ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 5 ตอนที่ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 477
      5
      11 ก.ย. 55




                “หมายความว่าน้องสาวฉันอยู่กับ -- โธ่!

                “จะว่าไปทำไมต้องทำท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างนั้น” ฮิปนอสถามพลางอ้าปากหาว “จะว่าไปนาง -- เออ ราชินีต้องเคียงคู่ราชันเป็นธรรมดา”

                “แต่เธอไม่ใช่ -- ” อาเธอร์กำลังจะพูด แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ขดตัวลงไปบนพื้น “ท่าน...ทำอะไรหรือ”
                ฮิปนอสไม่ตอบ

                “เทพฮิปนอส”

                เสียงกรนดังขึ้นแทนคำตอบ ทิ้งให้อาเธอร์ปรับตัวระหว่างภาพลักษณ์ดั้งเดิมของเทพเจ้าในสายตามนุษย์ กับภาพลักษณ์ของเทพเจ้าอย่างที่เทพเจ้าต้องการจะเป็นหรือต้องการจะทำจริง             ๆ

                การปลุกเทพเจ้าแห่งการหลับใหลให้ตื่นขึ้นอย่างจงใจอาจมีโทษประมาณไหนกันนะ ฮิปนอสอาจะสาปให้เขาไม่ตื่นขึ้นอีกเลยไปตลอดกาลก็ได้ อาเธอร์ชั่งใจ แต่เมื่อพิจารณาว่าความร้อนรนกระวนกระวายของเขาน่าจะค่ามากพอให้ลองเสี่ยง เขาก็ตัดสินใจทำ

                “เทพฮิปนอส เทพฮิปนอส”

                แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะคราง หรือพลิกตัวอย่างรำคาญใจเลยสักนิด ไม่ว่าเขาจะเพิ่มแรงเขย่า เพิ่มระดับเสียงเรียก หรือไม่ว่าอะไรก็ตาม

                และแล้วสุดท้าย วิธีที่อาเธอร์พอจะคิดออก คือเดินกลับไปที่ประตู และจับที่ห่วงจับ

                เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที และได้ผลเสียด้วย!

                ชายหนุ่มส่งยิ้มเหมือนเด็กชายที่เผลอเตะลูกบอลเข้าไปในแปลงดอกไม้สุดหวงแหนของเพื่อนบ้าน “คือ -- ขอให้ฉันรู้เรื่องจนกระจ่างก่อนได้ไหมท่าน”

     

                เอเรอาญ์นอนไม่หลับ

                เธอไม่รู้ว่าดึกหรือเพิ่งหัวค่ำ ยมโลกไม่มีกลางคืนและกลางวัน มีแต่ความมืดมิดและหม่นหมอง อาจมีแสงจันทร์หรือแสงอาทิตย์จาง ๆ ให้พอรู้เวลาบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย เธอกินเมื่อหิวโหย และหลับเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยอ่อนเท่านั้น สองสัปดาห์ที่ผ่านมาในดินแดนแห่งคนตายมีแต่กิจวัตรซ้ำเดิมอย่างนี้มาตลอด เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหน นอกจากห้องของตนเองที่จะมีทานาทอสหรือฮิปนอสมาหาบ้างเพื่อพูดคุยและบอกเล่าให้เธอสบายใจว่าอาเธอร์สบายดี หรือไม่ก็ห้องของเขาที่เธอมีสิทธิ์เข้าไปใช้ลมหายใจเพียงช่วงธรณีประตู มองแผ่นหลังใหญ่โตเหมือนหินก้อนยักษ์สีดำที่เธอจะไม่มีวันปีนข้ามไปได้ เอเรอาญ์รู้ดีตั้งแต่วันแรกว่าเธอไม่มีทางหนีไปได้พ้น ห้องของเธอมีทางออกเพียงทางเดียวคือประตูที่เปิดสู่ห้องของฮาเดส และหน้าต่างทุกบานก็มีเหล็กสานขัดไว้เหมือนคุกโบราณ ทีแรกเธอตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมจนกว่าราชันแห่งปรโลกยอมรับในที่สุดว่าเธอไม่ใช่ราชินีของเขา แล้วเธอก็จะถูกปล่อยตัวไป เพียงแต่มันไม่ใช่วิธีการใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการเอาเสียเลย

                สิบสี่วันที่เธอได้แต่เฝ้ารออย่างกระวนกระวาย ซึ่งนำไปสู่ความท้อใจในที่สุด ความท้อใจจะนำเธอไปสู่ความเหนื่อยอ่อน จากนั้นก็เป็นการหลับใหลเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง เพียงเพื่อจะได้ตื่นขึ้นแล้วกระวนกระวาย ท้อใจ และเหนื่อยอ่อนในอีกวันหนึ่ง

                เหนื่อยอ่อน -- หลับใหล

             เธอผุดลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตาประกาย เธอไม่ควรลืมนึกถึงข้อเท็จจริงข้อนี้เลย

                ไม่ว่าจะมนุษย์ สัตว์ เทพเจ้า หรือแม้แต่อสุรกาย ก็น่าจะมีเวลาที่ต้องหลับตาลงด้วยกันทั้งนั้น! ในเมื่อทางออกทางเดียวคือประตูบานใหญ่ในห้องของราชันแห่งปรโลก เธอก็แค่รอให้เขาหลับแล้วออกไป! เธออาจจะไปไม่ถึงทางออกจากปรภพ แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็อาจจะได้พบกับพี่ชายฝาแฝด

                ด้วยความกระตือรือร้น เอเรอาญ์ผุดลุกยืน คว้าเสื้อคลุมสีดำขึ้นพาดบ่าอย่างลวก ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูแล้วสูดลมหายใจ

                “เพื่ออิสรภาพ!

                หญิงสาวย่ำเท้าเหมือนนักมวยเจนสังเวียนแล้วเปิดประตู มันไม่ได้ลงสลักและก็ไม่มีเสียงออดแอดเลยสักนิด เอเรอาญ์ยิ่งยิ้มอย่างย่ามใจก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง ก้าวแรก -- เธอหยุด และเมื่อไม่เห็นอะไรเคลื่อนไหวเธอก็ก้าวต่ออย่างระมัดระวัง

                ประตูอันใหญ่โตของห้องอยู่ทางซ้ายมือของเธอ ไกลออกไปจนชิดอีกมุมหนึ่งของผนังกว้างขวาง เธอคิดว่าจะรีบไป แต่ถูกขัดขวางด้วยความขัดใจอย่างยิ่งยวด ห้องนอนของเขาดูช่างเป็นห้องนอนในอุดมคติ ในขณะที่ของเธออาจจะสามารถทำให้คนที่โง่ที่สุดเข้าใจความหมายของการคุมขังแบบ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันได้อย่างลึกซึ้งภายในวันเดียว

                เอเรอาญ์มองเห็นราชันแห่งปรโลกเป็นเงาตะคุ่มบนเตียงนอนสี่เสาสวยโอ่อ่า คลุมด้วยม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินหนัก ๆ ทิ้งชายพู่สีทองหม่น โดยไม่มีเสียงกรน เสียงคราง พลิกตัว หรือแม้แต่เสียงหายใจ

             บางทีเขาอาจกำลังเงียบเสียงให้เธอตายใจก็ได้ -- เอเรอาญ์ไม่รู้เลย แต่ความคิดนั้นเองที่ทำให้เธอย่องอย่างเงียบเชียบตรงไปยังเตียงนอนของเขาและค่อย ๆ เลิกผืนม่านหนัก ๆ ขึ้นอย่างหวาดระแวง ใบหน้าของฮาเดสชื้นไปด้วยเหงื่อ มันดูซีดเซียวเหมือนคนป่วยกลางแสงจันทร์ เส้นผมสีดำปล่อยยาวแผ่อยู่บนหมอน อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาปิดสนิท ริมฝีปากง้ำลงเล็กน้อย ลมหายใจที่สังเกตเห็นได้ยากอย่างยิ่งทอดยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขากำลังหลับอยู่จริง ๆ

                แม้แต่เทพฮาเดสก็ดูเหมือนชายหนุ่มไร้พิษสงได้

             เธอคิด และมันก็เป็นเรื่องแรกในยมโลกที่ทำให้เธอยิ้ม ทว่าเพราะตระหนักว่าไม่ควรเสียเวลา เอเรอาญ์จึงค่อย ๆ ก้าวถอยหลัง เพียงแต่ทันใดนั้นก่อนที่เธอจะจากไป กลับมีเสียงอื่นที่เธอไม่มีวันคิดว่าจะได้ยินดังขึ้น

                “หนาว... ”

                มันไม่ควรจะเป็นแม้แต่พยางค์สั้น ๆ พยางค์เดียวของเทพเจ้าที่คนทั้งโลกเกรงขาม เอเรอาญ์ยืนนิ่ง เขาพลิกตัวกระสับกระส่ายเหมือนคนเป็นไข้ เพียงแต่ใบหน้าเผือดซีดและชุ่มไปด้วยเหงื่อ

                “หนาว... ”

                เสียงของฮาเดสไม่ได้สั่น แต่กลับฟังดูเหมือนเขากำลังร้องไห้  และกว่าเอเรอาญ์จะรู้ตัว เธอก็เห็นว่าตนเองกำลังดึงผ้าห่มผืนหนาที่คลุมอยู่ตรงช่วงปลายเท้าของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาคลุมทั้งตัวโดยระวังไม่ให้มือเธอถูกตัวเขา

                “อย่าพูดนะ!

                เธอเกือบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจเมื่อฮาเดสกลับสะบัดแขนมาทางเธอเต็มแรง เอเรอาญ์สะดุ้งตัวหลบจนเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น และนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก

                “ข้าไม่อยากได้ยิน!

                เขากำลังเจ็บปวด เอเรอาญ์สัมผัสได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจนได้ยินประโยคถัดมา --

                 “อย่าพูด -- อย่าไป -- เพอร์ซีโฟเน่!

                แล้วฮาเดสก็ลืมตา

                เธอสะดุ้ง แต่ตัวแข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจหรือกะพริบตา

                เขาจะโกรธไหม จะเกรี้ยวกราดอีกไหม และเธอควรจะพูดอะไร

                ฮาเดสหันมามองเธอก่อนที่เอเรอาญ์จะได้รับคำตอบ แต่เขาไม่ได้ตวาดเธอ คิ้วไม่ได้ขมวดเข้าหากัน ไม่มีปื้นอารมณ์โกรธพาดผ่านใบหน้าเลยด้วยซ้ำ        

                “นั่นเจ้าใช่ไหม”

                  ด้วยความเร็วที่สุดในชีวิต เธอผุดลุกขึ้นยืนและออกวิ่ง คิดอย่างสิ้นหวังว่าเขาที่กำลังงัวเงียจะตามมาไม่ทัน และด้วยความว่องไวที่สุดของสายตา เอเรอาญ์มองเห็นผืนม่านขนาดมโหฬารถูกแขวนเอาไว้ที่ผนังว่างเปล่าด้านหนึ่งของห้อง มันดูแปลกประหลาดที่ทำอย่างนั้น แต่เธอไม่ต้องการคำตอบ หญิงสาวผลุบหายเข้าไปข้างหลังและซ่อนตัวด้วยหัวใจที่เต้นดังเหมือนกลอง

                เธอได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของเขา

                และเสียงของเขา --

                “เพอร์ซีโฟเน่ นั่นเจ้าใช่ไหม --

                อ้างว้างเหลือเกิน มันคือเสียงของคนที่รอคอยใครอีกคนมาตลอดชีวิตที่ยาวนานหลายพันปี เพียงแต่มันไม่ควรเป็นเสียงของเขาที่อารมณ์ร้ายและมีความกราดเกรี้ยวเป็นฟืนไฟ

                “เพอร์ซีโฟเน่ --

                เอเรอาญ์นึกถึงเด็กชายตัวน้อย ๆ เดินหลงทางท่ามกลางผู้คนมากมาย

                -- หรืออาจเป็นเสียงของราชาผู้เดียวดายท่ามกลางดินแดนแห่งวิญญาณ

                เธอเกือบจะกำลังเห็นใจเขาแล้วตอนที่มีกระแสลมพัด และทำให้ผืนม่านใหญ่โตพลิกปลิวโบกสะบัด               เอเรอาญ์ยืนตัวแข็ง แต่สายเกินไป --

                เขาเห็นเธอ

                สายลมแผ่วเบาลง ม่านกระพืออย่างอ่อนแรงครั้งสุดท้ายแล้วตกคลุมทับตัวเธออีกครั้ง แต่ในวินาทีเดียวมันก็ถูกกระชากอย่างแรงจนหลุดจากราวแขวน และสะบัดเคว้งคว้างตอนที่ถูกเหวี่ยงไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับอิสรภาพของเธอ เพียงแต่คราวนี้สิ่งที่กักขังเอาไว้เธอไม่ใช่ห้องที่ไร้แสงเดือนแสงตะวัน

                แต่เป็นอ้อมแขนที่ร้อนราวกับไฟ!

    WRITER : เป็นยังไงบ้างคะ ถ้าชอบ โรมจักรก็ขอกำลังใจหน่อยนะคะ :)) ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป และพระเอกของเราจะทำอะไรกันแน่ ติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×