อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวท่านประธานก็ได้ยินหรอก ” “ ก็นี่มันสองวันแล้วนะที่เขาไม่มาน่ะ ” “ คงยอมแพ้ไปแล้วมั้ง ทำงาน ๆ เดี๋ยวโดนใบแจ้งออกกันพอดี ” สองวันแล้วที่ไม่มีเด็กหนุ่มในชุดเสื้อแขนยาวมานั่งหลับที่โซฟารับรอง พาราไดซ์เคาะด้ามปากกากับโต๊ะเบา ๆ ขณะมีสีหน้าครุ่นคิด เขานึกถึงเมื่อวานที่ลุงของวอดก้าโทรศัพท์มาหาเขา ถามเรื่องที่วอดก้ามาที่บริษัทของเขาทุกวันว่าจริงหรือเปล่า พาราไดซ์ค่อนข้างแปลกใจที่ดูเหมือนลุงคาลอสจะไม่รู้เรื่องนี้เลย “ ลุงไม่ได้อยู่กับเขาหรอกนะ เขาแค่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ลุงก็เพิ่งรู้ว่าเขาไปที่บริษัทไดซ์ทุกวัน เขาไปทำอะไรที่นั่นเหรอ ? ” พาราไดซ์ถอนหายใจเล็กน้อย “ เขาบอกว่ามาหลับน่ะครับ ” “ ...หลับ ? ” “ ครับ เขามานั่งหลับที่หน้าห้องผมทุกวัน ” “ ลุงขอโทษแทนเขาด้วย เขาผ่านเรื่องร้าย ๆ มามาก ลุงคิดว่าเขาคงมีเหตุผลที่ไปที่นั่น เขาไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนไดซ์หรอก อย่าโกรธหรือเข้าใจตัวเขาผิดเลยนะ ” คำว่า ‘เรื่องร้าย ๆ ’ ทำให้พาราไดซ์นิ่งไปเล็กน้อย อีกฝ่ายขอโทษและฝากฝังเขาเรื่องวอดก้าเป็นการทิ้งท้าย บอกว่าไม่จำเป็นต้องดูแลเขา แค่อย่าผลักไสหรือทำร้ายเด็กหนุ่มก็พอ นั่นทำให้พาราไดซ์สับสนว่าการกระทำแบบไหนถึงจะเรียกว่าทำร้ายวอดก้า เขาเองก็เพิ่งนึกออกว่าจริงๆ แล้วเด็กนั่นก็อายุแค่ 18 ปี ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่อายุเกือบพอ ๆ กับน้องสาวของเขา สองวันที่อีกฝ่ายไม่มาตามที่เขาบอก เขาตัดสินใจเรียกวิมเลทมาเพราะเลขาของเขาดูจะทราบบางอย่าง ส่วนเขานั้นไม่มีเวลาว่างพอจะไปสืบเรื่องของใครหรอกเพราะตำแหน่งประธานบริษัทก็ทำเขายุ่งมากพอแล้ว “ ครับท่านประธาน ” วิมเลทที่ถือแฟ้มเอกสารเข้ามารอฟังคำสั่งของเจ้านายตน สิ่งที่คาดไม่ถึงกลับเป็นคำถามเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้น “ นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับวอดก้า ? ” “ วอดก้า ? เด็กคนนั้นหรือครับ ? ” พาราไดซ์พยักหน้า เลขาหนุ่มทบทวนสิ่งที่ตนเองรู้ก่อนจะค่อย ๆ เรียบเรียงมันออกมา “ ทายาทของบริษัทเครื่องประดับอันดับหนึ่งของโลกครับ ตอนอายุได้ประมาณ 10 ปีถูกลักพาตัวหายไปนานถึง 3 เดือน ได้ข่าวว่าตอนกลับมาเขาไม่ยอมพูดจาเกือบ 1 ปีเต็ม เห็นว่าได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ คุณท่านและคุณนายเฟียร์เรสพยายามมากในการฟื้นฟูสภาพจิตใจของเขา ” “ ตอนเขาอายุ 12 ปีเกิดเหตุไฟไหม้ที่คฤหาสน์ของตระกูล คุณท่านและคุณนายเฟียร์เรสเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้นทำให้คุณวอดก้าถูกรับเลี้ยงไปโดยคุณท่านคาลอส เท่าที่ทราบนับตั้งแต่ตอนนั้นคุณวอดก้าก็เรียนหนังสือที่บ้านและกลายเป็นโรคกลัวการถูกสัมผัสและการเข้าสังคม ตอนนี้เหมือนจะย้ายออกจากบ้านของท่านคาลอสมาอยู่ตัวคนเดียวน่ะครับ รายละเอียดต่อจากนี้ผมยังไม่ค่อยทราบมากนัก ” พาราไดซ์นิ่งไปเล็กน้อย เขาพยักหน้าให้วิมเลทไปทำงานของตนเองต่อขณะที่เขากลายเป็นฝ่ายที่ครุ่นคิดอย่างหนัก บางที...คำพูดที่ถามว่าวอดก้าไม่มีบ้านกลับไปให้นอนอาจจะทำร้ายจิตใจของเด็กคนนั้นเข้าแล้ว เขายกมือนวดขมับตัวเอง อีก 2 วันเป็นวันอาทิตย์ เขาพอมีเวลาว่างที่จะขอโทษอีกฝ่าย ถ้าทำผิดก็ต้องขอโทษนั่นเป็นคติของพาราไดซ์ เขาติดต่อลุงคาลอสเรื่องที่จะขอคุยกับวอดก้า อีกฝ่ายรับปากว่าจะบอกให้แต่บอกให้พาราไดซ์เตรียมสถานที่ที่เป็นส่วนตัว แทบไม่มีคนให้ที ลุงคาลอสไม่ได้พูดเจาะจงตรง ๆ นักแต่พอทำให้พาราไดซ์เข้าใจถึงอาการของอีกฝ่าย วันอาทิตย์ในร้านอาหารฝรั่งเศสที่มีห้องส่วนตัวให้ เมื่อวอดก้าปรากฏตัวขึ้น พาราไดซ์ก็อดตกใจไม่ได้ เส้นผมสีดำของเด็กหนุ่มดูยุ่งเหยิงขณะขอบตาด้านล่างดำคล้ำ ภายในนัยน์ตามีเส้นเลือดฝอยสีแดงกระจายตัวอยู่ เด็กหนุ่มดูเหมือนแทบไม่ได้นอนหลับเลยแม้แต่น้อย ยามยืนก็เดินโงนเงนไปมา “ เธอ...ไหวหรือเปล่า ” “ คะ...ครับ ” วอดก้าฝืนยิ้ม เขาพยายามปรือตาที่ง่วงของตัวเองให้ตื่นขึ้น มือกำที่ชายเสื้อของตัวเองไว้ “ ม...ม...มีอะไรหรือครับ ” ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย เขากล่าวขณะสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด “ เรื่องวันนั้นที่ฉันพูดน่ะ ถ้าฉันพูดแรงเกินไปก็ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ” อีกฝ่ายสะดุ้งเมื่อเขาพูดถึงวันนั้น วอดก้าพูดเสียงติด ๆ ขัด ๆ ก้มหน้าต่ำยิ่งกว่าเดิม “ ไม่...ไม่ใช่ความ...ความผิดคุณหรอกครับ ป—เป็นผมที่รบกวน... ” พาราไดซ์มองท่าทางเอียงไปเอียงมาแม้จะนั่งบนเก้าอี้ของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาเหมือนว่าเป็นความผิดของเขา เขาตัดสินใจถาม “ นายได้นอนบ้างหรือเปล่า นับตั้งแต่วันนั้น ” “ ...ค...ครับ สัก...สามชั่วโมง ” วอดก้าพึมพำตอบ “ หมายความว่า 4 วันที่ผ่านมานอนแค่ 3 ชั่วโมง ? ” คิ้วของพาราไดซ์ขมวดแน่น สภาพที่อ่อนล้าของอีกฝ่ายเขาก็พอจะเดาได้ เขาคิดเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ นายนอนไม่หลับที่บ้านใช่ไหม ? ” “ ..... ” วอดก้าพยักหน้ารับเชื่องช้า “ เพราะงั้นเลยมานอนที่บริษัทของฉัน ? ” “ ..... ” พยักหน้าหงึกอีกรอบ ชายหนุ่มเริ่มใช้ความคิดก่อนจะถามอีกครั้ง “ บอกได้ไหมว่าทำไมถึงหลับที่บริษัทฉันได้ ? ” “ คุณ...เพราะคุณ... ” วอดก้าใช้เวลาคิดไม่น้อยกว่าจะเอ่ยออกมา เขาเลิกคิ้วสูง “ ฉัน ? ทำไมล่ะ ? ” “ คุณเคยช่วยผม...ผมเลยรู้สึกปลอดภัย...ถ้า...ถ้ามีคุณใกล้ ๆ ” ประโยคนั้นไม่ต่างกับการสารภาพรัก พาราไดซ์ตัดสินใจเอ่ยปากตรง ๆ “ เธอชอบฉันหรือเปล่า ? ” “ ชอบ ? ” วอดก้าเอียงคอ แล้วพยักหน้า “ คุณทำให้ผม...ได้หลับ ชอบ ” พาราไดซ์อึ้งไป ชอบเพราะเขาทำให้หลับได้ ? นี่เป็นความรู้สึกยังไงกันเนี่ย “ ฉันหมายถึงเธอชอบแบบที่อยากจะเป็นคนรักกับฉัน อยากจะอยู่กับฉันใช่หรือเปล่า ? ” เด็กหนุ่มแสดงท่าทางเบลอ ๆ เหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม “ ทำไม...