ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กามเทพร่ายกลรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 944
      1
      7 ส.ค. 59

    ตอนที่ 1

     

     

      ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...

                    เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนที่เข็มสั้นชี้ที่เลขหกและเข็มยาวชี้ที่เลขสิบสอง บอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เจ้าของนาฬิกาแหย่มือน้อยๆ ออกจากผ้าห่ม เพื่อที่จะหยุดเสียงนั้น และเมื่อเสียงอันน่ารำคาญหยุดลง ภายในห้องก็กลับมาเงียบสงบลงอีกครั้ง

    หกนาฬิกาสี่สิบนาที

                    เสียงเพลงสากลที่มีจังหวะเร้าใจดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องอีกครั้ง มือน้อยข้างเดิมที่ทำหน้าที่หยุดเสียงร้องของนาฬิกาปลุกก็โผล่ออกจากผ้าห่ม ควานหาเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่กำลังส่งเสียงอยู่

                    “ฮัล... โหล...”  น้ำเสียงบ่งบอกว่าคนรับสายยังไม่ตื่นดี!

                    “ไอ้มัท นี่แกยังไม่ตื่นอีกเหรอ”

                    ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสาย คนที่ยังไม่ตื่นดี ก็เด้งตัวออกจากผ้าห่ม และสิ่งแรกที่ส่งสายตาไปหาก็คือเจ้านาฬิกาปลุกที่มันส่งเสียงร้องเตือนเมื่อสี่สิบนาทีที่ผ่านมา!

                    “ไอ้มัท แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า แล้วนี่แกยังไม่ตื่นอาบน้ำแต่งตัวอีกเหรอ ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้แกมีพรีเซ้นต์งานตอนเก้าโมงเช้านะเว้ย...” ปลายสายส่งเสียงบ่นมาอย่างต่อเนื่อง

                    “รู้แล้วๆ แล้วถ้าแกยังไม่หยุดบ่น แกนั่นแหละที่จะเป็นคนทำให้ฉันสายมากไปกว่านี้ แค่นี้ก่อนนะแก้ว ฉันไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเจอกัน” และไม่ทันฟังว่าปลายสายจะพูดอะไรต่อ หญิงสาวก็วิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวและหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

    เจ็ดนาฬิกาห้านาที 

                    “ตายๆ ตายแน่ อุตส่าห์เตรียมงานซะอย่างดี จะทันมั้ยวะเนี่ย วันจันทร์ด้วย”

                    มัทนา อรุณวรพงศ์  บ่นพึมพำขณะที่เปิดประตูรถขึ้นนั่งประจำที่คนขับ แล้วก็เหวี่ยงกระเป๋าเขียนแบบไปที่เบาะหลังรถอย่างไม่กลัวและไม่สนใจว่ามันจะไปตกไปอยู่ตรงไหน จากนั้นก็สตาร์ทรถและขับออกจากที่จอดรถของคอนโดที่พักปานจรวด

                    แต่แล้วเธอก็ต้องมาติดไฟแดง!  หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเธอก็ไม่อาจจะจำได้ ซึ่งตอนนี้ก็เกือบๆ จะแปดโมงแล้ว “โอ๊ย! เขียวซะทีสิ”

                    และเหมือนว่าคนบนฟ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจจะเป็นตำรวจจราจรที่ทำหน้าที่ควบคุมสัญญาณไฟอยู่จะได้ยินคำขอของเธอ ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวในทันใด    แต่... รถขยับไปได้ไม่ถึงสิบคัน สัญญาณไฟจราจรก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงอีกครั้ง พร้อมกับเสียงถอนหายใจของเธอ

    ไม่รู้ว่าคนเรามักจะคิดกันไปเองหรือเปล่า ว่าเช้าวันจันทร์แบบนี้รถมันจะติดมากกว่าทุกๆ วัน ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ก็เป็นวันทำงานของมนุษย์เงินเดือนเหมือนๆ กัน หรืออาจจะเป็นเพราะความใจร้อน ความหงุดหงิดของคนกันแน่ ที่ทำให้คิดกันไปเอง เหมือนอย่างที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

    ขณะที่มัทนากำลังจ้องสัญญาณไฟจราจรอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายและภาวนาให้มันเขียวอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่นอนอยู่ในกระเป๋าก็ส่งเสียงร้องขึ้น

    “ว่าไง แก้ว”

