ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาโรห์ที่รัก ตอน จอมใจฟาโรห์

    ลำดับตอนที่ #2 : ความซ่อนเร้นแห่งกาลเวลา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.64K
      14
      12 พ.ย. 54

        

              " คนเรามักจะคิดว่าการเดินทางของคนสองคนซึ่งแต่ละคนนั้นอยู่ในสถานที่ที่ไกลแสนไกล อาจจะไกลกันถึงคนละซีกโลกก็เป็นได้ แต่ยังสามารถมาประสบพบเจอกันได้ ซึ่งเขาเชื่อกันว่าเป็นเรื่องของพรหมลิขิต หรือความเป็นใจของเทพยดาเบื้องบนช่วยบันดาลให้เขาและเธอได้มาพบรักกัน สงสัยเขาคงเป็นคู่แท้กันจริงๆซึ่งด้วยพลังอำนาจอะไรบางอย่างอันเร้นลับชักนำพาให้ทั้งสองได้มาร่วมภิรมณ์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ   มันฟังแล้วช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ หากใครคนหนึ่งที่อยู่ในที่ๆอันไกลโพ้นสุดที่พรรณาจะเดินทางมาเพราะสิ่งอะไรบางอย่างที่เรามองไม่เห็นได้บ่งการเราอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่หากคนๆหนึ่งจากช่วงเวลาหนึ่งจะเดินทางมาพบกับคนอีกคนในช่วงของอีกเวลาหนึ่งมันจะเป็นไปได้ไหม? และหากเป็นไปได้มันคงจะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์จนเหลือเชื่อ..... " 

             ดวงนาฬิการุ่นเก่าแก่แต่ดูคลาสสิกกรอบทำจากไม้ ตัวเลขบนหน้าปัดเป็นเลขโรมันช่างดูแล้วขลังยิ่งนัก ถูกติดไว้บนฝาผนังข้างห้องในภาควิชาประวัติศาสตร์มานงนาน อาจารย์หญิงแต่งกายด้วยชุดแบบสมัยก่อนที่คอเสื้อเป็นปกใหญ่ๆสีแสดเจ็บตา สวมแว่นตารูปปีกผีเสื้อสีแดงซึ่งแสดงถึงความเชยของท่านหนึ่งนั่งอ่านหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งเพิ่งซื้อมาจากศูนย์หนังสือ เธอเปิดมันไปมาด้วยใจที่จดจ่อ ใบหน้าแสดงถึงความสงสัย สายตาอยู่กับตัวอักษรทุกตัวทุกวจี ทุกประโยค ทุกบทความ แต่แล้ว

            "อาจารย์ค่ะทำอะไรอยู่ค่ะหน้าเครียดเชียว"

            "ตายจริง แม่พรพิงค์ทำอาจารย์ตกอกตกใจ"

           สาวนักศึกษาใบหน้าแบบไทยผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วโค้ง ตาคม ใบหน้าทรงไข่รี ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง แววตายิ้มมีเสน่ห์ หัวเราะในคออย่างสุภาพ

           "ขอโทษค่ะอาจารย์ผกามาศ อาจารย์คะกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ค่ะน่าสนใจจัง"

           อาจารย์ผกามาศเอาที่คั้นหนังสือคั้นหน้าไว้แล้วปิดหนังสือและส่งยืนให้แก่พรพิงค์
    พรพิงค์รับหนังสือนั้นมาไว้

           "นี้มันหนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์นี้ค่ะ น่าอ่านจังเลยค่ะ"

            "มันเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ใหม่ล่าสุดจ๊ะ อาจารย์เห็นบทความน่าสนใจที่เขากล่าวถึงฟาโรห์ผู้ไร้นาม แต่กลับสร้างความเจริญให้แก่อาณาจักรอียิปต์อย่างมหาศาล กับราชินีผู้มีผิวสีน้ำ"

           "เอ๊ะ อาจารย์ค่ะ ความจริงฟาโรห์ไร้นามมีตั้งมากมายหลายพระองค์ ซึ่งหลักฐานและข้อมูลพระนามเรืองหายไปตามกาลเวลาซึ่งเป็นเรื่องยากของนักโบราณคดีที่จะไขหรือแกะปริศนา..."

          "เรื่องนั้นน่ะอาจารย์เข้าใจดี มัมมี่ฟาโรห์บางพระองค์ยังเป็นปริศนาว่าพระองค์คือฟาโรห์พระองค์ไหน เพราะนามจารึกเลืองหายจริง แต่มันแปลกที่อีตรงราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งนี้ซิที่น่าสนใจ"

          "ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้ง...หรือค่ะ! แปลกจริงอย่างที่อาจารย์ว่า คนอียิปต์ไม่ผิวขาวเพราะมีเชื้อสายของกรีก หรือ โรมัน หากเป็นผิวเข้ม ดำ ก็จะเป็นเชื้อแอฟริกา "