ทำไมต้องเป็นคนรัก ? แค่ชอบ...ชอบที่ได้นอนไม่ได้เหรอ ? ” ท่านประธานมองดวงตาสีดำใสที่สับสนงุนงง เหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เข้าใจอะไรเลย อีกฝ่ายไม่เข้าใจคำว่าชอบที่เขาพูดไปสักนิด “ นายมีคนที่ชอบอีกหรือเปล่า ? ” “ อืม...ลุงคาลอสใจดี ...พี่เทรนก็ใจดี ชอบทั้งคู่ ” พาราไดซ์พลันเข้าใจว่าเป็นเขาเองที่คิดมากจนเกินไป วอดก้าไม่ได้คิดอะไรกับเขาในแง่นั้น คำว่าชอบที่เขาหมายถึงกับคำว่าชอบของวอดก้าแตกต่างกันอย่างเด่นชัด เด็กหนุ่มไม่เข้าใจหลายอย่างจริง ๆ จากการที่ไม่ได้เข้าสังคม แต่นั่นทำให้พาราไดซ์เปิดใจ อีกฝ่ายเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งออกมาเผชิญโลก เขาไม่รู้อะไรและกำลังพยายามปรับตัวอยู่ มันทำให้พาราไดซ์โล่งใจและพอจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เป็นมิตรได้มากขึ้น เขามีน้องสาวอยู่แล้ว จะเป็นอะไรถ้าจะมีน้องชายเพิ่มมาอีกคนด้วย “ พรุ่งนี้นายมานอนที่บริษัทฉันได้ ” ดวงตาสีดำนั้นสับสนก่อนจะเปล่งประกายขึ้นยามถามด้วยน้ำเสียงประหม่า “ นอน...ได้เหรอ ? ” “ อืม ถ้าแค่มานอนก็ไม่เป็นไรหรอก ลุงคาลอสก็ฝากฉันดูแลนายด้วย นายจะคิดว่าฉันเป็นพี่ชายนายก็ได้ ” “ ขอบ...ขอบคุณฮะ พี่ ” พาราไดซ์ต้องพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่วอดก้าพูด เพราะเด็กหนุ่มชอบพูดเสียงเบา แต่คำตอบรับนั่นก็ทำให้เขาคลายใจลง ก็แค่ให้เด็กคนหนึ่งนอนเท่านั้น คงไม่เท่าไหร่หรอก นับตั้งแต่นั้นที่บริษัทก็กลับมาคุ้นชินกับเด็กหนุ่มที่มาที่บริษัทและกดลิฟต์ไปชั้นบนสุดในทุก ๆ วัน เด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากมานอนจริงดังว่า สีหน้าก็ดูสดชื่นขึ้นไม่น้อย มานอนแล้วก็กลับ บางครั้งถ้าเจอพาราไดซ์ก็จะทักทายก่อนจะหลับต่อ ทำเอาพาราไดซ์ทั้งฉุนทั้งขำที่บริษัทเขากลายเป็นที่นอนให้ใครบางคนไปแล้ว ผ่านไปเกือบเดือน ถึงท่าทางอดนอนจะไม่มีแล้วแต่ร่างที่ผอมซูบจนแทบจะเป็นลมก็ทำให้พาราไดซ์อดขมวดคิ้วไม่ได้ อีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงน้องสาวที่ชอบบอกว่าตัวเองว่าอ้วน แล้วพยายามไดเอทด้วยการงดกินอาหาร ดังนั้นในวันหนึ่ง วอดก้าก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องท่านประธานอีกรอบ เด็กหนุ่มท่าทางกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด ถามตะกุกตะกักอย่างร้อนใจ “ ผม...ผม...ทำอะไรผ-ผิดหรือเปล่า ? ผม-ผมไม่ควรนอน-ต—ตรงโซฟา ? ” ท่านประธานถอนหายใจ ดูเหมือนครั้งที่เขาเรียกอีกฝ่ายมาดุจะติดใจเด็กหนุ่มอย่างจัง จนกลัวว่าถ้าเขาเรียกเข้ามาหาอีกจะไล่ไม่ให้นอน หัวเด็กนี่มีแต่เรื่องนอนจริง ๆ “ ฉันไม่ได้จะว่าอะไร เธอนอนได้เหมือนเดิมนั่นล่ะ แค่จะถามอะไรหน่อย ” “ อ...อ่อ ” สีหน้าวอดก้ายังไม่ดีขึ้น เจ้าตัวยังบีบมือตัวเองไปมาด้วยความประหม่า เห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยชอบคุยกับคนอื่น “ เมื่อเช้าเธอกินอะไรเป็นอาหารเช้า ? ” พาราไดซ์ยิงเข้าตรงประเด็นตามประสาท่านประธานผู้ไม่ชอบอ้อมค้อม วอดก้าทำหน้าเอ๋อ ๆ อย่างที่ชวนให้นึกถึงลูกหมา เจ้าตัวเริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด แต่ผ่านไปนานก็ยังตอบไม่ได้ ท่าทางวอดก้าดูกลัว ๆ ใบหน้านิ่งเฉยของผู้เป็นพี่ชายยามตอบ “ จำ...จำ...จำไม่ได้ค...ครับ ” “ จำไม่ได้ ? ” พาราไดซ์เลิกคิ้วสูง จากที่เขาถามจากลุงคาลอสพอจะทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นมีงานทำเช่นกัน นั่นคือการออกแบบเครื่องประดับให้บริษัท เจ้าตัวเรียนจบชั้นปริญญาตรีแล้วด้วยการสอบเทียบชั้นสาขาการออกแบบ ดูเหมือนว่าตอนกลางคืนเด็กนี่จะไม่นอน เอาแต่ทำงานแล้วค่อยมานอนที่บริษัทของเขาในตอนเช้า แถมชอบทำงานจนลืมเวลาอีกต่างหาก ในเมื่อเป็นน้องชายของเขา พี่ชายอย่างเขาก็มีหน้าที่ดูแลสุขภาพของน้องด้วย คิดได้ดังนั้นก็บอกให้อีกฝ่ายเมมเบอร์ของเขาลงเครื่องของตัวเอง เขาเองก็บันทึกเบอร์ของเด็กหนุ่มเอาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ พรุ่งนี้ทานอะไรเป็นมื้อเช้าก็ส่งข้อความมาบอกฉันด้วย และต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย ” “ แต่--แต่ ” “ ไม่มีแต่ ” ดวงตาคมตวัดฉับมองทำเอาวอดก้าย่นคอทันใด เจ้าตัวพยักหน้ารับเงียบ ๆ อย่างกระวนกระวายใจ พาราไดซ์มองเวลา นี่ก็ห้าโมงครึ่งแล้ว ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจสั่งให้วิมเลทลงไปซื้ออาหารขึ้นมาให้ ไม่ลืมถามวอดก้าว่าอยากทานอะไร จากนั้นเขาก็บังคับเด็กหนุ่มให้นั่งกินข้าวพร้อมกับเขา ตอนเช้า พาราไดซ์ขมวดคิ้วเมื่อยังไม่มีข้อความจากอีกฝ่ายบอกเขาว่าทานอะไรเป็นมื้อเช้า อาจจะลืมไปแล้ว เขาจึงส่งข้อความไปหา ‘ทานมื้อเช้าหรือยัง ?’ ‘แล้วทานกับอะไร ?’ 08.30 น. ‘ทานแล้วครับ’ 8.43 น. ผ่านไปไม่นานนักเด็กหนุ่มก็ตอบกลับมาสั้น ๆ พร้อมรูปถ่าย เป็นรูปแซนวิสกับน้ำเต้าหู้ที่ถูกกินไปบ้าง สายตาของพาราไดซ์จึงอ่อนลง เขานิ่งไปเล็กน้อย ตัดสินใจชมความว่าง่ายของเด็กหนุ่มไปหนึ่งคำเพราะคิดว่าท่าทางดุ ๆ ของตนเองอาจทำให้อีกฝ่ายกลัว ( ซึ่งก็คงทำให้กลัวไปแล้ว ) ‘เก่งมาก’ 8.45 น. วอดก้าส่งข้อความมาเป็นรูปหน้ายิ้ม หากแต่เอาจริง ๆ พาราไดซ์ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเด็กคนนั้นยิ้มจะเป็นยังไง เขาปัดเรื่องไร้สาระออกจากหัวและเริ่มเข้าสู่โหมดทำงาน หลังจากวันนั้น พาราไดซ์จะบังคับให้เด็กหนุ่มส่งข้อความมาบอกมื้อเช้าที่ทานทุกวัน ตอนเที่ยงและตอนเย็นก็บังคับให้ทานข้าวพร้อมกับเขา จากนั้นก็ปล่อยให้ไปนอนต่อ เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็มีบทสนทนาระหว่างทานข้าวบ้าง เพราะพาราไดซ์ไม่ใช่คนที่เคร่งเรื่องพูดคุยระหว่างทานข้าวนัก เขาคิดว่าถ้าไม่ชวนเด็กหนุ่มคุยก่อน อีกฝ่ายก็คงไม่คิดเปิดปากพูด