ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - (exo) lone wolf | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #27 : L O N E W O L F | Kill them with kindness.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.36K
      92
      3 เม.ย. 60


    ? cactus




    Chapter 22

    Kill them with kindness.

    (จงเอาชนะเขาเหล่านั้นด้วยความเมตตา)






              “อา... รู้แล้ว”


              ชายหนุ่มร่างเล็กก้าวเร็ว ๆ ไปบนถนนซึ่งคลาคล่ำด้วยผู้คน แสงไฟหลากสีสันตกกระทบผิวถนนลาดยางมะตอย ก่อให้เกิดลวดลายคล้ายผ้ามัดย้อมจากประเทศเขตร้อน โซลไม่เคยมืดมิด และไม่มีตารางนิ้วใดที่ไร้ผู้คน ต่างจากที่ที่เขาจากมาอย่างสุดขั้ว แม้เป็นมหานครร่วมสมัยเดียวกันก็ตาม


              “จงอินสบายดี แน่อยู่แล้ว” แบคฮยอนตอบอย่างอารมณ์ดี “นี่... เขาเป็นพ่อคนแล้วนะ ใจเย็นกว่าแต่ก่อนแยะ นายต่างหากที่น่าเป็นห่วง”


              ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลทอง หยักศกอย่างสมัยนิยม ชายหนุ่มร่างเล็กหัวเราะกับโทรศัพท์มือถือของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย “รู้แล้ว พวกเรารักนายนะ ดูแลตัวเอง... จงแด”


              เขาหยุดอยู่ท่ามกลางร้านรวงในตลาดเมียงดงครู่หนึ่ง วางสายและสอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ เมื่อสังเกตเห็นสินค้าที่ต้องการก็ตรงเข้าไปต่อรองราคา แบคฮยอนกลับจากร้านขายของเล่นสำหรับเด็กพร้อมกับเครื่องครัวพลาสติกสีสันสดใสชุดหนึ่ง เป็นของขวัญวันเกิดสำหรับหลานสาวบุญธรรมอายุสองปี...


              “อาหารเย็น... อาหารเย็น” ชายหนุ่มร่างเล็กพึมพำกับตัวเองขณะมองรอบ ๆ อีกครั้ง “อาหารเย็นของฉัน”


              กลิ่นหอมของขนมปังดึงดูดความสนใจของเขา แบคฮยอนเดินทอดน่องไปยังที่มาของกลิ่น ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนแผงขายอาหาร


              “บาแก็ตไหมครับ” พ่อค้าผายมือไปยังขนมปังฝรั่งเศสขนาดเหมาะมือ ผิวเป็นสีเหลืองด้วยเนยซึ่งวางเรียงรายในตะกร้า “บาแก็ตไหมครับ อบใหม่ ๆ เชียว”


              “ไม่ล่ะ... ” ลำคอของเขาเกิดตีบตันขึ้นชั่วขณะ “ไม่ล่ะ... ไม่ดีกว่า ขอบคุณครับ”


              เกือบสามปีแล้วนับแต่จากเปียงยางมาในวันแห่งหายนะ แบคฮยอนไม่แตะต้องบาแก็ต ซุปหัวหอม หรือนมแพะอีกเลย


              เขากลับถึงที่พักซึ่งเป็นแฟลตกลางเก่ากลางใหม่ชานกรุงโซลเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ภายในเงียบสนิท แม่ของจงอินหลับสนิทอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของห้องรับแขก ขดตัวบนที่นอนค่อนข้างเก่าซึ่งชายหนุ่มทั้งสองตั้งใจจะซื้อหามาใหม่ในไม่ช้า แบคฮยอนถอดกางเกงยีนส์รัดรูปออกและเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นแบบลำลอง ถุงพลาสติกบรรจุไก่ทอดและเบียร์สองกระป๋องส่งเสียงกรอบแกรบเมื่อเขาเดินไปที่หน้าประตูห้องข้าง ๆ และเคาะเป็นจังหวะสามครั้ง


              พี่ชายบุญธรรมชะโงกใบหน้างัวเงียออกมาก่อน “มาเอาป่านนี้ หิวจะแย่แล้ว” พ่อลูกหนึ่งว่า “ไหนล่ะอาหาร”