    “อยู่ไหนแล้ว ใกล้จะถึงหรือยัง” น้ำเสียงของคนถามแสดงถึงความกังวล

    “ใกล้แล้วๆ หลุดไฟแดงนี้ไปได้ ก็จะเห็นจุดหมายแล้ว แต่รถโคตรติดเลยว่ะ” มัทนาบอกพร้อมกับชะโงกหน้าไปมองทางข้างหน้า

    “จะทันมั้ยเนี่ย”

    “น่าจะทันนะ แต่อาจจะฉิวเฉียด แกถึงนานแล้วหรอ”

    “ถึงตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งแล้ว กำลังจะลงไปหาอาหารเช้าให้เจ้านาย เลยโทรมาถามว่าจะเอาอะไรมั้ย”

    “งั้นขอไอซ์คาปูสักแก้วนะ น่ารักที่สุดเลยเพื่อนแก้วเพื่อนขวัญเนี่ย” เธอสั่งอาหารเช้าของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยชมอย่างประจบ

    “หยุด! ไม่ต้องมาปากหวานตอนนี้ เอาไว้จบงานนี้ แกได้เลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ฉันแน่ แต่ตอนนี้แกช่วยมาให้ทันเวลาก่อนเถอะ”

    ขณะที่รอให้สัญญาณไฟเปลี่ยน สี มัทนาก็นึกถึงเพื่อนสนิทที่เพิ่งวางสายไป เธอกับสกุณาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทั้งสองก็เรียนที่เดียวกันแล้วก็ยังพักอยู่ด้วยกันที่หอพักใกล้ๆมหาวิทยาลัย เพียงแต่เรียนกันคนละคณะ

    พอเรียนจบ สกุณาก็ทำงานที่ บริษัท ไอเดีย ดีไซต์ ครีเอชั่น บริษัทฯ ออกแบบและตกแต่งภายใน ซึ่งก็เป็นบริษัทฯ ที่สกุณาฝึกงานนั่นแหละ แรกเริ่มเธอทำงานอยู่ในฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง แต่อยู่ๆ ก็มีคำสั่งย้ายให้ไปทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวของกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ เนื่องจากเลขาคนเก่าลาออกไป

    ส่วนมัทนา หลังจากเรียนจบคณะมัณฑนศิลป์ก็เริ่มงานที่บริษัทฯ รับตกแต่งภายในแห่งหนึ่ง ทำอยู่เกือบๆ ปี แต่เธอรู้สึกไม่ชอบกับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งเจ้านาย  เมื่อทำแล้วไม่มีความสุขเธอก็เลยลาออก แล้วก็หางานใหม่ แต่ก็ใช่ว่างานมันจะหากันได้ง่ายๆ รออยู่เป็นเดือนงานก็ยังไม่เข้าสักที เลยขอพาตัวเองกลับมาอยู่บ้านที่อัมพวา อดีตกำนันดิเรกเห็นลูกสาวกำลังว่างงานก็เลยเกิดความคิดจะทำโฮมสเตย์เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ชอบบรรยากาศธรรมชาติริมคลอง แล้วก็ยกหน้าที่ออกแบบตกแต่งให้กับเธอจัดการได้ตามความชอบ

    และก็โฮมสตย์ของกำนันดิเรกที่ผันตัวเองมาทำการเกษตรแบบผสมผสานเต็มตัวนี่เอง ที่ทำให้มัทนาได้เข้ามาทำงานที่บริษัทไอเดีย ดีไซต์ ครีเอชั่น ที่เดียวกับสกุณา เนื่องจากตอนที่โฮมสเตย์ของกำนันดิเรกเสร็จสมบูรณ์ สกุณามาเยี่ยมเธอที่บ้านแล้วก็ได้ถ่ายรูปผลงานของเธอเอาไว้บอกว่าจะลองเอาไปให้เจ้านายดูเผื่อเขาจะสนใจรับเธอเป็นมัณฑนากรอีกสักคน  แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วัน สกุณาก็โทรมาบอกให้เธอไปสมัครงานที่ ไอเดีย ดีไซต์ ครีเอชั่นทันทีที่เธอพร้อมเพราะผลงานของเธอเข้าตากรรมการผู้จัดการบริษัทฯ

    ก็แล้วใครจะปฏิเสธล่ะในเมื่อเธอคือคนที่กำลังตกงานอยู่นี่นา

     

      

      

     

    มัทนา มาถึงบริษัทฯ ด้วยสภาพที่รีบสุดๆ ยืนหอบแหกๆ อยู่หน้าโต๊ะทำงานของสกุณาในเวลาแปดนาฬิกาห้าสิบนาที พร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเจ้าของโต๊ะ

