ลำดับตอนที่ #23
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : บ้านเมืองของพรพิงค์อยู่ที่ไหน
ระหว่างการเดินทางของราชสำนักชมพูทวีปที่มุ่งหน้าสู่ประจิมประเทศ คือ อาณาจักรอียิปต์อันเกรียงไกรแห่งองค์ฟาโรห์หนุ่ม ทางด้านราชสำนักอียิปต์นั้นก็กำลังชื่นชมกับองค์ราชินีพระองค์ใหม่อย่างสุขสม เวลานี้พรพิงค์หญิงสาวจากโลกอนาคตได้กลายเป็นราชินีแห่งอียิปต์อย่างสมบูรณ์แบบ ทับทรวงที่เธอสวมตลอดเวลานั้นก็ช่างเจิดจรัสประกายแห่งรัศมีของพระแม่แห่งแผ่นดิน อันเป็นเครื่องการันตีแห่งฐานันดรของพระราชินีแห่งปฐพีอียิปต์ มงกุฎดอกบัวอัญมณี 5 สี ที่แวววาวยามต้องแสงที่มิใช่ฝีมือของช่างทำเครื่องประดับธรรมดาทั่วไป ก็ช่างเป็นประกาศแห่งเบื้องบนว่านี้คือ คนของสวรรค์ หรือ ผู้ที่เทพเจ้าได้เลือกแล้วให้เป็นองค์ราชินีแห่งอียิปต์
ไม่นานพระพันปีทรงเรียกให้พรพิงค์เข้าเฝ้าที่พระตำหนักของพระองค์ พรพิงค์รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพันปีทันทีหลังจากได้ทราบสารจากนางกำนัลของพระพันปีมาแจ้งยังที่พระตำหนักขององค์ฟาโรห์ ตอนนั้นเองพระพันปีกำลังทรงคลี่ผ้าไหมผืนสีเปลือกส้มอ่อนซึ่งเป็นผ้าไหมที่พระพันปีทรงซื้อมาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซียว่ากันว่าเป็นผ้าไหมจากเมืองจีน พรพิงค์ยืนหยุดตรงเบื้องหน้าพระตำหนัก นางกำนัลของพระพันปีเข้าไปทูลต่อพระพันปีถึงการมาของพรพิงค์
"พระพันปีเพคะ พระราชินีทรงเสด็จมาถึงแล้วเพคะ"
"ให้พรพิงค์เข้ามาได้"
พรพิงค์เดินเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบลงด้านข้างของพระพันปีอย่างน่าเอ็นดู
"ไฉนเจ้าไม่นั่งลงบนแท่นนั่งนั้นเล่า พรพิงค์"
"ไม่หรอกเพคะ ที่บ้านของหม่อมฉันเวลาจะสนทนาหรือเข้าหาผู้ใหญ่ เด็กหรือผู้ที่อายุอ่อนกว่าก็จะกระทำเช่นนี้เพคะ"
"คนของบ้านเจ้าคงเป็นผู้อ่อนโยนและสุภาพเช่นนี้ คงเป็นบ้านเมืองที่หน้าอยู่มากเลยซินะ"
"ใช่เพคะ"
"อืม เราขอถามหน่อยซินะว่า เจ้านะเป็นคนที่ไหน และมายังอียิปต์นี้ได้อย่างไรกัน"
เมื่อพรพิงค์ได้ยินคำถามนี้จากพระโอษฐ์ของพระพันปีก็สร้างความตะลึงแก่เธอได้อย่างสุดใจ
"เรื่องนั้น...มันช่างยาวมากเพคะ"
"ค่อยๆเล่าก็ได้ เราอยากจะรู้จักบ้านและเมืองของเจ้าไว้เพื่อประดับเป็นความรู้ เวลาใครถามว่า ราชินีลูกสะใภ้เราเป็นคนที่ไหนจะได้ตอบเขาได้บ้าง"
"หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันก็จะเล่าให้พระองค์สดับเพคะ บ้านของหม่อมฉันมีชื่อหลายชื่อหลายนามมากเพคะ บ้างทีก็เรียกว่า อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอโยธยา กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ เพคะ"
