คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 6 ตอนที่ 2
“เฮ้ -- ”
‘เฮ้’ เป็นหนึ่งในไม่กี่คำที่อาเธอร์มีโอกาสได้พูดหลังจากสองสัปดาห์ในยมโลก และ ‘เฮ้’ ก็มักมีน้ำเสียงที่เจือความกระท่อนกระแท่นด้วยความไม่แน่ใจเสมอ มันดังออกจากปากเขาทุกครั้งที่เห็นเทพแห่งการหลับใหลขดตัวอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงข้าม วันนี้เป็นเหมือนอย่างทุกวัน เสียงตอบรับคำว่า ‘เฮ้’ ของเขาจะเป็นเสียงกรนอย่างเอาเป็นเอาตายเสมอ
เปล่าประโยชน์ที่จะปลุก อีกฝ่ายจะไม่ตื่นต่อให้มีใครเอาเหล็กอาบไฟแดง ๆ มานาบ -- เขาตั้งสมมติฐานอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่เคยลองทำ และเท่าที่อาเธอร์สังเกตเห็น ฮิปนอสจะตื่นก็ต่อเมื่อเสียงกรีดร้องที่ห่วงจับประตูดังขึ้นเท่านั้น การจะหลบหนีจากเทพแห่งการหลับใหลช่างทำได้ง่ายดาย ติดปัญหาแต่ตรงห่วงจับซึ่งจะไม่ยอมให้ใครได้จับนอกจากเทพเจ้าที่เอาแต่ขดตัวอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน บางครั้งอาเธอร์นึกสงสัย เทพฮิปนอสเองก็ควรจะปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ในยมโลกไม่ใช่หรือ? หรือเพราะเป็นเทพแห่งการหลับใหล หน้าที่เดียวที่มีจึงเป็นการหลับใหลที่เหมือนจะยาวนานตลอดกาล
“เฮ้ -- ”
เขาถดตัวลงจากเตียง สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเอาแต่นอน คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็กระวนกระวายเรื่องน้องสาวฝาแฝด จากนั้นก็นอน คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วกระวนกระวายเรื่องน้องสาวฝาแฝดอีก อาเธอร์คิดว่าเขาอาจจะเป็นบ้าตายไปแล้วถ้าหากฮิปนอสที่ตื่นขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวจะไม่ไปหาเอเรอาญ์ แล้วยืนยันกับเขาว่าเธอสบายดี
อีกฝ่ายเคยบอกเขาเอาไว้ในหกหรือเจ็ดวันที่แล้วว่า วิญญาณครึ่งเป็นครึ่งตายจะสามารถกลับคืนสู่ร่างด้วยตนเองในเวลาที่เหมาะสม -- กล่าวคือ วิญญาณอยู่ในสภาพพร้อม อาจเพราะสลัดบ่วงในใจหรือทำให้จิตใจสงบลงได้ ปัญหาก็คือวิธีเดียวที่อาเธอร์คิดว่าจะทำให้บ่วงในใจของเขาหายไปในได้ตอนนี้คือการพาเอเรอาญ์กลับไปพร้อมกัน แต่แน่นอน ถ้าหนีออกจากการดูแลของเทพแห่งการหลับใหลไม่ได้ ก็ไม่ควรหวังอะไรกับการหลบหนีไปจากราชาแห่งปรภพ
ถ้ามีมือของเทพฮิปนอสจับเปิดประตู ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย...
อาเธอร์คิดเรื่องนี้มาสองวันแล้ว
ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย...