พาราไดซ์คิดว่าอาการของโรคกลัวการเข้าสังคมของวอดก้าสามารถทำให้ดีขึ้นได้ เขาสังเกตจากการที่เด็กหนุ่มเริ่มไม่พูดติดขัดกับเขาแล้ว และบางครั้งยังพยายามที่จะสบตาเขายามพูด แม้จะนาน ๆ ครั้งแต่เขาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี บางครั้งพาราไดซ์ก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้ฟัง มันเหมือนการผ่อนคลายแบบหนึ่งหลังจากทำงาน วอดก้าไม่ค่อยคุยเรื่องตัวเองเยอะ แต่เป็นผู้ฟังที่ดีมาก สีหน้าเด็กหนุ่มแสดงความตั้งใจและครุ่นคิดตามยามเขาพูดทุกครั้ง บางครั้งก็สังเกตเห็นอารมณ์ของเขาได้ เป็นน้องชายที่พูดน้อย แต่ว่านอนสอนง่ายดี กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไป 6 เดือนนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มกินข้าวด้วยกัน บางครั้งถ้าติดกินข้าวข้างนอก พาราไดซ์จะให้ผู้ช่วยสาวของวิมเลทช่วยเตรียมอาหารให้วอดก้าตลอด เด็กหนุ่มจะทานแล้วส่งรูปมาบอกเสมอ ดังนั้นรายชื่อคนที่วอดก้าชอบจึงเพิ่มมาเป็นวิมเลทและลิเดีย เพื่อนสาวคนใหม่ของเขา พาราไดซ์เลิกคิ้วเมื่อวอดก้าเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วนั่งจุ้มปุ้กตรงมุมหนึ่ง ลักษณะแบบนี้คือวอดก้าไม่สบายใจในบางอย่างหรือกำลังสับสนในบางเรื่องเช่นงานออกแบบของเจ้าตัว เขาส่งเสียงถาม “ เป็นอะไรล่ะ วอดก้า ? ” “ ...... ” ครั้งนี้วอดก้าหันหน้ามาหาเขาด้วยท่าทางซึม ๆ อ้าปากเหมือนจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก วิมเลทเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนใจเล็กๆ “ วอดก้าเป็นอะไร วิมเลท ” เขามองหน้าเลขาที่เหมือนรู้บางอย่าง วอดก้าหันขวับมามองพลางส่ายหัวดิกเหมือนไม่อยากให้วิมเลทพูด แต่วิมเลทก็เมินท่าทางนั้น “ คุณวอดก้าลื่นตอนช่วยลิเดียถือเอกสารน่ะครับ เขาคงอายอยู่ ” “ ลื่น ? ” พาราไดซ์เลิกคิ้วสูงก่อนจะหลุดขำเมื่อเข้าใจว่าเด็กหนุ่มกำลังซึมเพราะอะไร เขาถามต่อ “ คนเห็นเยอะเหรอ ? ” “ ครับ ค่อนข้างเยอะ ” เลขาหนุ่มยิ้มแห้ง เขาพูดปลอบอีกฝ่ายตลอดหลังจากเด็กหนุ่มลื่น แต่ดูจะไม่ได้ผลอะไรเลย ลิเดียเองก็รออย่างกระวนกระวายใจเพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดมาก ผู้ช่วยของเขาดูจะปลุกสัญชาตญาณความเป็นแม่ออกมาทันทีที่เจอวอดก้า เจ้าหล่อนทะนุถนอมเขาอย่างดี ใครแตะเป็นไม่ได้เชียว พาราไดซ์เข้าใจว่าสำหรับคนที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคมจะค่อนข้างคิดมากกับเรื่องแบบนี้ เขามองตารางเวลา คิดในใจว่าถ้าเร่งทำงานหน่อยวันนี้คงมีเวลาออกไปทานข้าวตอนเย็นได้ แต่อาจต้องให้เด็กหนุ่มอยู่นานกว่าปกติสักเล็กน้อย “ ไม่เป็นไรวอดก้า เดี๋ยววันนี้ฉันพาไปกินอาหารอร่อย ๆ ตอนเย็น ” “ ...... ” “ เห็นว่าทำสปาเก็ตตี้อร่อยนะ ” เด็กหนุ่มหันมามอง ท่าทางดูสนใจบ้าง จากการพูดคุยที่ผ่านมาทำไมพาราไดซ์จะไม่รู้ว่าอาหารโปรดของวอดก้าคือพาสต้ากับสปาเก็ตตี้ เจ้าตัวชอบทุกแบบเลยก็ว่าได้และดูกินไม่เบื่อแม้แต่น้อย เขาปลอบวอดก้าอีกสองสามคำก่อนจะให้ลิเดียรับช่วงต่อ เขาเห็นด้วยกับวิมเลทว่าผู้ช่วยอีกฝ่ายช่างประคบประหงมวอดก้าจริง ๆ อืม ตอนค่ำมีนัดคุยธุระนิดหน่อย แต่ถ้าวอดก้ายังกินไม่เสร็จ ยกเลิกไปก็คงได้ จากนั้นพาราไดซ์ก็จมกับงานตัวเองต่อ ทว่าพอนึกภาพเด็กหนุ่มถือเอกสารก่อนจะลื่นพรืดด้วยท่วงท่าที่หลากหลาย เขาก็อดจะหัวเราะไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ท่าทางเหวอ ๆ นั่นเขาไม่ค่อยได้เห็นแล้ว บ่ายสามแล้ว วันนี้พาราไดซ์ยังไม่เจอวอดก้าเลย เด็กหนุ่มส่งภาพมื้อเช้าให้ตามปกติก่อนจะเงียบหาย พาราไดซ์เพิ่งประชุมเสร็จทำให้รู้ว่าวันนี้วอดก้าไม่ได้มาที่บริษัท ทั้งที่ปกติแล้วจะถึงบริษัทของเขาตอนสักสิบโมง วิมเลทและลิเดียก็ถามกับเขาเหมือนกัน เขาตัดสินใจลองโทรหาวอดก้า หลังส่งข้อความไปหาแต่เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบกลับมาเลย เด็กหนุ่มรับช้าอย่างที่คาดไว้ ทว่าประโยคแรกจากวอดก้าไม่ใช่คำพูดแต่เป็นเสียงไอโขลก พาราไดซ์หน้าเปลี่ยนสีในทันที “ ไม่สบายเหรอวอดก้า ? ” “ ค..ค...ครับ แค่ก ๆ ” เสียงเด็กหนุ่มอู้อี้ขึ้นจมูกอย่างเห็นได้ชัด “ ตัวร้อนหรือเปล่า เธอปวดหัวมากไหม ? ” ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่พาราไดซ์จะได้คำตอบครบ เขาคิดว่าต้องเป็นเมื่อวานที่ฝนตกหนักแน่ ๆ เขายังคิดอยู่เลยว่าวอดก้าอาจเปียกฝนกลับบ้าน ภูมิคุ้มกันอีกฝ่ายก็ค่อนข้างต่ำ ไม่แปลกที่จะเป็นหวัดในทันที “ วอดก้าไม่สบาย ซื้อยาลดไข้ ยาแก้ปวดแล้วก็อาหารง่าย ๆ มาที ฉันจะไปหาเขาตอนเย็น ” พาราไดซ์สั่งกับเลขาตนเอง จากนั้นก็โทรไปถามหาที่อยู่ของวอดก้ากับลุงคาลอส อีกฝ่ายพอรู้ว่าวอดก้าไม่สบายก็ตกใจใหญ่ ทำท่าจะบินกลับจากสัมมนาที่ต่างประเทศแต่พาราไดซ์ก็ช่วยห้ามเอาไว้ บอกว่าเขาจะไปดูแลวอดก้าเอง ด้วยเหตุนี้คาลอสจึงติดต่อพนักงานคอนโดที่วอดก้าอยู่ให้เตรียมคีย์การ์ดสำรองไว้ให้รวมถึงแจ้งที่พาราไดซ์จะเข้าไปข้างในด้วย เพราะคาลอสถือเป็นลูกค้า VIP ก็ได้ ห้องคอนโดที่วอดก้าอยู่ก็เป็นห้องที่ตกแต่งแบบพิเศษ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่าห้องอื่น ๆ พาราไดซ์ในชุดสูทเคร่งขรึมเต็มตัวถือถุงโจ๊กและถุงยาที่ให้วิมเลทซื้อมาหยุดหน้าห้องของวอดก้า เขาแตะคีย์การ์ดแต่พบว่าเปิดไม่ออก เขาแตะอีกครั้ง ครั้งนี้เปิดได้ ดวงตาสีฟ้าฉายความโกรธน้อย ๆ ทันที เด็กโง่นั่นไม่ล็อกห้องตัวเอง ถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่จะดีกว่าที่อื่นแต่ทำไมถึงประมาทแบบนี้นะ พาราไดซ์คิดว่าเขามีเรื่องบ่นอีกฝ่ายเป็นกระบุงโกยเลยทีเดียว เขาเปิดประตูเข้าไปและล็อกห้องเรียบร้อย ภายในห้องมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น ๆ ทั่วไป เขาถอดรองเท้า สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือภายในห้องมีกระถางต้นไม้เยอะมาก เรียงรายอยู่ตามมุมห้องต่าง ๆ นอกหน้าต่างก็มีไม้กระถางที่ใช้แขวนเรียงรายเป็นระเบียบ บนโต๊ะก็มีโหลแก้วเล็ก