    “เฮ่อ... ถึงซะที นี่ฉันลุ้นไปกับแกซะจนนั่งไม่ติดแล้วเนี่ย เหลือเวลาอีกสิบนาที ไปเข้าห้องน้ำสำรวจตัวเองก่อนมั้ย เดี๋ยวไปเจอกันในห้องประชุม”

    “ได้ แล้วกาแฟฉันล่ะ ขอโด๊ปคาเฟอีนก่อน จะได้มีแรง”

    “อยู่ในตู้เย็นที่แคนทีนโน่น”

    “โอเค ฝากนี่ไปด้วยนะ เดี๋ยวเจอกันในห้องประชุม” นี่ ของมัทนาก็คือกระเป๋าเขียนแบบของเธอที่เป็นสาเหตุให้เธอนอนดึก แล้วก็ตื่นสายในเช้าวันจันทร์แบบนี้

    ภายในห้องประชุม ทันทีที่มัทนาเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นว่าทีมออกแบบและตกแต่งภายใน ทุกคนมากันพร้อมแล้ว ซึ่งทีมนี้ก็จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดหกคน

    คนแรก พี่สิต หรือนิสิต หัวหน้าฝ่าย พี่สิต เป็นผู้ชายที่ไม่น่าจะเรียนมาทางด้านศิลปะเลย เขาเป็นผู้ชายสุภาพ พูดจาดี น่าฟัง เป็นหัวหน้าที่ดี จริงใจ ดูแลห่วงใยลูกน้อง ช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษาที่ดี แต่ถ้าเหล้าเข้าปากเมื่อไหร่ พี่สิตจะเปลี่ยนจากผู้ชายสุภาพ เป็นผู้ชายที่หาความสุภาพไม่เจออีกเลยจนกว่าจะสร่างเมา

    คนที่สอง ไอ้พี่ก้อง หรือก้องภพ มัณฑนากรรุ่นพี่ของมัทนา นิสัยกวนอวัยวะเบื้องล่างเป็นที่สุด แต่ก็มีความรับผิดชอบ งานคืองาน เล่นคือเล่น

    คนที่สาม แบงค์ หรือเอกรินทร์ ใส่แว่นตาหน้าเตอะ เงียบๆ รอบคอบ มีความรับผิดชอบสูงมาก

    แล้วก็ยังมีผู้ช่วยมัณฑนากรอีกสองคน ก็คือ น้องนุช กับไอ้น้องแจ็ค

    ตอนนี้จะขาดก็แต่กรรมการผู้จัดการที่ยังมาไม่ถึง มัทนาจึงหันไปถามเลขาส่วนตัวของเขา “เจ้านายแกล่ะ” ยังไม่ทันที่สกุณาจะตอบคำถามของเธอ ประตูห้องประชุมก็เปิดออกพร้อมกับร่างของผู้ชายรูปร่างสูงสมาร์ทผิวขาว หน้าตาออกไปทางดาราเกาหลีแบบที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่น (ไทย) กันเสียเหลือเกิน แล้วก็ยังเป็นชายในฝันของผู้หญิงหลายๆ คนในออฟฟิศนี้อีกด้วย

    “ไง คุณมัท พร้อมหรือยัง”  ศิวากร ศิลปกานต์ ถามขึ้นทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ประทานของที่ประชุม

    “พร้อมแล้วค่ะ คุณศีล” มัทนาตอบด้วยความมั่นใจ ก็เมื่อคืนอุตส่าห์นั่งทบทวนดูแล้วดูอีกจนทำให้เช้านี้เกือบจะมาไม่ทัน

    “งั้นก็เชิญครับ” ศิวากรบอกพร้อมกับผายมือส่งสัญญาณให้หญิงสาวเริ่มได้

    มัทนาเริ่มพรีเซ้นต์ผลงานของตัวเองอย่างที่ได้เตรียมตัวไว้ ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานชิ้นที่สามของเธอนับจากที่เริ่มงานกับ ไอเดีย ดีไซต์ ครีเอชั่น และวันนี้ก็เป็นการพรีเซ้นต์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะนำไปไปเสนอให้ลูกค้าในวันศุกร์นี้

    มัทนาใช้เวลาในการพรีเซ้นต์ประมาณสามสิบนาที หลังจากนั้นก็เป็นช่วงสอบถามความคิดเห็นของแต่ละคนในทีมเพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