              “ไก่ทอดกับเบียร์”


              “ไก่ทอดกับเบียร์เรียกว่าอาหารเรอะ”


              “เรื่องมาก” ชายหนุ่มร่างเล็กว่า “รู้หรอกน่าว่าชอบอย่างนี้ ถึงได้ซื้อมาระหว่างที่จีวูไม่อยู่ อ้อ... ” เขาส่งถุงตาข่ายซึ่งมีเครื่องครัวพลาสติกอยู่ภายในให้อีกฝ่ายด้วย “ของขวัญวันเกิด... สำหรับยายหนู แกหลับหรือยัง”


              “เป็นชาติแล้ว แต่ก็ขอบใจนะ”


              จงอินเดินนำเขาไปยังครัวแคบ ๆ ด้านหลังติดกับลานซักล้าง คนทั้งสองนั่งขัดสมาธิกับพื้นหินขัดซึ่งเย็นเยียบแม้กลางฤดูร้อน อีกฝ่ายฉีกกล่องกระดาษบรรจุไก่ทอด ก่อนเปิดกระป๋องเบียร์ด้วยท่าทีสดชื่นยิ่งขึ้น


              “ทำเหมือนไม่เคยเห็นไก่ทอด”


              “ก็จีวูให้ฉันงดนี่”


              พี่ชายบุญธรรมของเขาแต่งงานกับสัตวแพทย์ชาวซีฮึงภายในครึ่งปีหลังกระเสือกกระสนจากค่ายกักกันที่สิบสี่มาถึงโซล เป็นความโชคดีอย่างหาตัวจับยาก อีจีวูไม่ช่างพูดนัก ทว่าขยันขันแข็ง ท่าทางกระฉับกระเฉงและแจ่มใสอยู่เสมอ สามเดือนหลังพิธีแต่งงาน ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลก็กระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ ลานอเนกประสงค์ของแฟลต บอกใครต่อใครว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคน


              “อย่าให้จีวูรู้แล้วกัน”


              จงอินดื่มเบียร์อึกหนึ่ง “ยายนั่นจะไม่กลับมาที่นี่จนตะวันไชก้น ทำหมันแมวน่ะ ให้ตายสิวะ เธอรักเจ้าสี่ขาหน้าขนพวกนั้นมากกว่าฉัน หรืออาจมากกว่ายายหนูเสียอีก”


              แบคฮยอนหัวเราะกับถ้อยคำตัดพ้อเหล่านั้น “ที่บริษัทเป็นยังไง ไปได้สวยไหม”


              เขาหมายถึงบริษัทผลิตเหล็กและเหล็กกล้าซึ่งรับพี่ชายบุญธรรมเข้าทำงานเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีประสบการณ์ทำงานในเหมืองเหล็กกว่าทศวรรษ เดี๋ยวนี้จงอินไม่ต้องตรากตรำอย่างแต่ก่อน เพียงแต่ต้องเดินทางไปยังเมืองโปฮัง ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทซึ่งอยู่ห่างจากโซลราวสามชั่วโมงเป็นระยะ ๆ เท่านั้น


              “แกล่ะ” พี่ชายบุญธรรมถามไถ่ถึงอาชีพนักแปลของเขา “แม่ว่ารักงานพอ ๆ กับที่จีวูรักคลินิก”


              “ก็ฉัน... ไม่รู้จะรักใครหรืออะไรนี่”


              จงอินไม่พูดอะไร นอกจากดื่มเบียร์อย่างเงียบ ๆ และแทะไก่ทอดด้วยท่าทางที่แบคฮยอนมั่นใจว่าหากอีจีวูเห็นเข้าเสียก่อน จะไม่แต่งงานกับชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเป็นอันขาด “ฉันเพิ่งโทรศัพท์หาจงแด” เขาทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดใจนั้นลง “หมอนั่นก็ไปได้สวย”


              “กับเด็กรับใช้มินซอกนั่นน่ะเรอะ”


              “เดี๋ยวเถอะ มินซอกเป็นครูแล้วต่างหาก” ชายหนุ่มร่างเล็กโต้ “อี้ชิงกับจื่อเทา ยังทำอะไรเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนเคย ฉันล่ะเป็นห่วงจงแด... ”