เขาย้ำคำนั้นเพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเอง แล้วค่อย ๆ ถดตัวลงจากเตียง ก้าวตรงไปที่เตียงของฮิปนอส และสูดหายใจเขาลึก ๆ -- ท้ายที่สุด -- เขายกร่างของเทพแห่งการหลับใหลขึ้นพาดบ่า
อาเธอร์กลั้นหายใจ
ไม่ช้าเขาก็ตระหนักว่าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเลยสักนิด ฮิปนอสไม่แม้แต่จะร้องครางอย่างไม่สบายตัว อาเธอร์ลองก้าวเดิน มันทำให้ขาของอีกฝ่ายลากไปกับพื้น แต่เทพแห่งการหลับใหลก็ไม่ได้ตื่นขึ้น จุดประกายความเข้าใจคำว่า ‘หลับเป็นตาย’ ให้เขาอย่างชัดเจนที่สุดในชีวิต
เขาค่อย ๆ ก้าวเดินต่อไปอย่างทุลักทุเลจนถึงหน้าประตู มันคือขั้นตอนสุดท้ายที่เขาต้องลองเสี่ยง อาเธอร์ดึงมือของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาจับที่ห่วงจับอย่างช้า ๆ...
ได้ผล! มันไม่ส่งเสียงร้องเลยสักนิด ชายหนุ่มค่อย ๆ รวบให้มือของฮิปนอสกำรอบห่วงจับ ก้าวถอยหลัง ปล่อยให้ประตูค่อย ๆ เปิดออก --
“เฮ้ -- ”
คราวนี้เป็น ‘เฮ้’ ที่สดใสกว่าเดิมมาก เขาดันประตูให้เปิดกว้างเอาไว้ แล้ววิ่งออกไปจากห้องโดยไม่ชายตาเหลียวหลัง
ห้องสมุด
ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือห้องสมุดที่สวยงามและใหญ่โตมโหฬารที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เป็นพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาสูงลิ่วสีขาวโพลนเหลือบชมพูอย่างสีหินอ่อน ประดับประดาด้วยธงโบราณหลากสีสันสะท้อนแสงจากโคมระย้าขนาดมหึมาเป็นมันยับ ชั้นหนังสือที่บรรจุไว้ด้วยหนังสือเก่าแก่หรือแม้แต่หน้ากระดาษทบกันสูงสุดตาแลและยาวเหยียดอย่างไม่น่าเชื่อเรียงรายไปจนไกลแสนไกล ตลอดทางมีพนักหินยื่นจากผนังเป็นระยะ ๆ มันถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยที่มีดอกเล็ก ๆ สีเหลืองและสีขาวและเอเรอาญ์อนุมานว่ามันถูกใช้เป็นเก้าอี้สำหรับนั่ง
“เป็นสถานที่ซึ่งถือกำเนิดด้วยหัวใจรักของนายท่าน -- ขอรับ”
เธอไม่เชื่อคำพูดนั้นเลยสักนิด ราชาที่ปกครองโลกอันทึบทะมึน ราชาที่อารมณ์ร้ายและกราดเกรี้ยวไม่มีทางจะสร้างสถานที่ที่สวยงามขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เธอนึกภาพไม่ออกเลย
“ชอบหรือเปล่าขอรับ”
เอเรอาญ์แทบจะลืมไปแล้วว่าเทพแห่งความตายยังคงยืนอยู่กับเธอที่ตรงนั้น หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“นายหญิงไม่ได้ทรงแสดงทีท่าผิดจากครั้งที่เห็นเป็นครั้งแรกเลย”
“ครั้งแรก? เทพีเพอร์ซีโฟเน่เคยมาที่นี่ด้วยหรือ? ”
“ขอรับ นายท่านพามา”
แน่ล่ะ! เธอน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ท่านพาฉันมา จะไม่ -- ” เธอกลืนน้ำลาย “ถูก -- เอ่อ -- ”
“ลงทัณฑ์? ไม่น่าจะเป็นไปได้ขอรับ อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็เป็นที่ที่นายท่านได้เนรมิตไว้สำหรับนายหญิงอยู่แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ -- ”