    “มัทปรับสีตามพี่ก้องแนะนำแล้วนะ ดูผ่อนคลายแล้วก็สบายขึ้นอย่างที่บอกจริงๆ ด้วย” จากการประชุมกันเองในทีมมัณฑนากรเมื่อครั้งก่อน  ก้องภพแนะนำว่าสถานที่ของลูกค้าเป็นสปาน่าจะใช้โทนสีที่ไม่เน้นร้อนแรงมากนัก เธอก็เลยลองทำตามคำแนะนำของก้องภพดู และเมื่อลองปรับดูแล้วเธอก็เห็นดีด้วย

    ไม่ถึงชั่วโมงดีการพรีเซ้นต์งานของมัทนาก็เป็นอันเสร็จสิ้น และทุกอย่างก็พร้อมที่จะนำเสนอลูกค้าตามที่ได้นัดหมายไว้ จากนั้นทีมมัณฑนากรก็ประชุมอัพเดทความคืบหน้าของงานที่แต่ละคนรับผิดชอบต่ออีกพักใหญ่

    นับว่าเป็นความโชคดีของมัทนา ที่ทุกคนภายในทีมให้ความร่วมมือร่วมใจ เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือขัดแข้งขัดขากัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะนิสิตเป็นหัวหน้าที่ดี ทำให้ทุกคนในทีมเกรงใจ และเคารพ คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกน้องในทีม ไม่ทำให้ทีมเกิดความแตกแยก (ยกเว้นตอนเมา) ถึงแม้แต่ละคนจะมีบุคลิกและนิสัยแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องงานทุกคนก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี

     

       

      

     

     

    สกุณาเดินแกมวิ่งออกจากห้องประชุมเพื่อต้องการตามเจ้านายที่กำลังเดินตรงกลับไปยังห้องทำงานให้ทัน  นึกนินทาศิวากรในใจ คนอะไรก็ไม่รู้ขาก็ยาวแล้วยังจะเดินเร็วอีก ช่างไม่รู้จักเห็นใจเลขาฯ ตัวเล็กๆ ขาสั้นๆ อย่างเธอเลย คิดบ้างหรือเปล่าว่าเธอจะตามทันมั้ย และขณะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาก้าวเท้าเพื่อจะตามเขาให้ทัน จู่ๆศิวากรก็หยุดเดินกะทันหันทำให้เธอหยุดไม่ทันเลยชนเข้ากับหลังของเขาอย่างจัง!

    “โอ๊ย!

    จากแรงกระแทกที่ศิวากรรับรู้ได้นั้นไม่ใช่เบาๆ เลย ทำให้เขาต้องรีบหันกลับมาดูคนซุ่มซ่ามที่เดินมาชน แต่พอเห็นสภาพของแม่เลขาตัวเล็กที่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น จากที่กำลังจะตำหนิก็พูดไม่ออกได้แต่ส่งมือไปให้เพื่อจะได้ฉุดให้เธอลุกขึ้น แต่หญิงสาวกลับมองมือของเขาแบบงงๆ 

    “ส่งมือมาสิ” เขาสั่งเบาๆ แต่หญิงสาวที่นั่งหมดสภาพอยู่ก็ยังเฉย “สกุณาผมบอกให้คุณส่งมือมาเร็วๆ คนเดินผ่านไปผ่านมามองกันใหญ่แล้ว” เขาเร่ง สุดท้ายเธอก็ยอมส่งมือเล็กๆ ขาวๆ มาให้เขา เจ้าของมือหนาจับมือบางของสกุณาไว้มั่นพร้อมกับฉุดให้เธอลุกขึ้น “แล้วเดินยังไงถึงได้ชนผมแรงขนาดนี้” ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิคนซุ่มซ่าม

    สกุณามองหน้าคนที่เอ่ยตำหนิเธอแบบมึนๆ ถ้าสมองของเธอไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรมากนักล่ะก็ เธอจำได้ว่าเขาไม่ใช่เหรอที่จู่ๆ ก็หยุดเดินน่ะ “ก็... เจ้านายหยุดกะทันหัน ฉันเบรกไม่ทันนี่คะ” เสียงตอนท้ายเบาลงจนแทบจะไม่ได้ยิน

    “แล้วเจ็บหรือเปล่า” เสียงของเขาอ่อนลงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเอามือขึ้นมาถูอยู่บริเวณหน้าผากของตัวเอง เธอคงจะเจ็บไม่น้อยเพราะขนาดเขายังรู้สึกเจ็บตรงบริเวณที่เธอเอาหัวมากระแทกเลย