              อดีตคนรักไม่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับพวกเขาในโซล จงแดตัดสินใจลงหลักปักฐานในหยานจี๋ ร่วมเป็นร่วมตายกับพ่อค้าของเถื่อนและลูกพี่ลูกน้อง  นำส่งชีวิตอื่น ๆ จากปิตุภูมิสู่ประเทศเสรี และไม่นานเกินรอหัวใจที่ว่างเปล่าก็ถูกเติมเต็มด้วยอดีตเด็กรับใช้ซึ่งอ่อนกว่าตัวเองถึงสิบปี


              “ไม่รู้ที่โน่นเป็นยังไง”


              แบคฮยอนส่ายหน้า “เหมือนเคย... สองตระกูลหายวับไปในไม่กี่ชั่วโมง ฐานอาคารที่ทำการพรรคแรงงานยังไม่กระเทือน”                                            


              ชายหนุ่มร่างเล็กยังติดตามข่าวสารจากประเทศลับแลที่จากมาเสมอ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามที่เคยขนาบข้างประธานาธิบดีถูกแทนที่ด้วยร้อยโทชเวซึงฮยอนซึ่งไต่เต้าเป็นพันตรีอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าพันตรีหน้าใหม่ก็มักมีเด็กชายคนหนึ่งในอ้อมแขน โดยอดีตเจ้าสาวของชานยอลยืนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ไม่ไกล เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวจากตระกูลซงที่ล่มสลายนั่นเอง


              เขาพบกูยอนและคยองซูด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งสองหลบหนีจากประเทศเมื่อตาและยายของชานยอลเสียชีวิต จีซูจากไปแล้วภายในปีแรกหลังจากวันแห่งหายนะด้วยโรคหัวใจ และอย่างที่อีกฝ่ายบอก... แบคฮยอนยังพบพลขับผู้รับเคราะห์แทนอดีตผู้บังคับบัญชาเสมอในความทรงจำ


              “ร้อยเอก... ปาร์คชานยอล” เมื่อจงอินเอ่ยชื่อนั้น แบคฮยอนก็รู้ว่าอีกฝ่ายเมาเสียแล้ว “เขาไม่เคย... หลบหนีมาใช่ไหม อี้ชิงว่ายังไง... ”


              ผู้ติดตามจอมปลอมส่ายหน้าอย่างเศร้า ๆ “ทั้งอี้ชิง จื่อเทา และจงแด ไม่มีใครพบเขาอีก และฉันเองก็คงไม่แตกต่าง”


              “ยังคิดถึงเขาอยู่อย่างนั้นใช่ไหม”


              เบียร์กระป๋องกลับขมฝาดกว่าปกติ “ฉันยังมองหาเขาในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ”


              ไก่ทอดในกล่องกระดาษพร่องไปไม่น้อย ไม่ช้าก็เหลือแต่ไก่ทอดรสเผ็ดที่จงอินไม่ชอบ “รู้ใช่ไหม” พี่ชายบุญธรรมบอกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ว่าเขาอาจ... ตายไปแล้วจริง ๆ ”


              แบคฮยอนหลับตาลง เขารู้ว่ากระสุนของซอนบีจะไม่พลาดเป้า เช่นเดียวกับกระสุนของชายหนุ่มร่างสูง


              “ฮื่อ... ” กระทั่งพยางค์สั้น ๆ นั้นก็สั่นเครือ


              “แบคฮยอน”


              “ปล่อยให้ฉันมีความหวังต่อไปเถอะจงอิน” ชายหนุ่มร่างเล็กบอกอย่างปวดร้าว “ต่อให้เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ต่อให้... ”


              “ได้... ได้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันขอโทษ”


              “ฉันรู้ว่าฉันเคยฉลาดกว่านี้” เขาวางตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งลง “แต่... จนเดี๋ยวนี้นมแพะยังมีกลิ่นคาว บาแก็ต ซุปหัวหอมยังชวนให้คลื่นไส้ กระทั่งเหล้าโสมก็น่าขยะแขยง ฉันปฏิเสธทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา ที่ชวนให้โหยหาเขา ทำอย่างนั้นมาตลอดสามปี ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับได้ยากเหลือเกิน ว่า... ”


