บทที่ 79 งานโรงเรียนที่แสนวุ่น (yaoi?) 3
“ ค…ค่ะ จบไปแล้วนะคะกับผู้โชคดีคนแรก ” ดาลันเริ่มล้วงมือลงกล่องอีกครั้งท่ามกลางความลุ้นระทึกของผู้ชมที่สวดภาวนาในใจให้เป็นตน
“ หมายเลข 801 ค่ะ ”
“ อยู่นี่ค่ะ ! ” เจ้าของที่นั่งหมายเลข 801 ดีดตัวลุกขึ้นมาในทันที ก่อนจะหันไปวี้ดว้ายกับเพื่อนสาวแล้วรับเครื่องขยายเสียงมาด้วยสีหน้าระทึก
“ เชิญค่ะ ” จีจี้ผายมือ
“ ข…ขอถามค่ะ ‘ว่าพาราไดซ์คิดว่ารู้จักวอดก้ามากแค่ไหนค่ะ ?’ ”
“ ว่าไงคะน้องไดซ์ ”
พาราไดซ์เงียบไปชั่วอึดใจ หรี่ตาลงน้อยด้วยประกายตาที่วอดก้ารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุก
“ ไดซ์…” พาราไดซ์ก้มมองวอดก้าที่เขายังกอดเอวไว้อยู่ซึ่งกำลังทำสีหน้าหวาดระแวง “ นายคงไม่คิดตอบอะไรแปลก ๆ นะ ”
“ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะคิดแบบไหน ” เจ้าชายหนุ่มตอบเสียงเฉื่อย รับเครื่องขยายเสียงมาก่อนนิ่งไปชั่วอึดใจ
“ ‘คิดว่ารู้จักมากแค่ไหน’…ก็คงนิดหน่อยเพราะยังไงก็รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน ”
ผู้ชมมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อยที่เจ้าชายหนุ่มตอบแค่นี้ หากแต่แล้วเสียงทุ้มที่กล่าวต่อก็ทำให้ทุกคนหูผึ่ง
“ อยากจะรู้ไหมล่ะว่าฉันรู้จักเขาดีแค่ไหน ? ”
“ อยากค่ะ !!! ” พันกว่าเสียงตอบรับในทันที
รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากเจ้าชายหนุ่ม
“ ฉันรู้จัก…ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่หู ” เป่าลมหายใจเบา ๆ ข้างหูนักบวชหนุ่มที่สะดุ้งเฮือก หน้าแดงเถือกทันใดด้วยความจั๊กจี๊ แน่ล่ะ ไดซ์จะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่อตอนที่ม่านทิวาก็ขลุกอยู่กับเขาทั้งวัน
“ รู้ว่าชอบกินขนมหวานประจำโรงเรียนอย่างลาเรียเต้…แล้วมักจะชอบเผลอทิ้งคราบที่มุมปากขวาประจำ ” นิ้วเกลี่ยมุมปากขวาเบา ๆ พร้อมเลื่อนมาสัมผัสลำคอ กรีดบาง ๆ เรียกเสียงหัวเราะขบขันได้จากวอดก้าในทันที “ และจะจั๊กจี๊ถ้าโดนคอ ”
“ รู้ว่าผิวขาวจัดของเขาถ้าโดนน้ำอุ่น ๆ ก็จะกลายเป็นสีแดงง่าย ๆ ชอบตื่นเช้าแต่ขี้เซา ไม่ชอบอากาศร้อน ๆ เพราะจะทำให้หงุดหงิด เวลาใช้ความคิดจะชอบเอามือเท้าคางและเอานิ้วเคาะโต๊ะ ชอบอาหารที่ค่อนข้างรสจัด ทำอาหารและขนมได้ทุกอย่าง ดูเหมือนจะเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดแต่จริง ๆ คือทะเล้น เจ้าเล่ห์ ชอบแกล้งคนอื่น นิสัยเคยชินคือชอบพลิกหาตรงที่อุ่น ๆ เวลานอนและจะชอบให้คนลูบหัว ”
รอยยิ้มบาง ๆ ผุดที่ริมฝีปากเจ้าชายหนุ่ม
“ วันนี้คงเป็นวันที่นายพูดเยอะที่สุดเลยล่ะมั้งไดซ์ ”
วอดก้าส่ายหัวนิด ๆ อย่างเอือมระอาก่อนจะหลับตาเมื่อถูกลูบหัว งึมงำเอ่ย
“ ฉันไม่ได้ชอบให้คนลูบหัว …ฉันแค่ชอบให้นายลูบหัวต่างหาก ”
พาราไดซ์ชะงักเล็กน้อยก่อนจะดึงวอดก้าไปกอดแน่นอีกครั้งเหมือนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงของเล่นอย่างไรอย่างนั้น
ผู้ชมมองอย่างเคลิบเคลิ้ม
โอ๊ยยยยย คือมันใช่อ่ะคู่นี้ ! มันเป๊ะเวอร์จริง ๆ !
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
“ ดูเหมือนพวกวอดก้าจะสนุกกันเชียวนะ ” เทรนเอี้ยวตัวกระซิบกับเพื่อนหนุ่ม
“ คงจะอย่างนั้น ” เซราสยิ้มนิดๆ ก่อนปรับใบหน้าให้เรียบเฉยดังเดิม
“ ผู้โชคดีคนถัดไปของเราคือ…” จีจี้รับกระดาษจากดาลันมาพร้อมกวาดตามองหา “ หมายเลข 77 ค่ะ ! ยู้ฮู ! อยู่ตรงไหนค้า ~ ”
“ เธอไงหมายเลข 77 ”
“ จริงด้วย แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะถามอะไร ” ที่นั่ง 76 สะกิดคนข้าง ๆ อย่างสนิทสนม เพราะอาการของอีกฝ่ายมันสื่อว่าพวกเธอนั้นเลือดสีเดียวกัน (ม่วง)
“ ยังไม่ทราบไม่เป็นไรค่า งั้นขอเชิญชมการแสดงคู่ต่อไปคั่นเวลา ”
คู่วอดก้าและเทรนถอยห่างมาร์คและเฮดิชที่เริ่มกระซิบปรึกษากัน ทั้งสองก้าวถอยหลังออกจากกันเล็กน้อย สีหน้าง่วงงุนของเฮดิชเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง
“ เฮ่อ ขอโทษที่มาช้า เราไปกันแถอะ ”
เทพแห่งไฟทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือคว้าตัวเทพเฮดิชไว้ทว่าเทพหนุ่มก็ถอยออกห่าง
“ ฮ…เฮดิช ? ”
“ มันไม่จำเป็นแล้วล่ะ ” เทพหนุ่มกล่าวเสียงราบเรียบก่อนหันหลังให้ “ เจ้าไม่ต้องลำบากไปไหนมาไหนกับข้าแล้วก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าคงอยากอยู่กับเทพธิดาพวกนั้นมากกว่า ”
“ อุ่ก นี่คงเป็นประเด็นสามีภรรยาที่สามีไปเหล่สาวสินะ… ”
“ น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ”
“ งานเข้าเอ็งแล้วมาร์ค ”
“ ทำไมถึงพูดแบบนั้นกัน ข้าขอโทษที่มาสาย พวกนางเพียงขอให้ข้าช่วยเท่านั้นเอง ” มาคิสยิ้มกริ่มแกล้งถามว่า “ หรือว่าหึงข้ากับพวกนางกัน ? ”
เฮดิชเบือนหน้าไปอีกทาง
“ ยังไงเสียเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว เจ้าเอง…คงจะเบื่อแล้วที่แกล้งข้า เพราะฉะนั้น…”
หมับ !
“ !!! ”
แม้แต่ผู้ชมยังตกใจกับเทพแห่งไฟที่ลบเลือนรอยยิ้มของตนออกไป เหลือเพียงใบหน้าเคร่งเครียดยามกระชากร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขนตนอย่างรวดเร็ว
“ เจ้าไปได้ยินอะไรมา ? ”
“ …….. ” เทพแห่งดินไม่ได้ตอบกลับ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำชับอ้อมกอดแน่นขึ้น แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา
“ ข้าขอร้อง…อย่าเชื่อคำพูดของผู้อื่นที่ไม่ใช่ข้าได้หรือไม่ ? ใครบอกเจ้าว่าข้าเบื่อเจ้า ? ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการอยู่กับเจ้าตลอดเวลา ? ”
แขนแกร่งกอดคนที่หันหลังให้แน่น
“ อย่าเชื่อคำพูดผู้อื่นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็ตาม เพราะคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า…คือเจ้า ”
“ ! ”
“ เจ้าคือคนที่ข้าอยากอยู่ด้วยตลอดเวลา ข้าชอบแกล้งเจ้าเพราะอยากให้เจ้าสนใจ ข้าชอบไปไหนมาไหนกับเจ้าก็เพราะต้องการ…ข้าไม่มีวันเบื่อเจ้า เทพธิดาพวกนั้นเพียงอิจฉาที่เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่ข้าชิดใกล้ทุกเวลาเท่านั้น ”
มาคิสหมุนตัวเฮดิชมาพร้อมสวมกอดอีกครั้ง
“ เพราะฉะนั้น…อย่าพูดอีกว่าข้าเบื่อเจ้า และไม่อยากอยู่กับเจ้าอีกเพราะมัน จะไม่มีวันนั้น ”
“ ข้า…ขอโทษ ”
“ อืม…ดีแล้ว อย่าเชื่อคำพูดของใครอื่นมากกว่าข้า อย่าสนใจผู้อื่นมากกว่าข้า และเชื่อฟังข้า…เข้าใจไหมเฮดิช ”
นัยน์ตาสีแดงมองร่างในอ้อมแขน กล่าวชัดถ้อยชัดคำ ทั้งที่รูปประโยคแฝงแกมบังคับเอาไว้ ทว่าเทพแห่งดินกลับขานรับอย่างว่าง่ายเหมือนไม่รู้เรื่องราว
รอยยิ้มผุดที่มุมปากมาคิส ลูบเส้นผมสีเข้มอย่างอ่อนโยน กระซิบเสียงเบา
“ ดีแล้ว…เจ้าเป็นคนสำคัญของข้า เฮดิช…เป็นคน ‘ของข้า’ คนที่สำคัญที่สุด…จะไม่มีใครที่สำคัญไปกว่าเจ้า ” ดวงตาคู่คมฉายความจริงจังยามกล่าวประโยคท้าย
และ…ทั้งสองก็แยกออกจากกันด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสร้างความรู้สึก ‘กระชากฟิวส์’ ที่เหมือนภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นภาพลวงตา
“ ย…แยกกันเร็วเกินไปแล้ว ! ”
“ จะค้างบิ้วอารมณ์ซึ้งอีกสักหน่อยก็ไม่ได้ ”
“ แต่ก็ฟินไม่เบานะ ”
“ หมายเลข 77 พร้อมหรือยังคะ ” จีจี้ที่กว่าจะเรียกสติได้ต้องรอวอดก้าสะกิดถึงหันไปถลึงตาใส่มาร์คที่ยิ้มกว้างส่งให้ทั้งที่เล่นตัดบทกันดื้อ ๆ ทั้งอย่างนั้นเลย แต่ในฐานะพิธีกรเธอเลยหันไปย้อนถามสาวผู้โชคดีที่กำลังอ้าปากค้างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่
“ ค…ค่ะ ! เอ่อ…ขอถามความรู้สึกของ ‘เทพเซเลส’ ค่ะ ว่า …เอ่อ ทำไมถึงแสดงเข้าถึงบทมากและรู้สึกยังไงตอนกำลังสูญเสียเทพเทซิลไป…น่ะคะ ”
“ เป็น 2 คำถามนะคะ ”
“ ค่ะ ”
ในที่สุดก็มีคนถามเกี่ยวกับตัวละครที่แสดง
“ ? ” เซราสเอียงคอมองเทรนเหมือนจะไม่เข้าใจคำถาม เทรนคิดเล็กน้อย
“ ประมาณว่าทำไมนายถึงเข้าบทได้ดีขนาดนี้และอยากให้นายบรรยายความรู้สึกตอนฉันจะตายล่ะมั้ง ”
ทำไมถึงแสดงได้ดี ?
เซราสหันไปมองจีจี้
จีจี้เอียงคอยิ้มหวาน แต่นัยน์ตาเชือดเฉือนว่า ‘ถ้านายตอบว่าเพราะฉันคุมเข้มกำกับโหดจนทำลายบรรยากาศความฟินผู้ชม ฉัน-จะ-ฆ่า-นาย’
เซราสถึงกับผงะ มองเทรนที่ตบไหล่เขาป้าบ ๆ ด้วยสายตาสงสารแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ รับเครื่องขยายเสียงมา
รู้สึกยังไง…ถึงแสดงได้ดีขนาดนั้นงั้นหรือ ?
“ อาจเป็นเพราะเคยเจอกับการ ‘เกือบ’ สูญเสีย…ใครคนหนึ่งไป ทำให้แสดงไม่ยากเท่าไหร่นัก ”
น้ำเสียงทุ้มราบเรียบและเยือกเย็นทำให้ผู้ฟังรู้สึกอยากรู้นักจะมีใครสามารถละลายน้ำแข็งของคน ๆ นี้ได้ไหมหนอ
“ แล้วก็…” ปรายตามองเพื่อนหนุ่มที่พยายามเก๊กหน้าไม่ให้ใครรู้ว่ากำลังเมื่อยอยู่ ความขบขันก็แล่นวาบผ่านดวงตาสีน้ำเงินคู่คมกริบ ทอดเสียงแผ่วลงว่า “ หากเป็นเทพเซเลส…ความรู้สึกที่กำลังสูญเสียเทพเทซิล…ในตอนนั้น…ภายในอกคงรู้สึกอึดอัด ดั่งถูกกระชากลมหายใจออกไปแล้วปล่อยให้ตายทั้งเป็น
…มันวูบโหวง…อย่างน่ากลัว ไม่รู้ตัวว่าควรทำสิ่งใดต่อไป ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นราวสติถูกตัดขาด ร่างกายชาดิกและสั่นสะท้านในความหวาดกลัวที่รับรู้ได้ว่า…กำลังจะสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดไป…ตลอดกาล ”
ริมฝีปากหยักแย้มความรู้สึกออกมาด้วยท่าทางเหม่อลอยราวกำลังครุ่นคิดถึงความรู้สึกของเทพเซเลสในยามนั้น
“ หัวใจ…เต้นถี่ก่อนจะแผ่วลงเรื่อย ๆ และเจ็บปวดราวถูกควักออกมาเพียงสัมผัสถึงความอบอุ่นที่เริ่มจางหายของร่างในอ้อมแขน ลมหายใจที่ขาดห้วง และเพียงคำนึง…ถึงวันเวลาต่อไป วินาทีถัดมา นาทีที่กำลังจะถึงนี่…หากไม่มีคน ๆ นี้อยู่ด้วยอีกต่อไปจะเป็นยังไงนะ ?
