คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : L O N E W O L F | Director's cut: Dead tree.
? cactus
Director’s cut: Dead
tree
มูซาน, จังหวัดฮัมกยองเหนือ ปีจูเชที่ 89 (ปี 2000)
“ชื่ออะไรนะ”
เด็กชายผิวสีน้ำตาลที่สูงกว่าเขาหน่อยหนึ่งตอบห้วน
ๆ “ ...อิน ”
“อะไรนะ
อินอะไร”
“จงอิน! คิมจงอิน! ” อีกฝ่ายแผดเสียง “ได้ยินหรือยัง ไอ้... ”
แต่ไม่ว่าไอ้นั้นจะตามติดด้วยคำผรุสวาทใด
จงอินก็ไม่มีโอกาสเอ่ยออกไป
กูยอนตีเด็กชายที่หน้าแข้งด้วยเข็มขัดของพลเรือเอกปาร์ค อีกฝ่ายนิ่วหน้า
ก่อนถ่มน้ำลายรดรองเท้าราคาแพงของเขา
“พาออกไป”
แม่บ้านพูดเสียงเฉียบขาด “จีซู... พาเขาออกไป”
“อย่านะ! ”
เพียงแต่ลูกชายคนเดียวของพลเรือเอกเขี้ยวลากดินกลับส่งเสียงแหลมขึ้น
“ฉันจะเล่นกับเขา” ชานยอลว่าอย่างเอาแต่ใจ “คิมจงอินไม่น่าเบื่อ”
“ให้มันได้อย่างนี้ซี่”
ร้อยเอกปาร์คมีอายุหกปีขณะติดสอยห้อยตามผู้ให้กำเนิดไปยังมูซาน
ตำบลเล็ก ๆ ห่างไกล คลุ้งด้วยฝุ่นควันจากเหมืองเหล็กแม้ในฤดูมรสุม
เด็กชายต้องการเพื่อนเล่น
ขณะที่คณะเดินทางเต็มไปด้วยผู้ใหญ่ซึ่งจดจ่อกับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทุกตารางนิ้วของตำบลแห่งนั้น
พลเรือเอกปาร์คจึงให้คัดเลือกเด็กชายอายุไม่เกินสิบห้าปีให้เล่นสนุกกับชานยอล
แน่นอนว่าล้วนแต่เป็นเด็กชายท่าทางแข็งแรง กระฉับกระเฉง และมีสุขภาพดี
“นายอ่อนกว่าฉันเจ็ดปี”
จงอินที่เพิ่งจะหันไปแลบลิ้นใส่กูยอนหันกลับมาหาเขา “ควรจะเรียกฉันว่าพี่นะ”
“ไม่มีทาง”
“ทำไมล่ะ
เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” เด็กชายผิวสีน้ำตาลเงื้อหมัดขึ้น
ก่อนถูกฟาดด้วยเข็มขัดอีกครั้ง แรงกว่าเดิม “ใช้ไม่ได้ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
“คุณชาย...
อย่าคลุกคลีกะคนพรรค์นี้เลยค่ะ”
ถ้าเพียงแต่เขาจะรู้ว่าสิบเจ็ดปีให้หลัง
จงอินจะเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผอมเกร็งด้วยกล้ามเนื้อ
และแข็งแรงอย่างยิ่งด้วยการทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ร้อยเอกปาร์คจะไม่ให้อีกฝ่ายถูกฟาดด้วยเข็มขัดเป็นอันขาด
เพราะเมื่อพบกันอีกครั้งที่สถานีรถไฟมูซานพร้อมกับแบคฮยอนและจุนมยอนนั้น
จงอินเป็นฝ่ายเดียวที่จำเขาได้
ความชิงชังในวันวานผสมกับโทสะที่ชานยอลล่วงเกินผู้ติดตามจอมปอลม ทำให้หมัดลุ่น ๆ
ของอีกคนหนึ่งถูกใช้เพื่อตะบันหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยกำลังมากกว่าปกติ
“แต่คนอื่น
ๆ น่าเบื่อ” เด็กชายแบะปาก “ไม่มีใครพูดกับผมอย่างนี้ ดีแต่พยักหน้าปะหลก ๆ
น่ารำคาญชะมัด”
“เพราะกลัวว่าจะถูกพ่อของนายควักหัวใจออกมาทั้งเป็น
ๆ ต่างหาก”
“โกหก”
ชานยอลโต้ “พ่อไม่ใช่ยักษ์นะ! ”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่
น้อง ๆ ของฉันต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเพราะ... ”
“พอได้แล้ว! ”
จีซูบอกอย่างเข้มงวด พลขับวัยกลางคนดุดันได้เสมอเมื่อต้องการ “คุณชาย...