ๆ ที่เลี้ยงต้นไม้ไว้ข้างในแบบระบบปิด ทำให้ทั้งห้องดูสดชื่นสบายตาอย่างบอกไม่ถูก ผิดกับความคิดแรกของเขาที่เดาว่าห้องเด็กหนุ่มจะดูอึมครึมมืดมนซะอีก แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว เขามองผ่านห้องทำงานของวอดก้าที่ประตูเปิดทิ้งไว้แต่ไม่ได้เปิดไฟ ทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ฝืนตัวทำงานอยู่ ก่อนทันใดจะมีร่างหนึ่งเดินสวนออกมาจากห้องนอน “ ไดซ์...? ” วอดก้าในสภาพหิ้วผ้าห่มคลุมหัวตัวเองเดินไปเดินมามองคนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยสายตามึน ๆ ปากอ้าน้อย ๆ ก่อนจะยกมือขยี้ตาตัวเอง ท่าทางนั้นน่าเอ็นดูจนความโกรธของพาราไดซ์หายไปหมด เขาถอนหายใจ เอามือตบ ๆ หัวที่มีผ้าห่มคั่นอยู่เบา ๆ “ ทำไมไม่นอน ” “ ...... ” วอดก้าไม่ตอบ เจ้าตัวเหลือบมองถุงโจ๊กที่พาราไดซ์เอามา ก่อนท้องตนเองจะลั่นโครกคราก วอดก้าเม้มปาก ยกผ้าห่มที่เหลือปิดหน้าตัวเอง พาราไดซ์หัวเราะเบา ๆ ชี้ไปที่โต๊ะหน้าทีวียามบอก “ ไปนั่งตรงนั้น เดี๋ยวฉันเทโจ๊กให้ ” วอดก้าทำตามอย่างว่าง่าย หัวของเขายังรู้สึกรุม ๆ เล็กน้อย แต่เพราะพยายามหาข้าวเช้าและข้าวเที่ยงทานตามนิสัยเคยชินที่ติดจากพาราไดซ์ทำให้เขาพอมีแรงอยู่บ้าง อันที่จริงเขาก็กำลังคิดจะสั่งอาหารมากินอยู่ แต่เจอชายหนุ่มพอดี วอดก้านั่งที่โซฟา หัวของเขาคิดไปเรื่อยเปื่อย เรื่องดีไซน์เครื่องประดับชุดต่อไปบ้างอะไรบ้าง เรื่องมื้อเช้าพรุ่งนี้บ้าง รู้ตัวอีกทีชามโจ๊กอุ่น ๆ ก็วางเบื้องหน้า วอดก้าพึมพำขอบคุณ เขาใช้ช้อนตักกินทีละคำในสภาพที่มีผ้าห่มคลุมตัวอยู่เหมือนหนูแฮมสเตอร์ในโพรง “ กินดี ๆ ผ้าห่มจะเลอะแล้ว ” พาราไดซ์ดึงผ้าห่มที่กำลังจุ่มลงชามโจ๊ก หากแต่กลับทำให้วอดก้าตื่นตระหนก ดวงตาสีดำฉายความหวาดกลัวชั่วขณะอย่างที่พาราไดซ์ไม่เข้าใจ หากแต่เขารู้ว่าเขากำลังทำให้วอดก้ารู้สึกไม่ดี เขาจึงค่อย ๆ จับผ้าห่มขึ้นและพูดเสียงเบา “ ไม่เป็นไร ฉันแค่จะจับผ้า...ฉันไม่ได้จะถูกตัวเธอ ” ดวงตาสีดำสั่นไหว เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาเขาใต้เส้นผม พึมพำไปมา “ แค่ก ๆ ขอโทษ...ผมขอโทษ ” ท่านประธานหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง เขาพูดด้วยโทนเสียงเหมือนกำลังปลอบเด็ก “ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ ” วอดก้าส่ายหน้าเบา ๆ พาราไดซ์เลียริมฝีปากตัวเอง เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องโดยการเปิดทีวีช่องการ์ตูนแล้วชี้ชวนให้วอดก้าดูมันแทน เขานั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายจนเด็กหนุ่มทานหมด จากนั้นเขาเอาปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิร่างกายอีกฝ่าย อุณหภูมิร่างกายไม่ได้สูงเกินไปจนน่าเป็นห่วง “ นี่เป็นยาแก้ปวด กับยาลดไข้ กินยาแล้วนอนพักซะจะได้หายเร็ว ๆ ” วอดก้ามองยาในมือพาราไดซ์ด้วยท่าทางลำบากใจ พาราไดซ์เลิกคิ้วสูง หากแต่ยังไม่ทันจะได้ถาม เด็กหนุ่มก็แบมือรับยาจากเขาพึมพำถามในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ “ ถ้าทาน... ” “ ? ” “ ถ้ากินยา...ไดซ์...ไดซ์จะกลับเลยไหม ? ” พาราไดซ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาส่งเสียงตอบสั้น ๆ แต่วอดก้าไม่ได้ดื้อจะไม่กินยาเพื่อให้เขาอยู่อย่างที่คิด เด็กหนุ่มรีบกินยาแล้วรีบบอกให้เขากลับ พาราไดซ์งุนงงกับท่าทางแปลก ๆ ของวอดก้า เด็กหนุ่มดูอยากให้เขารีบออกจากห้องนี้เหลือเกิน “ ฉันจะส่งนายนอนก่อนแล้วเดี๋ยวจะกลับเลย ” วอดก้าเดินเข้าห้องนอนและนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย พาราไดซ์จับผ้าห่มห่มตัววอดก้าดี ๆ โดยพยายามไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจ แผ่นเจลลดไข้เขาก็ให้อีกฝ่ายแปะด้วยตัวเอง เจ้าของดวงตาสีดำมองเขาตาแป๋วขณะบอก “ ไดซ์กลับ...กลับได้แล้ว ” “ ไม่ต้องรีบไล่ฉันขนาดนั้นก็ได้ ” เขาแกล้งทำหน้าน้อยใจที่เด็กหนุ่มดูไม่ต้อนรับเขา “ ไม่...ไม่ได้รังเกียจ แค่ก ๆ... แค่ไม่อยากรบกวน ” วอดก้าพูดเบา ๆ พาราไดซ์อมยิ้ม เขาทำท่าอยากจะลูบหัวอีกฝ่ายหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำ เขาออกจากห้อง ไม่ลืมอวยพรให้อีกฝ่ายหายเร็ว ๆ อันที่จริงยาลดไข้กับยาแก้ปวดมีส่วนช่วยให้ง่วงนอนอยู่แล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะได้พักบ้าง พรุ่งนี้เขาจะแวะมาหาอีกฝ่ายแต่เช้าเพื่อเอาอาหารเช้ามาฝาก แต่ไม่เป็นอย่างที่พาราไดซ์คิด ตอนเช้า วอดก้าตาแดงก่ำเหมือนคนยังไม่ได้นอน แถมไข้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมจนเขาตกใจ เขามองคนที่กินข้าวกินยาแต่ยังไม่ยอมหลับ บอกให้เขาออกไปทำงานด้วยสายตาคลางแคลงใจ เขารู้สึกแปลก ๆ และบอกให้วอดก้าทานข้าวเที่ยงด้วย แล้วตอนเย็นเขาจะมาหาใหม่ “ มีอะไรหรือเปล่าครับ ? ” วิมเลทถามท่านประธานที่วันนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน “ ไม่ใช่เรื่องฉันหรอก เรื่องวอดก้าน่ะ ” พาราไดซ์ตวัดปากกาเซ็นเอกสาร หัวยังครุ่นคิดเรื่องเด็กหนุ่มต่อ “ เขาไม่ดีขึ้นหรือครับ ” “ ใช่ ไข้สูงกว่าเดิมนิดหน่อย ท่าทางเหมือนยังไม่ได้นอน ” “ เขาอาจจะนอนไม่หลับก็ได้ครับ ” วิมเลทเสนอความคิดเห็น พาราไดซ์ร้องอืม แต่อีกสาเหตุที่เขาสงสัยคือความรู้สึกที่ว่าวอดก้าพยายามไล่ให้เขาออกไปหลังจากกินยาต่างหาก บางทีเย็นนี้เขาอาจรู้คำตอบ เขาวัดไข้ ให้ทานข้าวทานยาตามปกติแล้วไปส่งวอดก้าที่ห้องนอน เขาไม่ได้สำรวจมากนักเพราะกลัวจะทำให้วอดก้าอึดอัด เด็กหนุ่มนอนห่มผ้า มองมาที่เขาตาปริบ ๆ พาราไดซ์แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาอีกฝ่าย เพียงยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง “ ไม่กลับ...