เกิดเป็นคำถามที่อยู่ในใจ
‘ไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป’ มีเพียงคำตอบเดียวที่ผุดขึ้นมา ไม่มีวันและไม่มีทางที่จะมีลมหายใจได้หากขาดคน ๆ นี้ และนั่น…ดูเหมือนกับจะเป็นวินาทีเดียวกับที่ของเหลวที่ดวงตามันไหลออกมาโดยที่แทบไม่รู้สึกตัวสักน้อย
เทพเทซิลคือสหายคนเดียวที่เข้าใจในตัวเขามากที่สุด
คือคนที่เคียงข้างตลอดมา
สายใยที่ก่อมานับร้อย ๆ ปีและชีวิต…ที่แทบไม่มีวันใดที่ไม่คำนึงถึงอีกฝ่าย ”
ผู้รับบทเทพศาสตราหลุบตาลง ส่ายหน้าเชื่องช้า
“ ไม่มีทางลืมเลย…ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวนั่น ความรู้สึกที่จะเพียงมองเห็นร่างเงาอีกฝ่ายในทุกอิริยาบถ แต่กลับไม่สามารถจับต้องได้ ทั้งใบหน้านี่…เส้นผม ผิวแก้มนิ่ม ร่างกายอุ่น ๆ นี่ ”
มือหนาไล้โครงใบหน้าของเทพเทซิลที่นิ่งฟังอยู่แผ่วเบา
“ รอยยิ้ม…ที่จะติดตรึงเพียงในความทรงจำเท่านั้น เสียงหัวเราะกังวานใสที่พานทำให้ยิ้มตาม ความสบายใจที่เพียงยืนข้างๆ อย่างเงียบงันก็พอแล้วนั้น…จะไม่สามารถสัมผัสมันได้อีก
สิ่งที่รู้สึกต่อมาคือโลกทั้งใบที่ถล่มทลาย ไม่ว่าสิ่งใดก็ไร้ค่าหากเทียบกับคน ๆ นี้ ไม่ว่าจะอำนาจ…เงินทอง หญิงงาม หรืออะไรก็ตามไม่อาจเทียบกับคน ๆ นี้ได้เลย
สมองไม่อาจรับรู้คำว่าเหตุและผล…เพียงคิดว่าเจ้ากำลังจะทิ้งข้าไปเช่นนั้นหรือ ? จะทิ้งข้าให้อยู่เพียงลำพัง ในโลกที่ไม่มีเจ้า ?
ทันใดบางสิ่งก็กรีดร้อง
‘ได้โปรดเถอะ อย่าพรากเขาไปจากข้า …อย่า…ทำให้เขาต้องจากข้าไป’ อ้อนวอนต่อทุกสิ่งอย่างแต่เมื่อยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีปาฏิหารย์ที่จะช่วยได้ … ความสิ้นหวังก็มาเยือนในฉับพลัน ร่างกายอ่อนแรงแม้แต่จะยืนก็ไม่อาจทำได้
เจ็บปวดเหลือเกิน…ทรมาณ…เจียนตาย อย่างที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาพรรณนาได้หมดสิ้น
‘จบแล้ว…จบสิ้นแล้ว’ มีเพียงถ้อยคำนี้ที่วนเวียนไปมา ‘ไม่ยุติธรรม ! ทำไมต้องเป็นเขาที่ต้องจากไป ?! ทำไมถึงต้องเป็นข้าที่ต้องสูญเสีย ? ’ เป็นคำถามที่ช่างไร้ความนึกคิดโดยสิ้นเชิงและความทรงจำที่อยู่ด้วยกันทุกช่วงเวลาก็พรั่งพรูมาตอกย้ำ
‘ข้าจะต้องสูญเสียคน ๆ นี้ไปจริง ๆ …จะไม่มีเขาเคียงข้าง หัวเราะ แย้มยิ้ม ปลอบโยน ประคับประคองไปด้วยกันอีกแล้ว …ไม่มี…จะไม่มีอีก’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความคิดหนึ่งจึงแวบเข้ามา…หากในโลกนี้ไร้เจ้ามันก็ไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะอยู่ต่ออีก …ข้าจะตามเจ้าไปไม่ว่าเจ้าจะจุติใหม่เป็นใคร เป็นเทพอัปลักษณ์ เป็นปีศาจหรือมนุษย์หรือสิ่งไร้ประโยชน์เช่นใด แต่ข้าจะจดจำเจ้าได้ในทันทีและจะไม่มีวันรังเกียจหรือทอดทิ้งเจ้า
ดังนั้นวินาทีที่เจ้ากลับมา ข้าจึงดีใจและตื้นตันเกินกว่าจะห้ามน้ำตาได้ แค่เพียงมีเจ้า สิ่งใด ๆ บนโลกนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะคนที่ข้าต้องการมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่วาดหวังให้เคียงข้างข้าไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ มีเพียงเจ้าที่ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่ ”
เซราสลดเครื่องขยายเสียงลง มองผู้ชมที่น้ำตาไหลพรากไม่เว้นแม้แต่ดาลันและจีจี้ก็ได้แต่งง ไม่รู้จะส่งเครื่องขยายเสียงให้ใคร
มาร์คกระซิบถามเฮดิช
“ นี่เซราสมันกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่าเนี่ย ตอบยาวเหยียดแถมบรรยายละเอียดจนคนฟังร้องไห้กันเป็นแถบ ๆ ”
“ ก็จำนิยายที่จีจี้สั่งให้เซราสไปอ่านไม่ได้หรือไง เพราะคาแรกเตอร์มันต้องสูญเสียคนสำคัญเหมือนกันน่ะ ฉันเคยอ่านคร่าว ๆ กว่าครึ่งเอามาจากเล่มนั้นล่ะ ”
“ เหอ ๆๆ ว่าแต่เขา ตัวเองก็เอาจริงเอาจังเพราะกลัวบทลงโทษของจีจี้เหมือนกันนี่หว่า ” มาร์คยิ้มแห้ง แต่จะโทษเซราสไม่ได้ ใครใช้ให้เพื่อนสาวพวกเขากำจุดอ่อนไว้แน่นขนาดนี้กัน เพราะฉะนั้นแม้แต่เทรนยังแสดงสุดชีวิตเลย
“ โฮ ๆๆ ความรู้สึกเทพเซเลสนี่มันลึกซึ้งมาก ”
“ ฟืด ! ฮึก ความรู้สึกสูญเสียนี่มันคงทรมาณจริง ๆ ”
“ แง ๆๆ ดีจริง ๆ ที่คู่นี้จบไม่ดราม่า ”
“ ฮึก ฮึก ฮือ…น้ำตาฉันนนนน ”
จีจี้ที่ซับน้ำตาแล้วเอ่ยเสียงสั่นหลังต้องใช้เวลานานกว่าผู้ชมจะตั้งสติได้
“ ต…ต…ต่อไป ผู้โชคดีของเราคือ…หมายเลข 441 ค่ะ”
“ อยู่นี่ครับ ” ในที่สุดก็มีผู้ชายโผล่มาบ้างเนื่องเพราะสัดส่วนผู้ชมชายหญิงอยู่ที่ 10 % ต่อ 90 %
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มร่างเล็กท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ แต่สายตาแสดงความอยากรู้บางอย่างมาก
“ เอ่อ ขอถามรวม ๆ ได้ไหมครับ ”
“ ยังไงคะ ? ”
“ ประมาณว่าเคยหรือไม่เคยน่ะครับ ขอให้ตอบเป็นคู่ ๆ ประมาณนี้ ”
จีจี้หันไปหานักแสดง ซึ่งทุกคนดูโอเคเพราะถ้าถามแค่นี้คงไม่มีปัญหา
“ ได้ค่ะ แต่เป็นคำถามแรกเลยนะคะ ”
“ ครับ เอ่อ…ในสามคู่ ไดซ์วอด มาร์คเฮดิช เซสเทรนเนี่ย…เคยมีใครจูบกับคู่ตัวเองบ้างครับ ? ”
กึก
ดั่งมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้ากลางใจพวกเขาทุกคน
“ ไม่มี ! ” หกเสียงประสานเสียงตอบทันใด ร่างกายแข็งทื่อเมื่อได้ฟัง จีจี้หลุดอุทาน
“ ไม่มีได้ไงกันยะ ! ก็ตอนนั้น-- อุ๊บ--” พวกวอดก้ากระโจนตะครุบอีกฝ่ายทันทีทันใด
“ กรี๊ดดดดดดด เมื่อกี้ได้ยินคุณพิธีกรพูดล่ะ ! ”
“ ‘เขาบอกว่าไม่มีได้ไงกัน’ แน่ะ ! ”
“ อย่างนี้แสดงว่าต้องมีแหงแซะ ”
“ กรี๊ด ๆ อยากรู้ ๆ ”
“ คำถามที่สอง ขอถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ ! ” ผู้ชมชูนิ้วหัวแม่มือให้คนถามเพราะมันเอาใจไปเต็ม ๆ
“ มันเป็นอุบัติเหตุ/อุบัติเหตุ/เกิดโดยบังเอิญ/แค่ปากแตะปาก/……./มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ”
หกเสียงกล่าวพร้อมเพรียงด้วยใบหน้าที่เหงื่อแตกพลั่ก สำหรับวอดก้ากับพาราไดซ์นั้นไม่เท่าไหร่ เพราะตัวจริงของวอดก้าก็เป็นผู้หญิงอยู่แล้ว แต่คนที่เหลือน่ะมันตัวผู้ทั้งนั้นนะ !
และเรื่องที่ดันไปปากแตะปากกับผู้ชายเนี่ยใครมันจะไปเปิดปากเล่าให้ฟังกันวะ ?!
“ ตกลงยังไงกันแน่ครับ ? ”
“ มันเป็นอุบัติเหตุ ” และก็เกิดการประสานเสียงสามัคคีอีกรอบ เจ้าของที่นั่งหมายเลข 441 จึงหันไปหาพิธีกร
“ คุณพิธีกรครับ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่อยากตอบ ช่วยอธิบายทีครับ ”
“ หลบไปย่ะ !!! ”
โครม !
“ โอยยย…สมเป็นเจ้าแม่จริง ๆ แรงมหาศาลมาก ” วอดก้าเอ่ยเบา ๆ เขานอนทับอยู่บนตัวพาราไดซ์ที่ยันร่างขึ้นช้า ๆ มาร์คเอาหัวโขกกับเทรนโดยไม่ทันตั้งตัวถึงร้องโอดโอยอยู่กับพื้น
เซราสพยุงเทรนขึ้นมาช้า ๆ ส่งสายตาเป็นเชิงถาม ส่วนเฮดิชทำหน้าเอือมเมื่อมาร์คพุ่งมากอดเอวเขาพร้อมทำท่าร้องห่มร้องไห้วอนส้นเท้า
จีจี้ที่สะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของทั้ง 6 จิกตามองก่อนจะคลี่ยิ้มหวานให้ผู้ชมที่กำลังทึ่งกับการเหวี่ยงผู้ชาย 6 คนปลิวด้วยตัวคนเดียว
“ อะแฮ่ม เพื่อเป็นการสัมมนาคุณทางเราจะตอบให้ค่ะ เนื่องจากดิชั้นเห็นเหตุการณ์ของทั้งสามคู่จึงจะเป็นคนตอบเองค่ะ ” จีจี้ยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้พวกเขาหนาวเยือก
เธอกวักมือเรียกดาลันที่เริ่มออกอาการกระดี๊กระด๊ามาใกล้ ๆ พร้อมประสานมือไว้ที่อก
“ อา…แม้จูบนั้นจะเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุหากแต่มันทำให้สายสัมพันธ์ของพวกนายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม ไดซ์ วอดก้า ? ”
พรืด
พวกเขาส่ายหน้าพรืด ก่อนจะยกมือปิดหน้าตัวเองที่เริ่มขึ้นสีแดงก่ำจากคำพูดรุ่นพี่สาว
“ รู้สึกตอนนั้นพวกนายจะหน้าแดงและแข็งทื่อไปเลยล่ะ ที่ริมฝีปากเลือดออกคงเพราะฟันขบกันตอนล้มและจากท่าทางของพวกนาย…คงเป็นจูบแรกของกันและกันล่ะสิ ”
“ อึ่ก… ” พวกเขาโต้ตอบอะไรไม่ได้นอกจากเงียบ แต่ใบหน้าแดงก่ำของพวกเขากลับทำให้ผู้ชมส่งเสียงกรีดร้อง
“ อ๊ายยยยยย จูบแรกกันหรือนี่ ?! ”
“ โอ้ มาย ฟิน ฝันฉันเป็นจริงอีกแล้ว ! ”
“ คู่อื่นล่ะค้าาาาาาาา ?! ”
“ ไดซ์…หน้าฉันคงบางลงแน่ ๆ ” วอดก้าลูบหน้าตัวเอง ดูเหมือนความหนาหน้าของเขาจะถูกสายน้ำกร่อนไปพอควร โดนล้อนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เสียความเป็นตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
“ มันช่วยไม่ได้… ” พาราไดซ์อมยิ้ม ดึงมือวอดก้าให้มาสู่อ้อมกอดเขาพลางกระซิบ “ ซุกไหล่ฉันไว้สิ ”
“ มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่ ” วอดก้างึมงำ ซุกใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองกับไหล่อีกฝ่าย พยายามเมินเสียงวีดวิ้วแซวพวกเขา
มาร์คกับเฮดิชผงะเมื่อคู่รุ่นน้องของพวกเขาโดนไปเรียบร้อยแล้ว
จีจี้ยิ้มเจ้าเล่ห์ลากเสียงยาว
“ ส่วนมาร์คกับเฮดิช…”
“ จีจี้จ้า ~ อย่าเลยนะ พลีสสสสส ” มาร์คอ้อนวอนแต่มีหรือเธอจะยอม
“ จำครั้งนั้นได้ใช่ใช่ดาลัน ? ”
“ แน่นอน ที่เราเปิดประตูหอพักของสองคนนี้แล้วเจอเฮดิชเหมือนร่วงจากที่นอนลงมาทับคร่อมมาร์คแถม…” ดาลันยิ้มกริ่ม “ ปากสองคนนี้ยังแตะกันแถมค้างนานอีกต่างหาก ”
“ กรี๊ดดดดดดดด ! ”
“ ก็บอกแล้วไงว่านั่นเป็นอุบัติเหตุ ฉันร่วงตกเตียงแล้วเฮดิชมันก็สะดุดฉันจนล้มหรอก ! ” มาร์ครีบแก้ตัว เริ่มรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาแล้ว เขาหันไปหาเฮดิช “ เฮ—เฮ้ย ! ”
“ เอิ่ก ”
กลายเป็นเฮดิชเป็นลมทั้งยืนไปแล้ว มาร์คต้องรีบพุ่งไปประคองก่อนเพื่อนหนุ่มจะช็อคน้ำลายฟูมปากและล้มหัวฟาดพื้น
“ ซวยล่ะเซส ”
“ เอือก ” เทรนและเซราสกลืนน้ำลายเอือก เผลอก้าวถอยห่างโดยไม่รู้ตัว
“ ส่วนคู่นี้…ฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าเป็นอุบัติเหตุหรือความจงใจ ”
พวกเธอยิ้มกว้าง
“ กรี๊ดด หมายความว่าไงน่ะ ?! ”
“ หรือว่าพวกเขาจูบกันจริง ๆ ! ”
“ โอ๊ยยย ลุ้นยิ่งกว่าแทงหวย ”
“ หรือว่า…” เซราสพึมพำเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
“ อะแฮ่ม ตอนนั้น…ในห้องสภากลางที่มีแค่พวกนาย ฉันเห็นนะว่าเซราสคว้าท้ายทอยเทรนอยู่ มือหนึ่งก็โอบเอวและก้มจูบอยู่น่ะ…” จีจี้เลิกคิ้ว “ หรือฉันเข้าใจผิด ? ”
“ แหงแซะ ! ” เทรนแหกปากบอกทันที ชี้นิ้วไปที่เซราส “ เธอคิดว่าฉันกับมันจูบกันลงจริง ๆ เรอะ ! ตอนนั้นแมงมุมมันเกาะไต่จากหลังฉันไปท้ายทอย เธอก็รู้นิสัยฉัน แล้วตอนมันเอาออกแล้วฉันก็หันหน้ามาพอดีก็เลยเป็นอย่างที่เธอเห็น ! เลิกมโนไปเองได้แล้ว ”
“ ……. ” หงึก ๆ เซราสพยักหน้าสนับสนุน
“ ว้า…น่าเสียดายแฮะ แสดงว่าฉันคงคิดไปเอง งั้นทุกคนค้า มาจับสลากผู้โชคดีกันต่อดีกว่า ! ” จีจี้เอากำปั้นเคาะหัวตัวเองเบา ๆ พร้อมแลบลิ้นทะเล้น
เทรนเอามือยีหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง
“ อ้ากกกกก ! แล้วอย่างนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ยยยยย ! ”
ยิ่งฟังเสียงตะโกนโห่ร้องชื่อเขากับเซราสแล้วก็ยิ่งอยากจะเป็นลม
อยากจะบ้าตายจริงโว๊ยยยยยยยย
“ ค่าาาา ขอแสดงความยินดีกับหมายเลข 988 ค่ะ ! เชิญถามคำถามค่ะ ”
“ เอ่อ…ขอถามจอมปีศาจค่ะว่ารู้สึกยังไงกับเทพแห่งพืชพรรณเฟเนลคะ และอีกคำถามคือทำไมถึงเหลือรอยแผลเป็นที่ข้างแก้มเอาไว้ ??? ”
และผู้ชมก็โห่ร้องอีกครั้งกับคำถามโดนใจคนหลายคนที่แอบเชียร์จอมปีศาจกับเทพเฟเนล
45%
“ แอร๊ยยยยยยย คำถามนี้โดนใจแท้ ”
“ ฟุด ๆ เลย ”
“ คู่นี้มันต้องมีซัมธิงแหงๆ ”
ยูดาสมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาซึ่งน่าจะเปรียบดั่งตัวประกอบของเรื่องโดนถาม หากแม้แต่เขาก็ยังต้องสะดุ้งเมื่อรุ่นพี่สาวหรี่ตามองพร้อมทำสัญลักษณ์เอาสองมือประสานอกสีหน้าเคลิ้มฝัน ก่อนจะทำท่าปาดคออันรวมแล้วได้ใจความ …
‘ตอบไม่ให้ผู้ชมฟิน นายตายยยยยยยย’
“ อะแฮ่ม…” ยูดาสกระแอมไอน้อย ๆ ครุ่นคิดถึงคำตอบที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและปมที่จะไปเฉลยในหนังสั้น
‘รู้สึกยังไงกับเทพแห่งพืชพรรณเฟเนล ?’