เธอกระซิบ ลากมือผ่านผิวชั้นหนังสือซึ่งเรียบลื่นและเย็นเหมือนน้ำ นึกเท่าไรก็นึกภาพที่ราชันแห่งปรโลกสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาให้กับหญิงสาวที่เขาแสดงท่าทีว่าทั้งโกรธทั้งแค้นไม่ออก
“เป็นไปแล้วขอรับ”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเทพฮาเดสสามารถสร้างสถานที่ -- แบบนี้ได้”
ทานาทอสยิ้มให้อย่างที่เธอเดาอารมณ์ไม่ถูก “มันฝังใจนายท่านเสมอว่ายมโลกไม่เป็นที่พึงปรารถนากับผู้ใดทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่านายหญิงเอาแต่คะนึงหาโลกเบื้องบน จึงได้รังสรรค์ที่แห่งนี้ขึ้น เป็นสิ่งที่นับว่ามีชีวิตชีวาและน่าตื่นตาที่สุดในปรภพ ยิ่งกว่าทุ่งเอลลีเซียมเสียอีก ทั้งมันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ เพราะนับวันตัวอักษรเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ ราวกับว่าสถานที่นี้มีชีวิตของมันเอง สมกับที่นายท่านหวังจะใช้มันช่วยลดทอนความทุกข์ทนของนายหญิง อย่างน้อยก็ให้นายหญิงได้เห็นโลกภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันผ่านตัวอักษรเหล่านั้น นายท่านหวังแต่เพียงเท่านั้น”
ทานาทอสไม่น่าจะสามารถพูดได้เหยียดยาวนัก พอ ๆ กับที่ฮาเดสไม่น่าจะสามารถมีความรู้สึกอ่อนโยนแบบนั้นอยู่เลย
บางที -- เธอเริ่มคิด หรือว่ามนุษย์เพียงแต่กลัวความตาย จึงมองยมโลกเป็นสถานที่น่าสะพรึงขวัญ สร้างเปลือกย้อมดินแดนแห่งวิญญาณ รวมถึงเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ให้เป็นปีศาจร้ายที่ใครต่อใครต่างพากันถอยหนี ชั่วขณะนั้น -- ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง เธอรู้สึกดีใจ
อย่างน้อยที่สุด เธอก็ได้รู้ว่ายมโลกเป็นอย่างไรในความเป็นจริง ถ้ามองอย่างเปิดใจสักหน่อย ก็จะเห็นว่าเทพเจ้าซึ่งพรากลมหายใจมนุษย์อย่างทานาทอสมีความจงรักภักดีและเห็นอกเห็นใจเป็นเลิศ ฮิปนอสที่ถึงจะไม่ได้ตื่นขึ้นบ่อยครั้งนักก็ยังมีความอารีที่เธอสัมผัสได้ในทุกครั้งที่เขาลืมตา และแม้แต่ฮาเดส... เทพเจ้าที่ร้ายกาจอย่างยิ่งในสายตามนุษย์ ก็ยังเป็นที่รักของข้ารับใช้ทุกคนอย่างที่ความเกรงกลัวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำได้
ยังมีหลายสิ่ง -- หลายอย่าง ที่ไม่เคยมีใครเห็น หรือไม่เคย ‘พยายามจะมองเห็นมัน’
“เทพีเพอร์ซีโฟเน่คงจะรักเทพฮาเดสมาก” เธอพูดตามความรู้สึกจริง ๆ
แต่เอเรอาญ์ลืมสังเกตไปว่าทานาทอสไม่ตอบเธอ
เพราะเธอกำลังมองดูรอบ ๆ ตัวอย่างชื่นชมอยู่ จึงไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาของทานาทอส ซึ่งตอบเธออย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
อาเธอร์วิ่งเร็ว ๆ ตัดผ่านทุ่งนาร์ซิสซัสสีขาวสะอาด ย่ำไปบนผืนหญ้าสีเทาที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เขามีอิสระ มีเรี่ยวแรง และความคิด แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้จักยมโลก เมื่อวิ่งไปได้ไม่นานเขาจึงหยุด ทอดตามองไปรอบตัวที่ทึบทะมึนไร้สีสัน