    เจ็บสิ ถามมาได้ ตัวอย่างกับตึกสกุณาได้แต่ตอบคำถามนี้อยู่แค่ในใจ ส่วนคำตอบที่เปล่งเสียงออกมาน่ะหรือ “ไม่เจ็บเท่าไหร่ค่ะ”

    ศิวากรไม่รู้ว่าเขาควรจะสงสารหรือว่าขำดี ตอบมาได้ว่าไม่เจ็บเท่าไหร่ หน้าผากแดงบวมซะขนาดนั้น แล้วยังจะสภาพที่ลงไปกองอยู่กับพื้นนั่นอีก จะโกหกก็ไม่ได้นึกถึงสภาพของตัวเองเลย “เดี๋ยวคุณทำสรุปที่ประชุมกันเมื่อกี่นี้ แล้วเอาไปวางไว้ให้ผมบนโต๊ะด้วยนะ”

    “ค่ะ”  เธอตอบพร้อมกับพยักหน้ารับ

    ทีแรกสกุณาคิดว่าพอศิวากรสั่งงานเสร็จก็คงจะเข้าไปทำงานต่อในห้อง แต่แล้วเขากลับเดินผ่านเธอเพื่อออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้เธอมีงานต้องทำ และก็เริ่มที่จะรู้สึกเจ็บๆที่หน้าผากมากขึ้นแล้ว ก็เลยไม่สนใจเจ้านายว่าเขาจะไปไหน เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อทำงานที่ได้รับคำสั่งให้เสร็จ จะได้ไปหายาทาที่ห้องพยาบาลของบริษัทฯ รอยช้ำหน้าผากนี่ก็พอจะส่องกระจกแล้วทายาได้อยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้ว่ารอยช้ำที่สะโพกข้างซ้ายของเธอนี่สิจะทายากันยังไงดี

     สกุณาทำงานยังไม่ทันจะเสร็จเจ้านายก็เดินกลับมา เขาหยุดลงตรงโต๊ะทำงานของเธอแป๊บนึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็เดินเข้าห้องไป “อะไรของเขา แปลกๆแฮะ จะพูดอะไรก็ไม่พูด”

     

       

      

     

     

    ก๊อกๆๆๆ

                    “เชิญ” เสียงห้าวๆ ของศิวากรเอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตู

                    “ฉันเอาสรุปผลการประชุมมาให้ค่ะ” สกุณาบอกพร้อมกับวางแฟ้มงานให้กับเจ้านาย “เรียบร้อยแล้วฉันขอตัวนะคะ” บอกเสร็จก็หมุนตัวเพื่อจะออกไปจากห้อง

                    “เดี๋ยว” 

                    พอได้ยินเจ้านายเรียกไว้ สกุณาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง “เจ้านายต้องการอะไรคะ”

                    “เอานี่ไปด้วย” ศิวากรหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทที่เขาใส่อยู่ “หน้าผากของคุณตอนนี้มันเริ่มแดงแล้ว เอายานี่ไปทาซะก่อนที่มันจะช้ำไปกว่านี้” สั่งพร้อมกับยื่นหลอดยาให้กับคนที่ยืนทำหน้างง

                    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันไปทาที่ห้องพยาบาลก็ได้ค่ะ” สกุณาปฏิเสธหลอดยาในมือของเขาที่ยังอยู่ตรงหน้าเธอ

                    ได้ยินคำพูดของเลขาสาวศิวากรก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ถ้าคุณไม่เอายานี่ไปทาตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ ผมจะเป็นคนทาให้คุณเอง”  เขาเห็นดวงตาของสกุณาเบิกโตขึ้นอย่างที่เรียกว่าอึ้ง! “ถ้าคุณยังไม่รับไป ผมจะทำตามที่พูด” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้มขึ้น

    “เอ่อ... ไม่ต้องค่ะ ฉันทาเองได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” สกุณารีบรับหลอดยาจากมือของศิวากรมา แล้วเดินออกจากห้องโดยเร็ว

    ศิวากร มองตามร่างบอบบางของสกุณาไปจนประตูห้องปิดสนิท แล้วก็หวนคิดไปถึงตอนที่เขาเจอกับเธอครั้งแรก เช้าวันนั้นเขากำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟท์โดยสารเพื่อขึ้นไปยังชั้นที่เป็นที่ตั้งของบริษัทที่ ไอเดีย ดีไซต์ ครีเอชั่น และก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดเขาก็ได้ยินเสียงใสๆของใครคนหนึ่งดังขึ้น