ในเนื้อเรื่องของหนังสั้นจะฉายอดีตที่ว่าความจริงแล้วจอมปีศาจเคยอยู่บนสรวงสวรรค์ในวัยเยาว์และพบกับเทพแห่งพืชพรรณเฟเนล
ด้วยความที่มีเชื้อสายของปีศาจอยู่ทำให้เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเทพสวรรค์เด็กองค์อื่น ๆ ต้องรับความเหยียดหยามและความรู้สึกชิงชังจากผู้อื่นเสมอ ทำให้มีวันหนึ่งจอมปีศาจทนไม่ไหวถึงกับหลบไปร้องไห้ที่สวนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครเลยนอกจากตัวเขา
และทันใดก็ปรากฏเทพเด็กองค์หนึ่งถามอย่างใครรู้ว่าเหตุใดเขาจึงร้องไห้ เขาไม่ตอบ ยังร้องไห้ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเสียงของเทพองค์นั้นอีก
จนกระทั่งได้รับสิ่งหนึ่งที่ศีรษะ
มงกุฎดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่เอามาพันกันมั่วซั่วแต่ก็แฝงความตั้งใจไว้อย่างมาก
เทพเด็กผู้มีเส้นผมสีเงินและเนตรสีส้มแย้มยิ้มกว้างสดใส บอกว่าเราปลอบคนไม่เก่ง ดังนั้นขอมอบมงกุฎดอกไม้ที่แสนสวยงามให้แทน ก่อนเทพองค์นั้นจะหายไป
หลังจากนั้นเวลาถูกแกล้งจอมปีศาจก็จะมายังสวนนี้ด้วยท่าทางกระวนกระวาย บางครั้งก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง
เทพเด็กนั้นบอกว่ารู้ว่าเขาคือลูกครึ่งเทพกับปีศาจ แต่ก็ไม่ถามอะไรเขาเลยสักครั้งแม้เขาจะถูกแกล้งมา เพียงปลอบใจและชวนคุยเล่นเรื่อย ๆ เล่ากิจวัตรประจำวันให้ฟังพร้อมทำมงกุฎดอกไม้ให้ทุกครั้งที่พบกัน บอกว่าเป็นของที่ระลึก
ดังนั้นยิ่งมามงกุฎดอกไม้นั้นยิ่งสวย เมื่อเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี แม้นาน ๆ พวกเขาจะมาพบกันแต่ก็คุยได้อย่างลื่นไหล เป็นช่วงเวลาที่จอมปีศาจชอบมากที่สุด จนกระทั่งอีกฝ่ายบอกข่าวร้ายว่าต้องเก็บตัวฝึกตนเพื่อรับตำแหน่งเทพแห่งพืชพรรณอันสืบเนื่องเป็นเวลาหลายร้อยปีทีเดียว
เขาจึงได้รู้…คนที่ปลอบเขามานานหลายปีคือว่าที่เทพแห่งพืชพรรณของภพมนุษย์อันมีนามว่า ‘เฟเนล’
‘อย่าได้เศร้าเสียใจไป เราจะได้พบกันอีก’ อีกฝ่ายแย้มยิ้มบอก ‘และเมื่อถึงตอนนั้นเราจะแนะนำสหายเราอีกคนให้รู้จักนะ’
จอมปีศาจยิ้มบาง ๆ กล่าวด้วยความคาดหวังลึก ๆ ไม่ต่างกัน
‘เราจะพบกันอีก’
หากแต่กลับเป็นไปไม่ได้เมื่อมีวันหนึ่ง เขาได้ถูกเหล่าเทพที่มีอิทธิฤทธิ์สูงกลั่นแกล้งจนบาดเจ็บสาหัสและร่วงไปในมิติที่เชื่อมกับภพปีศาจ
เขาในยามนั้นไม่ยอมตายทั้งที่สัญญาว่าจะพบกับเฟเนลอีก ทำทุกวิถีทางเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น กระทั่งสีผมและสีตายังเปลี่ยนไปตามฉบับของชนเผ่าปีศาจ ไม่มีลักษณะเชื้อสายเทพปรากฏอีก แต่หากพูดถึงข้อดีคงทำให้สามารถเหยียบย่างอยู่บนสวรรค์ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากไอทิพย์มากนัก
เขาเหยียบย่ำ…ปีศาจมากมายขึ้นสู่บัลลังค์เป็นจอมปีศาจ หากแต่กระนั้นความต้องการเดียวคือการพบเฟเนล
‘รู้สึกยังไงกับเทพแห่งพืชพรรณเฟเนล ?’
“ ความรู้สึกนั้น…คงเป็นความผูกพันและยึดติด ”
“ ผูกพัน ? ยึดติด ? เธอคงหมายถึงปมในหนังสั้นสินะจ้ะ ” จีจี้ถาม สายตาสื่อว่าให้อธิบายเพิ่มเติมเพราะเธอเองเพียงเข้าใจความรู้สึกตัวละครคร่าว ๆ ไม่เหมือนนักแสดงที่สวมบทบาทและเข้าใจในความคิดตัวละครแจ่มแจ้ง
“ สิ่งที่ได้รับในครั้งแรกของการพบเจอในวัยเด็ก ที่ข้ากำลังร่ำไห้…คือมงกุฏดอกไม้ขนาดเล็กที่พันกันมั่วซั่ว ” ยูดาสเอ่ยสรรพนามตามบทบาท ปรากฏมงกุฏดอกไม้ขนาดเล็กพอดีกับที่สวมใส่บนหัวเด็กลอยอยู่เหนือมือที่แบออก
“ และครั้งถัด ๆ มาที่คุยกัน…สิ่งที่ได้ก่อนจากลาคือมงกุฏดอกไม้ที่จะสวยขึ้นเรื่อย ๆ ” รอยยิ้มขบขันบาง ๆ บังเกิดที่ริมฝีปากแม้โทนเสียงจะราบเรียบตลอดเลยก็ตาม
“ เขามักมีรอยยิ้มอ่อนโยนเสมอบนใบหน้า ไม่เคยถามข้าว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงต้องหลบมาร้องไห้ในสวนของสวรรค์ เขาเพียงปลอบโยนข้า เล่าเรื่องต่าง ๆ และชวนข้าคุย ”
“ ข้าเป็นคนพูดน้อย ส่วนใหญ่จึงรับฟังเขาพูดเพียงเท่านั้นและจะรับมงกุฏดอกไม้ ที่ดูเช่นใดก็ไม่เหมาะกับลูกครึ่งปีศาจเช่นข้าแม้สักน้อยมาสวมใส่ให้เขาชม เก็บไว้ในหีบของสำคัญที่มีเพียงแหวนทับทิมของมารดา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่เพิ่มเติมมาคือมงกุฎดอกไม้จำนวนมากที่ได้จากการพบเขา ”
“ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาต้องเข้ารับการฝึกฝนเพื่อรับตำแหน่งเทพแห่งพืชพรรณเป็นเวลาร้อยกว่าปี นั่นจึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน และต่อมาไม่นานก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เหยียบอยู่บนสวรรค์ ”
ผู้ชมเริ่มบางอ้อว่าเด็กคนนั้นคือเทพเฟเนล ก่อนจะมีสีหน้าลุ้นระทึกตามสีหน้าเคร่งเครียดของจอมปีศาจ
“ ข้าตกลงไปยังแดนที่แสนจะโหดร้าย ข้าจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น ข้าต่อสู้และต่อสู้อีกเพื่อมีชีวิตรอด…และรักษาสัญญาของข้ากับ ‘เขา’ ที่เราจะพบเจอกันอีกครั้ง ”
“ ต๊ายยยยย หรือเหตุผลที่ต้องบุกสวรรค์คือ… ”
“ โง้ยยยย เปลี่ยนใจมาเชียร์จอมปีศาจได้ไหม ทำไมอารมณ์ประมาณพระรองเลย ? ”
“ ใกล้ไคลแมกซ์แล้ว ”
“ ข้าไม่อาจตอบความรู้สึกข้าที่มีให้กับเขาอย่างชัดเจน แต่เขาคือเหตุผลที่ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ การได้เป็นจอมปีศาจไม่ทำให้ข้ายินดีและสุขใจเท่ากับได้พบหน้าเขา ” สายตาจอมปีศาจอ่อนโยนลงและเริ่มฉายประกายอ่อนหวานชวนให้ละลายใจ กระทั่งน้ำเสียงก็ทอดอ่อนราวกำลังกล่าวถึงคนรัก “ ความผูกพันที่ข้ามีให้กับเขา เขาคือคนเดียวที่สำคัญกับข้า เขาเพียงคนเดียวที่ข้าเฝ้าครุ่นคิดถึงทุกเมื่อเชื่อวัน ความหวังของข้าคือพบกับเขาตามคำสัญญา มองรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนที่ตราตรึงใจข้าตั้งแต่เมื่อครั้งวัยเยาว์ ”
มือลูบแผลจาง ๆ ข้างแก้มแผ่วเบา
“ ส่วนทำไมจึงเหลือบาดแผลนี้ไว้ ? ข้าต้องการให้มันเป็นสิ่งยืนยันว่าข้าได้พบกับเขาอีกครั้งแล้ว และต้องการให้เขาจดจำข้าได้แม้จะเป็นในฐานะจอมปีศาจ ศัตรูของเหล่าทวยเทพก็ตามที ”
ผู้ชมเคลิ้มกับเหตุผลอันแสนง่ายดายที่ต้องการเพียงเป็นที่จดจำของคนสำคัญ ก่อนตาคู่สีโลหิตตวัดมองนัยน์ตาสีม่วงคมสวยของใครบางคน มันทอความกระหายและโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน
“ …ความรู้สึกของข้าอีกสิ่งคือปรารถนาจะกำจัดใครบางคนที่ข้างกายของเทพผู้นั้น เทพเฟเนลผู้แสนงดงาม ผู้ที่ทำให้ข้าปรารถนาเหลือเกินที่จะฆ่าฟันมันให้ดับสูญไป ” จอมปีศาจแค่นเสียงในลำคอ “ เทพวาริวเอ๋ย เจ้าไม่เหมาะสมกับเทพเฟเนลหรอก เจ้าที่ทำร้ายเขากับมือและข้าที่เป็นผู้ที่ทำให้เขาฝึกทำมงกุฎดอกไม้เพื่อปลอบโยนข้า… ข้าจะแย่งชิงเขามาด้วยทุกวิถีทางและเขาจะต้องเป็นของข้า…ในสักวันหนึ่ง ”
ผู้ชมกรีดร้องในใจ โอ๊ยตาย ทำไมจอมปีศาจถึงดาร์คได้น่าเชียร์ขนาดนี้กัน แค่จินตนาการฉากจอมปีศาจผู้แสนโหดเหี้ยมในบางครากับเทพเฟเนลผู้แสนอ่อนโยน ไม่รู้ทำไม NC 18+ แบบ SM ถึงได้ผุดขึ้นมาในหัวได้
“ โอ๊ย ! พอแล้ว อึก…ข้า…ข้าเจ็บ ฮึก ”
“ จำเอาไว้ ว่าเจ้าเป็นของข้า เฟเนล เมื่อใดก็ตามที่คำนึงถึงผู้อื่นนอกเหนือจากข้า เจ้าจะต้องเจอการลงโทษเช่นนี้ ! ”
“ อ๊า…อ่ะ อะ ! ”
อุ่ก เลือดกำเดาจะกระฉูด
และผู้ชมก็ตวัดสายตามองไปอีกทางบ้างเมื่อท่ามกลางความเงียบมีอีกเสียงขัด
เทพแห่งสายน้ำกำลังหัวเราะลึกในลำคอด้วยสายตาวาวโรจน์และประกาศศักดาด้วยวาจาดั่งตอบรับสงคราม
“ มันคงจะไม่มีวันนั้นเพราะตั้งแต่วินาทีที่เขาจุติพร้อมข้า และวินาทีที่เจ้าทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง เขาก็จะไม่มีวันเป็นของเจ้าอีกได้…เพราะข้าเอง…ก็จะทำทุกวิถีทางให้เขาต้องการเพียงข้า และไม่อาจเห็นใครสำคัญมากไปกว่าข้าอีก ! ”
เป็นคำประกาศ…ที่ทั้งเห็นแก่ตัว
หยิ่งทระนงและมั่นใจตัวเองอย่างสูง
แต่ผู้ชมก็ฟินไปกับฉากศึกชิงนาง (นาย) เช่นนี้นักแล…
ครืนนนนน
บรรยากาศดูเคร่งเครียดขึ้นในทันทียามสองหนุ่มสบตากัน ส่วนตัวต้นเรื่องก็เพียงเกาหัว เอียงคอมองตาปริบ ๆ พลางคิดว่าสองคนนี้เอาจริงเอาจังกับงานดีเนอะ ? (ไม่รู้ว่าเขาประกาศสงครามกันอ้อม ๆ)
“ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานะคะ ทุกท่านอาจลืมนับกันไปแต่เราได้จับหมายเลขไปถึง 5 ท่านแล้วด้วยกันคือหมายเลขที่นั่ง 801 , 77 , 441 , 1,438 , และหมายเลข 988 ”
ผู้ชมมีท่าทางตื่นตัวทันทีที่รู้ว่าจะมีอีกเพียงหนึ่งผู้โชคดีที่จะได้ถามคำถามเช่นนี้ กว่าครึ่งของผู้ชมยกมือสวดภาวนาพร้อมควักของศักดิ์สิทธิ์ประจำกายขึ้นมา ขอให้ตนได้กลายเป็นผู้โชคดีคนนั้น
“ นะโมตัสสะ … ”
“ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดดลบัลดาลให้เป็นลูกช้างด้วยเถิด ”
“ หากลูกช้างสมหวังลูกช้างจะถวายหัวหมูให้นะเจ้าคะ ”
“ ส่วนลูกช้างจะถวายเครื่องคาวหวานและนิยายเรท 18+ แล้วแต่แนวที่ต้องการให้เลยเจ้าค่ะ รีเควสมาได้ทุกเมื่อ ”
จีจี้ก้มลงอ่านหมายเลขผู้โชคดีคนสุดท้าย เธอเงียบไปชั่วอึดใจก่อนประกาศ
“ หมายเลข 1,215 ค่ะ ! ”
“ กรี๊ดดดดดดด ! ” เสียงเจ้าของที่นั่งหมายเลข 1,215 กรีดร้องด้วยความดีใจ
“ โปรดคิดคำถามค่ะ แต่เชิญชมการแสดงคั่นเวลาก่อน ”
ผายมือไปทางคู่สุดท้ายซึ่งยังไม่ได้แสดงนั่นคือเซราสและเทรน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนเอียงหัวชิดเพื่อกระซิบถึงสิ่งที่จะใช้แสดง ใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะตกลงกันได้ ผู้ชมรอบข้างพากันเงียบเสียงลงทันทีเมื่อสองนักแสดงเริ่มขยับ
เทรนดีดนิ้วเปาะ ปรากฏแท่นหินยาว เขาทรุดนั่งโดยมีเซราสล้มตัวลงนอนตักเขาอย่างเงียบสงบและพริ้มตาหลับ เวลาผ่านไป เทพแห่งศาสตราเริ่มขมวดคิ้วมุ่น กัดฟันกรอดจนเทพแห่งแสงต้องก้มมองด้วยความวิตก ก่อนเสียงเทพหนุ่มที่หลับใหลอยู่จะตวาดลั่น
“ ไม่ !!! ” พร้อมกายกำยำที่ผุดลุกขึ้น หยาดเหงื่ออาบใบหน้าพร้อมหอบหายใจ
“ เกิดอะไรขึ้น เซ--” เทพเทซิลกล่าวไม่ทันจบก็ถูกร่างสูงนั้นกระชากเข้าไปไว้ในอ้อมแขน แขนแข็งแรงกอดแน่นจนผู้ชมเห็นได้ชัดรวมถึงอากัปกิริยาสั่นระริกของผู้สวมกอดด้วย
“ ใจเย็น ๆ เกิดสิ่งใดขึ้นกันเซเลส ฝันร้ายหรือ ? ” เทพหนุ่มถามเสียงอ่อนโยน ยกแขนขาวสวมกอดตอบกลับพร้อมลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน คางชิดไหล่กว้าง
“ ข้า… ” เทพศาสตราเอ่ยเพียงคำเดียวก่อนจะเงียบไป แต่ยังคงค้างในท่ากอดอีกฝ่ายแน่น บอกเล่าเสียงสั่นพร่า “ ข้าฝัน…ว่า…ข้าเสีย…เสียเจ้าไป ”
เทพแห่งแสงเลิกคิ้วสูง เอ่ยอย่างนิ่มนวลว่า
“ เซเลส…เจ้าไม่ได้เสียข้าไป…ยังอยู่ตรงนี้ อยู่ในอ้อมแขนของเจ้า และยังปลอดภัยดี ”
“ ข้า…ข้ารู้ แต่ข้ากลัว…ว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่พบเจ้า ” เทพเซเลสคลายอ้อมแขนออกช้า ๆ สบตาสีเพชรแสนสวยด้วยแววตาสั่นไหว
“ ความรู้สึกที่กำลังจะสูญเสียเจ้าไป…ทำให้เมื่อข้าปิดเปลือกตาหลับ ความรู้สึกนั้นจะย้อนกลับมา ในฝัน…ข้ากรีดร้องเรียกชื่อเจ้าที่หมดลมหายใจไปอย่างบ้าคลั่ง กลัว…กลัวเหลือเกินที่จะไม่มีเจ้าเคียงข้าง หากเป็นเช่นนั้นข้าขอเป็นฝ่ายจากไปเสี---”
ปลายนิ้วเรียวสวยทาบปิดริมฝีปากหยักที่พรั่งพรูคำพูดออกมา เทพเทซิลส่ายศีรษะ ประคองศีรษะของอีกฝ่ายให้ก้มลงและกดให้ชิดตำแหน่งหัวใจ กล่าวช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มว่า
“ ได้ยินเสียงหัวใจข้ารึไม่ ” มือเรียวเลื่อนไปทาบตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่าย “ มันเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเจ้า ”
“ ……. ” เทพหนุ่มพริ้มตาฟัง รอยยิ้มบาง ๆ เริ่มผุดขึ้นมา ก่อนจะผละตัวออกช้า ๆ เมื่อเทซิลดันตัวเขาออกละโถมกอดเข้าเต็มแรง
“ แล้วสัมผัสได้หรือไม่ถึงความอบอุ่นจากตัวข้า ? ”
“ ได้… ”
“ สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของข้าหรือไม่ ? ”
“ ได้…”
“ สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของข้าได้ใช่ไหม ? ”
“ ได้…” ยิ่งตอบคำถามเทพเซเลสก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นทุกครั้งขณะ ยามก้มสบตาร่างที่อยู่ในอ้อมแขนตนที่คลี่ยิ้มหวาน
“ เมื่อเจ้าฝันร้ายเจ้าจะมีข้าอยู่ข้าง ๆ เจ้าเสมอเพื่อทำให้เจ้าแน่ใจว่าข้าจะไม่มีวันและไม่มีทางห่างหายไป ดีหรือไม่ ? ”
“ ย่อมดีอยู่แล้ว ” เทพศาสตราตอบเสียงพร่ายามค่อย ๆโน้มใบหน้าลงไปชิดร่างในอ้อมแขน เทพแห่งแสงหลับตา รับจุมพิตแผ่ว ๆ ที่ริมฝีปากซึ่งนาบลงมา
“ กรี๊ดดดดดดดดดด ” เสียงกรีดร้องดังกระหึ่มลั่นทันทีด้วยความดีใจเมื่อเห็นภาพนี้
เซเลสถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิง ถามยิ้ม ๆ ว่า
“ แล้วข้าทำเช่นนี้ด้วยได้หรือไม่ ? ”
เทซิลที่หน้าแดงก่ำฟุบหน้ากับอกอีกฝ่าย ตอบเสียงสั่น ๆ
“ ต…ตามใจเจ้า ”
เทพแห่งเซเลสจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในทันทีทันใด ก่อนพวกเขาจะผละออกมาเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็เพียงพอให้ผู้ชมฟินไปกับฉากหวานแหววและใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเทพหนุ่มแล้ว
“ กล้าดีนะครับเนี่ย ” วอดก้าเอียงหัวไปกระซิบกับพาราไดซ์
พาราไดซ์พยักหน้ารับนิด ๆ กล่าวเสียงเนิบ
“ ถึงพวกเขาจะใช้เวทลมกั้นริมฝีปากพวกเขาแต่คงลำบากกับเสียงซุบซิบของผู้ชมตลอดวันงานโรงเรียนแน่ ”
สำหรับพวกวอดก้า มาร์คเฮดิช จีจี้และดาลันรู้ดีว่าเซราสและเทรนใช้เวทลมบาง ๆ กั้น ไม่ให้ริมฝีปากสัมผัสกัน แต่เนื่องเพราะมันดูไกล ๆ ทำให้ไม่ได้เห็นชัดอะไรมากนักแต่จีจี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผู้ชมฟินได้เป็นพอแล้ว
วอดก้าได้แต่สงสารรุ่นพี่ทั้งสอง ขืนเป็นอย่างนี้ตลอดงานโรงเรียนคงโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ กันแหงแซะ (ไม่ดูตัวเองที่คู่จิ้นจูบซับน้ำตาให้)
“ หมายเลข 1,215 คะ ไม่ทราบคิดคำถามได้หรือยังคะ ” จีจี้หันไปหาผู้โชคดีคนสุดท้ายที่มีสีหน้าลังเลเหมือนอยากจะยิงคำถามใส่เป็นชุด ๆ ทว่าความเป็นจริงกลับโหดร้ายให้เธอถามได้เพียง 2 คำถาม เธอกัดฟันก่อนเอ่ยออกไป
“ ขอถามเซราสค่ะ ” เซราสขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ ถ้าเกิด…ถ้าเกิดมีวันหนึ่งที่อยู่ ๆ คุณเทรนก็ตีตัวออกห่างจากคุณโดยที่คุณไม่ทราบสาเหตุ ไปสนิทกับคนอื่นและมองเหมือนคุณเป็นแค่คนรู้จักฉันขอถามค่ะว่าคุณจะทำยังไง ? ”
“ หืม…ฉันตีตัวออกห่างเซราสงั้นเหรอ ? ไม่มีวันนั้นหรอกมั้ง ” เทรนลูบคางตัวเองไปมา เพราะเขามีเซราสเป็นทั้งเพื่อนที่สนิทที่รู้ใจมากที่สุดและเปรียบดั่งคู่แข่งขันกันไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาผละออกจากเซราสหรอก ที่สำคัญเวลาแกล้งหมอนี่มันสนุกสุด ๆ อีกด้วย
“ เซราสว่าไงจ้ะ ” จีจี้ถามเสียงหวาน
เซราสทำหน้าเครียด เขาเหลือบ ๆ มองเพื่อนสนิทของตัวเอง สำหรับเขาถึงเทรนจะเป็นตัวปัญหาไปบ้างแต่ก็เปรียบดั่งคนที่สร้างสีสันให้กับชีวิตของเขา ไม่เพียงเทรนจะรู้ความคิดของเขาเป็นอย่างดีแล้ว เทรนยังเป็นคู่แข่งที่เขาต้องการจะต่อสู้และเติบโตไปด้วยกันอีกด้วย
เขาครุ่นคิด
ถ้าหาก…วันหนึ่งเทรนไม่สนใจเขา ?
ถ้าหาก…เทรนไม่มาคอยเกาะแข้งเกาะขาเขา แกล้งเขาแบบป่วน ๆ ?
ถ้าหาก…ไม่มีเทรนมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตเขาอีกต่อไป ?
และถ้า…มีคนอื่นที่เทรนสนใจมากกว่าเขาไม่ว่าจะในฐานะคู่แข่ง เพื่อน ศัตรูหรืออะไรก็ตามแต่ ?
เซราสตอบกระชับรัดกุม หนักแน่นทุกคำ
“ ฉันก็จะทำให้เขาหันมาสนใจฉันเหมือนเดิมทุกวิถีทาง ” เขาหมายถึงถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นน่าจะมาจากเขาไปทำอะไรให้เทรนงอนเสียมากกว่าและไปขัดความต้องการบางอย่างอีกฝ่าย งั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามที่เทรนต้องการก็เท่านั้น
แต่ผู้ชมวี้ดว้ายกันเป็นแถบ
“ ‘ฉันก็จะทำให้เขาหันมาสนใจฉันเหมือนเดิมทุกวิถีทาง’ พระเจ้า ! ”
“ นี่คือความรู้สึกจริง ๆ ของเจ้าตัวใช่ไหม ?! ”
“ โอ๊ยยยย คือเขินอ่ะแกรรรรร เขาจะไม่ยอมให้เทรนไปสนใจคนอื่นล่ะ ”
“ กรี๊ด ๆ แสดงว่ามันจะไม่มีวันนั้นใช่ไหมเนี่ย ”
“ อีกคำถามค่ะหมายเลข 1,215 ” จีจี้กัดปากตัวเอง สมแล้วกับที่เธอเป็นแฟนคลับของสองคนนี้เหมือนกัน เซราสอาจไม่ได้ตั้งใจตอบให้คิดเช่นนั้นแต่มันก็…ฟินอ่ะ !!!