เขาไม่มีทางรู้เลยว่าน้องสาวฝาแฝดอยู่ที่ไหน แต่ปราสาทที่เขาเพิ่งจากมาดูจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่โตที่สุดในบริเวณนี้ ฉะนั้นตามเหตุผล ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘องค์ราชัน’ ก็ควรจะอยู่ที่นี่ และเมื่อเทพฮาเดสอยู่ที่นี่ เอเรอาญ์ก็ควรจะอยู่เช่นกัน หรืออันที่จริงคือ -- ต้อง -- อยู่ต่างหาก เขาคิดอย่างขมขื่นตอนที่นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้แม้แต่มาพบเขาที่เป็นพี่ชายและฝาแฝดของเธอเอง
ชายหนุ่มมองย้อนกลับไป ทางตรงหน้าอาจจะยาวไกลและน่าค้นหามากกว่าปราสาทกับห้องซึ่งเขาไม่นึกอยากจะกลับไปเห็น แต่อาเธอร์ไม่ต้องการจะพลาดแม้แต่ที่เดียวในการค้นหาเอเรอาญ์ ดังนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับ และก้าวเดินเข้าสู่ปราสาทด้วยหัวใจที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจและหวาดกลัว
“มันแปลก -- แต่ฉันก็ดีใจนะที่อ่านได้”
เอเรอาญ์พูดเจื้อยแจ้ว เธอหอบหนังสือไว้ในอ้อมแขนจนเต็ม ทุกหน้าเก่ากรอบ เขียนด้วยภาษาที่เธอไม่ควรรู้จัก แต่เธอกลับเข้าใจและคิดว่ามันน่าสนใจทีเดียว
“คงเป็นหนึ่งในความทรงจำของนายหญิงขอรับ”
เธอไม่ต้องการจะยอมรับอย่างนั้น แต่เอเรอาญ์ก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่น่าสงสัยได้ ดังนั้นเธอจึงไม่โต้ตอบเทพแห่งความตาย นอกจากเดินต่อไป ก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือเล่มบนสุดในอ้อมแขนอ่านอย่างที่ไม่พยายามหาเรื่องพูดคุยอีก
“เอเรล! ”
แต่เสียงนั้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หนังสือทุกเล่มหล่นจากอ้อมแขน
จะมีสักกี่คนที่เรียกเธอด้วยชื่อนี้ได้ --
“อาเธอร์! ”
พี่ชายอยู่ข้างหลังเธอ ยืนอยู่ตรงทางเข้าที่เธอเพิ่งเดินผ่านเข้ามา เอเรอาญ์วิ่งตรงไปหาเขา และอาเธอร์ก็กำลังทำแบบเดียวกัน สองพี่น้องกระโจนเข้าโอบกอดอีกฝ่ายอย่างคนที่กลัวว่าจะไม่ได้พบเจอกันอีก
“พี่มาที่นี่ได้ยังไง! พี่ออกมาได้ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น พี่มาทำอะไรที่เอเธนส์! ”
“ทีละคำถาม แต่ฉันขอยังไม่ตอบ” เธอรู้สึกเหมือนว่าอาเธอร์จะไม่สามารถยิ้มได้กว้างกว่านั้นอีกแล้วตอนที่เขากอดเธออีกครั้ง “ฉันนึกว่าต้องเสียฝาแฝดไปตลอดกาลแล้วเสียอีก”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“นายหญิง! ”
เสียงเรียกของทานาทอสแปลกไป และในเวลาเดียวกันก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นทำให้มือและหัวใจของเธอเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง
อีกฟากหนึ่งของทางเดิน ‘เขา’ ยืนอยู่ตรงนั้น
“นายหญิง ข้าคิดว่า -- ”