เหรอ? ” วอดก้าถามด้วยเสียงที่แหบกว่าเดิมเล็กน้อย ชายหนุ่มมองคนบนเตียง ความรู้สึกที่วอดก้าอยากให้เขากลับไปเร็ว ๆ แจ่มชัดขึ้น ทั้งที่ความจริงวอดก้าน่าจะอยากให้เขาอยู่นาน ๆ เพราะเด็กหนุ่มบอกเองว่าอยู่ใกล้ ๆ เขาแล้วทำให้หลับได้ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายฝืนตัวเรื่องอะไรอยู่ “ ได้ ฉันจะกลับแล้ว วันหลังล็อกประตูบ้านด้วยนะ อย่าลืมอีก ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ พาราไดซ์มองขอบตาดำคล้ำเพราะอดนอนแล้วย้ำอีกเรื่อง “ สัญญากับฉันว่าจะนอนพักผ่อน ” ดวงตาวอดก้าสั่นไหวในฉับพลันทำให้พาราไดซ์เกิดใจอ่อน แต่เขาก็อยากให้อีกฝ่ายหายดีเร็ว ๆ มากกว่าต้องปวดหัวและเจ็บคอแบบนี้ เขาครุ่นคิด หรือจะลองพูดเกริ่นให้เขานอนที่นี่ เพราะยังไงพาราไดซ์ก็ไม่เดือดร้อนถ้าจะต้องตื่นเช้ากลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน เด็กนี่ไม่สบาย จะให้เขาเดินออกไปอย่างสบายใจไม่ได้หรอก “ สัญญา ” ยังไม่ทันจะได้พูดเรื่องที่คิด วอดก้าก็เอ่ยปากออกมา มือกำผ้าห่มแน่นยามสบตากับพาราไดซ์ เป็นการให้มั่นใจว่าเขาจะพักผ่อน “ ดีแล้วล่ะ ” พาราไดซ์ลังเลเล็กน้อย เขาค่อย ๆ ขยับมือวางบนหัวอีกฝ่าย วอดก้าไม่ได้หลบดังนั้นเขาจึงขยี้หัวเด็กหนุ่มเบา ๆ สองที “ แล้วฉันจะมาหาพรุ่งนี้อีก ” วอดก้าฟังเสียงประตูที่ปิดสนิทดีแล้ว เขาลุกจากที่นอน ห้อยขาลงข้างเตียงและเปิดลิ้นชักข้างเตียงออกมา ขวดยามากมายนอนเรียงรายอยู่ในนั้น วอดก้าหยิบออกมาเฉพาะยานอนหลับ มือของเขาสั่นจนรู้สึกได้ ตั้งแต่ได้นอนที่บริษัทของพาราไดซ์ วอดก้าก็แทบไม่ต้องกินยานอนหลับให้ตัวเองได้พักอีก แต่ครั้งนี้...เขาสัญญากับพาราไดซ์ว่าจะนอนหลับ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้พวกมัน ดวงตาสีดำฉายความพะอืดพะอมยามมองเม็ดยาหลายสีในมือ เขารู้ว่าถึงล้มตัวลงนอน เขาก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที เหมือนในทุก ๆ ครั้ง...แต่ขอให้แค่ได้นอน ขอให้เขาได้ทำตามสัญญา วอดก้าแหงนหน้ากินยานอนหลับเข้าไป เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เงยหน้ามองเพดานสีอ่อน หายใจเข้า หายใจออก มือของวอดก้ากำผ้าห่มแน่นแทบอยากจะฉีกเป็นชิ้น ๆ เขากลัว...ที่จะหลับ กลัวที่จะฝันถึงเรื่องเมื่อครั้งนั้น สุดท้ายสติของวอดก้าก็ดำดิ่งลงไปในความมืดที่เขาหวาดกลัว พาราไดซ์ที่ควรอยู่นอกห้อง แท้จริงเขาเพียงแค่ปิดประตูเสียงดังและเข้ามานั่งรอในห้องทำงานของวอดก้าเท่านั้น เขาไม่ได้เปิดไฟ เพียงทรุดนั่งที่เก้าอี้ทำงาน เห็นดินสอ กระดาษแบบร่างและรูปแบบเครื่องประดับอื่น ๆ จากฝีมือของเด็กหนุ่ม ห้องไม่ได้มืดขนาดจะมองไม่เห็น เขาแตะขอบกระดาษ เห็นได้ชัดว่าทุกคอลเล็กชั่นของบริษัทเป็นฝีมือของวอดก้า เครื่องประดับที่วอดก้าออกแบบมักจะได้รับการประมูลสูงสุดทุกครั้งและเป็นที่นิยมเสมอ ดันบริษัทเครื่องประดับของลุงคาลอสให้ไต่ขึ้นสู่อันดับโลกทุกขณะ เขาภูมิใจในตัวเด็กคนนั้นมาก แต่ภูมิใจกับสิ่งที่ต้องดุก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาตั้งใจจะอยู่ที่นี่สักชั่วโมงสองชั่วโมงเผื่อเด็กหนุ่มแอบมาทำงานหรือฝันร้าย เขาอาจจะ--- “ ไม่ !!! ” เสียงกรีดร้องที่ดังแว่วมาทำให้พาราไดซ์หน้าเปลี่ยนสี เขาพุ่งออกจากห้องทำงานของวอดก้าแล้วเปิดประตูห้องนอนอีกฝ่ายในทันที “ ไม่...ไม่เอา อย่า ! อย่าทำผม ! ” วอดก้านอนอยู่บนเตียง ดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าโชกไปด้วยเหงื่อขณะที่สองมือปัดป่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง “ วอดก้า ! ” พาราไดซ์คว้าตัวอีกฝ่าย ถูกเล็บอีกคนข่วนไปไม่น้อยเพราะยิ่งถูกจับ วอดก้าก็ยิ่งดิ้น เปลือกตาปิดสนิทแต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ ไม่ ๆ ! ผมขอโทษ ! ขอโทษ ! ขอโทษ ! ได้โปรด อย่า...อย่าทำผม อย่า ไม่...ไม่เอา ! ” วอดก้ายันตัวเองออกจากพาราไดซ์ ชายหนุ่มกัดฟันกรอดเพื่อพยายามรั้งตัววอดก้าไว้ เขาพยายามกอดเด็กหนุ่มให้แน่นขณะพูดเสียงดัง “ วอดก้า ! ตื่น ! ตื่นเดี๋ยวนี้ ! ” “ อ่อก...ค่อก ” เด็กหนุ่มสำลักอากาศ นิ้วมือเรียวขาวพยายามข่วนลำคอตัวเองเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ พาราไดซ์ตกใจถึงที่สุดเมื่อเด็กหนุ่มเลิกส่งเสียงกรีดร้องแต่พยายามจับลำคอตัวเองและข่วนไปมา ท่าทางนั้นเหมือนคนจมน้ำ พยายามตะเกียกตะกายหาอากาศหายใจ พาราไดซ์จับไหล่วอดก้าแล้วเขย่าตัวเด็กหนุ่มแรง ๆ ส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายจนแทบตะโกน “ วอดก้า ! ” “ เฮือก ! ฮ่าห์ ?! ฮ่า ! ” วอดก้าเบิกตาโพล่ง หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงยามอ้าปากหอบหายใจ เด็กหนุ่มไอค่อกแค่ก น้ำตาเอ่อคลอ กุมลำคอตัวเองแน่น “ แค่ก ๆ !...แฮ่ก ! ฮึ ! ฮือ ! ” “ วอดก้า ...นี่ฉันเอง...นี่ฉันเอง ” เขาจับเด็กหนุ่มที่ยังตั้งสติไม่ทัน พอพบว่ามีคนจับตัวเองอยู่ก็เริ่มดิ้นหนีอีกครั้งจนพาราไดซ์ต้องรีบบอก เขาพูดเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะลูบแผ่นหลังชื้นเหงื่อของวอดก้าไว้ “ ด...ไดซ์...ไดซ์ ? ” วอดก้ายังหายใจติดขัด เขาจับลำคอตัวเอง ให้แน่ใจว่าไม่มีมือคู่นั้นในความฝันตามติดมาด้วย มือที่เย็นยะเยือกและบีบลำคอเขาแน่นเจนเขาขาดอากาศหายใจ วอดก้าตัวอ่อนยวบเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในโลกความจริงอีกครั้ง เขาหายใจอย่างยากลำบาก หน้าอกเจ็บแปลบจนต้องยกมือกุมมันไว้ น้ำตายังไหลออกมาไม่หยุดรวมถึงสองมือที่ยังสั่นระริก พาราไดซ์เม้มปากกับท่าทางที่น่าสงสาร เขาประคองอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ “ ข...ขอโทษ...ขอโทษไดซ์ ผมขอโทษ... ” “ เธอไม่ต้องขอโทษฉันหรอก เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ” “ ........ ” วอดก้าหลับตา เขาคิดว่าการที่พาราไดซ์อยู่ที่นี่ก็เพื่อดูว่าเขาจะรักษาสัญญาจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเขาต้องรีบหลับ รีบหลับให้พาราไดซ์สบายใจและออกไปจากที่นี่ เขาไม่อยากให้พี่ชายของเขาเห็นท่าทางน่าเกลียดยามตกอยู่ในห้วงฝันของเขาเลย “ วอดก้า ? ” เด็กหนุ่มไม่ได้โต้ตอบกับเขา เพียงหลับไปอีกครั้งจนท่านประธานสงสัยว่าเมื่อครู่วอดก้าอาจกำลังละเมอ แต่ถึงอย่างไรท่าทางฝันร้ายของวอดก้าทำให้เขาเจ็บในหัวใจแปลก ๆ ...มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาเหมือนไม่สามารถช่วยอะไรเด็กหนุ่มได้เลย พาราไดซ์นั่งอยู่ข้างเตียงเงียบ ๆ ดูใบหน้าที่กำลังหลับของอีกฝ่าย ไม่นานคิ้วของเด็กหนุ่มก็เริ่มขมวดพร้อมท่าทางทรมาณอีกครั้ง “ เจ็บ...เจ็บ อย่า...อย่าทำผม...อย่าทำผม ” เด็กหนุ่มร้องบอกเป็นคำพูดเดิม ๆ พร้อมดิ้นรนหนีบางสิ่งอีกครั้ง “ วอดก้า ตื่นเถอะ...อย่านอนอีกเลย ตื่นขึ้นมาเถอะ ” พาราไดซ์บอกเสียงทุ้มต่ำ เขาเขย่าปลุกตัวเด็กหนุ่มอีกครั้งแต่ไม่ได้ผล วอดก้าตะเกียกตะกายเหมือนคนขาดอากาศหายใจอีกรอบ ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเองด้วยน้ำตานองหน้า “ ขอโทษ...ผมขอโทษ...ไดซ์ ” พาราไดซ์ปลอบโยนอีกฝ่ายอีกครั้ง “ ไม่...เธอไม่ได้ทำอะไรผิดวอดก้า เธอไม่ต้องขอโทษ ” วอดก้านอนหมดแรงในอ้อมแขนเขา มือข้างหนึ่งกำเสื้อของเขาไว้แน่นขณะพึมพำ “ ผมนอนไม่หลับ....ผม...หลับตามที่สัญญาไม่...ไม่ได้ ...ผมขอโทษ...ผมขอโทษ ” เขากระจ่างในทันที เด็กหนุ่มกำลังพยายามฝืนตัวเองให้หลับตามที่สัญญากับเขา พยายามที่จะพักผ่อนแม้มันจะทำให้ทรมาณก็ตามที มันยิ่งทำให้พาราไดซ์รู้สึกเจ็บภายในอก เขาคิดว่ามันอาจเป็นความรู้สึกผิด เขากอดไหล่เด็กหนุ่มเอาไว้ กระซิบเสียงเบา “ ไม่ต้องแล้ว เธอไม่ต้องหลับแล้ว...ฉันไม่อยากให้เธอหลับแล้ว ” ถ้าหากการที่เขาบังคับให้วอดก้าหลับ มันทำให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บปวดถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายกลับไปยังโลกความฝันนั้นอีก เขากระซิบซ้ำ ๆ “ เธอไม่ต้องนอนแล้ว อยู่กับฉันตอนนี้ก็พอ คุยกับฉันไปเรื่อย ๆ ก็พอ ฉันจะ...ปกป้องเธอเอง ” “ อืม... ” “ ฉันจะดูแลเธอเอง ฉันยังอยู่ตรงนี้...กับเธอนะ ” “ อือ...” “ คืนนี้ฉันจะอยู่กับเธอ...ปกป้องเธอจากฝันร้ายเอง ” วอดก้าเม้มปาก หลับตาแน่น พาราไดซ์นั่งบนเตียง มีเด็กหนุ่มนอนหนุนตักเขาและกอดเอวเขาเอาไว้ อีกฝ่ายยังฝันร้ายอยู่ตลอดการนอนหลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ โดยมีเขาคอยปลุกเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในห้วงฝันร้าย เขามองขวดยานอนหลับที่ยังเก็บไม่เข้าที่ด้วยสายตาเคร่งเครียด ในลิ้นชักยังมียาลดอาการซึมเศร้าและยาระงับความวิตกกังวลอยู่ มันเหลือไม่ค่อยมากเท่าไหร่ผิดกับยานอนหลับหลายขวดที่ยังเหลืออยู่อีกเยอะ มันทำให้พาราไดซ์โล่งใจ ถ้าหากวอดก้ากินยานอนหลับทุกวันด้วยปริมาณขนาดนี้ เขาจะรีบส่งวอดก้าไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ตลอดคืนวอดก้ายังละเมอขอไม่ให้ใครบางคนทำร้ายเขา อีกทั้งยังทำท่าหายใจไม่ออกอยู่ตลอดเวลาถึงอย่างนั้นความถี่ของการฝันร้ายก็ค่อยๆ ลดลง ยิ่งใกล้เช้าเด็กหนุ่มก็ยิ่งหลับสนิทขึ้น ฝันร้าย...มันคงเชื่อมโยงกับอดีตของวอดก้า เช้าวันต่อมา พาราไดซ์โทรบอกวิมเลทเรื่องที่เขาจะไม่เข้าบริษัทและฝากเรียบเรียงเอกสารสำคัญให้เขา บอกว่าถ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรให้ติดต่อมา ส่วนเขาก็อยู่กับวอดก้าจนกระทั่งเด็กหนุ่มตื่น ตอนแรกที่วอดก้าตื่น เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนอะไรอุ่น ๆ มือของเขาก็กอดบางอย่างอยู่ ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่วอดก้าจะรู้สึกตัวว่าเตียงนอนเขาของไม่มีหมอนข้างและสิ่งที่เขากอดนั้นก็หายใจอยู่ด้วย “ ด...ไดซ์ ? ” วอดก้าปากคอสั่นเรียกชื่อคนที่เขานอนกอดเมื่อครู่ อีกฝ่ายยังหลับอยู่จนกระทั่งวอดก้าพยายามลงจากเตียง แรงสั่นสะเทือนทำให้พาราไดซ์ที่งีบหลับรู้สึกตัวขึ้นมา “ ตื่นแล้วเหรอ ? อยากกินอะไรไหม จะได้โทรสั่งอาหารขึ้นมา ” เขาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ถึงอย่างนั้นมือที่ยื่นมาปัดผมที่ปรกหน้าวอดก้าก็อ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มยืนเอ๋อ ไม่เข้าใจจนกระทั่งเริ่มนึกออกถึงอ้อมกอดและเสียงที่คอยปลุกเขายามฝันร้ายตลอดคืน ใบหน้าวอดก้าซีดเผือด เขาก้มหน้าต่ำ มือจับชายเสื้อตัวเองไว้ “ ข...ขอโทษ ” “ ถ้าหมายถึงเรื่องที่ฉันอยู่ค้างที่นี่ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต ” มือลูบหัวคนที่ก้มต่ำเบา ๆ “ เธอไม่ผิดเลย ” “ แล้วตกลงกินอะไรดี ฉันจะสั่งอาหารแล้ว ” หลังจากนั้นวอดก้าก็นั่งกินข้าวกับอีกฝ่ายอย่างงง ๆ ตามด้วยน้ำและยา จากนั้นก็นั่งดูทีวี กินข้าวเที่ยงเหมือนตอนอยู่บริษัทไม่มีผิด “ เธอกินยานอนหลับบ่อยหรือเปล่า ? ” “ ?! ” ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งทานข้าวเที่ยง อยู่ ๆ พาราไดซ์ก็ถาม บางทีมันกลายเป็นเรื่องปกติของพวกเขาแล้วที่ทานข้าวไปด้วยคุยกันไปด้วย วอดก้าเงียบ คิดว่าพาราไดซ์คงเห็นยาในลิ้นชักของเขาแล้ว ดวงตาสีฟ้านั้นไม่มีความต้องการที่จะตำหนิ เพียงมองมาอย่างอ่อนโยนเท่านั้น ทำให้วอดก้าคลายความเครียดไปได้ไม่น้อย เขาตอบอย่างระมัดระวัง “ ไม่...ไม่บ่อย ตั้ง...ตั้งแต่ได้นอนที่บริษัทก็...ก็ไม่กินอีก ” “ แล้วเมื่อวานได้กินหรือเปล่า ? ” วอดก้าพยักหน้าหงึกหนึ่งครึ่ง พาราไดซ์ลังเลเล็กน้อย “ เพราะฉันให้เธอสัญญาว่าจะนอน เธอเลยกินยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองหลับได้ใช่หรือเปล่า ? ” วอดก้าพยักหน้าอีกครั้งอย่างซื่อตรง “ อืม กินข้าวต่อเถอะ ” พาราไดซ์มองวอดก้าที่ตักข้าวเข้าปาก กินอย่างว่าง่าย ดวงตาของเขาหลุบต่ำลง วอดก้าไม่อยากให้เขาอยู่ตอนนอนเพราะตนเองนอนฝันร้าย ลุงคาลอสบอกเขาแล้วว่าวอดก้าแต่ก่อนก็ฝันร้ายเหมือนกัน แต่กลับไม่ยอมให้ใครเข้าไป จิตแพทย์บอกว่าเป็นการป้องกันตัวเองจากจิตใจสำนึก เด็กหนุ่มไม่อยากให้ใครเห็นสภาพนั้นของตนเอง และไม่อยากให้ใครอยู่ใกล้จนเกินไปเพราะโรคกลัวการถูกสัมผัส ถ้าไม่สนิทกันจริง ๆ วอดก้าจะไม่ยอมให้ถูกตัวเด็ดขาด เขามองมือตัวเอง วอดก้ายอมให้เขาลูบหัวและกอด ถือว่าพวกเขาสนิทกันได้บ้างสินะ ? ถ้าจะให้พูด พวกเขาก็รู้จักกัน 10 เดือนแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็ครบปีพอดี อีกเรื่องคือเรื่องยานอนหลับ พาราไดซ์พอเข้าใจท่าทางอดนอนของวอดก้าแล้ว ต่อให้กินยานอนหลับ สุดท้ายก็จะสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายอยู่ดี ทำให้สุดท้ายก็ไม่ได้นอน เขาไม่อยากคิดว่าถ้าตอนนั้นเขายังปฏิเสธไม่ให้วอดก้ามานอนที่บริษัทอีก ถึงตอนนั้น...