           "แต่ผิวสีน้ำผึ้ง...นั้นมีแต่ชนชาวเอเซีย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ประหลาดแห่งวงศ์การประวัติศาสตร์อียิปต์ ราชินีอียิปต์ที่เป็นคนเอเซีย เป็นเรื่องที่ประหลาดไหม เราลองคิดดูนะ  เอเซียหากเป็นเอเซียตะวันออกก็จะเป็นคนผิวขาวซีกอย่างยุโรป เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนเอเซียใต้ก็จะออกน้ำตาล เหลือง และขาวบ้างเป็นแห่งๆ แต่เอเซียตะวันออกส่วนมากเป็นผิวสีน้ำผึ้งซึ่งอารยธรรมของเอเซียตะวันออกนั้นมิอาจจะขจรกระจายไปได้ถึงอาณาจักรอียิปต์อันยิ่งใหญ่ได้เลย มันน่าแปลกเพราะอาณาจักรต่างๆในเอเซียตะวันออกเพิ่งพัฒนาตัวเมื่อคริตสศตวรรษที่ 19 นี่เอง อาณาจักรอียิปต์จบความยิ่งใหญ่ไปในช่วงที่อาณาจักรโรมันขึ้นมาเป็นจักรวรรติตะวันตกเสียด้วย เอเซียตะวันออกยังไม่มีความเจริญที่สูงส่งทางการปกครองเป็นรูปเป็นร่างเสียด้วย.... "

           "ที่อาจารย์พูดมาก็ถูกนะค่ะ แปลกจริงๆ"

           "ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ กล่าวถึงนิทานพื้นเมืองของชนเผ่าที่อาศัยอยู่แถวบริเวณแม่น้ำไนล์ เล่าถึงปาฏิหาริย์แห่งราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งว่า " ก่อนที่องค์ราชินีจะเป็นราชินีแห่งฟาโรห์ พระองค์ทรงพบกันด้วยรองเท้า"

          "รองเท้าหรือค่ะ..."

            "ถูกแล้ว เขาว่าฟาโรห์ทางเดินเล่นอยู่ในพระอุทยานและรองเท้ารูปร่างประหลาดทำจากวัสดุที่ไม่มีในอียิปต์ ฟาโรห์ทรงสั่งให้ช่างหลวงในราชสำนักคิดประดิษฐ์ขึ้นก็มิอาจจะหาวัสดุแบบนี้มาทำได้ ฟาโรห์จึงปรารถนาที่จะพบกับเจ้าของรองเท้าข้างนี้ แต่แล้วพบพระองค์พบเจอกับเจ้าของซึ่งเป็นสาวสีผิวน้ำตาลซึ่งเป็นความงามอันแปลกตา จึงขอนางเป็นราชินี..."

          "อะไรจะเหลือเชื่อได้อย่างนี้น่ะ อย่างกับซินเดอรเลล่า จากสาวปุถุชนกลายเป็นราชินี อะไรจะปานนั้น"

         "มันเป็นนิทานที่เล่าต่อกันมาไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า ซึ่งมีทางเป็นไปได้ว่า ราชินีผิวผู้น้ำผึ้งนั้นจะเป็นจริงเพราะตามที่หนังสือระบุว่า นักโบราณคดีค้นพบโลงพระศพแห่งเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นพระมเหสีแห่งฟาโรห์หรือไม่ก็พระธิดาแห่งฟาโรห์ ซึ่งภายในกลับไร้ซึ่งพระศพแต่แปลกมากที่มีรองเท้าแตะพลาสติกสีแดงอยู่คู่หนึ่งอยู่ภายใน จึงเป็นที่ตะลึงว่าของสิ่งนี้มันมีอยู่ในสมัยนั้นด้วยหรือ ซึ่งมันเป็นแบบที่เราใส่กันนี้เอง อาจารย์ยังซื้อรองเท้าแตะแบบนี้เลยไว้ตอนเข้าห้องน้ำกันลื่น มันประหลาดจริงๆ มีทฤษฎีว่าอาจจะเป็นเล่นตลกของโจรปล้นสุสาน แต่บางนักโบราณคดีว่ามันอาจจะของๆที่ปรากฏในยุคนั้นจริง และนิทานเรื่องราชินีผิวสีน้ำผึ้งที่ว่าทรงพบรักด้วยรองเท้านำทางที่ว่าทำจากวัสดุที่หาไม่ได้ในอียิปต์แถวยังมิอาจจะประดิษฐ์ได้เหมือนนี้ก็อาจจะเป็นข้อยืนยันว่า ตัวราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งนั้นเป็นชาวเอเซียตะวันออกในศตวรรษที่ 20 ได้ย้อนเวลาผ่านกาลเวลามาอยู่ในสมัยอียิปต์โบราณและได้เป็นถึงราชินีแห่งฟาโรห์ ซึ่งข้อสันนิฐานนี้มีความเป็นไปได้อย่างสูงมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยืนยันเพราะมันช่างเหลือเชื่อเสียนี้"

           "เว้า.... มหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ หากเป็นจริงก็บ่งบอกได้ถึงว่ายุคสมัยของเราจะมีคนที่คิดประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลาได้สิค่ะอาจารย์"

             พรพิงค์ยิ้มด้วยความดีใจ

          "มันก็ไม่แน่น่ะ แต่เราก็ต้องฟังหูไว้หู ประวัติศาสตร์จะเชื่ออะไรก็ต้องมีข้อพิสูจน์หรือไม่ก็มีหลักฐานเสียก่อน"