"ทำไมบ้านเมืองนี้มีหลายชื่อหลายนามเพียงนี้เล่า และแต่ละชื่อเราก็ไม่เคยได้ยิน และ คุ้นเคยเลย และเราควรจะเรียกชื่อไหนดีละ"
"แต่ชื่อที่เราชื่อตนเองว่า สยาม เพคะ"
"สยามหรือ ยิ่งไม่คุ้นหนัก และบ้านเมืองที่ว่าสยามนี้อยู่ที่ใดและไกลจากที่นี้มากหรือไม่"
"มันอยู่ใกล้จากที่นี้มากเพคะ บ้านเมืองของหม่อมฉันอันจริงๆมิเคยได้มายังอียิปต์นี้เลย"
"ก็ว่าอยู่เพราะแต่ละชื่อนามของบ้านเมืองเจ้านั้นช่างแปลกไม่ชินหูเราเลย"
"บ้านเมืองของหม่อมฉันอยู่ไกลแสนไกล และอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ และ เป็นเมืองกสิกรรม เรามีผลไม้และผักทานกันอย่างไม่เคยขาด มีข้าวที่ไม่เคยขาดไปจากยุ้งฉาง และแม่น้ำลำคลองก็มีมากมายหลายสายให้ประชาชนได้ตักได้ใช้อย่างมั่งคั่ง"
"หากเทียบระหว่างบ้านเมืองของเจ้ากับอียิปต์นี้อุดมสมบูรณ์เทียบกับอียิปต์ได้หรือไม่"
"บ้านเมืองของหม่อมฉันมีดินร่วงที่อุดมสมบูรณ์ทุกที่ย่อมโรยหว่างเมล็ดพันธุ์ก็ย่อมเจริญงอกงามได้ อุดมสมบูรณ์มากมายเหลือคณาเพคะ"
"อย่างนั้นเชียวหรือ"
"เราไม่เคยได้ยินคำว่า อดอยาก และหิวโหย และในน้ำมีปลาในนามีข้าว"
"และบ้านเมืองของเจ้ามีอารยธรรมเทียบเคียงกับเรา ซึ่งเป็นอาณาจักรมหาอำนาจได้หรือไม่..."
"บ้านเมืองของหม่อมฉันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดาอารักษ์พิทักษ์รักษา เรียกว่า พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ โดยอย่างยิ่งเรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงพลานุภาพที่สุด เพคะ มิได้นับถือเทพยดา เทพเจ้ามากมายเฉกเช่นศาสนาของที่นี้"
"พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง คือเทพเจ้าอะไร"
"พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง มีความสำคัญต่อบ้านเมืองของหม่อมฉันมากเพคะ เราเชื่อว่าบ้านเมืองเราอยู่กันมาอย่างสงบสุขได้อย่างสันติอย่างเนิ่นนานได้เพราะพระองค์เหล่านี้เพคะ ทรงเป็นเทวดาที่พิทักษ์รักษาบ้านเมืองเพคะ"
"และพระพุทธเจ้าคือใครเล่าเป็นเทวดาหรือ"
"มิใช่เพคะ พระองค์คือพระศาสดา"
"พระศาสดาหรือ...เขาเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนหรือ"
"ใช่เพคะ ท่านเป็นผู้สั่งสอนให้พวกเราเข้าใจหลักความจริงของโลกเพคะ"
"ความจริงของโลกหรือ...ไหนช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยว่าเป็นความจริงอย่างไรเกี่ยวกับโลก"
"พระพุทธเจ้าทรงเป็นค้นพบความจริงของโลกว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่เราเชื่อว่าเป็นจริงเพคะ"
"ไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่เราเชื่อว่าเป็นจริงหรือ อะไรกันชัดเริ่มจะงงเสียแล้ว"