              “ฉันเข้าใจ... เข้าใจจริง ๆ นะ”


              “ว่าเขาจะไม่กลับมาแล้ว จงอิน” แบคฮยอนซุกใบหน้ากับอกของพี่ชายบุญธรรม ตัวสั่นคล้ายนกเล็ก ๆ ที่ตกจากรังในฤดูหนาว “เขาจะไม่กลับมาแล้ว”


              “ฉันไม่จะเร่งรัดแกให้เริ่มต้นใหม่ จะไม่มีวันทำอย่างนั้นเลย สบายใจได้”


              “ขอบใจ... ขอบใจ จงอิน”


              ดวงตาของเขาจดจ้องที่ดาวเหนือ อีกนัยหนึ่งคือจดจ้องไปยังทิศเหนือ ที่ซึ่งจากมาและไม่อาจกลับไป แม้จะทิ้งหัวใจไว้อย่างไม่มีวันได้กลับคืนก็ตาม


              “แต่ก่อนเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดในเปียงยาง” แบคฮยอนพึมพำ “เดี๋ยวนี้เขาเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในความทรงจำเกี่ยวกับนรกนั่น... ตลกดีนะ ว่าไหม”


              ได้กลิ่นเบียร์จากลมหายใจของชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเมื่ออีกคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นและจดจ้องที่ดาวดวงเดียวกัน “ปีศาจจะไม่เป็นปีศาจอีกต่อไปเมื่อไหร่กัน”


              ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจ เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว...


              “เมื่อเรารักมันยังไงล่ะ”

     






              หนึ่งเดือนหลังจากนั้น แบคฮยอนทุ่มเทกับงานแปลอย่างถวายชีวิต เขาคุ้นเคยกับความโหยหาซึ่งพลุ่งพล่านขึ้นเป็นระยะดีตลอดสามปีที่ผ่านมา ที่ต้องทำคือจดจ่อกับหน้าที่ของตัวเองยิ่งขึ้นเท่านั้น แล้วความยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวันจะบีบคั้นให้ถอยห่างจากความว้าวุ่นใจที่ไม่จำเป็นโดยอัตโนมัติ


              “จะไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม”


              แบคฮยอนพยักหน้าแม้รู้ว่าจงอินไม่อาจรับรู้ “สามปีแล้วที่ฉันได้แต่มองนัมซานทาวเวอร์จากที่ไกล ๆ ให้ฉันได้อยู่ที่นี่สักพักเถอะ จะได้รู้เสียทีว่านักท่องเที่ยวติดอกติดใจอะไรนัก”


              แม้จะพูดอย่างนั้น ทว่าชายหนุ่มร่างเล็กรู้เสียก่อนจะโทรศัพท์หาพี่ชายบุญธรรมเสียอีก กรุงโซลเมื่อมองจากนัมซานทาวเวอร์หรือหอคอยเอ็นโซล สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงนั้นน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่คาด ชวนให้เขานึกถึงที่สูงในตำบลมูซานซึ่งอาจมองข้ามแม่น้ำทูมันไปยังฝั่งตรงกันข้ามได้ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง


              เขาควรจะมาที่นี่เสียนานแล้ว แบคฮยอนคิดอย่างนั้นขณะสูดหายใจเข้าลึก เก็บเกี่ยวกลิ่นอายของความรักและความสนุกสนาน คู่รักต่างพากันตรงไปยังสะพานคู่รักที่อยู่ไม่ไกลนัก ห่อร่อต่อกระซิกในอากาศอบอุ่นกลางฤดูร้อน ชายหนุ่มร่างเล็กส่ายหน้าขณะเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนนัก เขาไม่เพ้อพกกับความรักอย่างหนุ่มสาวอีกแล้วเมื่อที่ผ่านมาพัดพารสชาติแห่งความหวานชื่นไปจากความรู้สึกอย่างไม่อาจหวนกลับ


              “ที่รัก เขียนชื่อของเธอตรงนี้สิ”