           "ค่ะ อาจารย์"

           "และเรามาพบอาจารย์มีอะไรหรือเปล่า"

           "อ้อ มีค่ะ หนูรายงานวิชาประวัติศาสตร์เปรียบเทียบมาส่งอาจารย์ค่ะ"

           "ไหนเอามาให้อาจารย์ดูสิว่าเธอทำเรื่องอะไร"

           พรพิงค์หยิบแฟ้มเอกสารออกมาจากย่ามของเธอ เธอหยิบรายงานออกจากแฟ้มวางบนโต๊ะของอาจารย์ผกามาศ อาจารย์หยิบมันขึ้น

            "เนเฟอติติหญิงงามเบื้องหลังบัลลังก์ฟาโรห์ เธอนี้สนใจประวัติศาสตร์อียิปต์มิใช้เล่นเลยน่ะพรพิงค์"

            "ค่ะ อาจารย์หนูชอบค่ะ หนูฝันว่าสักวันในหนึ่งช่วงขีวิตต้องไปเหยียบอียิปต์ค่ะ"

            "แม่นางพรพิงค์ คงต้องเก็บเงินหัวโตกี่ชาติจ๊ะ ค่าเครื่องบินมันก็แพงแสนแพง"

            "หนูรู้ค่ะ แต่อย่างไรหนูก็ต้องทำให้ฝันหนูเป็นจริงให้จนได้ค่ะ" 

             "จ๊...แม่คุณ"

             "อาจารย์จะให้คะแนนรายงานหนูเท่าไรค่ะ หนูของเต็มนะค่ะ"

             "ได้ไงย่ะ เธอ ต้องรอให้ฉันตรวจเนื้อหารายงานเธอก่อนสิ เลขมันถึงออกให้"

             "ค่ะอาจารย์ พูดอย่างกับหวยเลยค่ะ"

             "จ๊ะ ไม่มีเรียนแล้วหรือถึงมาจ้าแจ้วเจรจาอยู่เนี่ย ส่งรายงานเสร็จแล้วก็ไปได้"

             "ค่ะ อาจารย์หนูขอลาค่ะ"

              พรพิงค์ยกมือไหว้อาจารย์อย่างเรียบร้อย อาจารย์ผกามาศยืมไหว้รับและยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและความจริงใจ จากนั้นเธอจึงลุกออกจากเก้าอี้ที่นั่งและออกจากห้องภาควิชาประวัติศาสตร์ไป เธอมักจะหยุดมองของโชว์ในตู้กระจก ถึงมันจะเป็นของปลอมที่ทำจำลองเลียนแบบก็ตาม ซึ่งมันเป็นรูปปั้นเทพเจ้าอียิปต์โบราณ เทพโอซิริส เทพีไอซิสที่ยืนอยุ่คู่กัน

               "เราก็อยากที่จะยอมพลีใจและกายให้กับชายอันเป็นที่รักเช่นเดียวกับเทพีไอซิสผู้มีความรักที่แสนยิ่งใหญ่ต่อเทพโอซิริสผู้เป็นที่รัก..."

                  เธอยิ้มและเดินจากไปท่ามกลางความสงสัยอย่างต่อเนื่องของข้อมูลที่เธอได้รู้มา มันเป็นอะไรที่ทรงคุณค่าทางจิตใจของเธอมาก ด้วยความชื่นชอบในประวัติศาสตร์อียิปต์  
            
             พรพิงค์เดินออกมาหน้ามหาวิทยาลัย ตรงไปยังป้ายรถประจำทางมีนักศึกษายืนบ้างนั่งบ้างรอรถโดยสารอยู่กลุ่มหนึ่ง เธอเดินเข้ามารออยู่ในกลุ่มนักศึกษานั้นด้วย 

             "พิงค์...." 

              พรพิงค์หันเข้าไปยังทางต้นเสียง 

             "เอ้า...กัญญา"

             "พิงค์กำลังจะกลับบ้านเหรอ"

             "จ๊ะ "

              "รีบกลับทำไมกันจ๊ะพิงค์ ไปเดินห้างเป็นเพื่อนกันดีกว่า ฉันว่ากำลังจะไปเดินเล่นตากแอร์อยู่พอดีเลย"

               "ก็ดีน่ะ กำลังอยากจะซื้อของพอดีเลยจ๊ะ"

               "เอ้ารถมาพอดีเลย"

              รถประจำทางปรับอากาศคันสีเขียวเข้มขับมาอย่างช้าๆเทียบที่ป้ายรถประจำทาง เมื่อประตูรถเปิดออก นักศึกษาค่อยๆเดินขึ้นรถจนถึงพรพิงค์กับเพื่อนได้ขึ้นไปนั่งบนรถประจำทางโดยเลือกนั่งข้างขวาของรถโดยกัญญานั่งติดหน้าต่าง กัญญาเปิดกระเป๋าแฟชั่นหนังของเธอออกแล้วหยิบหมากฝรั่งขึ้นมาและยื่นให้แก่พรพิงค์

                 "พิงค์..."