"มันคือ ไตรลักษณ์ เพคะ ไตรลักษณ์คือหลักการง่ายๆที่เราใช้จับวัดในสรรพสิ่ง ทุกสิ่งย่อมมีความเปลี่ยนแปลง และเป็นสิ่งที่ทนอยู่ในสภาพเดิมมิได้ และ สุดท้ายทั้งหมดมันก็ล้วนไม่มีตัวตน เพคะ"
"หลักไตรลักษณ์ คงเป็นแนวคิดใหม่ เราจึงไม่เคยได้ยิน แสดงว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงเป็นนักปราชญ์ เราเคยได้ยินแนวคิดมามากต่อมาในที่นี้ก็ดี และดินแดนใกล้เคียงก็ดี ชมพูทวีปก็ดี แต่ไม่เคยเลยที่จะได้ยินหลักไตรลักษณ์ที่แสนประหลาดนี้"
"พระองค์เป็นที่เคารพของบ้านเมืองหม่อมฉันมากเพคะ เรายึดมั่นในหลักคำสอนของพระองค์"
"อื่นบ้านเมืองของเจ้าที่ว่า สยามนี้ ช่างน่าอยู่เสียเหลือเกินนะ ความจริงแล้วไฉนเราจึงไม่สร้างสัมพันธไมตรีกันเล่า พรพิงค์ เจ้าได้เป็นถึงราชินีแห่งอาณาจักรนี้แล้ว และคงจะดีมิใช่น้อยที่เราจะมาสร้างผนวกความสัมพันธ์กัน เฉกเช่น ชมพูทวีปที่กำลังจะมาสร้างสัมพันธไมตรีกับเรา"
เมื่อพรพิงค์ได้ยินคำตรัสของพระพันปีดังนี้แล้วก็ทำให้กับชักสีหน้าเสียเลยทันที เพราะสยามในสมัยนั้นยังไม่ก่อกำเนิดเป็นอาณาจักรเลย
"หม่อมฉันว่าเป็นเรื่องยากเพคะ"
"ยากอย่างไรกัน หากทางเจ้าไม่สะดวก เราเป็นฝ่ายไปหาบ้านเมืองของเจ้าก็ได้นะ พรพิงค์ เพียงแต่งหนังสือไปยังบ้านเมืองของเจ้าก็ไม่เสียหายอันใด เราจะนำความเจริญของเราทั้งทางแพทย์ ทางวิทยาการต่างๆไปช่วยพัฒนา"
"ที่จริงแล้ว บ้านเมืองของหม่อมฉันก็มีอารยะ และภูมิปัญญาเพคะ ส่วนเรื่องการแพทย์เราก็เป็นการแพทย์แบบประนีประนอม เราใช้สมุนไพรเป็นยา มิเคยเลยที่จะต้องใช้เครื่องมือที่ต้องผ่าและกีดร่างกายเพื่อการรักษาเหมือนที่นี่ เรามีความสามารถอยู่แล้วเพคะ"
" ตายจริงเราขอโทษ เรามิได้หมายจะดูถูกอะไรบ้านเมืองของเจ้า เราแค่อยากให้มาเป็นทองแผ่นเดียว บ้านเมืองของเจ้าอุดมสมบูรณ์กว่าที่นี้มาก เราก็จะได้ทำการค้า ซื้อข้าว ผลหมากรากไม้ของบ้านเมืองเจ้ามาค้ามาขายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องประชาชนอียิปต์ในยามถึงฤดูแล้ง เพียงเท่านั้น แต่เนื่องการสร้างความสัมพันธไมตรีมันก็ต้องมีติดการเผยแผ่วัฒนธรรมด้วยเป็นสำคัญ อย่างชมพูทวีปเขามาเจริญสัมพันธไมตรีกับเรา เขาก็นำศาสนาของเขาติดมาเผยแผ่ด้วย" พระพันปีทรงส่งสายพระเนตรด้วยความรู้สึกผิด เสมือนว่าเป็นการขอโทษพรพิงค์
"หม่อมฉันทราบถึงพระเมตตาของพระองค์เพคะ แต่หม่อมฉันเห็นว่ามันจะไม่เหมาะเพคะ"
"เจ้าปฏิเสธความห่วงใยและความปรารถนาดีแห่งเราก็ไม่เป็นไร"
"หม่อมฉันก็อยากที่สร้างความสัมพันธไมตรีนะเพคะ แต่เวลานี้หม่อมฉันแลเห็นว่า บ้านเมืองของหม่อมฉันมันยังไม่เกิดเลยเพคะ"
"อะไรนะ" พระพันปีถึงกับทรงตกพระทัย "เรางงไปหมดแล้ว เราไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด...."