              สะพานแห่งนั้นเต็มไปด้วยเสียงกรุ๋งกริ๋งจากแม่กุญแจหลายดอก คู่รักต่างเขียนชื่อของคนทั้งสองและคำอธิษฐาน บ้างเป็นคำสัญญาบนแม่กุญแจนั้น และโยนลูกกุญแจทิ้งไป แบคฮยอนไม่เข้าใจวัฒนธรรมนี้นัก ใช่เพียงแต่เขา แต่ยังรวมถึงจงอินด้วย... คล้ายกับว่าโศกนาฏกรรมที่ได้สู้รบปรบมือมาอย่างถึงเลือดถึงเนื้อได้พรากอารมณ์อ่อนไหวไปทั้งหมด


              “คุณครับ” ท้ายที่สุด ชายหนุ่มร่างเล็กก็สะกิดสะเกาคู่รักที่อยู่ใกล้ที่สุด “ผมต้องทำยังไงบ้าง”


              คนทั้งคู่หันมาหาเขา ก่อนสบตากันอย่างประหลาดใจ คงไม่บ่อยนักที่แม่กุญแจถูกคล้องกับราวสะพานด้วยตัวคนเดียว เพียงแต่ชายหนุ่มร่างเล็กไม่แยแส เขาไม่เชื่อในโชคชะตาอีกแล้วเมื่อ...


              “อะไรกัน... ”


              ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้เขียนชื่อของตัวเองและใครคนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้พบอีกแล้วบนแม่กุญแจ สายตาอันระแวดระวังกลับเหลือบเห็นแม่กุญแจสีเหลืองสด มีตัวอักษรสีดำสนิทโย้เย้เขียนด้วยปากกาหมึกซึมว่าไอ้ลูกหมาจากย่านมุนฮุง กับ Der Lügner (คนโกหก) จากเหมืองเหล็ก


                หัวใจของเขาเต้นแรงขณะพลิกดูอีกด้านหนึ่งและอ่านคำอธิษฐาน เป็นสามพยางค์สั้น ๆ ที่กลับทำให้ดวงตามีน้ำตารื้น


              อย่าตายนะ


                แบคฮยอนยกมือทั้งสองขึ้นปิดริมฝีปากของตัวเอง


              “อย่าตายเป็นอันขาด แบคฮยอน โดยเฉพาะอย่าตาย... เพราะเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อฉัน ไปจากที่นี่และขอให้มีความสุข เริ่มต้นใหม่และอย่าหันกลับมา”


                ความทรงจำที่ให้รสหวานปนฝาดบนลิ้นพรั่งพรู


              “หลงตัวเอง”


                “ฉันรู้”


              “และโง่ที่สุด”  ทั้งที่เป็นกลางฤดูร้อน ทว่ามือของเขากลับเย็นเฉียบคล้ายกับในวันนั้น วันที่หิมะตกราวจะทดแทนน้ำตาของคนทั้งสอง “เพราะฉันตายไปแล้วตั้งแต่บอกว่ารักนาย ด้วยความเคารพ ร้อยเอกปาร์คชานยอล”


                ด้านล่างข้อความนั้นลงวันที่ซึ่งยิ่งทำให้ดวงตาของแบคฮยอนเบิกโพลง เพราะเป็นสามเดือนก่อนนี้เอง!


              ไม่รู้ว่าเขาวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่เพื่อกลับไปที่ทางเข้า และร้องขอชื่อผู้มาเยือนนัมซานทาวเวอร์หรือภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อสามเดือนที่แล้วจากเจ้าหน้าที่ ชายหนุ่มร่างเล็กหกล้มถึงสองครั้ง และพูดกับเจ้าหน้าที่ทั้งสามด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น ลงเอยด้วยการทะเลาะวิวาท ก่อนเดินคอตกกลับที่พักด้วยมือเปล่า


              ความทรงจำเกี่ยวกับแม่กุญแจสีเหลืองสดไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างเล็กเป็นอิสระเลยตลอดสัปดาห์นั้น แบคฮยอนนอนไม่หลับ และกระสับกระส่ายเกินกว่าจะกินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จงอินพยายามถามไถ่ เพียงแต่เขาไม่มีคำตอบจะให้ กรุงโซลอาจเล็กนิดเดียวสำหรับคู่รักบางคู่ แต่อาจใหญ่โตเหลือเกินสำหรับแบคฮยอนที่ไม่คุ้นเคยกับความเมตตาจากเทพเจ้าแห่งโชคชะตาเลยนับแต่ลืมตาดูโลก