                 "ขอบใจจ๊ะ"

                 กัญญาก็เคี้ยวหมากฝรั่งและมองวิวข้ามทาง อันมีแต่กอหญ้าต้นธูปที่สูงริบ
     
                "มหาลัยเราก็มาตั้งอยู่ซะไกลตัวเมือง ดูซิมีแต่ทุ้งหญ้าธูปที่สูงริบ ดูแลน่ากลัว โจรขโมยก็มี อันธพาลท้องที่ก็เยอะ หากไม่ใช่ว่ามีโลโก้เป็นวิทยาเขตมหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อละก้อ ฉันคงไม่ยอมมาสอบติดที่นี้หรอกน่ะเนี่ย"

                "ก็คณะวิชาของเรามาอยู่ที่วิทยาเขตนี้นี่จ๊ะ กัญญา ฉันว่าดีออกได้มาอยู่ในที่ๆบริสุทธิ์หากไกลจากมลพิษในเมือง มีต้นไม้มีธรรมชาติที่น่ารื่นรมย์ มันเหมือนบ้านแห่งการศึกษามากกว่าสถาบันการศึกษา"

               "ข้อนี้ฉันก็เห็นด้วยน่ะ แต่มันก็... ยังไงก็น่าจะสะดวกสบายกว่านี้เสียหน่อย"

               "โธ่หน้ากัญญา ที่นี้ก็เป็นเขตปริมณฑลไม่ไกลจากเมืองหลวงบ้านพวกเราเสียเท่าไรหรอก ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเราก็ถึงบ้านถึงเขตความเจริญแล้วจ๊ะ"

             "จ๊ะ แม่พรพิงค์" 

              พรพิงค์ยิ้มให้กัญญาอย่างเป็นมิตร กัญญาก็ยิ้มให้และหันหน้าไปมองข้างทางต่อ วิวทิวหญ้าธูปเริ่มหมดไปกลายเป็นบ้านตึกแถวไม้ ตลาดเก่าแก่ ชาวบ้านเดินเอาจ่ายใช้สอย เป็นตลาดที่ยังคงความเป็นแบบแผนเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ชาวบ้านไม่ไปจ่ายที่ห้างสรรพสินค้า พวกเขายังใช้ตลาดเป็นเสมือนแหล่งคลังเสบียงตามแต่เดิมในอดีตที่ปฏิบัติกันมา รวมไปถึงสินค้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีพประจำวัน ท้องถิ่นแห่งนี้ไม่มีการตั้งของห้างสรรพสินค้าด้วยชาวบ้านต่อต้านการมาลงทุนของนายทุนที่หวังผลประโยชน์ โรงงานอุตสาหกรรมก็ไม่มีในเขตพื้นที่นี้ด้วย ช่างเป็นท้องที่ที่บริสุทธิ์อย่างที่พรพิงค์ว่าไว้ ต้นไม้ต้นใหญ่ๆที่ในเมืองหาเห็นได้ยากที่นี้กลับมีอยู่ตามข้างทางริมถนนตลอดทาง ร้านสะดวกซื้อที่เป็นโลโก้ของต่างชาติก็ไม่มีขึ้น มีแต่ร้านโชว์ห่วย ร้านขายของของคนจีนที่ขายของจำเป็นไม่กี่อย่าง ไม่มีของที่สุรุ่ยสุร่ายออกขายเสียเท่าไร พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า หากต้องการวิ่งเข้าหาความเจริญทางวัตถุไม่มีทางที่คุณจะหาได้จากที่แห่งนี้ รถประจำทางแล่นเร็วขึ้นจนหลุดจากความเป็นชนบทเข้าสู่ถนนใหญ่ ตึกปูนใหญ่ๆเริ่มเข้ามาสู่ในสายตาบ้าง ทิวแถวตึกมากมายที่ล้วนแต่ขายของที่สุรุ่ยสุร่าย เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ราคาถูก ร้านอาหารแฟรนไชส์จากต่างชาติ เปิดกันอย่างมากมาย ผู้คนมากมายมาร่วมตัวกันอยู่ที่นี้ 

                "นี้สิ เห็นแล้วสบายตา ผู้คนที่เยอะแยะ ความเจริญ เสื้อผ้าแฟชั่น ความสะดวกสบาย สิ่งนี้ที่ฉันต้องการ"

               "แม่คุณคนเมืองจริงๆเลยน่ะ"

               "มันคือความศิวิไลย์ย่ะ พรพิงค์"

               พรพิงค์หัวเราะและยิ้ม กัญญาตาเริ่มเบินกว้างเมื่อเธอเห็นว่ารถประจำทางกำลังแล่นถึงห้างสรรพสินค้าอยู่อีกไม่ไกลเกินสายตา ป้ายชื่อของห้างสรรพสินค้าเห็นเด่นแต่ไกล ในใจของกัญญามีแต่ภาพของร้านค้าภายในห้างสรรพสินค้า ร้านค้าที่ขายของที่ฟุ่ยเฟือง เสื้อผ้าราคาแพงๆ ข้าวของเครื่องใช้จากต่างประเทศที่มีราคาแพง มันดูเป็นอะไรที่มันฝันๆเสียมากกว่า ในที่สุดรถก็มาหยุดยังป้ายรถประจำทางที่ใกล้ห้างสรรพสินค้า กัญญากับพรพิงค์ลุกขึ้นจากรถประจำทาง ทั้งสองหยิบเศษเหรียญเพียงไม่กี่บาทให้แก่คนเดินกระเป๋า และลงจากรถประจำทาง