“ ค่ะ…ถ…ถามวอดก้านะคะ ”
“ หือ ? ” วอดก้ามีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ฟัง ก่อนจะสบตากับเจ้าของที่นั่ง 1,215
“ ค…คือว่า ถ้าเกิดว่ามีเหตุจำเป็นให้คุณต้องแต่งงานกับใครสักคน ขอถามค่ะว่าเอ่อ…คุณจะเลือกผู้หญิงคนไหนในนี้คะ ? ”
และสาว ๆ ก็กรีดร้องด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที เมื่อคนถูกถามร้องเอ๋เสียงสูงพร้อมใบหน้าแดงระเรื่ออย่างน่ารักนิด ๆ ชวนให้ใจละลายนักแล หน้าตาของนักบวชหนุ่มผู้แสดงบทเทพเฟเนลนั้นอาจไม่ได้ดีเลิศจนจับตาเพียงครั้งแรกที่ได้มอง แต่เมื่อพิศไปนาน ๆ จะพบว่าเขามักมีรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนบนใบหน้าเสมอและมีน้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลที่เพียงได้ฟังก็สร้างความรู้สึกดี ๆ และความรู้สึกผ่อนคลายให้อย่างง่ายดาย สายตาอันเป็นประกายของเขาที่ราวจะแย้มยิ้มเช่นเดียวกับริมฝีปากบางอาจทำให้คนที่คุยด้วยหน้าแดงได้ในทันทีที่สบ
“ ถึงวอดก้าจะเป็นของไดซ์แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์สมมติ ฉันก็อยากเป็นผู้โชคดีคนนั้นจัง ”
“ เหมือนกัน ๆ นิสัยของวอดก้าที่ได้ฟังเป็นสุภาพบุรุษมากเลยล่ะ ”
“ อ่อนโยน ใจดี สุภาพ รักสัตว์ ขี้อาย ทำอาหารเป็น โอ๊ยตาย พ่อของลูกฉันชัด ๆ ”
“ รอยยิ้มหวาน ๆ นั่นหากเขามอบให้ฉันมันจะเป็นยังไงนะ ”
“ ฉันคงโชคดีที่สุดในโลกถ้าคนที่รักใครรักจริงอย่างเขามาแต่งงานกับฉัน ”
วอดก้าหันไปหาจีจี้กับดาลันแต่ทั้งสองส่ายหัวพรืดไม่ให้เขาตอบพวกเธอโดยเด็ดขาด
“ เอ…ถ้าเกิดเหตุการณ์บังคับอย่างนั้นหรือครับ ” วอดก้ากวาดตามองสาว ๆ 90% ที่กำลังทำหน้าลุ้นระทึกหากแต่ที่เขาเลือกตอบยิ้ม ๆ กลับเป็น
“ ผมคงเลือกรุ่นพี่มาเรียที่รับบทเป็นแดฟโฟเดลล่ะมั้งครับ ”
“ เอ๋ ~ ” เสียงผู้ชมประสานคำพูดเป็นเสียงเดียวแม้กระทั่งจีจี้เองก็ตาม วอดก้าเพียงชำเลืองมองรุ่นพี่สาวและยิ้มนิด ๆ กลายเป็นดาลันที่คาใจ ถามต่อเพื่อเคลียร์คำตอบแทนสาว ๆ ที่เหลือด้วย
แม้กระทั่งมาเรียยังเลิกคิ้วสูงด้วยความงุนงงเช่นเดียวกัน ส่วนพาราไดซ์กลับหรี่ตามองวอดก้า
“ เอ่อ พอจะบอกเหตุผลได้ไหมคะน้องวอดก้า ” เธอถามอย่างกระตือรือร้น ผู้ชมทุกคนจ้องเขม็งไปยังคนรับบทนักแสดงสาวคนเดียวก่อนจะเบือนมองเทพเฟเนล
“ ได้ครับ ” วอดก้าเกาแก้มตัวเองเล็กน้อย เขาหัวเราะแหะ ๆ ยามเห็นรังสีความไม่พอใจจากผู้ชม เขาไม่ได้มีเจตนาแกล้งรุ่นพี่สาว รู้ว่าเธอพยายามเข้าหาพาราไดซ์แต่เพราะวอดก้ามั่นใจว่าเจ้าชายน้ำแข็งคนถูกเข้าหาไม่ทำอะไรที่เสียหายเป็นแน่ วอดก้าเลยไม่มีอคติใด ๆ ต่อเธอและตลอดการร่วมฝึกซ้อมการละครทำให้วอดก้าเห็นว่าเธอเองก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานจริง มีหยอดมีออเซาะพาราไดซ์ไปบ้างแต่ก็เป็นอากัปกิริยาของคนที่อยากอยู่ใกล้คนที่ชอบแม้เขาจะไม่สนใจก็ตาม ดังนั้นความรู้สึกส่วนหนึ่งของนักบวชหนุ่มจึงมองว่าท่าทางเชิด ๆ บางครั้งและปากเร็วของรุ่นพี่สาวก็เป็นสิ่งที่น่ารักเพราะบางครั้งเธอชอบทำอะไรตรงข้ามกับสิ่งที่พูดเสมอ วอดก้าจึงเรียกอาการนี้ว่า ‘ซึน’ และต้องยอมรับว่ารุ่นพี่สาวเองก็สวยไม่ใช่เบาเหมือนกัน
“ ทุกคนอาจจะเผลอรู้สึกว่ารุ่นพี่มาเรียอาจมีนิสัยเหมือนกับแดฟโฟเดลจนทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ แต่ในฐานะคนที่ร่วมฝึกซ้อมและแสดงร่วมกัน ผมต้องขอบอกว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเทให้กับงานมาก เธอยอมรับบทที่อาจทำให้คนดูเกลียดชังและด้วยท่าทางแบบนี้ทำให้ทุกคนอาจเข้าใจผิด ” ท่าทางที่ว่าคือยามนี้มาเรียกอดอกเชิดหน้ามั่นใจในตัวเองอย่างมากทำให้คนดูรู้สึกหมั่นไส้ไม่น้อย
วอดก้าเผยยิ้ม
“ รุ่นพี่เขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะครับ เขาทั้งเอาจริงเอาจัง ตั้งใจให้งานออกมาดีที่สุดกระทั่งบางเหตุการณ์ยังยอมเจ็บจริงเพื่อให้สมบทบาท ดังนั้นผมจึงชื่นชมรุ่นพี่มากแล้วก็…” นักบวชหนุ่มเผยยิ้มกว้างกว่าเก่า ประกายตาระยิบระยับ “ นิสัยบางอย่างของรุ่นพี่ก็น่ารักมากเลย อย่างตอนที่ผมทำคุกกี้มาแจก ทั้งที่หน้าตากับคำพูดพี่ของเขาไปในแง่ลบแต่กลับกินคุกกี้ของผมจนหมด แถมวันต่อมายังซื้อเค้กที่ผมชอบมาฝาก ตอนผมแสดงได้ไม่ดีก็ช่วยสอนและเตือนผมจนแสดงได้สมจริงแถมยังช่วยเหลือผมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างพวกเครื่องประดับหรือขนมด้วย ”
วอดก้ากล่าวอย่างจริงจัง
“ รุ่นพี่เป็นคนดีจริง ๆ ครับ เพราฉะนั้นถ้าเกิดสถานการณ์บังคับให้ผมต้องแต่งงานกับใครสักคนคงเป็นรุ่นพี่มาเรีย เพราะเขามีความเป็นผู้ใหญ่สูง แม้จะดูเอาแต่ใจและปากแข็งแต่พี่เขาทำให้ผมรู้สึกสบายใจเหมือนกันที่อยู่ใกล้ บางทีผมอาจจะไม่อึดอัดใจอะไรเลยก็ได้ที่ต้องแต่งงานกับเขา ”
“ น้องวอดก้า…” มาเรียกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ เมื่อสบตากับรุ่นน้องหนุ่มที่พูดชมเธอ เอาจริง ๆ นิสัยเธอไม่ได้ดีเช่นนั้นหรอก ตอนซื้อเค้กมาให้ก็เพราะจีจี้บังคับให้เอาไปฝากวอดก้าบ้างและคอยช่วยดูแลวอดก้าหน่อยไม่ใช่สนใจพาราไดซ์เพียงคนเดียว เธอเลยยอมเออออเพราะบางครั้งเธอก็ทำดีกับวอดก้าต่อหน้ารุ่นน้องที่เธอชอบบ่อย ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอทำจะได้รับคำชมกลับมาเช่นนี้
วอดก้าเกาศีรษะตัวเองนิด ๆ ท่าทางขัดเขินกับสิ่งที่ตัวเองพูดไป หลบ ๆ เหลือบ ๆ ยามสบตากับรุ่นพี่สาวพร้อมหน้าแดงนิด ๆ อากัปกิริยานั้นราวกับแอบชอบรุ่นพี่ตัวเองอยู่ทำเอาผู้ชมที่ในตอนแรกลบอคติจากนักแสดงสาวไปกลายเป็นขุ่นมัวอีกรอบ ( มาเรียจ๋า ซอรี่นะจ้ะ )
วอดก้าต้องเป็ยนของไดซ์นะ !
ทางด้านวอดก้าเขาเพียงคิดว่านิสัยน่ารัก ๆ เช่นนี้เหมือนกับลิเวียไม่น้อย ปากแข็งผิดกับการกระทำ เขาจินตนาการว่าหากลิเวียกลายเป็นคนฟังสาวน้อยคนนั้นคงขัดเขินอย่างน่าเอ็นดูเป็นแน่
“ ค่า จบไปแล้วนะคะกับผู้โคดีคนสุดท้าย หวังว่าท่านจะสนุกและฟินกับกิจกรรมนี้ อย่าลืมติดตามละครสั้นของพวกเราในวันพรุ่งนี้นะคะ เริ่มเวลา 11 โมงเช้า บ่าย 2 โมง 5 โมงเย็น และ 1 ทุ่มตรงค่ะ ”
พวกเขาโค้งกายให้ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่ม ม่านค่อย ๆ เลื่อนปิด ผู้ชมที่กำลังลุกจากที่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหูของเจ้าชายรัชทายาทแห่งทริสทอร์ที่คว้าเครื่องขยายเสียงจากพิธีกร ถามอย่างเอาจริงเอาจังกับใครบางคน
“ ถ้าเกิดให้เลือกระหว่างแต่งงานกับฉันกับรุ่นพี่มาเรีย นายจะแต่งงานกับใคร ? ”
อ่าเร่ะ ! เสียงนี้มันเสียงเจ้าชายพาราไดซ์นี่นา
คู่สนทนายังเงียบ ม่านเลื่อนปิดบรรจบที่กึ่งกลางทันที ขณะผู้ชมเสียดายที่ไม่ได้ยินคำตอบ ก็มีอีกเสียงคุ้นหูดังขึ้นสั่น ๆ ระคนขัดเขิน
“ น…นาย…คงจะนาย…ล่ะมั้ง ”
“ ………. ”
“ ………. ”
“ หึ แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันคือคนเดียวที่นายจะแต่งงานด้วย ”
“ บ้า ! ไดซ์บ้า ! หลงตัวเอง… ”
“ หรือไม่จริง ? ”
“ ไม่พูดด้วยแล้ว ! ”
“ หึๆๆๆ ”
“ แล้วก็หยุดหัวเราะเสียงแบบนั้นด้วย หวา~ อย่ามองหน้าฉันสิ ”
“ ก็ตอนนายหน้าแดง…มันน่ารัก ”
“ อุ่ก ! เงียบไปเลยนะ ! ”
“ กรี๊ดดดดดดดดดดดด ! ” แล้วผู้ชมก็น็อคกันไปเลยหลังต้องอดทนอดกลั้นไม่ให้หมดสติจนพลาดช็อตสำคัญไปเป็นเวลานาน
ก็เสียงสนทนานี้มันเสียงนักบวชหนุ่มจากนาโวลล์นี่นา !!!
แม่ค่ะ ! เขาขอแต่งงานกันแล้ว !
แถมยังจี๊จ๊ายิ่งกว่าคู่แต่งงานใหม่อีก !
กรี๊ดดดดดดดดดดดด ~~~~~~
หลังเวที พวกเทรนกำลังมองคนที่หยอกล้อหวานแหววเรียกเสียงกรี๊ดผู้ชมตาปริบ ๆ เมื่อคนหนึ่งก็เอ่ยหน้านิ่งทั้งที่คำพูดทำให้จินตนาการถึงความอ่อนโยนและหยอกเย้า ขณะอีกคนทั้งที่คำพูดฟังดูเขินอายชวนหน้าแดงก่ำ ใบหน้ากลับดูสงบนิ่งไม่ต่างกันสักนิด
วอดก้าดึงเครื่องขยายเสียงออก ยิ้มตอบจีจี้ที่ทำหน้าอึ้ง ๆ อยู่
“ แค่เรียกเรตติ้งน่ะครับ ”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
เสียงกรีดร้องด้านนอกดังถึงขนาดทะลุกำแพงกั้นเสียงของเวทีมาได้และถึงกับทำให้ใต้เท้าพวกเขาสั่นสะเทือนบ่งบอกว่าเสียงกรีดร้องสองพันเสียงนี้ดังกระหึ่มมากเพียงใด
“ เฮ่อ แต่ในที่สุดก็จบซะทีนะเนี่ย ” เทรนทรุดนั่งที่เก้าอี้ที่สต๊าฟสิ่งกรูมาช่วยกันถอดเครื่องประดับและเครื่องสำอางบนใบหน้าพวกเขาออก
“ ทุกคนแสดงดีมาก ๆ เลย ” จีจี้ตบมือเรียกความสนใข มองมาทางพวกวอดก้า “ ตอนนี้ก็เกือบทุ่มหนึ่งแล้ว วอดก้ากับไดซ์ไปพักได้เลย พรุ่งนี้อย่าลืมนะว่าต้องไปรายงานตัวกับกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์ตอนเช้าน่ะ ”
“ ครับ ” พวกเขาขานรับ เนื่องจากวันเปิดงานเมื่อวานพวกเขาต้องขึ้นแสดงและเป็นสภานักเรียนรวมถึงต้องฝึกซ้อมการแสดงเวที จีจี้ขอประทานอนุญาตให้สภานักเรียนปี 1 ของหอเธอไปเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้แทนซึ่งกษัตริย์ทุกพระองค์ก็อนุญาติ
เช้าวันต่อมา วอดก้าและพาราไดซ์ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อยสุภาพ ถูกระเบียบต่างมุ่งหน้าไปยังหอกลางพร้อมเพื่อน ๆ อย่างวิมเลท วิสกี้ และบลัดดี้กับเตกีล่า
“ วอดก้า คุกกี้ที่นายทำให้มันหมดอีกแล้วนะ ” ขณะที่วิมเลทและบลัดดี้ก็ไปเกาะกลุ่มกับพาราไดซ์ วิสกี้กับเตกีล่าก็มาเกาะอยู่กับวอดก้าเนื่องเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาคุยกันน้อยมากจากการที่วอดก้าต้องซ้อมทั้งการแสดงของสภาและการแสดงหน้าชั้นเรียน
“ รู้แล้ว ๆ เดี๋ยวจะทำให้เพิ่มอีกเยอะ ๆ เลยล่ะ ” วอดก้ายิ้มให้ พวกเขาคุยกันไปตลอดทางจนถึงหน้าห้องที่ประทับ ทหารองครักษ์เปิดประตูออก พวกเขาก้าวเข้าไปอย่างเป็นระเบียบยืนเรียงหน้ากระดานโดยมีวอดก้าและพาราไดซ์อยู่กึ่งกลางแถว เบื้องหน้าคือกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์ที่มองพวกเขาอยู่
หากแต่หนึ่งในห้าพระองค์ ทันทีที่เห็นสามคนที่เดินเข้ามากลับลุกพรวดจากที่ประทับทันที
วอดก้า วิสกี้และเตกีล่าโค้งกายทำความเคารพอย่างสง่างาม พวกเขาไม่มีความตื่นตกใจเมื่อเห็นคนที่คุ้นหน้า
“ ถวายพระพรพะยะค่ะ กระหม่อมวอดก้า เอลนาโวลล์โรลล์ หัวหน้าคณะกรรมการชั้นปีที่ 1 หอสราท ”
“ กระหม่อมวิสกี้ อีฟราโทโร่ ผู้คุมกฎซ้ายปี 1 หอสราทพะยะค่ะ ”
“ กระหม่อมเตกีล่า เอสเพอร์บิเช่ หนึ่งในสมาชิกกรรมการสภาพะยะค่ะ ”
“ พวกเจ้า… ” องค์คาซิริส กษัตริย์แห่งโพซิเด้นกัดฟันกรอด ก้าวลงจากที่ประทับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยามมองเด็กทั้งสามที่ยืดตัวตรงสบตาอยู่ บรรยากาศที่เคร่งเครียดโดยกะทันหันสร้างความประหลาดพระทัยให้องค์สเวน องค์เซฟิรัส องค์นิคาร์เปสชิการ์และองค์เจนัสไม่น้อยกับอากัปกิริยาของสหาย
ใบหน้าองค์คาซิริสไร้ซึ่งรอยสรวลเมื่อครู่ ยามหรี่พระเนตรมองเด็กสามคนสลับไปมา และเพียงพริบตามือใหญ่ก็ตวัดสูงฟาดลงรวดเร็วพร้อมสุรเสียงตวาด
โป๊ก ! โป๊ก ! โป๊ก !