ไปข้างนอกเถอะครับ จวนจะได้เวลาแล้ว คุณท่านต้องใช้ห้องนี้ และได้โปรด...
ระวังตัวด้วย”
เพราะจงอินอายุมากกว่าเขาถึงเจ็ดปี
เด็กชายที่จวนเจียนจะเติบโตเป็นเด็กหนุ่มเต็มทีจึงชักชวนชานยอลที่ไม่รู้ประสีประสาไปยังสถานที่ต่าง
ๆ ซึ่งออกจะอันตรายอยู่มากสำหรับเด็กชายสองคน ไม่ว่าจะเป็นด้านในเหมืองร้าง
ในโรงงานผลิตไม้แปรรูป รวมถึงทางน้ำเก่าริมฝั่งแม่น้ำทูมันซึ่งเต็มไปด้วยโคลนดูด
“ฝั่งโน้นมีแต่ป่า”
เด็กชายชาวเปียงยางส่งเสียงเจื้อยแจ้วขณะยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องดวงตาและชะแง้มองฝั่งตรงกันข้ามด้วยท่าทางราวกับนักสำเร็จ
“เห็นไหม... ที่นี่ดีที่สุด ท่านผู้นำ... ดีที่สุด”
“รู้ได้ยังไงว่ามีแต่ป่า”
“ก็เห็น
ๆ กันอยู่”
“โง่จริง
ๆ ” จงอินบอกอย่างยียวน “รู้ไหม ฝั่งโน้นมีเมือง มีตลาด ฉันรู้...
เพราะพ่อค้าจากฝั่งโน้นมักขายปลากับเครื่องเล่นดีวีดีให้เรา”
“เครื่องเล่นดีวีดี...
ใช้ทำอะไร”
“ก็ดูอะไรต่อมิอะไรน่ะสิ
ถามได้! ”
เด็กชายผิวสีน้ำตาลว่า “น้องชายของฉันชอบใหญ่ พวกเราจะอยู่หน้าเตาไฟ และ... ”
“โอ้โห! นายมีน้องชายด้วย”
จงอินเอียงศีรษะไปด้านหนึ่งอย่างงุนงง
“แน่ล่ะสิ... ไม่ว่าใครก็มีน้องชาย”
“ก็ฉันไม่มีนี่นา”
“ที่อ้วน
โง่ และเอาแต่ใจเพราะอย่างนี้เอง” ไม่ว่าใคร
หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าถ้อยคำของเด็กชายผิวสีน้ำตาลโหดร้ายกว่าที่ควรจะเป็น
ไม่สมวัยอย่างเห็นได้ชัด
และเพียงพอจะบอกความเลวร้ายในสถาพแวดล้อมที่จงอินเติบโตขึ้น “ฉันมีน้องชายถึงสามคน
แบคฮยอนมีผิวขาวกว่าใคร จงแดใจดีที่สุด มีแต่จุนมยอนที่น่าสงสาร”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เขาเป็น...