"ในเวลานี้บ้านเมืองของหม่อมฉันยังไม่ก่อตัวเป็นอาณาจักรเลยเพคะ อาณาจักรทวารวดีก็คงยังไม่เกิด..."
"เช่นนั้นสรุปว่าเจ้าโกหกเราซินะ" พระพันปีตรัสด้วยความไม่พอพระทัย
"ไม่ได้โกหกเพคะ หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรเพคะ เพราะว่า....."
"พอกันที ข้าไม่ฟังแล้ว เจ้าไม่ยอมเปิดเผยบ้านเกิดเมืองนอน หรือเจ้าจะเป็นไส้ศึก พรพิงค์"
"ไม่เพคะ ไม่เป็นเช่นนั้นเพคะ" พรพิงค์พยายามที่จะทำให้พระพันปีหยุดกริ้ว
"ข้าจะไม่ฟังเจ้าอีกแล้ว ขอเจ้ากลับไปยังตำหนักของเจ้าและอยากได้มาพบข้าอีกเป็นอันขาด"
พรพิงค์ถึงกับน้ำตาไหลนองด้วยความเสียใจ สิ่งที่นางพูดเป็นความจริงทุกประการเพราะสยามประเทศ หรือ ประเทศไทยในช่วงยุคอารยธรรมโบราณนั้นประเทศไทยยังไม่มีปรากฏขึ้นเลย แม้แต่อาณาจักรทวารวดีอันเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดของสยามประเทศก็ยังคงถือว่าเป็นน้องๆรุ่นหลังของอาณาจักรอียิปต์โบราณด้วยเสียอีก....
ช่างน่าสงสารพรพิงค์จริงๆ เพราะหากนางเล่าไปตามความเป็นจริงว่านางมาจากโลกอนาคตพระพันปีทรงกริ้วหนักขึ้นเสียกว่าเดิมด้วยซ้ำ นางจึงต้องออกมาอย่างไม่เป็นท่าและกลับสู่ตำหนักขององค์ฟาโรห์อย่างเดียวดาย พระพันปีทรงถอดพระทัยอย่างหนักด้วยความกริ้วที่เชื่อว่าพรพิงค์พูดปดต่อพระองค์ แต่ไม่นานพระองค์ค่อยๆคลายความกริ้วลงแล้วทรงคิดไตร่ตรองดูอีกครั้ง
"เราไม่น่าไปสงสัยอะไรเธอเลย ดีไม่ดี เธออาจจะเป็นเทพอวตารลงมาแปลงเป็นมนุษย์ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้เทพยดาชอบเล่นตลกกับมนุษย์อยู่เสมอ"
พระพันปีทรงค่อยเช็ดหยาดน้ำตาที่ไหลรินข้างพระปรางของพระองค์ น้ำตาแห่งความเสียพระทัยไหลรินออกมาจากพระเนตรโดยมิรู้พระองค์เลย พระองค์ทรงเสียพระทัยที่ทำสิ่งนั้นไป ถึงอย่างไรพรพิงค์ก็เป็นลูกผู้หญิงเพียงคนเดียวและเธอเองก็เป็นเสมือนบุคคลของพระเป็นเจ้าไฉนต้องไปใส่ใจและสนใจมาตุภูมิและที่มาแห่งเธอเองด้วย พระพันปีทรงพับผ้าไหมนั้นอย่างเรียบร้อยใส่ยังหีบไม้
"พวกเจ้าสักคนมาช่วยเราถือหีบผ้าเมืองจากต้าฉินไปมอบแด่พระราชินีเป็นเพื่อนเราหน่อย"
นางกำนัลนางหนึ่งวิ่งเข้ามาแล้วได้ถือหีบไม้นั้นไว้ พระพันปีทรงลุกขึ้นแล้วทรงดำเนินในท่วงท่าอันสง่า ถึงในพระทัยจะเจ็บร้าวด้วยความเสียพระทัยที่ได้กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกไปนั้นกับพรพิงค์ ความกลัวเกิดบังเกิดขึ้นภายในพระทัย