วอดก้าจะยังกินยานอนหลับพวกนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม แล้วเด็กหนุ่มจะเป็นยังไงบ้าง แค่จินตนาการถึงตอนนั้น พาราไดซ์ก็ใจสั่นขึ้นมา “ หือ ? ” พาราไดซ์ก้มลงมองสัมผัสที่หลังมือ เป็นวอดก้าที่กำลังติดพลาสเตอร์ให้เขา เป็นแผลที่ได้มาจากตอนที่พยายามคว้าตัววอดก้าไม่ให้ทำร้ายตัวเอง เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาทำให้เขา หลังจากติดพลาสเตอร์แล้วอีกฝ่ายก็ทำสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ด้วยการจูบที่พลาสเตอร์หลังมือเขาเบา ๆ “ เป็นการขอโทษ... ” วอดก้าตอบสั้น ๆ ก่อนหลบตาเขา พาราไดซ์ยิ้ม ขณะลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ “ ติดมาจากลุงคาลอสสินะ ? ” วอดก้าพยักหน้ารับ ลุงคาลอสมีนิสัยชอบทำแบบนี้เวลาวอดก้าเคยเป็นแผล ดังนั้นวอดก้าเลยทำตาม เขาไม่ได้พูดขอโทษเพราะพาราไดซ์บอกว่าเขาขอโทษมาพอแล้ว พาราไดซ์นั่งสำรวจต้นไม้ภายในห้องวอดก้าด้วยความสนใจ ขณะเด็กหนุ่มกำลังทำงานของตนเอง ระหว่างนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าวอดก้าใส่แว่นตาด้วย เป็นแว่นตากรอบบางทรงรี วอดก้าเล่าว่าสายตาสั้นนิด ๆ เลยใส่แว่นบางครั้งตอนทำงาน เจ้าตัวยังรวบผมที่ประบ่าของตัวเองด้วยทำให้เขาได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของเด็กหนุ่ม พาราไดซ์ไม่ได้กวนอะไรวอดก้าจนเห็นเด็กหนุ่มวางมือจากดินสอ เขาสั่งขนมมาเป็นของว่างและได้รู้เพิ่มเติมอีกอย่างว่าวอดก้าชอบกินเค้กช็อกโกแลตคู่กับนม กินเหมือนเด็ก ถึงจะคิดแบบนั้นเขาก็คอยนั่งดูวอดก้านั่งทานขนมอย่างมีความสุข สังเกตได้จากดวงตาสีดำที่ดูเป็นประกายจาง ๆ นั่น ส่วนเขาก็ตั้งใจจะหาเวลางีบหลับสักครู่หนึ่งก่อนจะกลับบ้าน “เธอปลูกต้นไม้เยอะนะ ชอบต้นไม้เหรอ ? ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พาราไดซ์มักเป็นฝ่ายชวนคุย เขาค้นพบว่าตัวเองมักเริ่มถามเรื่อยเปื่อยเสมอ เห็นอะไรก็ดึงมาใช้พูดกับวอดก้า จนกลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง วอดก้าดึงส้อมออกจากปาก ตักเค้กคำเล็ก ๆ ขึ้นแต่ยังไม่กินเพราะต้องเอ่ยตอบพาราไดซ์ก่อน “ ชอบ...สีเขียวทำให้สดชื่น ” “ อืม แต่ฉันชอบดอกไม้สีฟ้าน่ะ ” พาราไดซ์ลูบคางตัวเองเล็กน้อยขณะนึกถึงสมัยก่อน “ แม่ของฉันเคยเล่าเรื่องตำนานดอกไฮยาซินให้ฟัง ฉันจำเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่เห็นว่าเกี่ยวกับความรัก ” “ ดอกไม้ส่วน...ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความรัก ” วอดก้าเสนอความคิดเห็นของตัวเองบ้าง พาราไดซ์หัวเราะเบา ๆ “ ใช่แล้วล่ะ เพราะแบบนี้ผู้ชายถึงได้ให้ดอกไม้ผู้หญิงล่ะมั้ง ที่ฉันจำชื่อดอกไฮยาซินได้น่าจะเพราะว่ามันเป็นดอกไม้ที่แม่บอกว่าเหมือนสีตาของฉัน ” “ สีฟ้า ? ” “ ใช่ แล้ววอดก้าล่ะ มีดอกไม้อะไรที่ชอบหรือเปล่า ? ” วอดก้านิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะตอบช้า ๆ “ ดอกกุหลาบ...สีชมพู ” ประธานหนุ่มกระพริบตาด้วยความประหลาดใจก่อนจะนิ่งไปเมื่อวอดก้าเอ่ยต่อด้วยสีหน้าหม่นลง “ คุณแม่ชอบ... ” เขานึกถึงเรื่องที่วิมเลทบอก เด็กหนุ่มเสียพ่อแม่ไปในเหตุไฟไหม้เมื่อหลายปีก่อน พาราไดซ์สบถเบา ๆ ในใจที่ทำให้อีกฝ่ายต้องคิดถึงเรื่องเศร้าอีกแล้ว แต่วอดก้าทำให้เขาประหลาดใจด้วยการสบตากับเขา “ ไม่เป็นไร...ผมโอเค ” พาราไดซ์ยิ้มบาง ๆ ลูบผมสีดำหนานุ่มนั่นอีกครั้งด้วยความชื่นชมและภูมิใจ “ อืม...เธอเก่งมาก ”
“ วันเกิด ? ” วอดก้าทวนคำอย่างประหลาดใจ เขามองวิมเลทที่กำลังจัดแฟ้มเอกสารอยู่ “ ครับ เผื่อคุณวอดก้าอยากรู้ ” วิมเลทยิ้มน้อย ๆ “ อีก 3 เดือนจะเป็นวันเกิดท่านประธานน่ะครับ ” วอดก้ามีดวงตาที่แวววาว เขาสบตาของอีกฝ่ายแล้วขอบคุณด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ ขอบคุณครับ วิมเลท ” “ ด้วยความยินดีครับ ” วิมเลทยิ้ม เขามองผ่านหลังของวอดก้าที่เดินเข้าไปในห้องท่านประธาน เด็กหนุ่มเปลี่ยนที่นอนแล้วเป็นนอนข้างใน เพราะเตียงเดี่ยวขนาดไม่ใหญ่มากที่ท่านประธานสั่งมาให้วอดก้า เพื่อที่เจ้าตัวจะได้เลิกนอนโซฟาแล้วมานอนที่เตียงดี ๆ สักที วิมเลทถอนหายใจ ดูเหมือนท่านประธานที่เคยบอกว่าการมีคนมานอนในบริษัทเป็นเรื่องที่เสียภาพลักษณ์ ดังนั้นท่านประธานก็เลยให้คนคนนั้นมานอนในห้องทำงานท่านประธานเองสินะ อืมมม...เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนจริง ๆ ด้วย สำหรับวิมเลทคิดว่าตอนนี้ท่านประธานยังไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทนที่ลิเดียเรื่องการประคบประหงมคุณวอดก้าน่ะ เอกสารอะไรก็ไม่ให้ช่วย ให้นอนนิ่ง ๆ เล่นเกมอ่านหนังสือไปเฉย ๆ ทั้งยังให้เขาไปสรรหาร้านอาหารอร่อย ๆ มาอีกด้วย อืมมม-รอบที่สอง ท่านประธานไม่ได้เป็นซิสค่อนแต่เป็นบราค่อนหรือเนี่ย ? “ วิมเลท ถ้านายยังนินทาฉันอีก ฉันจะหักเงินเดือนนายแล้วนะ ” วิมเลทสะดุ้งกับสายตาเย็นยะเยือกของท่านประธาน เขาก้มหน้าก้มตาหลบเจ้านาย ดีที่เจ้านายไม่มีวิชาอ่านใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกเตะโด่งออกจากบริษัทแน่ พาราไดซ์เริ่มไปขลุกที่ห้องวอดก้าบ่อยขึ้น ส่วนใหญ่หลังทานมื้อเย็นที่บริษัทเสร็จก็มาส่งวอดก้า บางครั้งเขาก็นอนที่โซฟารับแขกด้วย คอยสังเกตฝันร้ายของวอดก้าเป็นระยะ ๆ อาจจะเป็นการคิดไปเอง แต่พาราไดซ์รู้สึกว่าวันไหนที่เขาพักกับวอดก้าด้วย อีกฝ่ายจะหลับได้สนิทขึ้น อาจมีสะดุ้งตื่นบ้าง