              "สวรรค์...วิมานบนดินของฉันวันนี้ฉันจะช็อปปิ้งให้หายอยาก"

              "ฉันเห็นเธอก็ช้อปปิ้งซื้อโน่นซื้อนี้อยู่ที่วี่ที่วันนี้กัญญา"

               "การช้อปปิ้งคือชีวิตจิตใจของฉันนี้ คุณพ่ออุดส่าห์ออกบัตรเครติสมาให้ใหม่ ฉันจะสนองคุณพ่อด้วยการซื้อของที่ฉันอยากได้"

              "ตามใจเธอ เมื่อมันเป็นความสุขของเธอ เราเข้าไปกันเถอะ"

              "ไปกันเลย....."

              กัญญากับพรพิงค์เดินผ่านประตูกระจกเลื่อนก็สัมผัสได้กับความเย็นสบายของเครื่องปรับอากาศ มันช่างทำให้อารมณ์ดีเสียจริง ความอลังการของการตกแต่งภายในทำให้ทั้งสองตื่นตาตื่นใจกับเครื่องแขวนตามช่องบนของห้าง ด้วยเป็นอยู่ในช่องใกล้ฤดูร้อน ทางห้างสรรพสินค้าจึงจัดรูปแบบเป็นแบบอียิปต์ พีระมิดจำลองถูกวางใกล้กับบันไดเลื่อน รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆที่ทำจากโฟมและทาสีเสมือนจริงถูกตั้งตามชั้นต่างๆของห้าง พรพิงค์ยิ้มที่มุมปากแสดงความชื่นชอบ

             "ฉันว่าพิงค์คงชอบ เพราะพิงค์นะชอบอียิปต์มิใช่หรือ"

             "ฉันเคยมีความใฝ่ฝันมานานตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากจะไปอียิปต์ซะครั้งในชีวิต"

             กัญญาชวนพรพิงค์เดินดูสินค้าต่างๆภายในห้างสรรพสินค้า และยังช่วยพรพิงค์ถือของด้วย ทั้งสองสาวเดินท่ามกลางความหรูหราของห้างดังในเมืองหลวง จนในที่สุดทั้งสองเดินผ่านร้านขายหนังสือชื่อดังที่เป็นที่นิยมและมีสาขามากที่สุดในประเทศ 

             "กัญญาเข้าไปดูหนังสือเป็นเพื่อนฉันหน่อยซิ ฉันอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งไม่รู้ว่าที่นี้มีขายหรือเปล่า"

             "ได้จ๊ะ"

              ทั้งสองนำถุงที่ถือกันมาฝากไว้ที่เคาว์เตอร์ พนักงานรับไว้เพื่อยื่นบัตรหมายเลขให้แก่พรพิงค์ 

             "ขอบคุณค่ะ"

             พรพิงค์ตรงดิ่งไปยังมุมหนังสือประวัติศาสตร์ เธอมองหาหนังสือเล่มที่อาจารย์ผกามาศอ่านนั้นเอง เธอมองหาแล้วหาอีกก็ไม่เจอ

            "พิงค์หาหนังสืออะไรอ่ะ เห็นเธอหาค้นตั้งนานแล้วน่ะ"

            "หนังสือประวัติศาสตร์อียิปต์เล่มที่ออกใหม่ล่าสุดเลยอ่ะ กัญญา ฉันเห็นอาจารย์ผกามาศซื้อมาเห็นว่าน่าสนใจพร้อมด้วยข้อมูลใหม่ทางประวัติศาสตร์อียิปต์ด้วยอ่ะ ฉันอยากได้มัน"

           "นั้นก็ค่อยๆหาน่ะ แต่มันคงจะหมดแล้วมั้ง ไม่นั้นฉันจะไปถามพนักงานให้น่ะ รอเดี๋ยว"

           "จ๊ะ กัญญา"

            กัญญาเดินจากไป ปล่อยให้พรพิงค์ค้นหาหนังสืออยู่เพียงคนเดียว และแล้วหญิงสาวเส้นดกดำยาวมาก ผิวสีขาวนวลอ่อน หน้าแหลมหนีบ เขียนขอบตาเข้มทั้งสองข้าง สวมผ้ายาวถึงพื้นสีน้ำเงินเข้ม ทาปากสีแดงชาด จึงทำให้ดูโดดเด่น เดินเข้ามาด้านข้างของพรพิงค์ เมื่อพรพิงค์หันมาทางเธอ ภาพที่พรพิงค์เห็นคือ หญิงสาวสูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายแบบอียิปต์โบราณ ใบหน้าที่ถูกเขียนขอบตาเหมือนอียิปต์ถูกน่าเกรงขาม เครื่องแต่งกายด้วยเครื่องทองที่งดงามอย่างน่าขนลุก ผ้าไหมสีขาวสะอาดตาดั่งอาภรณ์ ในมือถือคทาดอกบัว เครื่องอาภรณ์ทรงดวงตะวันแบบอียิปต์งูเห่าแผ่พังพาน แต่นัยตาของเธอกลับแสดงถึงความเป็นมิตร ยกมือขึ้นจะแตะที่ใบหน้าของพรพิงค์ 