“ เจ้าเด็กแสบ ! กล้าหลอกข้าเชียวเรอะ ”
“ โอ๊ย !/อ้าก ! /อั่ก ! ” สามเสียงร้องโอดครวญทันทีด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่แข็งแรงนั้นในทันที
“ โหดร้ายอีกแล้ว ! ”
“ เอะอะก็ทำร้าย นี่มันใช่สิ่งที่ควรทำตอนเจอหน้ากันไหมเนี่ย ?! ”
“ ใจ…ร้าย !!! ”
“ ฮ่า ๆๆๆ ! อย่ากอดเอวสิไอ้ตัวแสบ มาให้จัดการซะดี ๆ !แล้วชื่อไนท์ วิสกับราตรีมันหายไปไหนฮึ ? ” คาซิริสรวบเด็กทั้งสามเหวี่ยงไปมาราวของเล่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ยกยิ้มกว้างด้วยความคาดไม่ถึงที่เจอเจ้าตัวแสบทั้งหลายอีกครั้ง พระองค์ตรัสถามถึงอีกสองคน
“ แล้วเจ้าโครกับรัมล่ะ นี่ก็โกหกชื่อข้าอีกใช่ไหมเนี่ย ”
“ ฮ่า ๆๆ รัมก็ชื่อรัมนี่ล่ะ แต่โครชื่อจินอ่ะลุง ” วิสกี้ยกยิ้มกว้าง แขนสองข้างกอดรัดเอวสอบแน่น
“ เป็นไงล่ะ ตกใจล่ะสิ ”
“ แน่สิว่ะ รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิว่าข้าเป็นใครแต่ก็ยังกล้าเรียกข้าว่าตาแก่นะ ! ” องค์คาซิรัสขบเคี้ยวฟัน หลังหวนนึกถึงการสนทนาทั้งหลายแหล่ที่โดนเจ้าตัวแสบป่วนตลอด นี่หมายถึงเจ้าพวกนี้รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใครแต่ก็ยังกล้ามาหยอกมาแกล้งเขา ซ้ำยังตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้อีก กว่าพระองค์จะรู้ตัวก็ตอนที่มีทองเข้ามาเติมท้องพระคลังจนเต็มนี่ล่ะ ซ้ำพระองค์ยังโดนหลอกเรื่องชื่ออีกด้วย
“ ก็แก่จริง ๆ นี่ โอ๊ย ! ตีผมอีกแล้วนะ ! ” วอดก้าร้องเมื่อโดนดีดหน้าผากเพียะ !
“ แน่ะ บอกว่าไม่ให้พูดคำว่าแก่ไงไอ้พวกนี้ ”
“ ก็แก่…จริง ๆ นี่ ง่า…”
“ เดี๋ยวจะโดนเจ้าไนท์ ไม่สิ เติร์กใช่ไหมห้ะ ! แม้แต่เอ็งก็หลอกข้าสินะ ”
“ หลอกอะไร ไม่ยอมถามชื่อจริงเองนี่นา เจ้าของบาร์ประสาอะไรไม่สอบถามพนักงานเข้าใหม่เลย--โอ๊ย ! ตาแก่ เลิกตบหัวได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราก็โง่กันพอดี ! ” วิสกี้แหวใส่
“ เดี๊ยะ ๆ ยังจะมาแถอีก ”
“ ยอมรับเถอะว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย อ๊าาาาา ” เตกีล่าร้องบ้างหลังโดนหยิกแก้มเต็ม ๆ
“ นี่ตกลงว่า…รู้จักกันก่อนแล้วรึ ” องค์สเวนตรัสถามหลังมองสถานการณ์เบื้องหน้าที่ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
“ นิดหน่อยน่ะ เจ้าเด็กพวกนี้เคยไปโพซิเด้นแถมป่วนข้าซะเยอะเลย ”
“ ป่วนอะไร ขี้ตู่ โอ๊ย ! เจ็บ ๆๆ ” วอดก้าหน้าบิดเบี้ยวเมื่อโดนบีบหัว
“ เอาล่ะ ๆ พอก่อนเถอะคาซิริส ข้ากลัวว่าพวกเขาจะเฉาคามือเจ้าแล้ว ” องค์เซฟิรัสปรามสหาย ดูเผิน ๆ เหมือนต้องการจะคุยและช่วยเหลือเด็ก ๆ หากแต่ความเป็นจริงพระองค์กำลังอิจฉาที่คาซิริสสามารถหยอกล้อกับวอดก้าได้อย่างสนุกสนาน
เด็กหนุ่มผู้สุภาพอ่อนโยนและสง่างามทุกท่วงท่ายามนี้มีรอยยิ้มกว้างสดใส ท่าทางหยอกเย้าเริงร่าเป็นกันเองยิ่งกว่าตอนอยู่กับกษัตริย์แห่งทริสทอร์ในคราบหญิงชรา พระองค์คาดเดาว่าเป็นเพราะพระองค์อยู่ในรูปลักษณ์ผู้สูงอายุ วอดก้าจึงรักษาท่วงท่าเปี่ยมมารยาทและความเคารพไว้เสมอมา ถึงจะไม่รู้ว่าสหายของพระองค์และวอดก้าไปเจอกันในสถาการณ์เช่นใด แต่ความสนิทสนมที่เด็กหนุ่มถึงกับสวมกอดกษัตริย์แห่งโพซิเด้นได้อย่างแนบแน่นไม่เกรงกลัวก็คงบอกความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ว่าคาซิริสเอ็นดูพวกเด็ก ๆ มากเพียงใด
“ กระหม่อมพาราไดซ์ เซไลโด ดิ ทริสทอร์ หัวหน้าชั้นปีที่ 1 หอสราทพะยะค่ะ ”
“ กระหม่อมวิมเลท คอลย์เฟล ผู้คุมกฎขวาพะยะค่ะ ”
“ กระหม่อมบลัดดี้ ดิ วาทอส หนึ่งในสมาชิกกรรมการนักเรียนพะยะค่ะ ”
“ โตขึ้นไม่เบาเชียวนะบลัดดี้ ” องค์นิคาร์เปสชิการ์ส่งสุรเสียงทัก เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นที่รู้จักของกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์อยู่แล้ว
“ พะยะค่ะ ”
“ มานี่มา มาดื่มชากับพวกข้า ” องค์เจนัสกวักพระหัตน์เรียกให้พวกเขาทั้งหกเข้าไปใกล้ น้ำชาถูกรินโดยคริสโตเฟอร์ที่เหลือบ ๆ มองวอดก้านิด ๆ ด้วยความใคร่รู้ว่าจินที่พูดถึงนั้น ใช่ ‘จิน’ เดียวกับที่เขาสอนดาบให้ใช่หรือไม่
“ เรียนเป็นยังไงบ้าง ทำงานกับสภาหนักหรือไม่ ? ” วิสกี้ เตกีล่า วิมเลทและบลัดดี้เงียบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวอดก้าและพาราไดซ์ตอบ
“ ไม่หนักมากพะยะค่ะ/ไม่หนักมากพะยะค่ะ ” พวกเขาตอบประสานเสียง
“ เช่นนั้นรึ” องค์เซฟีรัสแย้มพระโอษฐ์ยามเลื่อนสายตาไปสบมองลูกชายพระองค์เองที่มีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกเหมือนทุกครั้ง “ เป็นอย่างไรบ้างไดซ์ เรียนที่นี่สนุกหรือไม่ ”
“ ย่อมต้องสนุกพะยะค่ะ ” คนตอบว่าสนุกหน้าเฉยชาจนคนถามอดระอาใจไม่ได้ จึงยิ้มเจ้าเล่ห์เปลี่ยนเป้าหมายไปที่เด็กคนอื่น ๆ
“ พวกเจ้าคงเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีของเขา พอจะรู้หรือไม่ว่าพาราไดซ์หมายตาต้องใจใครอยู่ ? ”
“ แค่ก ! ” วอดก้าที่กำลังจิบน้ำชากระแอมเบา ๆ วิมเลทและบลัดดี้ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขณะเพื่อนรักทั้งสองของเขาก็เมินหน้าหนี ยามกษัตริย์อีก 4 พระองค์เองก็ทอดพระเนตรมองด้วยความสนใจแม้กระทั่งคนที่ ‘มีคนที่หมายตาต้องใจอยู่’ ยังหันมองว่าวอดก้าจะตอบเช่นใด
นักบวชหนุ่มตอบหน้านิ่งสงบว่า “ พวกกระหม่อมไม่ได้สนิทสนมกับเจ้าชายพาราไดซ์ขนาดนั้นพะยะค่ะ ”
พาราไดซ์เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย หรี่ตามอง คาดเดาความคิดว่าวอดก้าคงกลัวว่าความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของตัวเองอาจทำให้พ่อของเขาไม่พึงพอใจและขัดขวางเนื่องเพราะในยามนี้เจ้าตัวไม่สะดวกเปิดเผยว่าเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ได้สนิทสนมกันนัก
พาราไดซ์กระตุกยิ้มที่มุมปาก เอี้ยวหน้าไปกระซิบถามแผ่วเบาที่ข้างหูอย่างหยอกเย้า
“ ไม่ค่อยสนิทกันนัก ? ”
นัยน์เนตรสีม่วงเลื่อนมองริมฝีปากอ่อนสีแดงระเรื่อด้วยสายตามีเล่ห์นัยลึก ๆ วอดก้ากลืนน้ำลายเอือก ดูเหมือนเจ้าชายน้ำแข็งช่วงนี้จะบุกอย่างจริงจังแล้ว แปบ ๆ ก็หยอดเอา หยอดเอาจนบางทีวอดก้าก็รู้สึกตามไม่ทันและรู้สึกว่ากำลังกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เขาเบือนหน้าหนี แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อนิด ๆ ยามตอบเสียงเรียบเฉย
“ เรื่องคนที่ด--เจ้าชายพาราไดซ์หมายตาใครบางทีคงต้องถามวิมเลทหรือบลัดดี้แล้วพะยะค่ะ ”
“ ว่าอย่างไรวิมเลท บลัดดี้? ”
“ พวกกระหม่อมก็ไม่ทราบพะยะค่ะ ” พวกเขาประสานเสียงตอบยามดวงตาสีส้มตวัดหรี่มอง ยกน้ำชาจิบก่อนหันไปคลอเคลียคนข้างกายต่อ
เรื่องพ่อตากับลูกสะใภ้นี้ วิมเลท/บลัดดี้จะไม่ยุ่ง
องค์เซฟีรัสตรัสถามวอดก้าเรื่อย ๆ วอดก้าก็ตอบเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปวงสนทนาก็เริ่มครื้นเครงและผ่อนคลายความตึงเตรียดลง
“ ว่าแต่วอดก้า แสดงว่าหนึ่งในคนที่แสดงเมื่อวานเจ้าก็เป็นหนึ่งในนักแสดงของหอสราทที่แต่งหญิงใช่หรือไม่ ? ” องค์นิคาร์เปสชิการ์โพล่งถาม วอดก้าสำลักชาที่กำลังดื่มเข้าไปเต็มรัก เช่นเดียวกับวิสกี้และเตกีล่าที่รู้สึกว่าการแต่งตัวแต่งหน้านั้นเปรียบดั่งฝันร้าย
วิมเลทกับบลัดดี้แสดงท่าทางตื่นตระหนก รีบลูบหลังคนทั้งสองเป็นการใหญ่ไม่เว้นแม้แต่พาราไดซ์ที่ส่งผ้าเช็ดปากให้วอดก้าที่ไอจนหน้าแดง
“ แค่ก ! แค่ก ๆ ขอ…ขอประทานอภัยที่เสียมารยาทพะยะค่ะ อะแฮ่ม กระหม่อม…เป็นหนึ่งในนักแสดงหอสราทที่แสดงเป็นฝ่ายหญิงจริงพะยะค่ะ ”
“ อย่างนั้นรึ ” เซฟีรัสมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทางของพาราไดซ์เมื่อครู่ที่ลูบหลังวอดก้าและส่งผ้าเช็ดปากให้ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะค่อนข้างดีไม่น้อย เพราะหากเป็นเพื่อนธรรมดา อย่างมากพาราไดซ์คงแค่ส่งผ้าเช็ดปากให้ ไม่ถึงกับแตะตัวอีกฝ่ายหรอก
เมื่อเห็นดังนั้น ความคิดที่อยากจะให้พาราไดซ์ช่วยกันเจ้า 'เพื่อนสนิท' ที่ดูคิดไม่ซื่อกับวอดก้าออกไปก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่พวกเด็ก ๆ จะแยกย้ายกันกลับไป องค์เซฟีรัสจึงตรัสเรียกรั้งพาราไดซ์ให้อยู่คุยอีกสักหน่อย
“ มีอะไรหรือพะยะค่ะ ” องค์เซฟีรัสที่ชินชากับน้ำเสียงราบเรียบและคำราชาศัพท์ห่างเหินของลูกชายแล้วเริ่มถามในสิ่งที่ไม่สะดวกถามในวงสนทนาเมื่อครู่ทันที
“ พ่อถามหน่อย เจ้าสนิทกับวอดก้าไหม ? ”
พาราไดซ์เงียบไปอึดใจ
“ ต้องร่วมงานกันบ่อย ๆ เรียกว่าสนิทก็ได้ ”
“ งั้นพอจะรู้ไหมว่ามีเพื่อนสนิทคนไหนของวอดก้าที่ดูเย็นชา ๆ ? และสนิทกับวอดก้ามาก ”
เจ้าชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง หากถามว่าเพื่อนสนิทวอดก้าที่ดูเย็นชาก็มีคนเดียวคือเตกีล่าที่ค่อนข้างพูดน้อย หากแต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าพ่อของตนนั้นถามเรื่องนี้ไปทำไม
“ มีอยู่พะยะค่ะ แต่ฝ่าบาทต้องการจะรู้ไปทำไม ? ”
องค์เซฟีรัสชะงักนิด ๆ
“ ไม่มีอะไรมากหรอก แต่เพื่อนสนิทคนนั้นชอบเข้ามาคลอเคลียถึงเนื้อถึงตัววอดก้าบ่อยไหม ? ”