              ไม่รู้ความรู้สึกใดบงการเขาให้พาตัวเองมาหยุดที่ด้านหน้าแผงลอยเล็ก ๆ ขายบาแก็ตสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นฉุยฉายอีกครั้ง อาจเป็นความโหยหาหรือความหมดอาลัยตายอยาก หรือทั้งสองอย่าง กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างเล็กก็พบตัวเองบนเก้าอี้สามขาใกล้กับเตาอบของพ่อค้าซึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางใจดีแล้ว


              “บาแก็ตที่หนึ่ง” แบคฮยอนสั่งอย่างที่ไม่ว่าใครก็เดาอารมณ์ไม่ถูก “มีเครื่องดื่มหรือเปล่า”


              อีกฝ่ายแจกแจง ซึ่งเขาสั่นศีรษะให้กับรายการเครื่องดื่มทั้งหมดนั้น บ้า... ชายหนุ่มร่างเล็กอดค่อนแคะในใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่เป็นความจริงก็ตาม ใครเขาเคี้ยวบาแก็ตแกล้มโซจู บาแก็ตน่ะ ต้องกินกับ...


              “อ้อ คุณจะรับเป็นชุดบาแก็ต นมแพะ กับซุปหัวหอมไหมล่ะ”


              แบคฮยอนถึงกับสะดุ้งเฮือก “คุณว่าอะไรนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กละล่ำละลัก “ชุดอะไรนะ!


              “ก็บาแก็ต นมแพะ กับซุปหัวหอม” พ่อค้าเกาศีรษะแกรก ๆ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”


              “ไม่มีใครทำอย่างนี้ ไม่ใครกินอย่างนี้” เขากระซิบอย่างคนที่สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่มีใครหรอก นอกจากเขา... ”


              “คุณจะสั่งหรือเปล่าล่ะ”


              “สั่ง... ใช่” แบคฮยอนรีบพูด ก่อนคว้าข้อมือของอีกคนหนึ่งไว้ “และได้โปรด บอกผม... เพราะอะไรถึงมีอาหารชุดนี้ในรายการ ผมไม่เชื่อเป็นอันขาดว่าคุณคิดขึ้นเอง”


              เพียงแต่พ่อค้ากลับให้คำตอบซึ่งลิดรอนความหวังของเขา “โอ้โฮเฮะ ดูถูกกันชัด ๆ เลยนี่หว่า” อีกฝ่ายถูจมูกซึ่งกลายเป็นสีแดงจัดแรง ๆ ก่อนเสริมด้วยการรำพึงรำพันซึ่งทำให้หัวใจของแบคฮยอนโลดเต้นอย่างอยู่ไม่สุข “แต่... ประหลาดชะมัด คุณพูดถูกนะ”


              “หมายความว่ายังไง”


              “ผมไม่ได้คิดขึ้นเองหรอก” พ่อค้าอธิบาย “แต่เป็นหลานชายของผม... เขามาจากทางเหนือน่ะ”


              “ทางเหนือ” แบคฮยอนแทบจะขย้อนความตื่นเต้นออกมา “ทางเหนือ... เหนือแค่ไหน”


              ลมหอบหนึ่งพัดมา ชายหนุ่มร่างเล็กได้กลิ่นบางอย่าง... กลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นชื้น ๆ เย็นเยือก อย่างที่มีแต่กลุ่มหมอกเหนือแม่น้ำแทดงเท่านั้นจะเป็น เคล้ากลิ่นบุหรี่... กลิ่นบุหรี่ฉุนเฉียว ไม่เหมือนบุหรี่อื่น ๆ ในท้องตลาด ปนเปกันมากกว่าชนิดเดียว บุหรี่ที่ใครคนหนึ่งจุดสูบในวันที่ทำร้ายเขาด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ และบุหรี่ที่แบคฮยอนเองเคยสูบ ก่อนพ่นลงไปในลำคอของใครคนที่ว่า...