    รอด้วยค่ะ

    ศิวากรทำตามที่เสียงใสๆ นั้นร้องขอ เขากดลิฟท์ค้างไว้เพื่อให้ให้ประตูเคลื่อนเข้าหากัน สักพักก็มีหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ผิวขาว ผมยาว ในชุดนักศึกษาก้าวเข้ามายืนหอบอยู่ข้างๆ

    ขอบคุณนะคะที่รอเธอเอ่ยขอบคุณเบาๆหลังจากหายเหนื่อย

    เขาพยักหน้ารั ชั้นไหนครับ

    สิบเจ็ดค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ นี่ถ้าคุณไม่รอ ฉันต้องสายแน่เลยค่ะ

    ไม่เป็นไรครับเขาบอกออกไปด้วยสีหน้าเรียบๆ

    พอลิฟท์ถึงจุดหมายเธอก็รีบออกไปโดยไม่ลืมที่จะหันมาส่งรอยยิ้มสดใสจริงใจให้เขาอีกครั้งแล้วก็รีบวิ่งตรงไปยังแผนกการตลาด จึงไม่รู้ว่าเขาเองก็ก้าวตามเธอออกมาด้วย เพราะจุดหมายของเขาก็คือชั้นสิบเจ็ดเหมือนกัน

    เสียงโทรศัพท์มือถือของศิวากรดังขึ้น ทำให้เขาออกจากห้วงความคิดของเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วหลายปีแต่เขาไม่เคยลืม มือหนาหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นครืนๆ อยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นดูว่าใครที่โทรมา

                    ศิวากรมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกดรับสาย เขาคุยกับเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันตั้งแต่อยู่เมืองนอก จนกระทั่งจบกลับมาเมืองไทยก็ยังติดต่อกันเรื่อยมา ปลายสายบอกเพียงแค่ว่าจะมาหาเขาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ มีเรื่องจะปรึกษา แต่ก็ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเรื่องอะไร จากนั้นก็คุยกันอีกพัก และทำการนัดหมายสถานที่พบปะก่อนจะวางสาย

     

       

      

      

     

     

                    หลังเวลาเลิกงานเล็กน้อยมัทนาเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของสกุณา เห็นเพื่อนกำลังนั่งลูบๆ คลำๆ หน้าผากตัวเองก็ขมวดคิ้วสงสัยว่าเพื่อนไปโดนอะไรมา เมื่อเช้าตอนเข้าประชุมก็ยังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

                    “หน้าผากแกไปโดนอะไรมา” มัทนาเอ่ยถามให้หายข้องใจ

                    “เดินชนกำแพง” สกุณาตอบไม่จริงจังนัก ก็หลังของศิวากรเหมือนกำแพงจริงๆ นี่นาคนอะไรตัวสูงใหญ่เชียว เอ... หรือว่าเธอตัวเล็กกันแน่นะ

                    “จริงดิ บ้ารึเปล่าเดินยังไงถึงได้ชนกำแพง” มัทนาถามอย่างพาซื่อคิดว่าที่เพื่อนพูดเป็นเรื่องจริง เพราะสกุณาสามารถเดินชนอะไรก็ได้ที่มันไม่ยอมหลบเลี่ยงนั่นแหละ

                    “แกสิบ้าฉันพูดประชดย่ะ จริงๆ แล้วฉันเดินไปชนหลังเจ้านาย” เลขาสาวตอบพร้อมส่งค้อนให้เพื่อนที่เชื่อคำพูดประชดของเธอ

                    “แล้วแกเดินยังไงถึงไปชนเขาได้” มัทนาถามพลางสายหน้าอย่างระอา นึกว่าจะชนเฉพาะสิ่งของที่มันไม่ยอมหลบ แต่นี่กับคนเป็นๆ ยัยนี่ยังอุตส่าห์ไปชนกับเขาได้อีก

                    “ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ แกไม่ต้องมามองแบบนั้น ก็คุณศีลอ่ะจู่ๆ เขาก็หยุดเดินเฉยเลย ฉันหยุดไม่ทันก็เลยชนเข้า” เห็นสายตาของเพื่อนมองมาที่เธออย่างโยนความผิดมาให้เต็มๆ ก็รีบแก้ตัวเสียงดัง

                    “แล้วยานั่นน่ะ ทาแล้วรึยัง รึว่าให้ฉันทาให้มั้ย” มัทนาอาสาให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นห่วง

                    “ไม่ต้องเลย ฉันทาเองได้”  วันนี้เป็นอะไรมีแต่คนอยากจะทายาให้ เกิดจะมาใจดีอะไรกันขึ้นพร้อมๆ กัน

