ดังนั้น การปล่อยปะละเลยสุขภาพในช่องปาก จนทำให้เกิดเป็น “ แผลในปาก ” นอกจากจะทำให้เกิดอาการเจ็บแล้ว ยังรบกวนความสามารถในการรับประทานอาหาร การกลืน หรือแม้กระทั่งการพูดไปอย่างน่าเสียดาย...
แผล ในความหมายทางการแพทย์คือ มีการหลุดลอกไปของเนื้อเยื่อผิวหนังชั้นบน ที่มีปลายประสาทและหลอดเลือดขนาดเล็กอยู่ ทำให้เกิดความเจ็บปวดและมีเลือดออก สำหรับแผลในช่องปากนั้น ส่วนใหญ่เรามักจะจำกันไม่ได้ว่าเกิดแผลในปากขึ้นได้อย่างไร แต่ถ้าเราทราบสาเหตุ ก็จะสามารถรักษาและป้องกันการเกิดเป็นซ้ำได้ แผลในปากมีหลายลักษณะ ขึ้นกับอาการและสาเหตุ อาทิ
แผลที่เป็นแล้วหายได้เอง ภายใน 1-2 สัปดาห์ และมักกลับเป็นซ้ำอีก คือ แผลร้อนในขนาดเล็ก (Minor Aphthous ulcer) ซึ่งเป็นกันมาก ทั้งหญิงชาย เด็กและผู้ใหญ่ เป็นแผลที่ไม่มีความอันตรายในระยะยาว แผลมักเกิดตามข้างกระพุ้งแก้ม ใต้ลิ้น ริมฝีปากด้านใน การทายาจำพวกสเตียรอยด์เฉพาะที่วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนแผลบริเวณนั้น เช่น สลับไปเคี้ยวอาหารอีกข้างหนึ่งจะทำให้ลดโอกาสการเกิดเป็นแผลเรื้อรังขนาด ใหญ่ขึ้นได้
การเป็นแผลร้อนในซ้ำ บ่อย ๆ อาจเกิดจากการขาดสารอาหารจำพวกวิตามินบีและกรดโฟลิก การรับประทานวิตามินเสริมเหล่านี้จะช่วยลดการเกิดแผลได้
อาจเกิดจากการแพ้ยาหรือสารบางอย่าง หรือการติดเชื้อโรค เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรืออาจเป็นอาการแสดงของโรคระบบผิวหนัง โรคระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด รวมถึงการเป็นโรคมะเร็งในช่องปากด้วย
เมื่อใด ที่เกิดแผลในปาก ลองถามคำถามเหล่านี้กับตนเอง อาจพบสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลในปากได้
ท่านเป็นแผลในปากบ่อยหรือไม่ เป็นนานเพียงใด ทำอย่างไรจึงหาย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าช่วงก่อนที่เกิดเป็นแผลท่านได้รับความกระทบกระเทือนใด ๆ ในปาก เช่น แปรงฟันผิดจังหวะไปกระแทกโดนเนื้อเยื่อหรือเหงือก การกัดแก้มหรือกัดลิ้นระหว่างเคี้ยวอาหาร (ดังรูปที่ 3) การใส่เครื่องมือจัดฟัน ฟันปลอม ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้
การรับประทานอาหารร้อนจัด ๆ ทำให้พุพอง การใช้สารบางอย่าง เช่น น้ำยาบ้วนปาก หรือสมุนไพรแล้วเกิดการระคายเคือง อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ ลองหลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดู แล้วสังเกตว่าแผลหายภายในกี่วันและกลับเป็นซ้ำเมื่อทำสิ่งเหล่านี้อีกหรือ ไม่
แผลนี้เกิดร่วมกับการมีไข้หรือไม่ แผลอาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ควรไปพบแพทย์ถ้ามีไข้ร่วมกับการเป็นแผลในช่องปาก
ตรวจร่างกายอย่างละเอียดครั้งสุดท้ายเมื่อใด มีโรคประจำตัวหรือไม่ หากมีการรับประทานยาใหม่ๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจแพ้ยานั้น
มีแผลอื่น ๆ ตามร่างกาย หรือมีโรคทางระบบทางเดินอาหารใด ๆหรือไม่
เคยมีประวัติความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่ เช่น มีใครในครอบครัวเป็นมะเร็ง เคยสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจัดหรือไม่
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ หากเป็นแผลในปากแล้ว ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เจ็บหรือไม่ แต่เป็น นานเกิน 2 สัปดาห์ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรไปรับการตรวจแผลกับทันตแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการวินิจฉัยแผลที่ถูกต้อง นอกจากจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมแล้ว ท่านจะได้เรียนรู้วิธีป้องกันการเกิดแผลในภายหน้า เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคทางระบบ รวมทั้งโรคมะเร็งในช่องปากได้อย่างทันท่วงที
ความคิดเห็น