พาราไดซ์พยักหน้ารับ ถือเป็นเรื่องปกติเพราะกลุ่มสาว ๆ อีก 4 คนก็ชอบมาถึงเนื้อถึงตัววอดก้าบ่อยอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเตกีล่าที่ชอบอ้อนวอดก้าเรื่องขนมหวานบ่อย ๆ ด้วย
“ ลูกรู้ไหมว่าใครเป็นรูมเมทเขา ”
“ พะยะค่ะ ”
พระองค์มีพระพักตรเคร่งเครียดครุ่นคิดจนพาราไดซ์งุนงงปนประหลาดใจ เขาครุ่นคิดก่อนจะนึกได้ว่าพ่อของตนนั้นก็ชวนวอดก้าคุยบ่อยไม่น้อยตอนดื่มน้ำชา ตอนนี้ยังมาซักไซ้เรื่องเกี่ยวกับวอดก้าอีก เขาจึงตัดสินใจถาม
“ ฝ่าบาทรู้จักวอดก้า ? ”
“ แค่เคยเจอกันน่ะ แต่วอดก้าไม่รู้หรอกว่าพ่อเป็นใคร ”
“ ……….. ”
“ เอาเถอะ ลูกไปได้แล้ว พ่อแค่มีเรื่องที่คาใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง อ่อ ถ้าเป็นไปได้พ่ออยากให้ลูกช่วยขัดแข้งขัดขาไม่ให้พวกเขาใกล้ชิดกันเกินไปหน่อยได้หรือไม่ ”
พาราไดซ์ขมวดคิ้วมุ่น
“ ตกลงฝ่าบาทต้องการอะไรกันแน่พะยะค่ะ ” เขาหรี่ตามองอย่างบีบคั้น องค์เซฟีรัสมีสีหน้าอึดอัดก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่ปลอมเป็นหญิงชรานาม ‘เฟรี่’ ไปตรวจสอบชายแดนและเจอกับวอดก้าที่มาทำภารกิจเป็นนักบวชฝึกหัดที่นั่นเข้า รวมถึงความคาใจและความกังวลแทนวอดก้ากับเพื่อนสนิทที่วอดก้าเล่าให้ฟังว่าบางทีก็ทำตัวชิดใกล้สนิทสนมหลายครั้ง ซ้ำยังส่งดอกราฟิเดียที่มีความหมายรวม ๆ เหมือนจองตัวเอาไว้มาอีก พระองค์เกรงว่าเด็กดีๆ เช่นวอดก้าจะโดนลวงหลอกให้หลงผิดเพราะความซื่อที่ไม่ทันความรู้สึกคนรอบข้างสักที
“ ฝ่าบาทเลยต้องการให้กระหม่อมขวางพวกเขาไม่ให้ใกล้ชิดกันเกินไปและอยู่ใกล้ ๆ วอดก้ากันคนที่คิดไม่ดีกับเขา ? ”
“ ใช่ พ่อรู้ว่าอาจจะรบกวนเจ้าเกินไปแต่--”
“ ไม่ต้องห่วงพะยะค่ะ กระหม่อมจะอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดเวลาไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้เอง ” รอยยิ้มผุดที่มุมปากของเจ้าชายหนุ่มยามตัดบทคำตรัสผู้เป็นพ่อจนองค์กษัตริย์แห่งทริสทอร์ชะงักคำพูดอย่างงุนงงหลังได้ฟังคำตอบรับไม่คาดฝัน
พาราไดซ์โค้งกายทำความเคารพก่อนหมุนตัวจากไปทิ้งองค์เซฟีรัสให้งงกับความว่าง่ายของลูกชายพระองค์เอง
ส่วนทางด้านคนได้รับมอบหมายภารกิจจากผู้เป็นพ่อก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความขบขัน ใครจะไปคิดว่าท่านยายเฟรี่ที่วอดก้าเขียนในจดหมายมาเล่าให้ฟังจะกลายเป็นพ่อของเขาที่ไปตรวจงานที่ชายแดนได้ ในยามนั้นเขาก็พอใจไม่น้อยที่ท่านยายช่วยกันนักทำภารกิจชื่อไอแซ็คและผู้ชายคนอื่น ๆ ที่วนเวียนมาอยู่รอบตัววอดก้า แม้จะประหลาดใจที่อีกฝ่ายมีเมล็ดพันธุ์ราฟิเดียที่แสนหายากไว้ในครอบครองก็ตามที
และเกรงว่าเจ้าเพื่อนสนิทคนที่ว่าจะไม่ใช่ใครนอกเสียจาก ‘เขา’ คนที่เย็นชา แต่ชอบคลอเคลียใกล้ชิดวอดก้าโดยที่วอดก้าไม่ปฏิเสธ ปฏิบัติตัวกับวอดก้าแตกต่างและพิเศษกว่าคนอื่น ส่งดอกราฟิเดียที่มีความหมายสื่อถึงการจับจองตัวไปให้และเป็นรูมเมทอีกฝ่ายนั้น จะไม่ว่าสิ่งไหนก็หมายถึงเขาทั้งสิ้น
แต่เกรงว่าพ่อของเขาคงจะต้องผิดหวังที่เขาไม่มีความคิดจะขัดขวาง ‘เพื่อนสนิท’ คนนั้นเลยสักน้อย
เขารับปากว่า “ ไม่ต้องห่วงพะยะค่ะ กระหม่อมจะอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดเวลาไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้เอง ”
แต่ไม่ได้รับปากสักคำว่าจะไม่ให้เพื่อนสนิทคนนั้นมาใกล้ชิดวอดก้า ดังนั้นช่วยไม่ได้ที่เพื่อนสนิทคนนี้จะทำตัวเช่นเดิมเพิ่มเติมคือกันไม่ให้คนอื่นมายุ่งกับวอดก้าซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำจนเป็นปกติแล้ว J
หืม…เขาเจ้าเล่ห์ขึ้น ?
ไม่หรอก พาราไดซ์เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว อยู่ที่จะนำมันมาใช้หรือไม่ และต่อให้เป็นพ่อของตัวเองใช่ว่าเขาจะไม่หวงตอนเอาแต่ซักถามและเป็นห่วงวอดก้าอย่างออกนอกหน้า
ราชวงศ์เซไลโดหวงคนของตัวเองเสมอ
บางทีอาจเป็นอย่างที่เพื่อนเขาบอก ช่วงนี้เขาซึมซับนิสัยบางส่วนของวอดก้ามาแล้ว
ยามบ่ายที่อากาศกำลังอุ่นร้อนพอดี ในร้านค้าขนาดใหญ่ที่ถูกจัดทำโดยนักเรียนชั้นปีที่ 2 และ 3 ของหอเหมันต์ที่เปิดเป็นร้านน้ำชาและขนมหวานร้านใหญ่มีผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาว ๆ ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลและสีส้มสดใสสบายตา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็มีมุมโต๊ะหนึ่งที่มีเพียงชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ และบัดนี้มีชายคนหนึ่งกำลังมีสีหน้าช็อกสุดขีดหลังเห็นภาพบางอย่างจะ ๆ ตาจากคนสองคนที่อยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
“ น…น…น ”
“ ใจเย็น ๆ เบรูส ”
“ ล…ล…ล…ลูกข้า ม…ม…มัน…” ณ บัดนี้ เจ้ากรมข่าวสารกำลังปากสั่นคอสั่น พูดแทบไม่เป็นคำกับช็อตเมื่อครู่ที่สาว ๆ โต๊ะข้าง ๆ แอบกรี๊ดกร๊าดกัน
“ ตายล่ะ ” คริสโตเฟอร์กุมขมับ เมื่อเพื่อนรักของเขาล้มคร่อก ลำบากเซอร์ไลต้องควักยาดมมาเรียกสติอีกฝ่าย
“ เห็นไหมแกรรรรรร นี่มันเกินเพื่อนกันชัด ๆ ! ”
“ โอ๊ยยยย โดนใจจริง ! ”
“ โฮ้ยยยย ฟินได้อีก ”
สาว ๆ ที่นั่งติดโต๊ะพวกเขากรี๊ดกร๊าดกันด้วยความยินดี
เบรูสกำลังช็อกหนัก เด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘เอส’ เป็นคนเดียวกับ ‘เตกีล่า เอสเพอร์บิเช่’ แน่นอน แต่นั่นไม่เท่ากับสิ่งที่ได้ฟังและสิ่งที่เขากล่าวว่าเหลวไหลเมื่อครู่จนกระทั่งเห็นด้วยสองตาตัวเอง
แม้กระทั่งองค์เซฟีรัสในคราบสามัญชนยังปิดปากเงียบเพราะหลักฐานมันคาตาจริง ๆ ว่าลูกชายของเบรูสดูจะ ‘คิดเกินเลย’ เพื่อนกับเด็กหนุ่มอีกคนที่มีท่าทางขมวดคิ้วมุ่นนิด ๆ
ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย องค์เซฟีรัสเสนอให้มาเดินเที่ยวดูงานของวันที่ 3 กัน เพราจะให้อุดอู้อยู่แต่ในที่ประทับคงไม่ได้อรรถรสในการเที่ยวงานโรงเรียน ดังนั้นพระองค์ คริสโตเฟอร์ มาทีรัส เบรูสและเซอร์ไลจึงปลอมกายเป็นคนธรรมดา ปะปนมาเที่ยวงานจนมาหยุดที่ร้านขนมหวานที่มีคนมาก คงทำให้ได้ยินเรื่องน่าสนใจและสิ่งที่กำลังเป็นหัวข้อที่คนนิยมคุยบ้าง
แต่ใครจะไปรู้ว่าเรื่องที่ได้ยินจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูก ๆ หลาน ๆ ของพวกเขา
“ ขอเกรย์ทีกับขนมเค้กที่ไม่หวานมากสักสองสามอย่างนะ ” มาทีรัสส่งเมนูคืนให้พนักงาน พวกเขาคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปจนกระทั่ง…ได้ยินเสียงใส ๆ ของเด็กสาวกลุ่มข้าง ๆ กล่าวถึงชื่อที่แสนคุ้นหู
“ ดีจริง ๆ ที่อย่างน้อยก็ซื้อตั๋วหนังรอบค่ำทัน ”
“ นั่นสิ ๆ เปิดขายไม่ถึงนาทีตั๋วก็หมดเกลี้ยงแล้ว ฉันนึกว่าจะอดดูแล้วเชียว ”
“ เพื่อแย่งกับคนอื่นฉันโดนเล็บใครไม่รู้ข่วนจนเลือดซิบเลย แต่ช่วยไม่ได้นะ หนังสั้นนี่ต้องน่าดูมากไม่แพ้ละครเวทีแน่ ๆ ”
“ ใช่ ๆ เมื่อวานคู่ ‘ไดซ์วอด’ ทำเอาฉันกรี๊ดลั่นจนเสียงแหบเลย เหมาะสมกันเป็นบ้า ! เจ้าชายรัชทายาทแห่งทริสทอร์กับนักบวชหนุ่มแห่งนาโวลล์ ใครว่าฐานะไม่คู่ควรกันก็ช่างแต่สำหรับเรา…”
“ พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะกันที่สุดแล้วเนอะ ”
“ ใช่ ! ”
กษัตริย์แห่งทริสทอร์กำลังทำตาปริบ ๆ หลังเงี่ยหูฟังและสะดุดคำว่า ‘ไดซ์วอด’ เข้า พระองค์ไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ‘เหมาะสม’ แต่เจ้าชายรัชทายาทแห่งทริสทอร์ต้องหมายถึงพาราไดซ์แน่ ส่วนนักบวชหนุ่มแห่งนาโวลล์…ถ้าวิเคราะห์ดี ๆ ก็น่าจะเป็นวอดก้า
แต่ที่พระองค์สงสัยคือทั้งสองมีอะไรให้คนกล่าวถึงกัน ?
“ นี่ ๆ ว่าแต่เธอว่าองค์เซฟีรัสจะรับได้หรือเปล่าถ้าหากรู้เจ้าชายพาราไดซ์หลงรักวอดก้า ? ”
“ พรวด ! ” องค์เซฟีรัส เบรูสและคริสโตเฟอร์ที่นั่งฝั่งเดียวติดกับกลุ่มสาว ๆ ที่กำลังคุยกันพ่นชาที่กำลังจิบออกมา สำลักพรวดเบา ๆ
กลุ่มสาวน้อยทั้งสี่หันมามองเล็กน้อยก่อนหันไปสนใจการสนทนาต่อ
“ ต้องได้สิ ! เขาเหมาะกันจะตาย !”
“ เธอคิดง่ายไป กษัตริย์ที่ไหนจะยอมให้ลูกชายรักกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งเป็นเจ้าชายรัชทายาทแล้วด้วย ”
“ นั่นสินะ…แต่ฉันคงทำใจไม่ได้ถ้าสองคนนี้ต้องแยกจากกันอ่า พวกเธอก็เห็นนี่ ตอนคำถามที่ถามเจ้าชายพาราไดซ์เรื่องเหตุการณ์สมมติหากเจอวอดก้ากำลังจะทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง เขาตอบเต็มปากเต็มคำเชียวนะว่าไม่สนใจว่าวอดก้าจะทำอะไร หรือจะฆ่าใครเพราะเขาเชื่อและพร้อมจะเคียงข้างวอดก้าเสมอ แถมประโยคว่า ‘วอดก้าของผมไม่ใช่คนไร้เหตุผล’ อีก เขาพูดเต็มปากเต็มคำเชียวนะแก ! ”
คริสโตเฟอร์ออกอาการอยากแคะหูตัวเองว่าฟังอะไรผิดไปหรือไม่ เจ้าชายพาราไดซ์เนี่ยนะจะพูดอะไรแบบนั้น
“ แต่ว่ามันจะจริงเหรอที่สองคนนี้รักกัน ไม่ใช่เขาคิดกันไปเองนะ ? ”
เบรูสพยักหน้าหงึกหงัก
เจ้าชายพาราไดซ์ไม่มีทางหลงรักผู้ชายแน่ ๆ
“ เฮ่อ เธอตกข่าวแล้ว มีแต่คนยืนยันว่าเขารักกันจริง ๆ ถึงจะยังไม่แน่ใจทางวอดก้าก็เถอะว่ารู้สึกยังไงกันแน่เพราะดูท่าทางซื่อ ๆ ไม่ทันคนเขา แต่เจ้าชายพาราไดซ์นี่ออกตัวแรงจะตาย ทั้งสวมกอด ทั้งหอมแก้ม แถมพวกเขายังเป็น ‘จูบแรก’ กันอีกนะย่ะ ! ”
พรืด
ศอกเซฟีรัสไถลพรืดจากโต๊ะหลังได้ฟัง ตาเบิกโพล่งตกตะลึง อะไรคือหอมแก้ม สวมกอดแถมจูบแรกนี่อีก ?!