                    “ตามใจ แล้วจะกลับได้ยังเนี่ย วันนี้จะขอไปกินข้าวเย็นบ้านคุณลุงคุณป้าสักมื้อ”

                    “ไปดิ ท่านก็บ่นๆ ถึงแกอยู่ ว่าพักนี้หายไป เดี๋ยวฉันขอโทรบอกป้าก่อน รอแป๊บนะ” สกุณาบอกเพื่อนพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เอาไหล่หนีบเจ้าเครื่องมือสื่อสารไว้กับหูเพื่อจะได้เก็บของใส่กระเป๋าไปด้วย แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหลอดยาที่วางอยู่ตรงหน้ามัทนา ตัดสินใจคว้ามันใส่กระเป๋าไปด้วย

     

      

       

     

     

                    “เสาร์อาทิตย์นี้ฉันจะกลับอัมพวานะ ไปด้วยกันมั้ย” มัทนาเอ่ยชวนขณะขับรถมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลัก

                    สกุณาเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบเพื่อนสนิท “ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไปไหว้อัฐิพ่อกับแม่ที่วัดด้วยไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว”

                    “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” มัทนาเข้าใจว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร ถึงแม้การเสียชีวิตของท่านทั้งสองจะผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่สกุณาก็ยังคงเสียใจอยู่ เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้เพื่อนหายจากอาการนั่งหน้าเศร้า  “โปรเจกต์นี้ฉันใช้พลังงานไปเยอะ ถ้าลูกค้าเซย์เยสตามแบบที่เสนอไป กลับมาจะได้ลุยกับทีมช่างเลย ว่าจะกลับไปชาร์ตแบตที่บ้านซะหน่อย”

                    “ข้ออ้างน่ะสิไม่ว่า” สกุณาว่าเพื่อนกลับยิ้มๆ

    “รู้ทันอีกละ” มัทนาหันไปตอบพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้น “เออเมื่อกี้ตอนเดินมาที่รถฉันเห็นแกเดินกะเผลกๆ อย่าบอกนะว่าเป็นพลพวงมาจากการเดินชนกับคุณศีลน่ะ”

    คนนั่งเบาะข้างคนขับไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเบาๆ เป็นการยอมรับ

    “แกชนเขาภาษาอะไรถึงได้เจ็บขนาดนี้วะ” มัทนาหันไปถาม

    “ภาษาอะไรก็ไม่รู้ล่ะ รู้แค่ว่าฉันลงไปกองกับพื้นเลยแหละ” คนเจ็บตอบเสียงเบา รู้ตัวดีว่าตัวเองซุ่มซ่ามแค่ไหน แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย เธอคือผู้ถูกกระทำนะ

    มัทนาไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำไหนกับยัยนกน้อยสกุณาคนนี้ดี ก็เลยได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “แล้วนี่สะโพกแกไม่เขียวช้ำไปแล้วเหรอเนี่ย”

    “แค่รู้สึกขัดๆ นิดหน่อย แต่ไม่รู้ว่าเขียวหรือเปล่า”

    “เดี๋ยวถ้ากลับไปอัมพวาแล้วแกยังไม่หาย ฉันจะไปขอลูกประคบสมุนไพรของคุณนายดวงมาให้ก็แล้วกันนะ” มัทนาบอกกับเพื่อน ลูกประคบสมุนไพรของคุณนายดวงแก้วมีสรรพคุณแก้ปวดเมื่อย แก้เคล็ดขัดยอกฟกช้ำได้ดีนักแล กลับไปคราวนี้สงสัยจะต้องให้แม่ของเธอทำไว้ให้สกุณาเอาขึ้นมาสักสิบลูกแล้วมั้ง

     

      

       

     

     

    เวลาสามทุ่มหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สกุณาก็เปิดกระเป๋าเพื่อจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่ามัทนาโทรมาหรือยังเพราะเธอย้ำแล้วย้ำอีกว่าถ้ากลับถึงคอนโดฯ แล้วให้โทรมาบอกด้วย “กลับไปตั้งแต่สองทุ่มป่านนี้แล้วยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย” พอหน้าจอไม่มีการติดต่อมาจากเพื่อนสนิทก็บ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อย แล้วขณะที่เธอเอาโทรสัพท์ไปวางไว้ข้างๆ กระเป๋าที่ยังไม่ได้ปิดให้สนิท สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหลอดยาที่เอากลับมาด้วย พอเห็นหลอดยาก็อดที่จะคิดไปถึงคนที่ยื่นมันมาให้ไม่ได้