พระพันปีทรงดำเนินมุ่งไปยังพระตำหนักองค์ฟาโรห์ซึ่งในวันนี้องค์ฟาโรห์ทรงมิได้ประทับอยู่ด้วยมีเหตุต้องไปประทับยังชานนครเพื่อเตรียมการต้อนรับคณะราชทูตจากชมพูทวีปซึ่งจะมาถึงอียิปต์ในไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนพรพิงค์ยังคงร้องไห้ด้วยความตกใจกลัวและความอึดอัดใจที่นางมิอาจจะบอกใครได้ พระพันปีมาถึงยังพระตำหนักแล้ว นางกำนัลประจำพระตำหนักก็เข้าไปแจ้งแก่พรพิงค์ พรพิงค์ซึ่งกำลังร้องไห้อย่างหนักก็ต้องรีบล้างหน้าล้างตา และทำตัวเป็นปกติ ให้นางกำนัลทูลเชิญพระพันปีเข้ามาภายในพระตำหนัก พรพิงค์จัดเตรียมเบาะอันนุ่มนิ่มวางบนพระแท่นและกล่าวเตือนนางกำนัลอีกคนให้นำพัดขนนกยูงอันใหญ่มาพับถวายแด่พระพันปี เมื่อพระพันปีเข้ามาภายใน พรพิงค์ก็ทูลเชิญในทรงประทับบนพระแท่นอันจัดเตรียมไว้ดีแล้ว
"ดีจริงแท้ เวลาเราไปบ้านใคร ตำหนักใครเขาก็ไม่ได้ถูกต้อนรับดีเช่นที่แห่งนี้" พระพันปีตรัสอย่างพึงพอพระทัย
"พระพันปีทรงมีพระประสงค์อันใดหรือเพคะ"
พระพันปีทรงยื่นพระหัตถ์ไปต้องจับแก้มของพรพิงค์อย่างเอ็นดู "ดวงตาอันสวยงามของจังช้ำคงเสียใจมากซินะ..."
พรพิงค์ไม่กล่าวตอบอะไรทั้งสิ้นกลายเป็นว่าน้ำเต็มปากหรือไม่ก็จมดิ้นลงสู่ความเงียบ
"เราขอโทษเจ้า ที่ทำเช่นนั้นไป เราเพียงสงสัยในตัวเจ้าเพียงเท่านั้นจึงใคร่อยากถามให้รู้ความ แต่ไม่เป็นไร อันที่จริงเราก็ผิดมิสมควรไปสงสัยอะไรกับ บุคคลของพระเป็นเจ้า"
มงกุฎดอกบัวอัญมณี 5 สี เจิดจรัศเรืองขึ้นดั่งมันจะเตือนว่าสิ่งที่พระพันปีทรงกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ "โอ้ เราผิดไปแล้ว พรพิงค์ โปรดอย่าได้เสียใจไปเลย เดี๋ยวพระเป็นเจ้าทรงลงทัณฑ์เรา"
รัศมีแห่งอัญมณี 5 สี ส่องแสงอย่างรุนแรงสลับกันไปดุจสัญญาไฟของเครื่องจักร และแล้วเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในหูของพรพิงค์
"พรพิงค์ เจ้าจงอย่าได้บอกความจริงว่า เจ้ามาจากอนาคตเป็นอันขาด"
พรพิงค์จำเสียงนั้่นได้ เสียงนั้นคือพระสุรเสียงแห่งพระเทพีไอซิสนั้นเอง พรพิงค์มอบรอยยิ้มแด่พระพันปี รัศมีจากมงกุฎนั้นก็หายไปบัดดล
"ทรงอย่าได้ตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ พระเทพีไอซิสทรงเคยกำชับต่อหม่อมฉันไว้ว่า อย่าได้บอกถึงที่มาของหม่อมฉันเพคะ มันเป็นความลับของสวรรค์"
"หากเป็นพระประสงค์แห่งพระเทพีเจ้า เราก็จะยืนยันว่า เราจะไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับที่มาของเจ้าอีก"
พระพันปีมองไปยังนางกำนัลคนสนิทซึ่งนั่งอยู่ข้างๆโดยถือหีบไม้ไว้
"เจ้านำหีบนั้นมาให้ข้าที"
"เพคะ"