            "คุณจะทำอะไรฉันค่ะ" 

             พรพิงค์ขยับตัวหนีแล้วชนกับหนังสือที่ฉันข้างๆจนล้ม พอพรพิงค์มองเธอคนนั้นอีกครั้ง ภาพของคนอียิปต์โบราณที่น่าสะพรึ่งกลัวกลับกลายเป็นหญิงสาวในวัยกลางคน คนหนึ่งเท่านั้นเอง 

            "หนูจ๊ะ หนูกลัวอะไรฉันหรือจ๊ะ"

           พรพิงค์เพ็งดูอีกทีก็ยังเป็นหญิงสาววัยกลางคนคนเดิม 

            "ขอโทษค่ะ หนูแค่สายตาไม่ดีเห็นหน้าของพีเป็นอย่างอื่นค่ะ"

            "สงสัยหนูคงไม่คุ้นกับคนเขียนขอบตาเข้มอย่างพี่สิ"

            หญิงสาววัยกลางคนหยิบหนังสือเล่มใหญ่ยื่นให้แก่พรพิงค์ 

            "คงเป็นหนังสือเล่มนี้ที่หนูตามหาใช่ไหมจ๊ะ"

             พรพิงค์รับไว้ 

             "ใช่ค่ะ นี้คือหนังสือที่หนูกำลังหาอยู่เลยค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะพี่"

           "หนูนี้มีสีผิวน้ำผึ้งที่สวยงามมากจริงเลยนะจ๊ะ"

            "ค่ะ ใครๆก็บอกว่าผิวของหนูสวย"

            "หนูชื่ออะไรจ๊ะ พี่อยากรู้จักรู้สึกถูกชะตาด้วย"

            "หนูชื่อพรพิงค์ค่ะ แล้วพี่สาวล่ะค่ะชื่ออะไร"

           "พี่ชื่อไอยรินทร์จ๊ะ แต่ชื่อในทางโบราณวัตถุพี่ชื่อไอซิส"

            "ไอซิสชื่อเทพีอียิปต์โบราณ"

            "หนูท่าทางจะชื่นชอบอียิปต์เอาเสียจริงๆเลย หากหนูสนใจของเก่าอียิปต์โบราณก็เชิญได้ที่ร้านของพี่น่ะ"

            ไอยรินทร์ยื่นนามบัตรให้แก่พรพิงค์ พรพิงค์รับไว้

            "ไอซิส ของเก่าโบราณ อยู่แถว..... เอ๊ะ นี่แถวบ้านหนูเลยนี้ค่ะ แสดงว่าร้านของเก่าที่พ่อเล่าว่ามีมาเปิดใหม่ก็เป็นร้านของพี่สาวนี้เอง หากหนูมีโอกาสว่างก็จะไปเยี่ยมเยือนร้านนะค่ะ"

           พอพรพิงค์เงยหน้าขึ้น แต่ไอยรินทร์หายไปเสียแล้ว 

           "เอ้า...หายไปไหนไวเหลือเกิน"

          "พรพิงค์ ฉันไปถามพนักงานประจำร้านมาแล้ว เขาดูข้อมูลจากคอมฯ แล้วน่ะ เขาว่าหนังสือเล่มนี้รับมาแค่ไม่กี่เล่มและมีคนซื้อไปหมดแล้ว"

          "นี้ไง กัญญา หนังสือเล่มที่ฉันตามหา"

          "เอ้าเธอหามันเจอได้อย่างไรอ่ะ พรพิงค์"

          "มีพี่ผู้หญิงใจดีเอามาให้ สงสัยสวรรค์คงอยากให้ฉันได้ขาย"

         พอพรพิงค์หันด้านหลังหนังสือก็ถึงกับอึ้งด้วยราคาของหนังสือที่เป็นหนังสือแปลและนำเข้ามาจากต่างประเทศรวมถึงเล่มหน้าใหญ่แถมเป็นแบบสีทั้งเล่มจึงมีราคาสูงมาก
          "ค่าขนมฉันทั้งเดือนหากจะเก็บยังไม่สามารถเก็บออมเพื่อมาซื่อหนังสือเล่มนี้ได้เลย"

          "ไม่น่าพิงค์ เดี๋ยวฉันช่วยออก"

          "ขอบใจนะกัญญา"

          จากนั้นทั้งสองก็ไปจ่ายเงินที่เคาว์เตอร์ พนักงานยิงรหัสสินค้าเสร็จถึงกับอึ้ง ทำหน้างงๆ 

          "เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะพี่"

          "คือว่าหนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือมาใหม่ซึ่งราคามันแพงมากพออยู่ แต่แปลกที่ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ระบุถึงการลดราคา เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้ เตรียมผมไปตามผู้จัดการก่อนน่ะครับ"