แต่ก็ดีกว่าวันนั้น น่าจะเป็นผลกระทบเหมือนที่บริษัทที่วอดก้าไม่เคยฝันร้ายเลย เพื่อรักษาโรคกลัวการเข้าสังคมกับวอดก้า พาราไดซ์จึงเริ่มชวนอีกฝ่ายออกมาเดินเล่นในวันหยุด แต่เขาไม่คิดว่าแค่วันแรก เขาจะสร้างบาดแผลทางใจให้กับเด็กหนุ่มเสียแล้ว สวนสาธารณะตอนเย็นคนไม่เยอะมาก แต่อาจจะยังน่ากลัวสำหรับวอดก้าที่มักเดินมาที่บริษัทโดยหลบหลีกผู้คนเสียส่วนใหญ่ วอดก้าจับแขนเสื้อพาราไดซ์ไว้ เจ้าตัวยังสวมเสื้อแขนยาว หลังจากพาราไดซ์เอาไอศกรีมเข้าหลอกล่อ วอดก้าก็ดูลดความกลัวลงไปได้มากและคอยสังเกตต้นไม้ในสวนด้วยความสนใจ “ หิวน้ำไหม ? คอแห้งหรือเปล่า ? ” วอดก้าพยักหน้าน้อย ๆ ร้านสะดวกซื้ออยู่ค่อนข้างไกลและต้องฝ่าคนไปไม่ใช่น้อยดังนั้นพาราไดซ์จึงตัดสินใจให้วอดก้ารออยู่ในสวนตรงที่ไม่ค่อยมีคนจะดีกว่า “ เธออยู่คนเดียวได้ไหม ? ” วอดก้ากวาดตาสำรวจเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนผ่านพลางพยักหน้ารับ ชายหนุ่มบอกจะรีบไปรีบกลับ ดังนั้นวอดก้าจึงนั่งรอตรงนั้นและคอยสำรวจต้นไม้ที่สนใจต่ออย่างว่าง่าย แต่พาราไดซ์ไม่กลับมา วอดก้าเริ่มรู้สึกกลัว ท้องฟ้ามืดลง คนในสวนสาธารณะก็น้อยลงไปด้วย ส่วนหนึ่งของวอดก้ากลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับพาราไดซ์ อีกส่วนก็คิดในแง่ลบว่าชายหนุ่มทิ้งเขาไปแล้วหรือเปล่า ลืมเขาไว้ที่นี่ อากาศเริ่มเย็นลงแต่วอดก้าไม่รู้สึกหนาวเลย อาจเพราะในใจของเขารู้สึกหนาวยิ่งกว่าอากาศภายนอก เขาดูโทรศัพท์ ไม่มีข้อความหรือการโทรเข้า ความเงียบเข้าครอบงำเขา ทำให้วอดก้าแน่นหน้าอก เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ลองกดโทรอออกแต่ไม่มีคนรับสาย วอดก้าหายใจติดขัดและส่งข้อความไปหาอีกฝ่าย ‘ไดซ์ ?’ 20.19 น. ‘ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า ?’ 20.20 น. วอดก้านั่งรอต่อไป เขาปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวพาราไดซ์ก็จะมารับเขา พาราไดซ์ไม่ทิ้งเขาหรอก... ไม่ทิ้งเขา ไม่เหมือนพ่อกับแม่... วอดก้าก้มหน้าลง ฟุบที่เข่าของตนเอง เขายังจ้องหน้าจอมือถืออย่างโง่ ๆ หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา “ เฮ้ สวนสาธารณะจะปิดแล้วนะ กลับบ้านได้แล้ว ” ยามถือไฟฉายส่องหน้าเขา วอดก้าดูนาฬิกา สี่ทุ่มแล้วแต่พาราไดซ์ก็ยังไม่มา เขายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดแต่เขาก็ตัดสินใจส่งข้อความที่ 3 ไปหาพาราไดซ์ ‘ผมขอโทษครับ พี่’ 22.12 น. อาจเพราะเคยชิน อาจเพราะยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งมีความสุข เพราะแบบนั้นถึงยิ่งคาดหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ พาราไดซ์ใจดี ทำให้เขาหลับได้ กินข้าวเป็นเพื่อนเขา หาของอร่อย ๆให้เขา ปลุกเขาจากฝันร้าย เขาจึงชอบพาราไดซ์มาก เขาดีใจที่มีครอบครัวอีกครั้ง แต่ว่า...ไม่มีอะไรที่อยู่ตลอดไป วอดก้าเกือบลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว ความรู้สึกตอนที่อยู่ในห้องสกปรกนั่น เฝ้ารอให้พ่อกับแม่เปิดประตูมารับเขา มาช่วยเขาจากนรกนั่น แต่ไม่...เป็นเขาที่เกือบตายเพื่อหนีออกมาจากที่นั่น ลำคอร้อนผ่าวเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้ วอดก้าหายใจเขาลึก ๆ จากนั้นก็เป็นการเฝ้ารอหลังจากไฟไหม้ รอพ่อกับแม่เปิดประตูเข้ามา บอกว่ากลับมาแล้วและจะไม่ทิ้งเขาไว้คนเดียวอีก หายใจออกช้า ๆ แต่ไม่...ไม่เคยเป็นอย่างที่เขาหวัง ดังนั้นวอดก้าจึงเลิกหวัง เพราะความผิดหวังมันเจ็บปวดแบบนี้ ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้มันเหมือนจะฉีกกระชากหัวใจเขาออกจากกัน ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้าหมดแรงและอยากจะทรุดตัวลงนั่งเงียบ ๆ อย่างนั้น บนโลกใบนี้ไม่มีใครต้องการเขา... น้ำตาหลั่งรินออกมาเงียบ ๆ พร้อมกับความปวดหนึบที่อกที่ไม่อาจจางหายไปได้ง่าย ๆ เขาไม่โทษพาราไดซ์ ถ้าเขาเข้มแข็งมากกว่านี้เขาคงเดินกลับห้องพักของตัวเองแล้วทำเป็นลืมมันซะเรื่องที่เขาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว แต่ไม่...วอดก้ารู้ว่าตนเองนั้นอ่อนแอเหลือเกิน และบางทีนี่อาจจะเป็นฝันร้ายใหม่ของเขา โลกที่ไม่มีพาราไดซ์อีกต่อไป บางทีคงถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว...เหมือนที่เป็นเสมอมา TALK อะแฮ่มทุกคน อย่าได้ตกใจไปเลย ตอนพิเศษนี้จบแฮปปี้แน่นอน แถมตอนหน้าฟินจิกหมอนขาดแบบสุด ๆ ไรท์จะกลับต่างจังหวัดวันนี้และกลับมาอีกทีวันจันทร์ ดังนั้นไรท์จะมาอัพวันจันทร์พร้อมกับหนูพอลนะจ้ะ อัพเดทชีวิตเล็กน้อย ไรท์เป็นนิสิตม.เกษตรศาสตร์แล้วจ้า ไม่ขอบอกคณะนะเพราะเพื่อนในคณะอ่านนิยายเยอะมาก กลัวจะป๊ะกันตรง ๆ 555555
เรื่องอื่น ๆ ก็จะทยอยอัพครบทุกเรื่องแน่นอนน้า เป็นของขวัญปีใหม่ จะมีวอดก้าที่เยอะกว่าคนอื่นนิดหน่อยยยย
อิมเมจวอดก้า 
อิมเมจพาราไดซ์จ้า แต่ไม่ใส่แว่นเน้อ 
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|
แล้วก็ไรม์กลับมาแล้วววว เย้!!!
ตอนพิเศษนี้สงสารวอดก้ามากเลยอ่าา อ่านไปร้องไป(เวอร์ไปมั้ยแต่ร้องจริง) จะรออ่านน้าาา
PS.
PS. ชีวิตก็เหมือนกระดาษเปล่า คุณสามรถวาดได้ด้วยตัวเอง มันจะดีจะเลวขึ้นอยู่กับตัวคุณ
PS. ความรู้สึกที่อยู่ข้างในนะ... อยากจะบอกให้เธอรู้จริงๆ
Welcome Back ยินดีต้อนรับกลับมาค่าาาา รอหนูรี่อ่ะ หวังว่าจะไม่หายไปนานๆอีกน้าาาา
PS. ชีวิตของเรา ทางเดินของเรา เราต้องเลือกเอง และห้ามเสียใจในสิ่งที่เราเลือก
ดีใจที่สุดดด วนอ่านมา3รอบไแ้กว่าไรท์จะอัพต่อ ไรท์อัพเนื้อหาหลักน้าาค้างสุดดอ่ะ ทั้งวิสกี้ จิน มีปริศนาโผ่ลมาอีกแล้วว(ตอนก่อนหน้าอ่ะน่ะ)
รอออๆๆติดตามอยู่น้าา เป็นกำลังใจให้
PS. อา.....คุณพ่อเคยพูดเอาไว้ สีขาวกับสีดำแตกต่างกันยังไงไม่สำคัญ สำคัญแค่จำไว้ว่า...ชีวิตนี้คนที่สามารถไว้วางใจได้ก็มีแค่ตัวเราเองเท่านั้น หนู ๆ ทั้งหลาย ...^^...จำและเชื่อฟังคำของคุณพ่อให้ดีนะ
PS. สู้ต่อไปอย่างยอมแพ้