โรคประหลาด ๆ น่ะ” จงอินออกท่าทางเมื่อไม่อาจอธิบายที่มาที่ไปของโรคอันซับซ้อนได้ “เมื่อถูกมีดบาด
หลายชั่วโมงกว่าเลือดของเขาจะหยุดไหล”
“แย่จริง
ๆ ” ชานยอลนั่งแปะลงกับทางน้ำเก่า ไม่แยแสแม้กางเกงสีขาวราคาแพงเปื้อนโคลนสีเทาอมน้ำตาลน่าเกลียด
“ยกจุมมยอนให้ฉันซี่ ให้เขาเป็นน้องชายของฉัน ฉันจะพาเขาไปที่เปียงยาง
หมอของพ่อ... เขาเก่งนะ”
“ไม่มีทาง! ”
หากเขาและจงอินในวันวานรู้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายใดเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะนั้นเด็กชายผิวสีน้ำตาลจะพาน้องชายบุญธรรมมาพบเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เพราะไม่รู้นี่เอง...
เพราะไม่รู้เท่านั้นเอง กงล้อแห่งโชคชะตาจึงหมุนไปอีกทางหนึ่ง
เช่นเดียวกับการเล่นสนุกของเด็กชายทั้งสองก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า...
“เล่นซ่อนหากันเถอะ! ”
“สองคนเนี่ยนะ”
ชานยอลแย้ง
“ทำไม...
มีปัญหาหรือไง”
เฮ้อ... ไม่ว่าเมื่อไหร่เมื่อระลึกถึงเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มร่างสูงได้แต่ถอนหายใจ จงอินเป็นนักเลงโตมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่เอง
เขากับเด็กชายผิวสีน้ำตาลผลัดกันเป็นฝ่ายซ่อนและฝ่ายหา
จงอินทำได้ดีกว่าชานยอลอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะด้วยความชำนาญในภูมิประเทศ
และความปราดเปรียวซึ่งเป็นคุณลักษณะของเจ้าตัวแต่เล็กจนโต
ลูกชายคนเดียวของพลเรือเอกปาร์คถูกหาพบอย่างรวดเร็วเสมอ
เพราะไม่รู้จักซ่อนตัวเอาเสียเลย หยุกหยิกในพุ่มไม้โดยมีชายเสื้อโผล่ออกมาด้านนอกบ้าง
หลบอยู่ด้านหลังกะละมังแสตนเลสขนาดใหญ่โดยลืมว่าจงอินอาจย่องมาจากทางด้านหลังบ้าง
กระทั่งหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ที่มีลำต้นผ่ายผอมแม้รู้ว่าไม่อาจบดบังรูปร่างจ้ำม่ำได้หมด
เพราะชานยอลไม่เคยแพ้...
ฐานะของเขาทำให้เพื่อนเล่นในวัยเด็กอ่อนข้อให้เสมอ เด็กชายคนอื่น ๆ
กลัวเกินกว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ ดังนั้น
แม้การพบกันอีกครั้งในสิบเจ็ดปีให้หลังจะลงเอยด้วยการถูกตะบันหน้า...
จงอินก็อาจนับได้ว่าเป็นเพื่อนที่แท้จริงคนแรกของร้อยเอกปาร์ค
“จงอิน! อยู่ไหนน่ะ! ”
เด็กชายชาวเปียงยางป้องปากก่อนส่งเสียงตะโกนแหบแห้ง
ดวงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้าแล้ว
ต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งกิ่งใบล้วนแห้งโกร๋นทอดเงาเหยียดยาวบนพื้นดินปนทราย
พื้นรองเท้าของชานยอลสึกเสียแล้ว แม้ต้องการหาเพื่อนเล่นให้พบ แรงเสียดสีใต้ฝ่าเท้าก็ทำให้เขาสนุกกับการละเล่นน้อยลงทุกขณะ
“ออกมาได้แล้ว
ฉันยอมแพ้แล้ว ขอร้องล่ะ! ”
ไม่มีเสียงตอบ
จงอินไม่เคยอ่อนข้อให้เขา ชานยอลได้แต่เดินคอตก
ลากเท้าไปบนลานดินกว้างใหญ่ไม่ไกลจากเหมืองเหล็ก อากาศแห้งลงเล็กน้อย
ส่งผลให้ยามค่ำคืนอับทึบด้วยฝุ่นควันซึ่งดูคล้ายกลุ่มเมฆขมุกขมัวสีเหลืองตุ่น ๆ
ในความมืดมิด
“จงอิน! จงอิน! ”
แสงไฟจากอาคารที่พักของผู้ให้กำเนิดอยู่ไม่ไกลนัก
เด็กชายจากเปียงยางแบะปาก ไม่เล่นแล้ว! ไม่เล่นก็ไม่เล่น ขณะก้าวเร็ว ๆ
ข้ามลานกว้าง เจ้าคนไม่มีมารยาท เจ้าคนไม่ได้ความ!