          พนักงานก็ได้เดินจากไป แต่ไม่นานเกินรอ ผู้จัดการก็เข้ามาตรวจข้อมูลในคอมพิวเตอร์ 

          "ดูจากข้อมูลแล้วแสดงว่านี้เป็นเล่มที่มีโปรโมทชั่นพิเศษก็ได้น่ะ ตามศูนย์ใหญ่จึงมีการให้ลดราคาถึง เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นะค่ะ"

          "จริงหรือค่ะ ดีใจจัง"

          "โชคดีจริงๆเลยนะค่ะนี้ หนังสือเล่มนี้ราคาแพงมากอยู่แต่กลับซื้อได้ในราคาที่ถูก"

         เมื่อพรพิงค์ได้หนังสือเล่มนี้มาได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนทุกอย่างเป็นใจให้เธอได้หนังสือเล่มนี้อย่างปาฏิหาริย์ พรพิงค์กับกัญญาเดินออกมาจากร้านขายหนังสือ ไอยรินทร์แอบมองสองสาวอยู่เบื้องหลังชั้นหนังสือ ใบหน้าของเธอค่อยๆกลายเป็นใบหน้าที่เขียนขอบตาแบบอียิปต์

           "แม่หนูนั้นคือการที่ฉันใช้เวทย์มนตร์ช่วยหนู เพราะฉันจะให้หนูได้อ่านหนังสือเล่มนี้เธอช่างเป็นสตรีที่งดงามเราจะสร้างวีรกรรมที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจำ ราชินีผู้มีผิวสีน้ำผึ้งดั่งทองคำ ราชาแห่งความหวานทั้งมวล "

           จากนั้นไอยรินทร์หลับตาแล้ว พอเธอลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าร้านขายหนังสือนั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นวิหารหินอ่อน พื้นนั้นมีแต่ไอของหมอกควันสีขาวขจรกระจายไปทั่วบริเวณ และแล้วรัศมีสีทองก็แผ่ออกจากร่างของเธอ เสื้อชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้มกลายเป็นชุดผ้าไหมสีขาวเครื่องอาภรณ์ทองคำประดับด้วยอัญมณี มงกุฏดวงตะวันสัญลักษณ์แห่งความเป็นเทพเจ้า ใบหน้าที่แสนจะธรรมดากลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ปรากฏตามฝาผนังแบบอียิปต์ ขอบตัวที่เขียนจนเข้มแบบอียิปต์ เธอเดินอย่างค่อยๆเข้าไปตามทางผ่านช่องแคบของเสาในวิหารไปทีละนิดทีละนิด แสงสว่างจากดวงตะเกียจที่ถูกแขวนไว้ช่วยให้มองเห็นช่องทางที่จะเดินไปได้ และแล้วความสว่างอันจ้าก็เผยออก ประตูกว้างที่อักษรจารึกแบบอียิปต์พร้อมภาพเขียนฝาผนังเป็นภาพของเหล่าเทพเจ้ามากมาย

          "หม่อมฉันไอซิส มาถึงแล้วเพคะ"

          "เข้ามาเลย ไอซิส..."

           เทพีไอซิสเดินย่างเข้าภายในแสงสว่างอันจ้านั้น พอพระองค์ล้ำเข้าไปภายในประตูแห่งแสง เบื้องหน้าคือ บัลลังก์ทองคำเป็นรูปดอกบัวหงายสัญลักษณ์แห่งจักรวาล 

          "เทพีไอซิสธิดาแห่งข้า เจ้ากลับจากการเยือนโลกมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง"

          "หม่อมฉันแต่พระสุริยเทพ บรมบิดาแห่งทวยเทพ รวมถึงสรรพชีวิตทั้งมวลในสากลจักรวาล ท่านผู้บังเกิดจากดอกบัวแห่งจักรวาล"

         และแล้วรัศมีจากบัลลังก์ทองก็ลดแสงลงจนปรากฏเป็นร่างๆหนึ่งนั่งอยู่ ร่างของบุรุษแต่งกายอย่างฟาโรห์อียิปต์โบราณแต่ศีรษะเป็นนกเหยี่ยว นัยตามีแต่ความเมตตา 

         "ไอซิสเหลนแห่งข้าจนอย่างเชยชมอะไรข้ามากไปเลย จนแจ้งแถลงสารแห่งเจ้ามาเถิดข้ารอฟังอยู่"

        "ฟาโรห์องค์ปัจจุบันในกาลเวลาของเรา กำลังขึ้นครองราชสมบัติเพคะ"

        "ฟาโรห์ถือได้ว่าเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเจ้าบ้านที่ดีจำต้องดูแลลูกบ้าน ซึ่งลูกบ้านนั้นก็คือพสกนิกรของฟาโรห์ อันกษัตริย์ที่ดีต้องอยู่ในหลักแห่งศีลธรรมอันดีงาม"

        "หม่อมฉันแต่พระบรมบิดา อันจะเป็นฟาโรห์จำต้องมีการอภิเษกสตรีนางใดนางหนึ่งขึ้นมาเป็นราชินี"