พระพันปีทรงรับหีบนั้นไว้แล้ววางบนพระเพลาของพระองค์แล้วจึงปิดหีบนั้นออก ผ้าไหมอันเงางามผืนสีเปลือกส้มอ่อนงดงามจนทำให้นึกถึงส้มทองยามสุกคาต้น
"ช่างงามเหลือเกินเพคะ"
"ผ้าผืนนี้เราซื้อมาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซียเมื่อไม่นานมานี้ เขาว่ากันว่ามันเป็นผ้าไหมมาจากอาณาจักรต้าฉิน เขาว่ากันว่าอาณาจักรนี้อยู่ไกลแสนไกลนะ และอากาศที่นั้นก็หนาวเย็นผิดกับที่นี้ที่ร้อนจะเป็นจะตาย จะว่าไปก็เป็นอาณาจักรมหาอำนาจเหมือนกันนะ "
"หม่อมฉันรู้จักอาณาจักรแห่งนั้นเพคะ อาณาจักรต้าฉิน มีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่มากเพคะ"
"เจ้าช่างรอบรู้เสียจริง เป็นพหูสูตรหรือเช่นไรกัน"
พรพิงค์หัวเราะเบาๆ "เพคะ"
"เราตั้งใจซื้อผ้าไหมจากแดนไกลผืนนี้หวังจะมอบให้เจ้า จะใช้ตัดเป็นชุดใหม่เพื่อแต่งเป็นการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจากราชสำนักชมพูทวีป"
พระพันปีปิดฝาหีบลงแล้วยื่นหีบไม้นั้นแก่พรพิงค์ พรพิงค์ขึ้นมือขึ้นพนมเป็นการขอบคุณ
"ขอบพระทัยเพคะ" พรพิงค์รับหีบอันบรรลุผ้าไหมนั้นไว้อย่างยิ้มแย้ม
"วันนั้นที่ราชทูตราชสำนักชมพูทวีปมา วันนั้นเจ้าคงสวยที่สุดเหมือนผลส้มอันสุกทอง"
"เพคะ"
พระพันปีชวนพรพิงค์สนทนากันตลอดทั้งวันไปเรื่อยจนถึงพลบค่ำ พระพันปียังชวนพรพิงค์ไปร่วมอธิษฐานขอพรจากพระเทพีไอซิสยังวิหารส่วนพระองค์ โดยพระพันปีแลเห็นว่า พรพิงค์เป็นบุคคลแห่งพระเทพี พระเทพีไอซิสคงจะทรงรับฟังคำอธิษฐานของนางเป็นพิเศษ พระพันปีทรงจุดกำยานจากรากไม้หอม ดอกไม้สดต่างๆนานาถูกนำมาจัดที่แท่นบูชาอย่างงดงาม ควันเครื่องหอมล่องลอยไปทั่วเทวรูปแห่งเทพีไอซิส ดวงประทีบต่างส่องสว่างไสว ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง พระพันปีสงบจิตลงแล้วทรงอธิษฐานต่อเทวรูปอันเป็นสิ่งแทนพระเทพีไอซิส พรพิงค์ก็ทำตามเช่นกัน ภายในวิหารอันเงียบสงบแต่มีเพียงคำอธิษฐานเท่านั้นที่ดังขึ้นภายในพระทัยของพระพันปีและในจิตใจของพรพิงค์ด้วยเช่นกัน และหวังว่าพระเทพีเจ้าจะทรงรับฟังคำขอพรให้อียิปต์รุ่งเรืองตลอดรัชกาลปัจจุบัน แต่ในใจของพรพิงค์ได้แอบขอพรหนึ่งไป คือ ขอให้ครอบครัวของเธอในอีกมิติหนึ่งของกาลเวลาจงมีความสุขและอย่างได้มีความทุกข์เพราะจากการหายไปของเธอ เพราะเธออยู่ทางนี้มีสุขดี มีคนที่รักเธอและเธอเองก็ได้อยู่กับคนที่เธอรักอย่างสงบสุข ซึ่งในทางฝั่งหนึ่งของกาลเวลา ครอบครัวของพรพิงค์ก็ยังคงรอคอยการกลับมาของเธออย่างไม่ลืมเลืองลูกสาวอันเป็นที่รักสุดหัวใจ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น