    เสียงแอพพลิเคชั่นไลน์ดังมาจากโทรศัพท์ที่เธอเพิ่งจะวางไว้

    “สงสัยไอ้มัทส่งไลน์มาบอกว่าถึงแล้ว” สกุณาพูดกับตัวเองเบาๆ แต่พอเห็นข้อความที่ส่งมาว่า ทายาที่ผมให้ไปหรือยัง ก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ข้อความจากมัทนาแน่ๆ แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เจ้าของหลอดยาที่เธอกำลังคิดถึงเขาอยู่

    Keaw Sakuna : กำลังจะทาค่ะ

    สกุณาใช้เวลานานหลายนาทีเลยทีเดียว ในการส่งข้อความสั้นๆ นี้เพื่อตอบกลับให้ศิวากร

    Siwakorn : แล้วคุณมัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่ทายา แล้วรีบนอน

    Keaw Sakuna : เอ่อ...เจ้านายคะ ฉันแค่เจ็บหน้าผากนะคะ ไม่ได้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ แล้วนี่ก็เพิ่งจะสามทุ่มครึ่งเองนะคะ แล้วฉันก็กำลังรอโทรศัพท์เพื่อนอยู่ด้วยค่ะ

    สกุณาส่งข้อความกลับเป็นชุด ด้วยไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เจ้านายจะมาสนใจอะไรหากว่าเธอจะยังไม่นอน

    Siwakorn : คุณรอโทรศัพท์ใคร?

                    Keaw Sakuna : ???

                    Siwakorn : สกุณา!

                    Keaw Sakuna : คะ

                    Siwakorn : ถ้าคุณยังไม่รีบไปนอนแล้วพรุ่งนี้คุณมาทำงานสายแม้แต่นาทีเดียวผมจะหักเงินเดือนคุณ

                    Keaw Sakuna : ??? 

    สกุณาได้แต่งงกับคำสั่งล่าสุดของเจ้านาย จากนั้นก็ไม่มีข้อความจากเขาส่งมาอีก พอดีกับเสียงเรียกเข้าดังขึ้น หน้าจอคือรูปของมัทนา เธอจึงรีบรับสายเพื่อน

                    “ฉันถึงคอนโดเรียบร้อยแล้วนะ ทีแรกว่าจะไลน์ไปบอกแต่กลัวแกนอนแล้วก็เลยโทรดีกว่า”

                    “อะไร ยังไม่สี่ทุ่มเลย จะให้ฉันรีบนอนไปไหน ฉันไม่ใช่เด็กอนามัยนะ ที่จะต้องนอนตั้งแต่สามทุ่ม” สกุณาบอกอย่างขัดใจ

                    “เฮ้ย! ทำไมต้องทำเสียงเหมือนโกรธด้วยอ่ะ ใครไปทำอะไรแก”

                    “ก็เจ้านายน่ะสิ ไลน์มาหาฉัน ถามว่าทำไมยังไม่นอนอีก  พอฉันบอกว่าฉันรอโทรศัพท์เพื่อนอยู่ เขาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ บอกว่าถ้าพรุ่งนี้ฉันไปทำงานสายแม้แต่นาทีเดียว เขาจะหักเงินฉัน อะไรของเขาวะ” สกุณาได้โอกาสก็ระบายให้เพื่อนฟังทันที

                    “ฉันว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ คุณศีลเนี่ย เขาชอบแกอยู่หรือเปล่า หรือมีอะไรที่ฉันยังไม่รู้ บอกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้แก้ว”

                    “เฮ้ย! จะบ้ารึไง ฉันไม่เห็นเขาจะเคยมีท่าทีอะไร ก็เพิ่งจะมาวันนี้แหละที่เขาเอายามาให้ ตอนที่ฉันไปชนเขาอ่ะ สงสัยเขาคงคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุให้ฉันเจ็บตัวล่ะมั้งก็เลยถามไถ่ตามประสาเจ้านายลูกน้อง แกเพ้อเจอแล้ว”

                    “ฉันว่าฉันคงต้องจับตาคุณศีลให้ดีๆ ซะแล้ว” 

                    “ฉันไม่คุยกะแกแล้ว แกถึงแล้ว ก็ไปอาบน้ำนอนเลยไป แค่นี้นะ ฉันก็จะนอนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานสาย จะโดนหักเงิน” ไล่เพื่อนไปนอน แต่ตัวเองกลับนั่งคิดเรื่องของศิวากร แล้วก็นั่งยิ้มคนเดียว 

      

      

      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×