“ ใช่ ๆ เมื่อวานเห็นสายตาเจ้าชายพาราไดซ์ก็รู้แล้วว่าไม่ได้มองวอดก้าเป็นแค่เพื่อนสนิทธรรมดา ๆ ท่าทางอ่อนโยนนั่นก็มีให้กับวอดก้าคนเดียวเท่านั้น เธอคิดดู เพื่อนสนิทอะไรกันแตะตัวกันเกือบตลอดเวลา เอียงใบหน้ากระซิบคุยกันใกล้ๆ แบบไม่กระดากที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงฉาก ‘จูบซับน้ำตา’ เลยแถมวอดก้ายังดูเขินเวลาเจ้าชายพาราไดซ์หยอกเล่นอีก ที่สำคัญถ้าเธอเห็น เจ้าชายที่ได้ฉายาว่าเจ้าชายน้ำแข็งน่ะยิ้มให้กับวอดก้าคนเดียวเลยนะ แถมไม่ได้ยิ้มครั้งเดียวแต่ยิ้มให้แทบจะทุกครั้งที่วอดก้าหันมามอง ปฏิบัติตัวพิเศษกันแบบนี้ไม่ให้เรียกว่าเป็นคนพิเศษแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ? ”
“ จริงด้วย สองคนนี้เขาเป็นรูมเมทกันด้วยนี่นา…เดี๋ยวนะ งั้นไอ้ประโยคที่ว่าเวลาวอดก้านอนจะชอบเบียดตัวเข้าหาที่อุ่น ๆ และชอบนอนกอดอะไรข้าง ๆ…นี่อย่าบอกนะว่าพวกเขานอนเตียงเดียวกัน ! ”
“ อ๊ายยยยย ! ”
เพล้ง !
เซฟีรัสที่มือสั่นระริกตอนถือแก้วชา พอได้ยินประโยคถัดมาก็อ้าปากค้าง ทำแก้วตกแตกในทันที
เป็นรูมเมทกัน ?!
หมายถึงนอนห้องเดียวกัน ?!
ซ้ำยังตัวติดกันเกือบ 24 ชั่วโมง ?!
พระองค์กลืนน้ำลายเอือก หัวสมองแล่นเร็วจี๋ทันทีหวนนึกถึงคำพูดของวอดก้า
เป็นหัวหน้าชั้นปีที่ 1 เป็นหนึ่งในคณะสภาของโรงเรียน มีสาว ๆ มากมายมาหลงชอบ มีบุคลิกพูดน้อย เย็นชา เอาจริงเอาจังในการทำงาน หน้าตาดีแต่กลับปฏิเสธทุกคนที่มาสารภาพรักจนได้ฉายา ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’
มุมมองของวอดก้าที่อธิบายมาเพียงฟังก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายปฏิบัติกับวอดก้าพิเศษกว่าคนอื่น ๆ
“ เขาดูเหมือนเป็นคนพูดน้อย แต่ถ้าสังเกตตาเขาดี ๆ จะรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไรหรือคิดอะไรอยู่ในหัว ”
“ ท่าทางเย็นชาไม่แยแสใคร แต่จริง ๆ แล้วเอาใจใส่คนรอบข้างเหมือนกัน ”
“ หืม…เราผลัดกันทำอาหารน่ะครับ บางทีผมก็ทำให้เขาทาน บางทีเขาก็ทำให้ผมทาน เพราะงานเราค่อนข้างยุ่ง ต้องนอนดึกหรืออยู่ประชุมจนโรงอาหารปิดแต่เขาบอกว่าชอบให้ผมทำอาหารให้เขาทานมากกว่า ”
“ ฮ่า ๆๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายอกสามศอกสูงกว่าผม แต่เรื่องงานเรือนก็เก่งไม่แพ้กัน ทำเป็นหมดทั้งปัดกวาดเช็ดถู ทำอาหาร ”
“ อืม บางทีเขาก็ชอบแกล้งผมนะครับ ไม่รู้เป็นอะไร ตีหน้านิ่ง ๆ เนียน ๆ ให้ผมงอนทุกที ”
“ เห็นมาดลุย ๆ ขรึม ๆ แบบนั้น จริง ๆ เขาเป็นประเภทดื่มแอลกอฮอลล์แล้วจะหยุดไม่ได้น่ะครับ แถมแพ้ทางของมึนเมาแบบนี้ซะด้วย ส่วนเวลาเมา…ฮ่า ๆๆ เหมือนเด็กเลยครับ ”
“ ถึงเขาจะดูไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่เวลาเขาแสดงมันออกมา…ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินนิดหน่อย แต่เขาในตอนนั้นน่ารักสำหรับผมมากเลยครับ ”
“ ของเขาที่เขาแพ้ …นอกจากถั่วกับแอลกอฮอลล์ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้งครับ ”
องค์เซฟีรัสแทบกระชากข้อมูลในหัวตอนที่แอบเหลือบ ๆ อ่านจดหมายของเจ้า ‘เพื่อนสนิท’ ที่ส่งมาหาวอดก้า
ถึงวอดก้า
ที่ชายแดนอากาศเย็น รักษาร่างกายตัวเองด้วย ถ้ามีผู้ชายให้ของฝากให้ท่านเฟรี่ดูก่อน และอยู่ห่าง ๆ ไอแซ็คหากไม่อยากให้ฉันโกรธและไม่ต้องพูดถึงเขาอีก
ขอบใจสำหรับดอกราฟิเดีย คิดถึงนะ
P.s.T
‘ระวังสุขภาพด้วย’
‘อย่าฝืนร่างกายทำงานจนเกินไป’
‘อย่าลืมทานอาหาร’
‘ฉันจะโกรธมากถ้าหากนายบาดเจ็บ’
‘คิดถึง…มาก’
‘อย่าใจดีกับคนอื่นไปทั่วมากนัก’
‘เป็นห่วงนะ’
หากแต่แล้วองค์เซฟีรัสก็ฉุกใจถึงบางอย่างได้
P.s.T
พาราไดซ์ เซไลโด ดิ ทริสทอร์…
และ
“ ริบบิ้นนี้เขาก็ป็นคนซื้อให้ผมตอนผมบ่น ๆ ว่าริบบิ้นหายน่ะครับ แต่สีผมเลือกเอง สีม่วงเข้มแปลกตาไปหน่อยแต่ผมชอบเพราะสีตาคล้ายกับเขา อย่าบอกเขานะครับว่าผมหวงแล้วก็ชอบริบบิ้นเส้นนี้มาก ”
ภาพริบบิ้นสีม่วงเป็นประกายสวยคล้ายสีตาพาราไดซ์ผุดวาบขึ้นมา
“ ฝ่าบาท ? ” คริสโตเฟอร์กระซิบเรียกผู้เป็นนายที่อ้าปากค้างอยู่
“ ดื่มแอลกอฮอลล์มากไม่ได้ แล้วก็แพ้ถั่วนี่…พาราไดซ์เป็นใช่ไหม ? ”
พระองค์ถามเสียงเบา
“ เอ่อ พะยะค่ะ เจ้าชายดื่มแอลกอฮอลล์แล้วจะหยุดไม่ได้ แล้วก็แพ้อาหารประเภทถั่วพะยะค่ะ ”
“ ………. ”
“ ฝ่าบาท ? หากเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ พูดไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกพะยะค่ะ คงเป็นเรื่องที่คิดไปเองหรือข่าวลือมากกว่า ” เบรูสกล่าวปลอบใจนายเหนือหัวตน แต่องค์เซฟีรัสยังคงเงียบ หวนนึกไปถึงการสนทนาในวงน้ำชา ตอนที่วอดก้าบอกว่าไม่ค่อยสนิทกันมากนัก แต่พาราไดซ์กับเอี้ยวกายไปกระซิบอย่างใกล้ชิด ทั้งเผยรอยยิ้มที่นาน ๆ ครั้งจะได้เห็นแต่หากให้นับ พระองค์เห็นบ่อยมากกว่าปกติเสียด้วยซ้ำและรอยยิ้มนั้นมักจะมอบให้วอดก้า
ตอนวอดก้าสำลัก พาราไดซ์ก็ลูบหน้าลูบหลังอย่างอ่อนโยนราวเป็นเรื่องที่คุ้นชินอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งวิมเลทและบลัดดี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาแปลกใจสักน้อยเหมือนความสนิทสนมของคนทั้งคู่เป็นเรื่องปกติ
ท่าทางยิ้มเจือจางและตอบรับที่จะเข้าไปใกล้ชิดวอดก้าตลอดเวลาก็เหมือนกัน พาราไดซ์เพียงถามว่า “ ฝ่าบาทเลยต้องการให้กระหม่อมขวางพวกเขาไม่ให้ใกล้ชิดกันเกินไปและอยู่ใกล้ ๆ วอดก้ากันคนที่คิดไม่ดีกับเขา ? ”
ก่อนจะตอบว่า “ ไม่ต้องห่วงพะยะค่ะ กระหม่อมจะอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดเวลาไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้เอง ” แต่กลับไม่รับปากว่าจะกันเจ้าเพื่อนสนิทคนนั้นให้ออกไปห่างๆ เลย
ยิ่งฟังตอนที่กลับมาจากชายแดน ข้าหลวงดูแลสวนบอกว่าเจ้าชายพาราไดซ์เสด็จลงไปสวนบ่อยมาก ไปแถวแปลงดอกราฟิเดียและตัดดอกราฟิเดียหลายครั้ง ซ้ำยังปลูกใหม่เอง ในตอนนั้นพระองค์เพียงแปลกใจ สมองไม่ได้โยงไปเกี่ยวกับวอดก้าสักนิดแต่ในยามนี้…
ดอกราฟิเดียเป็นดอกไม้หายาก แต่ชนชั้นสูงในทริสทอร์มักใช้เชื่อมสัมพันธ์แทนมิตรภาพ มันเป็นดอกไม้ที่มี 2 ความหมายในตัว แต่ละสีแตกต่างกันไป และคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพาราไดซ์จะรู้ความหมายของพวกมัน
และหากพาราไดซ์เป็นคนส่งดอกราฟิเดียและเขียนจดหมายไปหาวอดก้าจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรอื่นจะแก้ตัวแทนเพราะดอกราฟิเดียแดงแซมส้ม สีฟ้าและสีน้ำเงินมารวมกันจะได้ความหมาย การบอกรักและหมายมาดจับจองตัวไว้
พระองค์ไม่เชื่อหรอกว่าพาราไดซ์จะส่งไปมั่ว ๆ ลูกชายพระองค์เป็นคนละเอียดละออรอบคอบ ยิ่งหวนนึกถึงลายมือในจดหมายที่เห็น หากไม่ใช่ลายมือพาราไดซ์แล้วจะเป็นลายมือของใคร ?
“ เอือก…”
พระองค์กลืนน้ำลายเอือก รู้สึกว่าการที่พาราไดซ์หลงรักหรือหลงชอบวอดก้าเป็นประเด็นรองยามนึกถึงคำพูดตนที่ฝากวอดก้าไว้กับพาราไดซ์ อย่างนี้มันไม่ใช่ฝากปลาย่างไว้กับแมวเรอะ ?
ซ้ำ…ไม่ใช่แมวธรรมดาแต่เป็นพยัคฆ์ที่พร้อมจะขย้ำ กัดและกินทั้งตัว พร้อมกลืนไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูกอีก !
“ ไม่นะ ! ” พระองค์หน้าซีดเผือด ลูกแกะน้อยอย่างวอดก้าถ้าเป็นอะไรไปก็เป็นความผิดพระองค์เอง ที่สำคัญ พระองค์น่าจะตงิดใจกับรอยยิ้มมีเล่ห์นัยที่เห็นแวบหนึ่งของพาราไดซ์ยามพระองค์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ที่เจ้าลูกตัวแสบไม่ปฏิเสธเห็นทีจะเป็นเพราะสาเหตุนี้แน่
หน็อย…
ยามนี้องค์เซฟีรัสปักใจกว่า 70% แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่พาราไดซ์อาจหมายมาดสนใจวอดก้าอยู่
แต่อย่าหวังเลยว่าพระองค์จะยอมง่าย ๆ ! ต่อให้เป็นลูกพระองค์เองแต่เด็กดี ๆ อย่างวอดก้า เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพอ่อนโยนแบบนี้สมควรมีครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกน่ารัก ๆ มากกว่า !
เพราะฉะนั้นคราวนี้พระองค์ไม่พลาดแยกทั้งคู่ออกจากกันแน่ !
ส่วนพาราไดซ์…อย่าหวังว่าจะได้ตัววอดก้าไปได้ง่าย ๆ เชียว
Talk
โง้ยยยยยยย แต่งไม่ทันอ่า ถึงจะหยุดแต่ก็มีรายงานต้องทำนะจ้ะ จะพยายามมาอัพบ่อย ๆ น้า แต่ม.5 เป็นอะไรที่ชวนเครียดมากเลย ฟีสิกส์ คณิต เคมี ยากขึ้นเป็นกอง จะพยายามปรับตัวให้เร็วที่สุดนะค้าเพื่อรีดเดอร์ทุกคนและนิยายทุกเรื่องงงงงง

^//////^
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|
อ๊ากกกกกกไรต์จะฆ่ารีดจริงๆใช่มั้ยยย ไม่ใช่นิยายวาย แต่มันฟินกว่าวายหลายเท่ามาก!?...
PS. ไร เซล
PS. ความหวาดกลัวในดวงจันทร์ คือความเป็นนิรันทร์แห่งราตรี
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
เป็นนิยาย ชายหญิง (หรอ) ที่ทำเอาฟินนนน
จะชายหญิง ชายชาย ชายชาย(ปลอด)
ก็จิกเตียง หมอน ผ้าห่ม กนะจุยกระจาย
โอ้ยยยยยยยย สนุกมากกกคะ
PS. เกลียดเศร้า ชอบตลก แต่เค้าก็อ่านหมด เพียงแค่คนเขียนแต่งมา
PS. "การบอกรักเป็นสิ่งสุดท้ายของการแอบรัก แต่เป็นสิ่งแรกของการอกหักก็เท่านั้นเอง"
*พระองค์เซฟีรัสหวงวอดก้ากว่าลูตัวเองอีกนะเนี่ย
กุฟิน~~
PS.
ทำไมกลายเป็นพ่อตาไม่ได้สนใจเรื่องชายรักชาย
แต่สนใจว่าไดซ์ล่อลวงวอดก้า โอ้ยขำหนักมาก
PS. 'Cuz my heart will never be able to love anyone
PS. ชีวิต มันน่าเบื่อ หรือ สนุกกันแน่นะ...