“จงอิน! นี่เป็นโอกาสสุดท้าย! จง... ”
ทันใดนั้น
ชานยอลยืนตัวแข็งทื่อ ก่อนรอยยิ้มอย่างนึกสนุกปรากฏที่ริมฝีปาก ไม่ไกลนักด้านหน้า
ด้านหลังไม้ใหญ่ซึ่งยืนต้นตายอย่างอ้างว้างมีเด็กชายคนหนึ่งหมอบคู้อยู่
ความมืดทำให้เขาไม่สังเกตเห็นรูปร่างของอีกฝ่ายซึ่งเล็กกว่าจงอินอย่างเห็นได้ชัด
รวมถึงผิวที่ซีดเซียวกว่า และผมที่มีสีอ่อนกว่า ชานยอลรู้แต่ว่าเด็กชายด้านหลังต้นไม้นั้นสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับเพื่อนเล่น
เขาไม่รู้ว่าในมูซานนี้เสื้อผ้าหายากและมีราคาแพง
เด็กชายจากเปียงยางย่อตัวลง
ย่องเข้าใกล้ด้วยฝีเท้าที่เบาราวกับแมว แล้วเมื่ออีกคนหนึ่งอยู่ในระยะเอื้อมถึง
ชานยอลก็ปรี่เข้าใส่ สองมือตะปบลงที่ไหล่เล็ก ๆ บอบบาง คล้ายจะแตกหักเดี๋ยวนั้น
พร้อมกับร้องว่า “จับได้แล้ว! ”
“อย่าแตะต้องฉัน! ”
อีกฝ่ายกรีดร้อง
สลัดหลุดจากมือทั้งสองของเขา ก่อนซวดเซล้มลงท่ามกลางแสงไฟเลือนราง
“อ้าว...
” ชานยอลร้องอย่างผิดหวัง “นายไม่ใช่จงอินนี่”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ! ”
เพื่อนใหม่บอกอย่างขุ่นเคือง “ฉันเป็นน้องชายของเขาต่างหาก ฮี่โธ่เอ๊ย”
“อ้อ...
น้องชาย” เขาเอียงคอขณะใคร่ครวญถึงคำบอกเล่าของเด็กชายผิวสีน้ำตาล “ไม่ใช่จง...