        "ข้าเห็นว่าสตรีที่เหมาะสมจำต้องมาจากสายโลหิตเดียวกับฟาโรห์ ข้าเห็นว่าพระขนิษฐาแห่งฟาโรห์เหมาะสมควรอย่างยิ่ง เพื่อที่จะเป็นการปกป้องสายเลือดบริสุทธิ์แห่งเทพเจ้าที่มีอยู่ในกายหยาบแห่งมนุษย์"

        "มันก็ถูกหม่อมฉันกับท่านพี่โอซิริสเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตกันยังได้อภิเษกเป็นฟาโรห์และราชินี นี้จึงกลายเป็นราชประเพณีการสืบสันตติวงศ์แห่งเชื่้อสายวงศ์กษัตริย์ แต่หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับการอภิเษกกันตามสายโลหิตอีกแล้วเพคะ"

       "ด้วยเหตุใดเหลนแห่งข้าจึงไม่ชอบ เมื่อมันเป็นสิ่งที่จะรักษาความเป็นสายเลือดแห่งเทพไว้ได้อย่างเข้มข้นที่สุดแล้ว"

       "แต่พระบรมบิดา จากประวัติศาสตร์องค์อดีตฟาโรห์แต่ละพระองค์พออภิเษกกับสตรีที่เป็นเชื้อพระวงศ์ หรือ พี่น้องร่วมอุทรมักจะมีเรื่องใหญ่ตามมาขึ้นสตรีกุมอำนาจในราชสำนักอันเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกในฝ่ายในเป็นบ่อยครั้ง หม่อมฉันจึงแลเห็นว่าผุ้ที่มีเหมาะสมที่จะทำให้ราชวงศ์เจริญขึ้นได้จำต้องเป็นสตรีที่อยู่เคียงข้างฟาโรห์เพคะ"

       "ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้า อันเรื่องบ้านการเมืองเป็นเรื่องของบุรุษ สตรีจะมายุ่งได้อย่างไร หรือแม่ไก่คิดจะขันแข่งกับไก่ตัวผู้หรือเช่นไร ส่วนเรื่องที่เจ้าว่าอำนาจของฝ่ายในก็เป็นจริงเห็นด้วย แต่เรามิอาจจะห้ามประสงค์ของกิเลสและตัณหาของมนุษย์ได้ไม่ แม้แต่เทพเจ้าด้วยกันเองยังแข่งขันแกร่งแย่งกันเพราะเรื่องของอำนาจเลย " 

        "อย่างเทพเซ็ตที่จะแย่งบัลลังก์ฟาโรห์โอซิริส หม่อมฉันคิดแล้วยังแค้นไม่หาย"

        "เรื่องนั้นมันก็จบไปนานแล้ว อย่างน้อยโอซิริสสวามีของเจ้าก็ได้เป็นฟาโรห์แห่งยมโลก เป็นใหญ่ในอาณาจักรเบื้องล่างแล้ว หลุดพ้นจากความริษยาแห่งเซ็ตแล้วนี้น่ะ"

       "เพคะ พระบรมบิดา"

        "ยังไง ข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่เจ้าจะให้เชื้อพระวงศ์ที่มีเชื้อเลือดลูกหลานแห่งเทพเจ้า มาอภิเษกร่วมกับสตรีต่ำศักดิ์ปุถุชนธรรมดา"

        "เพคะ พระบรมบิดา หม่อมฉันข้าทูลลา"

          "เหลนแห่งข้า อยากได้โกรธเกลียดปู่เลย มันเป็นกฎจารีตอันเหมาะและสมควรแล้ว"

         เทพีไอซิสก้มศีรษะเล้กน้อยเพื่อเป็นการทำความเคารพแล้วก้าวเดินกลับออกไปจากวิหารแห่งแสงตะวันแห่งบรมเทพบิดา ราห์ เมื่อนางออกพ้นจากประตูแห่งแสง นางทำได้รู้สึกเกิดความหงุดหงิดภายในด้านในของจิตใจ นางต้องการที่จะสร้างสิ่งที่นางคิดแล้วว่าดีงามให้บังเกิดแก่ลูกหลานซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเทพฮอรัสผู้เป็นพระโอรสแห่งเทพีไอซิส แต่แล้วความหวังดีแห่งนางกลับถูกเทพราห์ทำลายไม่มีชิ้นดี 

         "ไม่เราต้องทำอะไรบางอย่าง ราชินีผู้มีผิวสีน้ำเงินจำต้องมีทางไป พระบรมบิดาคงไม่ล่วงรู้หรอกว่าข้ากำลังจะทำอะไร ใช่แล้วมีพระองค์นั้นผู้เดียวที่จะช่วยเรา พระองค์นั้นที่จะช่วยให้ความปรารถนาของเราสำเร็จ แต่พระองค์ทรงไปอยู่ที่ไหนเล่าในตอนนี้"
       
          เทพีไอซิสกำลังจะล่วงเกินพลังแห่งกาลเวลา พระนางได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไว้ในยุคของอียิปต์โบราณ การเดินทางข้ามผ่านของกาลเวลาที่พระนางเคยกระทำผิดไว้กำลังจะหวนกลับมาให้พระนางต้องแก้ไขอีกครั้ง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×