              ปาปิรอสซ่าเบโลมอร์คานาล และบุหรี่มวนด้วยกระดาษจากโรดง ซินมุน


              ที่หางตา ชายหนุ่มร่างเล็กอุปทานเห็นเครื่องแบบสีเข้ม แบคฮยอนหันขวับ ก่อนดวงตาทั้งสองจะรื้นด้วยน้ำตา ซึ่งท้ายที่สุดก็หยดลงอย่างรวดเร็วในไม่กี่อึดใจ


              “คุณถามว่าเหนือแค่ไหนอย่างนั้นหรือ”


              “ใช่... ” แบคฮยอนกระซิบกับชายคนนั้น... สูงใหญ่กว่าชายชาวเอเชียทั่วไป ที่ริมฝีปากล่างมีรอยบากลึกจากอุบัติเหตุในวันวาน


              “ก็เหนือกระทั่งแม่น้ำฮันเปลี่ยนเป็นแม่น้ำแทดง” อีกคนหนึ่งให้คำตอบ “แต่ไม่เหนือไปกว่าแม่น้ำทูมัน ที่ผมได้รับรู้ถึงหัวใจของคุณผ่านมือที่ยื่นลงมาในน้ำเย็นจัด... ”


              โดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายถามไถ่หรือให้คำตอบมากกว่านั้น ชายหนุ่มร่างเล็กโถมตัวเข้าใส่อีกฝ่าย และอดีตนายทหารชั้นสัญญาบัตรแห่งโชซอนอินมินกุนก็กางแขนออกในวินาทีเดียวกัน...


              “บยอนแบคฮยอน พร้อมรับคำสั่งครับท่าน” เขาพูดกับอ้อมแขนที่คุ้นเคย


              ชานยอลส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “จากนี้ไปจะอยู่ข้าง ๆ ผมได้หรือเปล่า ผู้ติดตามบยอน”


              แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น สบตาอดีตผู้บังคับบัญชาอย่างแน่วแน่ ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวกว่าดาวเหนือที่เขาจ้องมองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเสียอีก


              “ได้” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดเสียงเครือ “ได้ทุกอย่าง... ได้ทุกเมื่อ ได้ตลอดไป”


              สุ้มเสียงและสีสันของตลาดเมียงดงเหือดหายไป พร้อมกับริมฝีปากที่ทาบทับลงมาอย่างโหยหา เกิดเป็นจุมพิตอันอ่อนหวานและอ้อยอิ่ง ราวจะชดเชยกว่าสามปีที่ไม่รู้เหนือใต้ สามปีที่แยกจากกันด้วยกลอันแสบสันของเทพเจ้าแห่งโชคชะตา


              เขาและชานยอลเคยประหัตประหารกันอย่างเป็นเอาตาย แล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จักอิ่มจักพอ คนทั้งคู่เติบโตขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ทารุณ และปวดร้าว คล้ายสุนัขป่าเดียวดายที่ต่างกระโจนเข้าโรมรันเพื่อความอยู่รอดมากกว่าอย่างอื่น


              เพียงแต่ท้ายที่สุด ในความเหน็บหนาวและอ่อนล้า สุนัขป่าทั้งสองได้เรียนรู้... ว่าอาวุธที่ทรงอานุภาพกว่าอาวุธใดไม่ใช่เขี้ยวหรือเล็บอันคมกริบ แต่เป็นหัวใจอันอารี... คุณสมบัติยิ่งใหญ่ที่รัดรึงทั้งทั้งสองฝ่ายไว้ด้วยความอาทร


              เมื่อรู้ว่าการห้ำหั่นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์


              และเมื่อตระหนักในคุณค่าแห่งชีวิต แม้เป็นชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยเหยียดหยัน


              เมื่อนั้น สุนัขป่าเดียวดายที่มีชีวิตอยู่ด้วยศีรษะที่เชิดสูงทว่ารวดร้าวจึงได้ผูกสัมพันธ์และรวมฝูง เยียวยาบาดแผลของกันและกัน และหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว


              เพราะในความรักไม่มีวรรณะ ไม่มีประเทศ ไม่มีประธานาธิบดี ไม่มีอุดมการณ์


              และแน่นอนที่สุด เหนือกว่าข้อเท็จจริงใด ๆ


              คือในความเป็นมนุษย์ก็เช่นกัน

     




    #ฟิคเปียงยาง








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×