จงแตแน่ ๆ ล่ะ เขาว่าจงแตใจดี ว่าแต่... เป็นแบคฮาหรือจุนซางล่ะ จุนซางแน่ ๆ ท่าทางกระเสาะกระแสะอย่างนี้”
“ไม่เห็นรู้จัก”
อีกคนหนึ่งทำปากยื่น “จงแตอะไรกัน แบคฮาอะไรกัน จุนซางอะไรกัน เจ้าโง่
นายไม่รู้จักพวกเราเสียหน่อย”
ชานยอลเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ
“จะจงอินหรือนายก็ดีแต่ว่าฉันอย่างนั้น พวกนายนี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
“ไม่เกี่ยวกับนายเสียหน่อย”
เด็กชายทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนเขาเห็นว่าอีกฝ่ายยืนพักเท้าโดยไม่เปลี่ยนท่าทางเลย ใบหน้าเผือดซีดนิ่วน้อย ๆ
อย่างเจ็บปวด
“เจ็บ... ที่ข้อเท้าอย่างนั้นหรือ”
“เพราะใครกันเล่า
เจ้าโง่ ใครใช้ให้พรวดพราดเข้ามาอย่างนี้! ”
แม้จะมีอายุเพียงหกปี
แต่เพราะเติบโตขึ้นในสังคมที่ท่วมท้นด้วยพิธีรีตอง ชานยอลจึงคุกเข่าให้อีกคนหนึ่ง
แม้การกระทำนั้นจะนับว่าเกินวัยไปมาก “ขึ้นหลังฉันซี่” เขาแนะ “ฉันจะพานายกลับไปที่บ้าน”
“จะบ้าหรือไง
ตัวนายก็เท่านี้”
“ตัวโตกว่านายแล้วกัน! ”
เด็กชายจากเปียงยางตอกกลับ
เมื่อท้องฟ้าเป็นสีเข้มขึ้นทุกขณะ
และไม่มีทีท่าว่าข้อเท้าข้างที่บาดเจ็บจะมีอาการดีขึ้น หนึ่งในน้องชายของจงอินจึงขยับตัวอย่างเสียไม่ได้
ก่อนนั่งลงบนหลังของเขา แม้แก้มผอม ๆ ทั้งสองยังป่องอยู่เพื่อบอกว่าไม่พอใจ
“บ้านของนาย...
ไปทางไหน”
“ทางโน้น”
เพื่อนใหม่ตอบห้วน ๆ
ชานยอลพาอีกฝ่ายไปส่งที่ด้านหน้าบ้านเรือนกลุ่มเล็ก
ๆ ปลูกเบียดเสียดกัน เก่าคร่าและโย้เย้ จวนจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ ขณะนั้นดวงจันทร์ลอยสูง
เพราะเป็นคืนเดือนหงายและในมูซานไม่มีแสงไฟ
แสงสีเงินยวงจึงตกกระทบผิวของเพื่อนใหม่อย่างไม่มีอะไรปนเปื้อน แวบหนึ่งขณะเด็กชายจากด้านหลังต้นไม้ซึ่งยืนต้นตายหันมาโบกมือให้อย่างไม่เต็มใจนัก
ลมหายใจของเด็กชายจากเปียงยางกลับขาดห้วง
เพราะผิวของอีกฝ่ายเป็นสีขาวราวกับไข่มุก
นุ่มนวลคล้ายไหมราคาแพง และเนียนละเอียดราวกับผิวของตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
“แบค...
แบคฮา” ชานยอลพูดตะกุกตะกัก “ไม่ใช่... แบคฮยอนใช่ไหม”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
เพียงแต่แลบลิ้นให้ ก่อนจากไปในเงาอันทึบทะมึนของบ้านเรือนและคอกสัตว์
เหลือไว้แต่กลิ่นคล้ายถ่านเถ้าจากเตาไฟ และความทรงจำเกี่ยวกับเด็กชายแปลกหน้าด้านหลังต้นไม้สีขาวในลานกว้าง
น่าเสียดายที่ไม่ช้าเด็กชายจากเปียงยางจะลืมมัน
และลืมไปอย่างสนิทใจทีเดียว
#ฟิคเปียงยาง
ถึงเวลาโบกมือลาจริง ๆ แล้ว จะได้ขึ้นคำว่า end ด้านหน้าชื่อเรื่องเสียทีหลังจากหนึ่งปีผ่านไป
ใจหายเนอะ จากนี้ก็คงคิดถึงทุกคนในเรื่องนี้แย่เลย ;)
ขอบคุณอีกครั้งที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ
แล้วพบกันในเล่มน้า
ความคิดเห็น