ไม่จำเป็นต้องให้เทพแห่งความตายบอกเลย ดวงตาของเขาบอกต่างหาก และเห็นได้ชัดว่าไม่เหลือเวลาสำหรับถามหาเหตุผล เธอรีบกระตุกแขนเสื้อของอาเธอร์อย่างแรงด้วยความหวาดกลัว “พี่อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว รีบหนีไป”
“อะไรนะ แต่ -- ”
“ไปก่อน แล้วฉันจะหาทางไปเจอ” เมื่อเห็นเขาไม่ขยับตัวเสียที เธอก็แทบจะร้องไห้อย่างสิ้นหวัง “เขาไม่ให้ฉันพบพี่แน่ ๆ พี่หนีไปก่อน”
“คนคนนั้นใครกันน่ะ? ”
“เขา -- ”
อาเธอร์มองเห็นราชันแห่งปรภพยืนอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของทางเดิน เป็นโครงสร้างที่สูงใหญ่ แข็งแกร่ง และน่าหวาดหวั่นเมื่อเขามองเห็นแต่ความทึบทะมึนเกรี้ยวกราดแผ่อยู่ในอากาศโดยรอบเหมือนพิษที่ฟุ้งกระจาย
“ใครกัน”
“เทพฮาเดส”
ในฐานะมนุษย์ธรรมดา ชื่อนั้นทำให้อาเธอร์เข่าอ่อน ดวงตาของราชาแห่งปรโลกจ้องมองเขาเหมือนนักล่าที่คลุ้มคลั่ง และทันใดนั้นเอง โคมไฟดวงที่อยู่เหนือศีรษะเขาก็หล่นวูบ! อาเธอร์เบี่ยงตัวหลบ มันจึงตกกระแทกพื้นที่ข้างเท้าเขาจนแตกกระจายพร้อมกับความลังเลครั้งสุดท้าย เขาวิ่งไม่คิดชีวิต
“ข้าบอกไม่ให้เจ้าออกมา! ”
“ได้โปรดเถอะ ท่านจะขังฉันไว้อย่างนั้นตลอดไปไม่ได้นะ! ”
นั่นคือเสียงสุดท้ายดังไล่หลังให้ได้ยิน อาเธอร์วิ่งโดยไม่เสียเวลาเหลียวกลับไปมอง เขาไม่ได้กลัวเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่กลัวเพราะสิ่งที่ราชันแห่งปรภพใช้โถมลงในจิตใจเขา
อาเธอร์วิ่งจนสะดุด ล้มหน้าคว่ำลงบนกอนาร์ซิสซัสอย่างแรง ทั้งเจ็บ ทั้งจุก ทั้งมองอะไรไม่เห็น
“ไม่ยุติธรรมเลย”
มีใครกระซิบข้างหูเขา
“มาหาเราสิ”
เขากวาดแขนไปบนพื้นหญ้าอย่างร้อนรน ในที่สุดเมื่อแว่นตากลับมาอยู่ในมือ อาเธอร์ก็สวมมันและกะพริบตา ท้องฟ้ายังคงลอยคว้าง และแม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะกำลังกดอยู่บนไหล่ของเขาอย่างหนักหน่วงจนปวดแปลบ
อาเธอร์นอนหน้าคว่ำอยู่อย่างนั้น อาจจะกินเวลาหลายนาที จนกระทั่งตอนที่ได้ยินเสียงย่ำเท้าใกล้เข้ามา แรงเฮือกสุดท้ายดึงให้เขาทะลึ่งตัวขึ้น
“กรี๊ด! ”
เขาเซ ผุดลุกยืนอย่างกะทันหันและเกือบจะชนกับเจ้าของฝีเท้าเข้าให้แล้ว เธอถอยหลังเช่นกัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอันตรายต่อเขา อาเธอร์จึงหยุดหอบหายใจ รีบละล่ำละลักคำขอโทษตอนที่ --
“เธอ -- ”
แน่นอน เธอผู้เป็นหญิง
แต่สิ่งที่ยิ่งกว่าความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เป็นเพราะเธอคือ --
“เวเรน่า! ”
WRITER : เวเรน่า หญิงสาวที่อาเธอร์ไม่เคยลืมนั่นเองค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกๆ ท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ นักอ่านเงาด้วย จากยอดวิวในแต่ละตอน ที่ทำให้รู้ว่ายังไม่หายไปไหนไกล ( แต่เมนท์สักตอนก็ดีนา... )
อีกไม่กี่บทก็จะถึงครึ่งทางของเรื่องกันแล้ว หลังจากที่ไม่เคยลงนิยายในเด็กดีจนจบเรื่องได้เลยสักครั้ง โรมจักรรู้สึกว่านี่เป็นพัฒนาการที่ดีแล้วล่ะค่ะ :)
ความคิดเห็น